เพลงฉ่อยชาววัง

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ


ทำไม ธนาธร จึงสมควร เป็นผู้นำประเทศในเวลานี้

1. มีจุดยืนในการแก้ไขและนำประเทศ กลับมาสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง และมีจุดยืนในการล้มล้าง ประเด็นและสิ่งที่เป็นปัญหาในอดีต

2. มีจุดยืนในระบอบ Social Democracy ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้ว ในหลายๆประเทศ ว่า สามารถ นำพาประเทศให้พ้นจาก การติดกับประเทศรายได้ปานกลาง (จริงๆแล้ว ..ยากจน)

3. เป็นนักลงทุน และ มีความสามารถ ในการ "บริหารธุรกิจอุตสาหกรรม" ในหลายๆประเทศ ที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ ในเรื่องพหุวัฒนธรรม นอกจากนี้ ยังเป็นนักลงทุน ที่ไม่ใช่นักธุรกิจ นายหน้า หรือตัวแทน หรือ นักการเงิน ที่มองผลประโยชน์ ระยะสั้น




4.มีความพร้อม ในเรื่องการเตรียมตัวเข้าสู่ การปฏิวัติ อุสาหกรรม ยุค ที่ 4.0 นั่นคือ การใช้เทคโนโลยี่สมัยใหม่ ซึ่งไม่ใช่ ในฐานะ "ผู้ซื้อมาใช้" แต่อยู่ในส่วนของการเป็นผู้ผลิต ในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งความเข้าใจอันนี้ จะสามารถ สร้างงานใหม่ สร้างรายได้ใหม่ ให้กับประเทศชาติ

5. ไม่มีจุดอ่อน ในแง่ที่ ธุรกิจที่ทำไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับธุรกิจสัมปทานของรัฐ ที่ทำให้ต้องติดหนี้บุญคุณ กับ ผู้มีอิทธิพล ในประเทศ





'อนาคตใหม่' จี้สอบเงินระดมทุน พปชร. 'ธนาธร' ชี้เผยโฉมหน้าหนุนเผด็จการ



21 ธ.ค.2561 จากกรณี พรรคพลังประชารัฐ ระดมทุนด้วยการจัดเลี้ยงโต๊ะจีนจำนวน 200 โต๊ะ มูลค่าโต๊ะละ 3 ล้านบาท และได้ยอดรวมทั้งสิ้น มูลค่ากว่า 650 ล้านบาท ทั้งนี้ภายในงานยังมีป้ายระบุว่าโต๊ะนี้เป็นของ คลัง ททท. กทม. รวมถึงผู้สนับสนุนอื่นๆ นั้น

พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ขอตั้งคำถามต่อพรรคพลังประชารัฐว่า หน่วยงานดังกล่าวที่ระบุ หมายถึง กระทรวงการคลัง  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐใช่หรือไม่  ประชาชนจะทราบได้อย่างไรว่า เงินที่นำมาซื้อโต๊ะจีน ไม่ใช่งบประมาณของหน่วยงานนั้น และนอกจากตัวแทนพรรคพลังประชารัฐและสมาชิกแล้ว ยังมีนักการเมืองที่มีชื่อเสียงจากพรรคอื่นๆ อาทิ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา, เทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา, องอาจ คล้ามไพบูลย์ ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์, เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตแกนนำ กปปส. และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์, นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา หมายความว่านักการเมืองเหล่านี้ ประกาศตัวจะสนับสนุนเผด็จการหรือไม่

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ตัวแทนจากพรรคการเมืองและหน่วยงานของรัฐ ที่มีชื่อเข้าร่วมงาน คุณไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลังของเผด็จการอีกต่อไป แต่พวกคุณคือเบื้องหน้าของฝ่ายสนับสนุนเผด็จการ โดยภายบรรยากาศภายในงานเสมือนการเจรจาก่อตั้งรัฐบาลมากกว่ากิจกรรมของพรรคการเมือง การระดมทุนในวันเดียวได้เงินถึง 650 ล้านบาท เป็นการเอาเปรียบพรรคอื่นๆ ที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่เปิดขายสินค้าของที่ระลึกราคาชิ้นละร้อยกว่าบาท คงต้องขายเป็นล้านๆ ชิ้น ถึงมีรายได้เท่ากับงานเลี้ยงโต๊ะจีนของพรรคพลังประชารัฐเพียงวันเดียว

"ส่วนกรณีที่พรรคพลังประชารัฐบอกว่า ต้องใช้เวลาตรวจสอบ เรื่องทั้งหมด 2-3 สัปดาห์ ตนเห็นว่าไม่ต้องใช้เวลามากขนาดนั้น แค่นำบัญชีรายชื่อผู้เข้าร่วมงาน มาเปิดเผย ก็ทราบแล้ว ว่ามีการบริจาคจากภาครัฐหรือไม่  ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ปปช. น่าจะตรวจสอบได้ไม่ยาก และใช้เวลาไม่นาน เพราะประเด็นหลักมีประเด็นเดียว คือที่มาที่ไปการเงิน ก็ไม่ซับซ้อน  ถ้าจริงใจในการให้ตรวจสอบจริง 2-3 ชั่วโมงก็ทำได้แล้ว" ธนาธร กล่าว





