เพลงฉ่อยชาววัง

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

'เมล็ดพืชสีแดง' มรดก พคท. สู่คนรุ่นใหม่​

การผ่านการต่อสู้ทั้งโดยสันติและโดยการใช้อาวุธ พรรคคอมมิวนิสต์ไทย จนมาถึงจุดจบในปี 2525 แม้ว่าทุกวันนี้ พคท. จะได้ยุติบทบาทลงอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ก็ยังคงมีคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ที่ศรัทธาในอุดมการณ์ของ พคท. เติบโตขึ้นมาสืบสานอุดมการณ์ต่อไป


ในวันนี้ แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือ พคท. จะได้ยุติบทบาทลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว หลังการพ่ายแพ้ในปี 2525 แต่บรรดาเหล่า "สหาย" ก็ยังคงดำรงอยู่พร้อมกับอุดมการณ์ และที่สำคัญ ยังคงมีคนรุ่นใหม่ที่สนใจในอุดมการณ์ ของ พคท. เกิดขึ้นมา และมีความมุ่งมั่นที่จะสานต่อการขับเคลื่อนทางการเมืองในแนวทางอุดมการณ์นี้ต่อไป

อย่างเช่นในงานรำลึกวีรชนผู้เสียสละของ พคท. ในฐานที่มั่น "เขตงาน 444 ภูสระดอกบัว" ที่ตำบลบ้านบาก อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหารนี้ นอกจากสหายเก่าแก่ที่เคยร่วมรบในป่าเขามาด้วยกัน ก็ยังมีคนรุ่นใหม่ที่ศรัทธาในอุดมการณ์ของ พคท. เข้าร่วมรำลึกวีรชนที่พวกเขาเคารพศรัทธาและยึดมั่นในอุดมการณ์

อย่างไรก็ดี สิ่งที่บรรดาสหายเก่า หรือที่คนหนุ่มสาวเหล่านี้เรียกว่า "ผู้เฒ่า" เคยต่อสู้มา ได้กลายเป็นเพียงแค่อดีตไปแล้ว อีกทั้งการถูกผิดสัญญา โดยรัฐบาลสมัยแล้วสมัยเล่า ที่จะให้พวกเขาได้เป็น "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" ในระบบปกติ ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก นอกจากการจัดงานรำลึกปีละครั้ง และเล่าเรื่องของคนแก่ให้หนุ่มสาวฟัง

ส่วนคนหนุ่มสาวเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่มีพรรคฯให้เข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมือง แต่พวกเขาก็ยังคงทำกิจกรรมเพื่อสังคม ในชุมนุมชมรม และสมาคมต่างๆ เท่าที่มีพื้นที่ให้พวกเขาทำได้ ด้วยสำนึกที่ว่า สิ่งที่พวกเขาทำอยู่นี้ คือการทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน ตามอุดมการณ์ของ พคท. นั่นเอง

คนหนุ่มสาวเหล่านี้ คือผู้กระตือรือร้นที่จะทำงานเพื่อรับใช้สังคมและประชาชน แต่ด้วยความที่อุดมการณ์ที่พวกเขาศรัทธา คืออุดมการณ์ที่สังคมไทยพยายามกีดกันและปิดกั้นมาโดยตลอด พวกเขาจึงพยายามได้เพียงแค่ขอร้องให้สังคมนี้ ยอมรับเปิดใจฟัง และเปิดพื้นที่ให้พวกเขาบ้าง  เพราะตราบใดที่สังคมยังมีความไม่เป็นธรรม แนวคิดที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่สังคม ก็จะยังคงเป็นอุดมการณ์ของผู้ที่อยากเห็นสังคมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอยู่เสมอ

