เพลงฉ่อยชาววัง

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม เพราะระบอบทักษิณ

กระทู้ผมที่ตั้งเป็นเรื่องจริง  เป็นชีวิตจริงของผู้ชายคนหนึ่งที่กว่าจะมีชีวิตเป็นปกติแบบนี้ได้  ได้ผ่าน  ได้เห็น  ได้สัมผัสอะไรมาเยอะพอสมควรครับ    ผมจึงอยากเล่าเรื่องราวชีวิตของผมทั้งหมดให้เพื่อน ๆ ทุกคน  ทุกสี  ทุกกลุ่มฟัง  ซึ่งมันจะทำให้ท่านแต่ละสี  แต่ละกลุ่ม
อาจจะมีความรู้สึกที่ดีต่อกันก็ได้   หรืออาจจะทำให้ท่านรู้ว่า  ทำไมคนจนเขารักทักษิณ  ทำไมคนชื่อทักษิณตอบโจทย์คนจนได้ขนาดนี้   แล้วถ้าจะทำให้คนจนเปลี่ยนใจจากทักษิณจะต้องทำอย่างไร    โดยท่านเอาชีวิตผมนี่แหละเป็นโจทย์คิด   (ผมมีเรื่องที่เข้าไปเกี่ยวพันกับสิ่งต่าง ๆ  กับผู้คนอื่น ๆ อีกมากมาย  ซึ่งเมื่ออ่านแล้วอาจทำให้ท่านเข้าใจ "คนจน"   เข้าใจคำว่า  "ขาดโอกาส   ด้อยโอกาส"  นั้นมากยิ่งขึ้น)   ตั้งแต่เกิด   เรียนหนังสือ   เข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ   กลับบ้านนอก   ช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว   และชีวิตปัจจุบัน     ซึ่งบางช่วงละครน้ำเน่าก็ไม่ปาน  ผมจะเล่าให้ละเอียดที่สุด    ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตผมบางคนที่อยู่ในกรุงเทพ  ท่านสามารถเดินไปเคาะประตูบ้านได้เลย.   จริง ๆ

      เพื่ออะไรครับก็เพียงเพื่อ   ให้หลาย ๆ ท่านได้รู้ได้เข้าใจคำว่า  "คนจน  คนด้อยโอกาส   ความไม่เป็นธรรม   ค่านิยมของสังคม  วิธีคิดของคนบ้านนอก  การซื้อเสียง (พรรคที่บอกคนอื่นซื้อเสียงนั่นแหละตัวเป้งเจ้าตำรับ)  หน่วยงาน   ราชการ   คุณธรรมจริยธรรมของคนในสังคมบ้านนอกอย่างผม  และอื่น ๆ     แล้วสุดท้ายแล้วแต่ท่านจะนำไปใช้ประโยชน์อะไร"     เพราะท่านจะได้รู้ว่า   ระบอบทักษิณมันได้ซึมลึกในเส้นเลือดและจิตวิญญาณของคนจนแล้ว  โดยไม่มีใครจะลบได้   แม้ฝ่ายตรงกันข้ามจะชนะเลือกตั้งในอนาคต   แต่รูปแบบและวิธีการบริหารจัดการบ้านจะยังเป็นไปในแนวของท่านทักษิณที่ได้วางไว้

แต่ นึกอีกทีหนึ่งก็ไม่อยากเขียนหรอกครับ  เพราะที่นี่มันเป็นพื้นที่ของหลายคน  ครั้นจะเอาแต่เรื่องของตนเองมาใส่ไว้ก็เกรงใจเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ   ผมกลัวคนเพื่อน ๆ หมั่นไส้เอา   ทั้งยังเป็นคนขี้อายครับ   ขี้ใจน้อยด้วย ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่ บางครั้งบางเรื่องไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองครับ (อย่างเรื่องนี้แหละ) ตามประสาคนบ้านนอกไร้ประสบการณ์  