“สุทธิชัย หยุ่น” เปิดใจ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตัั้ง นรายการพิเศษ “ตอบโจทย์เลือกตั้ง 62” วันจันทร์ที่ 18 มี.ค. 62


ประวัติเล่าโดยธนาธร





*


เล่าโดยสื่ออื่น ๆ


======================================

ธนาธร ‘The White Knight’ มองการเมืองไทยปัจจุบันผ่าน ‘Batman: The Dark Knight’


ผ่านพ้นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ไปไม่กี่วัน ฝุ่นยังตลบอบอวล ตัวผู้เล่นในเกมการเมืองรอบนี้เริ่มชัดขึ้นว่าอำนาจอยู่ในมือใคร แต่ถ้ามองกว้างออกไปจากสนามการเมือง ปัญหาอื่นๆ ยังไม่ถูกจัดการให้เข้ารูปเข้ารอย เกิดคำถามต่อระบบยุติธรรมในหลายคดีดัง ข่าวการคอร์รัปชันแทบทุกวัน ปัญหาอาชญากรรมระดับรากหญ้าที่ถูกละเลยด้วยข่าวใหญ่ ผู้คนทางภาคเหนือกำลังเสี่ยงชีวิตด้วยมลภาวะอากาศเป็นพิษ ฯลฯ
นี่คือช่วงเวลาที่เรารอใครสักคนมาเป็นวีรบุรุษกอบกู้สถานการณ์ ‘อัศวินขี่ม้าขาว’ ตามตำนานที่เชื่อกันว่าจะปรากฏตัวเมื่อประเทศมีภัย หลายยุคหลายสมัยแล้วเช่นกันที่เราควานหาคนเหล่านี้ และหลายคนก็ล้มเหลวต่อบทพิสูจน์จุดยืนของเขา พ่ายแพ้ต่ออำนาจที่ยั่วยวน ละทิ้งอุดมการณ์ของตัวเอง กลายเป็นคนที่ตัวเองเคยเกลียด…
ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกคุ้นเคยกับสถานการณ์ข้างต้น ในเมื่อหนังซูเปอร์ฮีโร่จากฮอลลีวูดมักจะหยิบเอาประเด็นเหล่านี้มาเป็นแกนขับเคลื่อนหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งความผันผวนทางการเมือง จากยุค ประธานาธิบดีจอร์จ บุชบารัค โอบามา สู่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หนังซูเปอร์ฮีโร่กลับทำหน้าที่พาการเมืองเข้าสู่มหาชนวงกว้าง ไม่ใช่แค่เฉพาะในประเทศ แต่เป็นทั่วโลก
หากจุดเริ่มต้นสำคัญสำหรับผู้เขียนของหนังตระกูลนี้เห็นจะเริ่มจากหนังเรื่อง The Dark Knight (2008) ที่ขยายปริมณฑลของ ‘เมืองก็อตแธม’ (Gotham) ในหนังให้กลายเป็นเมืองหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง อย่างมีนัยยะทางการเมืองร่วมสมัยสำคัญ