รายงานพิเศษ ขบวนการ 'สโหย' นายหน้าค้า 'สหาย' ตอนที่ 2  
เมื่อวานนี้(7ส.ค.56)ทีมข่าววอยซ์ทีวี นำเสนอรายงานพิเศษ เกี่ยวกับกระบวนการทุจริตในการเยียวยาผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยเป็นตอนแรก ในวันนี้(8ส.ค.56) เราขอนำเสนอเป็นตอนที่ 2 ซึ่งทีมข่าวได้ลงไปยังพื้นที่ๆ มีการทุจริตเกิดขึ้น และได้ค้นพบกระบวนการที่เหล่านายหน้า นำมาใช้หากินหลอกลวงกับอดีตสหาย 
ทีมข่าววอยซ์ทีวี ตัดสินใจลงไปเก็บข้อมูลในพื้นที่ตัวอย่างสองจุดในจังหวัดน่าน คือบ้านห้วยล้อม และบ้านน้ำปัว บนหุบเขาตามแนวพรมแดน ซึ่งเป็นพื้นที่ของชนเผ่าม้งและชนเผ่าลั๊วะ พวกเขาส่วนใหญ่ เคยร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือ พคท. เพื่อสังคมที่เป็นธรรม และขณะนี้ ยังมีความหวังที่จะได้รับการเยียวยาจากความสูญเสียระหว่างการต่อสู้
ความห่างไกลและเข้าถึงข้อมูลได้ยาก  ทำให้พวกเขากลายเป็นเหยื่ออันโอชะ ของขบวนการนายหน้า ที่ดั้นด้นเดินทางมาไปหากินกับพวกเขา
เราพบกับข้อมูลที่น่าตกใจ นั่นคือค่าหัวคิว ในนามของ "ค่าอำนวยการ" ที่อ้างว่าจะนำไปต่อสู้ในชั้นศาล ให้ชาวบ้านได้เงิน 7 แสนบาท นายหน้าเหล่านี้เรียกเก็บ สูงถึง 5,500 บาท ต่อหัว  เงินจำนวนนี้ สำหรับพวกเขาที่ทำไร่ทำนาบนภูเขา อาจต้องใช้เวลาทั้งปีกว่าจะได้มา แต่บัดนี้ กลับหายไป พร้อมกับนายหน้าเองที่หายเข้ากลีบเมฆเช่นกัน
นี่ยังไม่นับรวมกับค่า "เอกสารเตรียมสอบ" ที่จัดทำเป็นรูปเล่มมาอย่างดี บอกเล่าประวัติ เรื่องราวของพรรค และข้อมูลเบื้องต้นที่คนเข้าป่าต้องรู้ ชุดละ 300 บาท รวมทั้งค่าเครื่องแบบติดสัญลักษณ์ ที่จะใช้ไปเคลื่อนไหวเรียกร้อง ชุดละ 300 บาทเช่นกัน
สภาพนี้ เกิดขึ้นที่บ้านน้ำปัวเช่นกัน พื้นที่นี้ อยู่บนภูที่อยู่ลึกกว่าบ้านห้วยล้อม กลางขุนเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอก ชาวบ้านชนเผ่าลั๊วะปลูกข้าวโพดเลี้ยงชีพหากินอย่างยากลำบาก แต่ขบวนการยังไม่ละเว้นที่จะหากินกับพวกเขา
ตัวแทนชาวบ้าน ยืนยัน ว่าพวกเขาได้ออกจากป่า ไปตรวจสอบที่ศาลต่างๆ แล้ว ไม่พบว่าการแจ้งความดำเนินการใดๆ ตามที่นายหน้ากล่าวอ้าง และนายหน้าเหล่านี้ ก็หายตัวไปเหมือนที่ทำกับชาวบ้านในพื้นที่อื่นๆ
เพียงแค่พิจารณาด้วยหลักเหตุผลพื้นฐาน ก็เพียงพอแล้ว ที่จะบอกได้ว่าเงิน 5,500 บาทต่อหัว เป็นมูลค่าที่สูงเกินความจำเป็น สำหรับ "ค่าดำเนินการ" ในเรื่องต่างๆ และทางเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ยืนยันกับวอยซ์ทีวีว่าการเก็บเงินเช่นนี้ ไม่ได้ช่วยรับประกันว่าชาวบ้านจะได้รับเงินแม้แต่น้อย
ตัวแทนชาวบ้าน ยังได้ให้ข้อมูลกับเรา ว่าเงินที่นายหน้า ได้ไปจากชาวบ้านในบ้านน้ำปัว รวมได้กว่า 2 แสนบาท และเมื่อรวมกับอีกหลายบ้าน ในจังหวัดน่าน จะเป็นเงินมากถึง 11 ล้านบาท ซึ่งแน่นอน ว่าขบวนการนี้ ไม่ได้เดินทางหากินกับสหาย แค่ในพื้นที่เดียวเท่านั้น ที่น่าตกใจ คือนายหน้าผู้นี้ เป็นผู้ประสานงานของกลุ่ม ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หรือ ผรท. ในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสานอย่างเป็นทางการ และเขาก็เดินทางดั้นด้นมาถึงจังหวัดน่าน เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
 สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวเขาเผ่าลั๊วะและเผ่าม้ง ตั้งแต่อดีต ที่ถูกละเลยและริดรอนสิทธิมาตลอด จนถึงกับต้องจับปืน เข้าต่อสู้ร่วมกับ พคท. วันนี้สถานะ "เหยื่ออธรรม" ก็ยังซ้ำเติมพวกเขาอย่างไม่สิ้นสุด 


วารีนา ปุญญาวัณน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น