     แต่...ก็อย่างว่าแหละครับ    คนจน  คนด้อยโอกาส    มันหาพื้นที่ให้ตนเองเพื่อจะบอกความจริงให้หลาย ๆ คนได้รับรู้
มันก็ยากอย่างที่เห็น..   (ผมคิดเสมอว่า ผมไม่แน่  ผมไม่เจ๋ง  ผมไม่รวย   ผมไม่มีชนชั้น   เพียงแต่อยากบอกเพื่อน ๆว่า ชีวิตผมเป็นมาแบบนี้  เป็นเพียงคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งในสังคมที่สับสน   เท่านั้นเอง)

     เอาเป็นว่า ถ้าเพื่อน ๆ ต้องการอ่าน  ต้องการให้ผมเขียนก็ขอให้ส่งกำลังใจหรือแสดงความคิดเห็นมาก็แล้วกันนะครับ..
    และยินดีเล่าทุกเรื่อง  หากท่านต้องการทราบประเด็นอะไร   หรือช่วงไหนก็ตั้งคำถามได้    หรือหากท่านได้จะช่วยเสริมประเด็นไหนก็ทำได้
    ผมยินดีรับฟัง  และพร้อมจะปรับปรุงแก้ไข

              คนจน ๆ ที่รักเพื่อน ๆ ทุกคนครับ
                    ทรงสิทธิ์  พุ่มจันทร์
                       081-5935233

ต้องขอออกตัวก่อนครับว่า  ไม่มีเจตนาจะอวด  จะอวย  จะทะเลาะ อะไรกับใครทั้งสิ้น  เพียงแต่อยากเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแค่นั้นครับ

   ผมเป็นคน ตจว. เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ประมาณ 8-9 ปี ผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเมื่อปี 39 กลับไปเปิดร้านถ่ายเอกสารเล็ก ๆ (มากๆ)มีเครื่องถ่ายเก่า ๆ ตัวหนึ่ง  เครื่องคอมฯ  เครื่องเคลือบบัตร อย่างละตัวครับ  เมีย 1  ลูก 1  อายุ 6 เดือน    บ้านเช่า 2000 /เดือน(จ่ายรายปี)
ข้าวไม่ต้องซื้อ   ในช่วง 3 เดือนแรก  มีรายได้วันละ  20-30 บาท  ซื้อไก่ 1 ไม้  10  บาท  กินทั้ง  3  มื้อกับเมีย
ต่อมาเดือนที่ 4 5 6...  มีรายได้วันละ  50  บาท  (ดีใจแทบตาย)   วันไหนที่ได้  100  ดีใจยังกะถูกหวย

      พอปี 40  เศรษฐกิจไทยก็ทรุด  ช่วงนั้นนายชวน เป็นนายกฯ   ซึ่งการแก้ปัญหาขณะนั้น  นายชวนจะออกในแนวประหยัด  มัธยัสถ์     และมีการส่งเสริมทฤษฎีพอเพียง    ช่วงนั้นคนต่างจังหวัดกลับบ้านกันเยอะมาก   เพราะตกงาน  ค้าขายขาดทุน  แทบทุกคนกลับบ้านไปอาศัยพ่อแม่ที่บ้านนอกที่ส่วนมากเป็นเกษตรกร  ทำไร่  ทำสวน   ทำนา  กลับมาช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้าน  ก็ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ลำบากมาก    เพราะมีบ้านอยู่   มีข้าวกิน   อาหารการกินหาได้ตามท้องไร่ท้องนา  จะไม่มีก็แค่เงินเท่านั้น
   
      ช่วงนั้นทั้งสื่อมวลชน  รัฐบาล  นักวิชาการ  วิชาเกิน  ต่างมองเห็นเป็นแนวทางเดียวกันว่า   บ้านและครอบครัวที่ต่างจังหวัดของแต่ละคน  และการเกษตร นั่นแหละคือฐานที่มั่นของชีวิต  ภาคเกษตรคือเบาะรองรับการล้มที่ดีที่สุด   และขอบคุณเกษตรกรคนต่างจังหวัดที่ช่วยดูและและรับภาระช่วงที่เกิดวิกฤต