Gotham

ผู้เขียนติดตามหนัง Batman มาหลายภาค สิ่งที่น่าสนใจในไตรภาคของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) คือการเลือกขยายเมืองก็อตแธมให้เชื่อมต่อกับโลก จากเดิมเมืองนี้เป็นเพียงเมืองสมมุติในหนังฉบับอื่นๆ อาชญากรรมต่างๆ เกิดขึ้นและจบลงในเมืองนี้เท่านั้น แต่การที่เมืองสมมุติเชื่อมต่อกับ ‘โลก’ ตั้งแต่ภาค BatmanBegins (2005) จนถึง The Dark Knight (2008) ทำให้ขอบเขตอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในหนังขยายวงกว้างกลายเป็นอาชญากรรมข้ามชาติด้วยเช่นกัน
เราจึงได้เห็นแบทแมนเดินทางท่องไปทั่วโลก จากทิเบตใน Batman Begins สู่ฮ่องกงใน The Dark Knight ทั้งในฐานะอัศวินรัตติกาล และในฐานะมหาเศรษฐีหนุ่ม บรูซ เวย์น (Bruce Wayne) ที่ในฉบับหนังไตรภาคชุดนี้ได้ลงรายละเอียดทางธุรกิจว่า เกี่ยวข้องทั้งธุรกิจทางการทหารและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ อันทำให้นายบรูซในฉบับนี้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีทางทหารระดับลับสุดยอดได้ เพื่อนำมาใช้สร้างตัวตนใหม่ภายใต้หน้ากาก ‘แบทแมน’
แต่หัวใจหลักยังคงเป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในเมืองก็อตแธม การคอร์รัปชัน ฉ้อราษฎร์ คนดีอยู่ไม่ได้ คนร้ายเกลื่อนเมือง มาเฟียมีอิทธิพลเหนือกฎหมาย ฯลฯ ทำให้การจัดการปัญหานอกระบบตามวิถีแบทแมนกลายเป็นประเด็นสำคัญในไตรภาคนี้ หนังไม่ได้เลือกชำระการกระทำของแบทแมนให้เป็น ‘ความยุติธรรม’ อย่างที่หนังฮีโร่เรื่องอื่นๆ เลือก แต่กลับทำให้คนดูเห็นผลสืบเนื่องจากการกระทำของแบทแมนเสมอ ทุกครั้งที่เขาจัดการวายร้ายด้วยวิธีนอกกฎหมาย มักเกิดวายร้ายหน้าใหม่ขึ้นมาท้าทายเขา ท้าทายขอบเขตการใช้อำนาจนอกกฎหมายที่เขากระทำ และผลักให้สถานะของเขาห่างไกลจากการเป็นผู้พิทักษ์กฎหมายมากขึ้นไปอีก
สิ่งที่ผู้เขียนชอบอีกประการคือการวางระบบกลไกทางกฎหมายเอาไว้ในเมืองก็อตแธม โดยจำลองระบบกฎหมายจริงๆ ตั้งแต่ตำรวจชั้นผู้น้อย สารวัตร ไปจนถึงอัยการและศาล ซึ่งล้วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในเมืองด้วย คนในระบบฉ้อราษฎ์ ฝักใฝ่ในอำนาจและเงินมากกว่าความยุติธรรม สุดท้ายระบบที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความยุติธรรม ก็กลายเป็นระบบที่เอื้อให้ก่อความอยุติธรรมและอำนวยอาชญากรรมแทน
เราเห็นความดิ้นรนของตำรวจน้ำดีอย่าง จิม กอร์ดอน (Jim Gordon) ที่ต้องทำงานภายใต้ข้อบังคับและอำนาจนอกระบบแทรกแซงตลอดเวลา เราเห็นเขาต้องกล้ำกลืนอิงแอบอำนาจนอกระบบจากแบทแมน เมื่อเห็นว่าวิธีทางในที่สว่าง ในระบบที่เขาเชื่อมันเป็นไปไม่ได้
สมญานามว่า Dark Knight ‘อัศวินรัตติกาล’ ไม่ได้หมายถึงแค่การปรากฏตัวกำจัดอาชญากรในยามวิกาลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงเส้นทางที่เขา – ในความหมายของ บรูซ เวย์น เลือกเดิน ก็คือการเดินบนทางสายมืด นอกระบบ นอกกฎหมาย
ทว่าคุณจะสู้กับความชั่วด้วยความชั่ว สู้กับอำนาจนอกกฎหมายด้วยการทำตัวนอกกฎหมายได้จริงหรือ? นี่คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ในสังคมไทยตั้งคำถามมาตลอด การต่อสู้ทางการเมืองทำไมต้องลงไปสู้บนท้องถนน จุดหมายปลายทางการต่อสู้นี้จะไปจบที่ไหน ทำไมไม่ใช่ในรัฐสภา?

The Dark Knight

ใน The Dark Knight ปัญหาศูนย์กลางของเรื่องจึงเกิดจากการที่แบทแมนสามารถ ‘กด’ อำนาจนอกกฎหมายให้หวาดกลัวกลางคืน และต้องจัดประชุมหาทางออกกันกลางวันแสกๆ (ซึ่งผิดธรรมชาติ ‘คนชั่ว’ พวกนี้มากๆ) ขณะเดียวกันก็มีความหวังใหม่เกิดขึ้นอย่าง อัยการหนุ่ม ฮาร์วีย์ เดนท์ (Harvey Dent) ผู้ที่ได้สมญาว่าเป็น ‘White Knight’ เป็นมือปราบมือสะอาด ที่ขจัดอาชญากรและการคอร์รัปชันภายในระบบราชการ ผ่านกระบวนการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด
White Knight เปรียบเหมือน ‘อัศวินขี่ม้าขาว’ สำหรับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่แค่อาชญากรที่หวาดกลัวแบทแมน แต่คนในระบบกฎหมายเองก็หวาดกลัว เพราะนั่นหมายความว่าถ้าแบทแมนได้รับความชอบธรรมกระทำสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ กฎหมายก็คงไร้ความศักดิ์สิทธิ์ และอยู่ในสถานะที่ต้องถามตัวเองแล้วว่าจะมีกฎหมายไปเพื่ออะไร? ฮาร์วีย์ เดนท์ยังกลายเป็นความหวังของ บรูซ เวย์น ด้วย เพราะรู้ดีว่าตัวเขาไม่สามารถจะใช้ชีวิตบนความเสี่ยงนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง และถ้าการจัดการปัญหา ‘ตามกฎหมาย’ ของเดนท์ล้างเมืองให้สะอาดได้อีกครั้งจริง ก็ไม่จำเป็นต้องมีแบทแมนหรือ Dark Knight ยามรัตติกาลอีกต่อไป
มาถึงตรงนี้ หนังยืนอยู่บนการปะทะกันของขั้วความคิดสองขั้วในการจัดการปัญหา คือการจัดการปัญหาตามระบบ และการจัดการนอกระบบ อย่างแรกอาจจะช้าและมีขั้นตอนมากมายเหลือเกิน หนังจึงเผยให้เราเห็นว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ ฮาร์วีย์ เดนท์ ไม่ใช่ตัวเขาคนเดียว แต่เป็นคนในระบบที่ยังหลงเหลือศรัทธาตามกฎหมายอยู่ ทั้งอธิบดีกรมตำรวจ ผู้พิพากษา เมื่อคนในกฎหมายยังเคารพกฎหมายและยึดมั่นในหลักการ บทบาทของแบทแมนในหนังภาคนี้จึงถูกตั้งคำถามหนักกว่าเดิมว่ายังจำเป็นอยู่หรือเปล่า? ‘ทางลัด’ ที่แบทแมนนำเสนอนั้นมั่นคงและแน่นอน เป็นทางเลือกที่ ‘ใช่’ สำหรับก๊อตแธมหรือแค่ยาแรงระงับอาการชั่วคราวเพื่อรอกำเริบใหม่?
คำตอบข้างต้นมาพร้อมตัวละคร โจ๊กเกอร์ อาชญากรปริศนาที่ไม่ยึดอยู่ในกฎกรอบเกณฑ์ใดๆ สิ่งที่มันสนใจคือการทำลายกระบวนการยุติธรรมในก็อตแธมทั้งระบบ เด็ดหัวผู้พิพากษา สั่งฆ่าอธิบดีกรมตำรวจ ซื้อตำรวจจนบ่อนทำลายความเชื่อมั่นที่ประชาชน (และคนดู) มี
ที่เฉียบคมและร้ายกาจสุดของหนัง คือการทำให้คนดูรักและเอาใจช่วย ฮาร์วีย์ เดนท์ ได้ในระดับเดียวกับแบทแมน ก่อนจะทำลายเขาลงอย่างย่อยยับ! เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้แต่ ‘คนดีที่สุด’ ของก็อตแธมอย่างเดนท์ ก็ยังกลายเป็นวายร้ายได้ ร้ายที่สุดคือการท้าทายเส้นที่แบทแมนขีดไว้ว่าเขาจะไม่ ‘ฆ่า’ ผู้ร้าย แต่การ ‘ไม่ฆ่า’ นี่เองกลับส่งผลร้ายเหลือเชื่อ
ก็อตแธมสิ้นศรัทธาในความดี คนดูสิ้นศรัทธาในคนดีเหมือนกัน?
เราพบว่าบทสรุปของหนังไม่ได้อยู่ที่แบทแมนจับโจ๊กเกอร์ได้หรือเปล่า การจับเขาได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญอีกต่อไป แต่เป็นการแสดงผลกระทำตัวนอกกฎหมายของแบทแมนต่างหาก ทำลายทั้งระบบกฎหมาย ทำลายทั้งความเชื่อมั่นในความดี แม้แต่คนดียังถูกทำลาย เมืองที่เขาเคยกอบกู้ในภาค Batmen Begins ถูกทำลายลง และยังทดสอบหลักการสำคัญที่ตัวเขาเองยึดถือมาตลอด คือการ ‘ไม่ฆ่า’ แม้มันอาจจะยุติทุกอย่างได้
ผมชอบการถกเถียงแบบนี้ในหนัง การตัดสินใจที่ล้ำเส้นสามารถยุติปัญหาทุกอย่างได้ และเป็นเส้นที่มีแต่คุณคนเดียวที่รู้เห็น เป็นคนขีดเส้นเอาไว้ด้วยตัวเอง ผิดถูกแล้วไง ใครแคร์?
แล้วทำไมแบทแมนไม่ทำ?