        ผมเปิดร้านปี 39   ปี 40 เศรษฐกิจทรุด  ประกอบกับร้านก็เล็ก  เงินทุนหมุนเวียน 4,000  บาท   หลักทรัพย์อะไรก็ไม่มี   ไปกู้เงินออมสินเขาก็ไม่ให้กู้    ไปกู้กรุงไทยเขาก็ไม่ให้กู้   ก็อยู่ไปตามประสารอวันตาย  นึ่งข้าวเหนียวใส่กระติบ   ซื้อไก่ไม้  10  ไม้หนึ่งกินกัน 2 คนผัวเมีย   เลิกเหล้า   เลิกบุรี่   เลิกเที่ยว  ลดรายจ่ายทุกอย่างครับ   ก็พออยู่ได้

        ต่อมาไม่นานมีการเลือกตั้ง   พรรคไทยรักไทย   เอาป้ายมาติดหน้าร้าน พร้อมกับข้อความ  คิดใหม่  ทำใหม่   ผมนึกในใจว่า  ยังงัยก็จะเลือกท่านทักษิณ   ด้วยเหตุผลที่ว่า   อยากลองของใหม่   ชอบเครื่องแบบ   หน้าตาท่านดี   รวย   และกล้าติดสินใจ  บุคลิกดี กล้าพูด  คุยกับฝรั่งเสียงดัง ฟังชัด  ฉะฉาน   ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก   (ก็รู้กันอยู่ว่าในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเลือกตั้งเสร็จก็งั้น ๆ  คล้าย ๆ กับว่าเขาขออำนาจเราไป   เมื่อได้แล้วก็จบกัน  ติดตามไม่ได้  ตรวจสอบไม่ได้   เรียกร้องไม่ได้ ทวงสัญญานโยบายไม่ได้)

    แต่...   จากวันนั้นวันที่  ไทยรักไทยมาแขวนป้ายหน้าร้าน  ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป...
          -  ผมมีงานมากขึ้นเพราะ  สส. เข้ามาถ่ายเอกสาร  หลักฐานต่าง ๆ  เยอะมาก   ตั้ง 8 - 9 เบอร์  แต่ละเบอร์ทำเอกสารไม่ใช้น้อย ๆ ทำให้ได้งานได้เงินมากขึ้น  ราคาดีขึ้น   เมื่อผลปรากฎว่า  ท่านทักษิณ  ชนะเลือกตั้ง  แถลงนโยบายเสร็จสรรพ   ด้วยวลีที่ว่า   "จะเป็นรัฐบาลที่ทำงานเหนื่อยและหนักเพื่อประชาชน"   การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทั้งภาครัฐ   ภาคเอกชน  ต่างสนใจในนโยบาย   (ในขณะที่ประเทศไทยเป็นหนี้ IMF  แต่ท่านทักษิณบอกว่าจะให้เงินชาวบ้านไปบริหาร หมู่บ้านละ 1 ล้าน   ตอนนั้น พรรร ปชป. เอาแต่นั่งหัวเราะ)  ข้าราชการตื่นตัว   มีความกระฉับกระเฉง   โครงการต่าง ๆ พรั่งพรูออกมา   (ซึ่งไม่บอกทุกท่านก็น่าจะรู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน)
   
          -  ต่อมามีนโยบาย  ธนาคารคนจน  ของธนาคารออมสิน  ให้กู้รายละ  15,000  -  30,000  บาท  ให้กับคนทั่วไปและพ่อค้าแม่ค้า  โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์     ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน   ผมก็เอาด้วยครับ   ก็เอามาซื้อของเข้าร้านเพิ่ม  ใช้หนี้เขาสัก 2-3 เดือน  ก็ผ่อนเกือบหมด   ต่อมาก็มีโครงการสินเชื่อห้องแถว  ผมก็เอาด้วยครับ  เอามาซื้อเครื่องตัด   ซื้อเครื่องถ่ายเพิ่ม  ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ    ต่อมาผมก็ไปขอสินเชื่อประเภทซื้อที่อยู่อาศัย    ธ.ออมสินเห็นว่าผมส่งเงินเขาดี  ไม่ขาดตกบกพร่องเขาก็ให้กู้ซื้อบ้านราคา  400,000  บาท (ร้านที่เช่าอยู่ทุกวันนี้)  ก็ผ่อนมาเรื่อยครับ ตอนนี้เหลือแสนกว่าบาท  ซึ่งเงินผ่อนกับเงินค่าเช่ามันก็พอๆกัน
        -   ต่อมาก็มีโครงการต่าง ๆ ออกมาจากรัฐอีกมากมาย ฯ  ซึ่งทุกโครงการล้วนแต่กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย กระจายเงิน  กระจายโอกาส    เช่น   ป.บัณฑิต   อาจารย์ 3   ผอ.กันดาร (ผอ.3.4)  เพิ่มเงิน ป.  ของตำรวจ   หวยบนดิน  เขียนจดหมายขอทุน   1 อำเภอ 1โรงเรียน
โอท๊อป  แก้ปัญหาความยากจน  30 บาท  พักหนี้  ฯลฯ   ทุกโครงการ...ร้านค้าเล็ก ๆ อย่างผมก็จะได้งานเพิ่มขึ้น  แน่นอนว่ารายได้ก็ตามมา     ซึ่งเป็นคนละอย่างกันกับ  ท่านชวน   หลีกภัย   แห่ง ปชป.  ที่มุ่งเน้นการประหยัด  เก็บหอมรอบริบ  พอเพียง   (และหลายคนก็ได้รับโอกาสเหมือนผมนี่แหละ)

          จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้    จากที่ผมเป็นร้านเล็ก ๆ ในอดีต  ปัจจุบันก็ถือว่ามีความพร้อมในการให้บริการลูกค้ามากขึ้น
      มีเครื่องถ่าย  5  ตัว     เครื่องพิมพ์  2  ตัว    เครื่องปริ้น  7  ตัว   เครื่องคอม 2 ชุด   เครื่องตัด  อุปกรณ์อื่น ๆ อีก   มากมาย
      สั่งกระดาษเข้าครั้งละประมาณ  100-200  รีม(เอ4)  ก็เป็นเรื่องปกติ   ซื้อที่ในตัวอำเภอ 3 แปลง   มีรถคันละล้านขับ  จากร้านที่เช่าก็ซื้อเขาซะจะได้ไม่ต้องกลัวเขาไล่ที่    ส่งลูกเรียนพิเศษได้   ไปเที่ยวทะเลในวันหยุดได้   วันไหนว่าง ๆ ก็พาลูกเมียไปกินพิซซ่าได้  กินสุกี้ได้  ดูหนัง ตามห้าง ฯ ได้   มีโน๊ตบุ๊คให้ลูกใช้  มีโทรศัพท์มือถือดี ๆ เครื่องละหมื่นกว่า ๆ ใช้  มีทีวีจอ  40  นิ้วไว้ดู   มีคาราโอเกะไว้ร้อง  มีชุดโฮมเธียร์เตอร์  ชำระค่าเน็ตเดือนละ  700  ได้   และก็เป็นหนี้ได้สัก  2-300,000 บาท    คือ สรุปว่าชีวิตมันเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น  แม้มันจะไม่มากก็ตาม    อาจเป็นหนี้เป็นสินบ้าง  แต่ก็อยู่ในภาวะที่จะชำระได้    หักลบกลบหนี้แล้วก็พอมีกำไร   (มันก็ดีกว่าตอนทั้งวัน  ไก่ 1 ไม้  10  บาท กินทั้งผัวเมีย  จนชาวบ้านเขาต่างดูถูกว่า  สงสัยจะเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวไม่ไหว)
     
         ที่เล่ามานี้   ผมไม่ได้ว่าจะอวด  จะอวย  จะทะเลาะอย่างที่ว่าไว้   เพียงแต่จะสะท้อนให้เห็นว่า