White Knight

ตอนนี้การเมืองไทยเดินมาถึงจุดคล้ายๆ กันกับในหนังแล้ว
จุดที่ต้องเลือกระหว่างหลักการและหลักกู ผู้คนเรียกว่า White Knight มาพร้อมทางออก
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กลายเป็น White Knight ในสายตา New Voters ที่มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกร่วม 7 ล้านเสียง
บทบาทของธนาธรในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ประกาศชัดถึงหลักการเข้มๆ ที่พูดทุกเวที ไม่เอาเผด็จการ ไม่จับมือพรรคพลังประชารัฐ ไม่สนับสนุน ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
การประกาศจุดยืนเช่นนี้ทำให้ตัวเขาเองก็ต้องเผชิญบท ‘ทดสอบ’ ที่หนักข้อถึงขั้นการสาดโคลนและกลั่นแกล้งทางการเมืองนับไม่ถ้วนตลอดระยะเวลาร่วมเดือนจนถึงวันเลือกตั้ง เพื่อพยายาม ‘สร้างใบหน้าที่สอง’ ให้แก่ธนาธร
White Knight ในหนังนั้นถูกทดสอบโดยการตัดแข้งขาทางกฎหมาย คนสำคัญๆ ที่คอยช่วยเหลือเขาถูกกำจัด ระบบตรวจสอบต่างๆ พินาศ ชีวิตเขาตกอยู่ในสภาพปางตาย ทำให้ชายผู้ศรัทธาล้นเหลือในหลักยุติธรรมสวิงกลับมาสู่ด้านมืดเต็มตัว กลายเป็นวายร้ายที่มีสมญา Two Faces หมายถึงคนที่มีสองใบหน้า ดีและชั่วสุดขีดในตัวเดียวกัน เหมือนตาชั่งยุติธรรมที่พร้อมสวิงไปสู่ความอยุติธรรมได้
ถึงตอนนี้ กระบวนการสร้าง ‘ใบหน้าที่สอง’ ให้แก่ธนาธรล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยผลการเลือกตั้ง (อย่างเป็นทางการ แต่ไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์) ออกมาแล้วว่าพรรคอนาคตใหม่ทำได้เกินคาด กวาดคะแนนเสียง สส.เขตและบัญชีรายชื่อราว 80 คน เป็นพรรคที่ได้ สส. สูงสุดเป็นลำดับ 3 ได้คะแนนโหวตสูงกว่า 5 ล้านเสียง ทั้งที่เพิ่งลงสนามการเมืองครั้งแรก
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมก็คือ บททดสอบนี้ไม่ใช่แค่กับตัวเขาเอง แต่ยังรวมถึงคนที่ศรัทธาเขาด้วย คนรุ่นใหม่ถูกคนรุ่นเก่าหยามเหยียด-สั่งสอนให้นึกถึง ‘อนาคต’ ของประเทศโดยยึดจากอดีตที่พวกเขาเชื่อมั่น อย่าไปเลือกตามกระแส อย่าไปเลือกตามอุดมการณ์ที่ทำไม่ได้จริง…แต่คนรุ่นใหม่เลือกอนาคตของเขาเอง
ปรากฏการณ์ #พ่อของฟ้า #อนาคตใหม่ อาจเป็นปาฏิหาริย์สำหรับคนรุ่นเก่า แต่มันเป็นความเชื่อมั่นแท้จริงของคนรุ่นใหม่ คนรุ่นนี้เติบโตมากับการตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบ พรรคที่ตอบข้อสงสัยประชาชนได้จริง คนที่ตอบเขาได้ด้วยความรู้และหลักการที่สามารถอธิบายด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์และความรู้สึก
‘หลักการ’ ของธนาธร และ ฮาร์วีย์ เดนท์ ดูเริ่มต้นคล้ายกัน แต่จบลงต่างกัน
อย่างน้อยๆ ก็วันนี้ ที่เขาไม่ทำลายหลักการตัวเองด้วยการตอบรับการเป็น ‘นายกรัฐมนตรี’ และยึดหลักการที่จะให้พรรคที่ได้จำนวน สส. มากที่สุดในสภา เป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลและมีสิทธิเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีตาม ‘หลักการ’ ที่เขาย้ำเสมอ

Finale

อรุณรุ่งของรัตติกาลในการเมืองไทยยังมาไม่ถึง ยังอีกนาน การต่อสู้ยังอีกยาวไกล

สาเหตุที่คนชอบธนาธรและเลือกพรรคอนาคตใหม่จนถึงก้าวไกลเพราะธนาธรเป็นของแท้ต่อสู้กับเผด็จการก่อนมาเล่นการเมืองด้วยซ้ำ


แต่ ‘หลักการ’ ของธนาธรเป็นแสงสว่างเล็กๆ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นบทพิสูจน์หนึ่งว่าอย่างน้อย ‘หลักการ’ ที่เขายึดมั่น ก็ทำงานกับคนรุ่นใหม่ เป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาวได้ เพราะเขาถือเป้าหมายสูงสุดเดียวกันกับคนหนุ่มสาวยุคนี้
นั่นคือการช่วงชิงยุคสมัยกลับคืนมาสู่มือคนหนุ่มสาวอีกครั้ง

      
     
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ - แถลงจัดตั้งรัฐบาลเอง ลั่นจะเป็นนายกรัฐมนตรี สกัดสืบทอดอำนาจ
พวกสนับสนุน พปชร.โจมตี และอ้างว่า

ธนาธรพูดเปลี่ยนกลับไปกลับมา ตอนแรกบอกไม่ขอเป็นนายก พอตอนนี้ กกต.ยื่นคดีหุ้นสื่อให้ศาลตัดสิน ดันกลับประกาศตัวเป็นนายก 
ผิดหวังกะพวกคนแก่ๆในประเทศนี้เหมือนกันที่คิดได้แค่นี้ ทั้งๆที่ตอนแรกที่คุณธนาธรประกาศก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องให้เกียรติพรรคที่ได้ สส.มากเป็นอันดับ1 ในการจัดตั้งรัฐบาล และเลือกนายก

แต่พอระยะเวลาผ่านไป ผลการเลือกตั้งยืดเยื้อจาก กกต. เล่นเกมที่ผิดกติกา ใช้สูตรผิดรัฐธรรมนูญจัดที่นั่งขอทานให้พรรคเล็กได้ที่นั่งพรรคละ1 ที่นั่ง เพื่อจะได้รวมกันมาสนับสนุนเลือกประยุทธ์ ซึ่ง พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ สส.บัญชีรายชื่อสักคน เพราะ สส.พึงมีครบตามจำนวนแล้ว ทีนี้พรรคเพื่อไทยก็ประกาศว่าใครที่พร้อมจะมาเป็นนายกก็ได้เค้ายินดี แต่ต้องเป็นคนที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจของ คสช. ก็ถูกต้องแล้วที่พรรคอนาคตใหม่จะทำตามคำสัญญาและจุดยืนที่ให้ไว้กับประชาชน ว่าจะหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. ไหนจะเอา สว.250 คน ที่เป็นพวกพ้องของตน มามีสิทธิ์มีเสียงในสภาอีก

แต่สาวกประยุทธ์ไม่เข้าใจสิ่งนี้
เพราะ "โง่" และ "ดักดานทางความคิด" 
"เชื่อในความรู้สึกของตนเอง ที่โดนกล่อมประสาทมา โดยไม่เชื่อในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย" ไม่เชื่อในหลักฐานต่างๆมากมายมหาศาลที่พบการทุจริต การไม่เป็นธรรม การเล่นนอกเกม เชื่อแต่หลักฐานปลอมที่ทำขึ้น เชื่อแต่นักข่าวปลอมๆที่อยู่ฝั่งเผด็จการ และเชื่อแต่ญาติพี่น้องของตนเองที่กล่อมประสาทกัน โดยที่ไม่หาข้อมูลว่าสิ่งที่โดนกล่อมมา มันจริงหรือไม่ ใครเป็นอย่างไรไม่ศึกษาด้วยตนเอง

คนพวกนี้แหละที่ดื้อรั้น ไม่ฟังไม่รับรู้สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งจะทำให้บ้านเมืองไปข้างหน้าในระยะยาว มองแต่อยู่ปัจจุบันไปวันๆ แบบที่คิดไปเองว่ามันสงบ ไม่เคยคิดถึงลูกหลานว่าจะต้องทนกับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม แบ่งชนชั้น แบ่งยศ และไม่พบกับหนทางแห่งแสงสว่าง พึ่งได้อย่างเดียวตอนนี้คือ พึ่งวัด ที่คอยภาวนาให้คนชั่วๆ หลุดพ้นจากอำนาจลง เพื่อให้คนรุ่นใหม่ ทำสิ่งที่ถูกต้องนำพาประเทศไทยให้ก้าวหน้า นำประเทศไทยไปสู่สิ่งใหม่ ที่เป็นสิ่งเก่าที่ชาติอื่นเค้าทำกันปกติ แต่ชาติไทยไม่ปกติ เลยต้องภาวนาให้เกิด "อนาคตใหม่" ของชาติไทยเสียทีค่ะ


=====================

หลังการถูกให้หยุดปฎิบัติงานในตำแหน่งสส. เพราะถูกฟ้องในคดี ถือหุ้นสื่อ เลยกลายเป็น สส.ที่ไม่มีโอกาสนั่งในสภา ทั้ง ๆ ที่ได้เป็นแคนดิเดทนายกของฝ่าย ประชาธิปไตย