            1.  วันหนึ่งเมื่อคนกรุงเทพฯ หรือภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม เดือดร้อนเพราะเศรษฐกิจ  พวกคุณก็เอาคนที่ตกงาน  เอาภาระของสังคม
ไปฝากไว้กับ  ภาคการเกษตร   ที่มีแต่คนแก่  คนเฒ่าเป็นผู้บริหาร   พวกเขาขาดทั้งเงินทุน  ขาดทั้งองค์ความรู้  การคมนาคม  อำนาจต่อรอง  ฯลฯ   แต่เขาก็ทำหน้าที่เลี้ยงดูคนทั้งประเทศได้  จนประเทศฟื้นคืนสู่ปกติ
            แล้ววันหนึ่ง   วันที่พวกเขาทำการเกษตรแล้วพอจะมีกำไรบ้าง   พอที่จะปลดเปลื้องหนี้สินได้บ้าง    ภาคธุรกิจ-อุตสหกรรม    ก็ต่อต้านตั้งแง่กับเขาว่าได้มากไป  จะทำให้ประเทศชาติทรุด ทั้ง ๆ ที่วันที่ประเทศชาติทรุด พวกเขาเป็นคนดูแล  อย่างนี้ยุติธรรมสำหรับเขาแล้วหรือ  (ส่วนนักการเมืองบางฝ่ายก็ไล่ล่า  ไล่ล้มกัน   หาใช่การตรวจสอบเพื่อให้ภาคเกษตรกรได้ประโยชน์สูงสุดอย่างที่กล่าวอ้าง)
       
            2.    แล้วที่ผมบอกว่า  ผมสิ่งของต่าง ๆ นานา หลาย ๆ อย่าง  ก็ใช่ว่าผมจะอวด  เพียงแต่อยากจะสะท้อนให้เห็นว่า
ของที่ผมซื้อหามาได้นั้น   ส่วนมาก  ชาวไร่ชาวนา เขาไม่ได้ผลิต   มีแต่คนรวย  พ่อค้า  นายทุน  เจ้าของโรงงาน   นายธนาคร  และคนชั้นกลาง-ชั้นสูง  เท่านั้นที่ร่วมกันผลิต     นั้นแสดงว่า   แม้ผมจะทำมาหาได้  แต่สุดท้ายแล้วเงินก็กลับไปสู่พวกคุณที่เป็นพ่อค้านายทุน คนชั้นกลาง-ชั้นสูงอย่างพวกคุณ  ใช่หรือไม่   (แล้วพวกคุณจะบอกว่า   ท่านทักษิณฯ  เอาเงินมาแจกคนจนได้อย่างไร)

       ก็ใช่ว่าผมจะลุ่มหลงในโลกของทุนนิยมไปเสียทั้งหมด   เพราะในที่ทางที่ผมมี  ผมก็ทำตามที่พ่อท่านบอก (แต่ไม่ทำอย่างพ่อท่านทำ)   คือ  ปลูกทุกอย่างที่กิน  ปลูกข้าว (3 ไร่)  พริก  มะนาว  ข่า ตะไคร้  ใบมะกรูด  แมงลัก มะละกอ กะท้อน   มีบ่อปลาเล็ก ๆ 2 บ่อครับ  แต่จับปลากินได้ทั้งปี  มีกระถิน  ตำลึง  มะรุม  ผักพื้นบ้านก็เก็บกินได้ทั้งปีครับ ปลอดจากสารเคมีทุกชนิดครับ  ใช้ขี้วัว  ขี้ควาย เป็นปุ๋ย
(มะม่วงที่สวนผมลูกใหญ่ที่สุดในอำเภอครับ) ไก่ป่า..ก็เยอะสุดครับ   เป็นเถียงนาเล็ก ๆ ครับ   แต่อยู่ง่าย ๆ สบาย ๆ  

  "ต้องยอมรับว่า   ผมมีชีวิตแบบปกติสุขอย่างทุกวันนี้ได้เพราะนโยบายของท่านทักษิณ  ชินวัตร จริง ๆ แล้วแบบนี้
ไม่ให้ผมรัก  ไม่ให้ผมเลือกท่าน     ก็ช่วยตอบผมหน่อยเถอะว่า  จะให้เลือกหมาที่ไหน"

2 ความคิดเห็น:

  1. มื่อ จขกท. ยังอายๆอยู่..งั้น
    ผมขอเล่าเรื่องของผมก่อนแล้วกัน
    อย่างน้อยก็เป็นการ "ปูพื้น" ให้กำลังใจกันครับ

    ผมขอสงวน "อาชีพ และตำแหน่งหน้าที่การงาน
    แต่บางท่านอาจจะเดาได้ว่า..ตำแหน่งอะไรนะครับ"
    ราวๆก่อนปี 2544 ผมรับราชการมาแล้วเป็นเวลา
    34 ปี...เงินเดือนตอนนั้นราวๆ... หมื่นกว่าๆ