อนาคตใหม่แตก?
พรรคอนาคตใหม่ "ฟีเวอร์" ขึ้นมาตอนไหน
"ฟ้ารักพ่อ" ในงานบอลประเพณี ดูเหมือนใช่
แต่ก่อนหน้านั้น วันที่โดดเด่นสุดๆ ของอนาคตใหม่ คือวันที่ 8 ก.พ. ที่ออกมาแถลงจุดยืน ไม่เอาด้วยกับ ทษช. ยึดมั่นประชาธิปไตย ไม่เอาวิธีแบบทักษิณ
ข่าวดรามาทั้งหลายเกี่ยวกับการทะเลาะกันภายใน การจัดตัวผู้สมัคร หายไปเลย
บางคนอาจเถียงว่าเพราะนโยบาย เพราะความคิดใหม่ๆ ก็มีส่วนเหมือนกัน แต่นั่นยังเป็นรอง อนาคตใหม่ได้ใจคนเพราะยึดหลักการ ไม่ใช่คนเชื่อมั่นว่าธนาธรเป็นนายกฯแล้วจะมีฝีมือบริหารอะไรหรอก แต่เชื่อว่าจะแน่วแน่ในหลักประชาธิปไตย ซึ่งเป็นข้อสำคัญ ในการต่อสู้กับรัฐประหารสืบทอดอำนาจ
ฉะนั้นการที่อนาคตใหม่โหวตค้าน พรก.จึงเป็นเรื่องสำคัญ พิสูจน์จุดยืนของพรรค บางคนอาจคิดว่าโหวตไปก็ตาย ยิ่งเป็นเป้า กลัวโดนยุบ ฯลฯ แต่ถ้าไม่โหวตอย่างนี้ ขืนยกมือรับ อนาคตใหม่ก็ตายทันที ไร้ราคา คุณเดินมาอย่างนี้ จึงได้ 81 ส.ส. จึงต้องยืนหยัดหลักการ
ฉะนั้นที่ ส.ส.แตกแถวออกมาให้ข่าว "แรง ไม่ประนีประนอม ชนไม่บันยะบันยัง" จึงเท่ากับไม่สำนึกว่า ตัวเองได้เป็น ส.ส.มาเพราะอะไร
ได้ ส.ส.มาแล้ว ถอยบ้างดีกว่า หันไปแก้ปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่ ฯลฯ ถุยแน่ะ เดินในวิถีนั้นก็มีแต่ตายกับตายเพราะคุณไม่มีทางสู้พรรคอื่นได้
ฉะนั้นถ้าถามว่าในเรื่องหลักการทำนองนี้ ธนาธร ปิยบุตร "เผด็จการ" บังคับ ส.ส.ไหม มันก็ต้องบังคับสิครับ เพราะเขานำพรรคชนะมาในแนวทางนี้ ก็ต้องยืนยันให้เดินต่อไป (แต่แน่ละที่ว่าบังคับคือต้องคุม ส.ส.ส่วนใหญ่ได้ แล้วบี้ส่วนที่เหลือ เพราะถ้ากุมเสียงข้างมากไม่ได้ก็กลายเป็นฝ่ายแพ้)
เขาเป็นคนทำให้พรรคชนะ ทำให้ ส.ส.เขตชนะ ทำให้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้เป็นถึง 50 คน ทั้งที่ส่วนใหญ่ก็โนเนมทั้งนั้น มันไม่ใช่ ส.ส.หาเสียงด้วยตัวเอง ต่อให้ขยัน เดินเคาะประตูบ้าน ดังนั้นอำนาจต่อรองของธนาธรปิยบุตรจึงต้องสูงมาก นี่เรื่องธรรมดา แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล แบบธนาธรสั่งซ้ายหันขวาหันตามอำเภอใจ มันเป็นเรื่องหลักการ
ในเรื่องการบริหารพรรค การจัดสรรคน ก็คล้ายกัน เมื่อพรรคมีเครดิตว่าเขาทำสำเร็จมาแล้ว เขาก็ต้องเสียงดังกว่า คือไม่ว่าพรรคไหนแหละ ระบบพรรคก็ต้องเคารพมติ ให้ผู้บริหารตัดสินใจ แต่พรรคอนาคตใหม่มันยิ่งกว่า เพราะนำมาจนชนะ พาคุณเป็น ส.ส.อย่างเซอร์ไพรส์ ไม่คาดคิด
ดังนั้นที่ ส.ส.โวยว่า ไม่ยอมกันบ้าง ขอเป็นกรรมาธิการก็ไม่ให้ มันจึงผิดหลัก ขัดระบบพรรคอยู่แล้ว แม้ในอีกทางหนึ่ง ก็ต้องเตือนผู้บริหารพรรคว่า ควรมีศิลปะในการจัดการ การรับฟัง หว่านล้อม ถนอมน้ำใจ อย่าใช้ท่าทีแข็งเกินไป แต่โดยระบบ ส.ส.ลูกพรรคก็ต้องยอมรับการตัดสินชี้ขาด
คือว่ากันตรงๆ แกนนำพรรคอนาคตใหม่มักถูกมองว่าแข็งเกิน แต่ต้องแยกเป็นเรื่องๆ
1.หลักการ ต้องแข็งครับ หย่อนไม่ได้
2.ท่าทีในการจัดการปัญหาภายใน ต้องอ่อนนอกแข็งใน คือหลักเป็นหลัก แต่บางเรื่องพออะลุ่มอล่วยก็ควรยอมได้ เรื่องการคัดผู้สมัครก็เหมือนกัน มันมีจุดอ่อนทุกอย่างแหละ อย่าเคร่งในวิธีการแบบต้องดีเบตทุกครั้ง แล้วคนแพ้ก็ด่าพรรคทุกครั้ง คือแกนนำพรรคต้องมีอำนาจตัดสินใจ ปล่อยให้โหวตกันเองก็ไม่ใช่ ฉะนั้นใช้วิธีคุยปรับความเข้าใจกันไปเลยยังดีเสียกว่า (ผมก็เห็นด้วยกับวิธีคิดของอนาคตใหม่นะ คือสังเกตว่าเขาเลือกคนหน้าใหม่ ไม่เอาคนเก่า อดีตนักการเมือง ทีมีฐานคะแนนระบบเก่า มีคอนเนคชั่น เพราะกลัวยุ่งเหยิงภายหลัง เลือกคนใหม่ๆ สดๆ ไปเลย แพ้ไม่เป็นไร แพ้ก็ยังได้ฐานพรรค)