    เป็นคน ตจว.มาทำงานต่างถิ่น...อยู่หอพัก..
    ของทางราชการ....มาเรียนต่อใน กทม.ไปด้วย ฯลฯ
    มีรถญี่ปุ่นมือสองเก่าๆ..คันเดียว...ซ่อมแล้ว
    ซ่อมอีก..เงินเดือนก็ไม่ค่อยพอใช้..เพราะยังเป็น
    หนี้ติดตัวมา รวมทั้งหนี้ผ่อนรถด้วย...เรียกว่า

    "ชักหน้าไม่ถึงหลัง ก็ว่าได้นะครับ"....ผมเร่งทำงาน
    เพื่อให้ตำแหน่งการงานสูงขึ้น..เพื่อจะได้เงินเดือน
    สูงขึ้นด้วย....จนได้รับเงินประจำตำแหน่งเพิ่มขึ้น
    อีกเดือนละ "9,900 บาท" ทุกๆเดือน เพิ่มจาก

    "5,600 บาท เดิม" ที่เคยได้..ตอนนั้น..ก็ยังไม่มี
    บ้านอยู่เป็นของตัวเอง....ทั้งๆที่..ที่ทำงานเริ่ม
    "ขับไล่ ข้าราชการที่อยู่หอพักของทางราชการ"
    ให้ออกไป...เพียงเพราะเห็นว่า.."อยู่นานเกินไป"

    เกินกว่าระเบียบของที่ทำงาน..กำหนดไว้...ฯลฯ
    กำลังที่ผมจะออกไปหาบ้านเช่า...ข้างนอก
    เพื่อให้สามารถมี "ที่ซุกหัวนอน"...ก็เหมือน
    "พระมาโปรดฯ...."...ทักษิณขึ้นมาเป็นนายกฯ

    มีนโยบาย...เพิ่มเงินประจำตำแหน่ง...รายเดือน
    ให้กับข้าราชการ ในตำแหน่งของผม (ทุกๆคน
    ที่มีตำแหน่งแบบผม..ได้หมด รวมทั้งที่ต่ำๆกว่าด้วย)
    โดยเพิ่มให้กับ "เงินประจำตำแหน่งเท่านั้น"

    ด้วยเหตุผลว่า...การขึ้นเงินเดือนข้าราชการโดย
    ปรกติ..มักจะทำให้ "สินค้าแพงขึ้น"...จึงใช้วิธีนี้
    (นัยว่างั้นนะครับ)

    ผมได้เงินประจำตำแหน่งจากเดิม "9,900 บาท/เดือน"
    กลายเป็น "9,900X2 บาท/เดือน" ทันที...มีผลทำให้
    ผมต้องยกเลิกการ "เช่าบ้าน"..ที่ยังไม่ทันได้เข้าไปอยู่
    ไปซื้อบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว...ด้วยการ "ผ่อนรายเดือน"

    เดือนละ "หมื่นเศษๆ" ทันที....ผ่อน 18 ปี...ผมก็เลย
    มีบ้านเป็นของตนเองซะที....ตั้งแต่นั้นมา..ตอนนี้
    ยังผ่อนไม่หมดครับ...แต่ก็ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น
    ซึ่งผมยังไม่รู้เลยว่า..หากไม่ได้ท่าน "ทักษิณ"

    ขึ้นมาเป็นนายกฯ...ชาตินี้ผมจะมีบ้านอยู่
    เป็นของตัวเองได้เมื่อไหร่หรือไม่นะครับ
    แล้วพวกคุณ...จะให้ผม "ลืมท่าน" ได้อย่างไร
    ผมยังรู้สึกเจ็บแค้นทุกครั้ง....เมื่อนึกถึงว่า

    บ้านเมือง คนไทย สังคมไทย ฯลฯ กำลัง
    ไปดีๆ...แล้วจู่ๆ..ก็มีพวกมารฯ...มาทำลาย
    ลงอย่างน่าเสียดาย..เมื่อมีการ "รัฐประหาร
    19 กันยา 2549".....เท่านี้ก่อนนะครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ตอนนี้เป็นยังไงมั่งคะ ชีวิต

      ลบ