ถามว่ากลัวไหมอนาคตใหม่แตก ผมว่าแตกอยู่ดีแหละ แต่น่าจะรักษาเสียงส่วนใหญ่ได้ การที่สามารถคุม ส.ส.โหวตไม่รับ พรก.ถึง 70 จาก 79 คนนี่ โคตรเก่งเลย 70 ส.ส.ก็ต้องหัวใจเสือพอดู นี่ไม่ใช่เรื่องที่บังคับกันได้ ถ้าใจไม่แน่พอ ดังนั้นเสียงส่วนใหญ่ก็จะยังอยู่ไม่ว่าโดนยุบพรรคหรืออะไร (ถึงได้มีไอเดียจัญไรแบบไปถามวิษณุยุบพรรคแล้ว ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไปหมดไหม)
ที่สำคัญมันจะเป็นการวัดใจกันด้วยว่า ประชาชนสนับสนุนอนาคตใหม่อยู้ไหม สนับสนุนเพราะอะไร เพราะเป็นอนาคตใหม่ที่ "ไม่ประนีประนอม" แบบนี้ใช่หรือเปล่า

ปัดโธ่ กองเชียร์อนาคตใหม่ "ไม่ประนีประนอม" เผลอๆ จะมากกว่า 6.3 ล้านด้วยซ้ำ

================
ยุบพรรค 21   กุมภาพันธ์ 2563


--------------------
คติจีน ขงเบ้งกล่าวไว้ว่า แก้แค้น สิบปีก็ยังไม่สาย พวกคุณมาตรงเกินไป เปิดเผยเกินไป โฉ่งฉ่างเกินไป ก็เลยถูกกำจัดไป ได้อย่างง่ายดาย ถอยหลังกลับไปตั้งหลักใหม่ มาแบบเนียนๆๆๆ ริดกิ่งก้าน+สาขามัน ทีละกิ่ง ทีละก้าน อย่าให้มันรู้ตัว พอถึงตัวมัน ฟันฉับเลย อย่างให้มันตั้งตัวได้ นั่นแหละถึงจะชนะมันได้ อย่าป่าวประกาศให้มัน ได้มีเวลาวางแผน+ระดม พวกชั่วช้า สามาน มาตั่งกำแพงสู้เราได้ ทำลายล้างมันให้สิ้นซาก อย่าให้มันทันรู้ตัว ชัยชนะจะเป็นของพวกคุณ มันมาทางมืด เรามาทางสว่าง ยังไงก็แพ้มัน เราต้องวางแผน ล้อมกรอบ โอบล้อม ตีมันทุกๆด้าน พร้อมๆกัน ชัยชนะก็จะเป็นของพวกเรา กลับไปวางแผนกันใหม่ เอาให้รอบคอบ สิบปี ไม่สายๆๆๆๆๆๆ
--------------------

ตค.2020

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกแถลงการณ์กรณีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร ตามด้วยการเข้าสลายการชุมนุมของคณะราษฎร 2563 ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล


ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แสดงวิสัยทัศน์
พร้อมเปิดตัวทีม อบต.

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แสดงวิสัยทัศน์
พร้อมเปิดตัวทีม อบต.
ในนาม “คณะก้าวหน้า”



ธนาธรไม่เคยเปลี่ยนแปลง จึงสมควรเป็นผู้นำอย่างแท้จริง



Part 1 ' ปิยบุตร ' กับ ' จุดเริ่มต้น ' THE BEGINNING OF PIYABUTR



(Part 2) ปรัชญาและอุดมคติของ 'ปิยบุตร' | THE PHILOSPHY OF PIYABUTR | ป๋าเต็ดทอล์ก


Part 3 เปลือย ป๊อก ปิยบุตร THE REFLECTION OF PIYABUTR



"ปิยบุตร" ประกาศปรากฎการณ์ไฟลามทุ่ง
ลั่นไม่ใช่จุดจบ เป็นจุดเริ่มต้น : Matichon TV


1 ความคิดเห็น:


  1. ขอบคุณเพื่อน ๆ พ่อแม่พี่น้อง ที่ตามเข้ามาอ่านนะคะ นี่คือห้องสมุดของป้าเอง อ่านเองก็ไม่ครบ อ่านไป อ่านมา วนหลายรอบ จนจะครบ10ปีแล้ว
    💞💞Enjoy your reading, ok??💞💞

    ตอบลบ