เพลงฉ่อยชาววัง

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563

#สถาบันกษัตริย์กับการเมืองในปัจจุบัน

ขออนุญาต อ.ปวินนะครับ

ซีรี่ส์ "สถาบันกษัตริย์กับการเมืองในปัจจุบัน" ที่อ.ปวิน เขียนมาตั้งแต่สมาชิก 5 แสนปลายๆ จนตอนนี้ จะแตะล้านแล้ว กลัวสภาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้าจะเสียเวลารูดหากันนาน เอามารวมกันไว้ในโพสท์นี้แล้วครับ ถ้ามีตอนใหม่จะม่อัพเดทเรื่อยๆครับ

ตอนที่ 1
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/234034327925011/

ตอนที่ 2
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/234182837910160/

ตอนที่ 3
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/234801461181631/

ตอนที่ 4
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/234817577846686/

ตอนที่ 5
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/235019411159836/

ตอนที่6
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/235475144447596/

ตอนที่ 7
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/235500381111739/

ตอนที่8
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/236140407714403/

ตอนที่ 9
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/236157057712738/

ตอนที่ 10
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/236169547711489/

ตอนที่11
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/236897450972032/

ตอนที่ 12
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/236922924302818/

ตอนที่13
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/236942664300844/

ตอนที่ 14
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/237798837548560/

ตอนที่ 15
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/238230527505391/

ตอนที่16
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/238883100773467/

ตอนที่ 17
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/239560227372421/

ตอนที่ 18
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/240315790630198/

ตอนที่ 19
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/240991290562648/

ตอนที่ 20
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/241709393824171/

ตอนที่ 21
https://www.facebook.com/groups/160302545298190/permalink/242490810412696/

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ภาพระยะใกล้


ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า กษัตริย์ภูมิพลนับเป็นกษัตริย์ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดากษัตริย์จากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในบริบทการเมืองไทย กษัตริย์ภูมิพลมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำความเจริญ ทันสมัย ศิวิไลซ์มาสู่สยาม หรือตามที่นักประวัติศาสตร์อนุรักษนิยมได้กล่าวว่า มีส่วนทำให้สยามสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ในยุคอาณานิคม

กษัตริย์ภูมิพลก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แบบ “อุบัติเหตุ” เมื่อปี 2489ในยุคที่สถาบันกษัตริย์ตกต่ำอย่างมาก กษัตริย์ภูมิพลสามารถปรับสถานะของสถาบันกษัตริย์จากที่อยู่ในสภาพเกือบจะ “สูญพันธุ์” พลิกไปสู่การเป็นสถาบันที่มีความสำคัญต่อการเมืองไทยมากที่สุดในยุคสมัยใหม่ โดยผ่านการสร้างบารมีส่วนตัว ไหวพริบ และการใช้เครือข่ายในการคงสถานะสำคัญทางการเมืองไว้ จนอาจกล่าวได้ว่า สถาบันกษัตริย์ในยุคนี้สามารถครอบงำระบอบและผู้นำทางการเมืองไว้ได้อย่างทรงพลังและมีประสิทธิภาพ

แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ต้องการปรับโครงสร้างและภูมิทัศน์ทางการเมืองใหม่ ทำให้นำไปสู่การท้าทายเครือข่ายพระมหากษัตริย์[1] ที่ดำรงอยู่มาหลายทศวรรษก่อนหน้านี้ โดยทักษิณใช้ประโยชน์จากผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทยในชนบทผ่านนโยบายประชานิยมที่ประสบความสำเร็จและระบบการเลือกตั้ง เปลี่ยนความภักดีที่ประชาชนมีต่อสถาบันกษัตริย์ไปสู่ความภักดีต่อระบบการเมืองที่ตั้งอยู่บนสิทธิการเลือกผู้แทนฯ ทักษิณได้อาศัยระบบอุปถัมภ์สร้างเครือข่ายอำนาจของตัวเองเฉกเช่นเดียวกับเครือข่ายสถาบันกษัตริย์ เมื่อความนิยมในตัวทักษิณสูงมากขึ้น และไทยรักไทยได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งติดต่อกันถึงสองครั้ง ทักษิณกลายเป็นผู้นำจากการเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จสูงสุดนับตั้งแต่ไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ทำให้สถาบันกษัตริย์เริ่มรู้สึกหวาดหวั่น (insecure) ต่อเกมการเมืองแบบใหม่ที่อาณัติของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีความสำคัญอย่างยิ่ง สถานการณ์ของความหวาดหวั่นเช่นนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การก่อรัฐประหารในปี 2549 ซึ่งสาธารณชนไทยเชื่อว่า มีบุคคลสำคัญในเครือข่ายพระมหากษัตริย์เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

หลังจากรัฐประหาร การเมืองไร้เสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง เกิดการต่อสู้ทางการเมืองที่รุนแรงระหว่างฝ่ายสนับสนุนเครือข่ายพระมหากษัตริย์กับกลุ่มที่สนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตย (ในกลุ่มหลังมีกลุ่มที่ยังคงให้การสนับสนุนต่อทักษิณประกอบอยู่ด้วย) กลุ่มเคลื่อนไหวเสื้อเหลืองไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนันจากชนชั้นนำชาวกรุงเทพฯ แต่พวกเขาได้แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของตนยังได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกบางคนของราชวงศ์จักรี [2] ทว่าในความเป็นจริง คนเสื้อแดงและฝ่ายทักษิณยังคงสามารถควบคุมการเมืองที่ตั้งอยู่บนความสำคัญของการเลือกตั้ง และนี่คือเหตุผลที่อธิบายว่า ทำไมยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (น้องสาวทักษิณ) และพรรคพวก ยังคงได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเหนือพรรคการเมืองที่สนับสนุนอุดมการณ์กษัตริย์นิยมในการเลือกตั้งเมื่อปี 2554

[1] “เครือข่ายพระมหากษัตริย์” (network monarchy) ในที่นี้มีความหมายกว้างกว่าองค์พระมหากษัตริย์ ดู Duncan McCargo, “Network Monarchy and Legitimacy Crises in Thailand,” The Pacific Review Vol. 18,No. 4 (December 2005): 499–519.
[2] ระหว่างการชุมนุมก่อนหน้าการรัฐประหาร 19 กันยาไม่นาน แกนนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ใส่ “ผ้าพันคอสีฟ้า” ที่มีข้อความ “902…74…12 สิงหาคม 2549...แม่ของแผ่นดิน” ซึ่งภายหลังคำนูญ สิทธิสมานได้บันทึกเล่าว่า “ท่านผู้ปรารถนาดี” คนหนึ่งมอบให้ นอกจากนี้ยังมี “สุภาพสตรีสูงศักดิ์” และ “ผู้ใหญ่ที่ท่าน [สุภาพสตรีสูงศักดิ์] เคารพ” มอบเงินจำนวน 2.5 แสนบาทให้แก่พันธมิตรฯ ด้วย ต่อมาในเดือน ส.ค. 2550 สนธิ ลิ้มทองกุลได้กล่าวที่สหรัฐฯ ว่า เขาเคยได้รับ “ของขวัญชิ้นหนึ่งมาจากราชสำนัก ผ่านมาทางท่านผู้หญิงบุษบา ซึ่งเป็นน้องสาวพระราชินี” และได้กล่าวบนเวทีชุมนุมขับไล่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนของพันธมิตรฯ ในเดือน มิ.ย. 2551 ว่า “ผ้าพันคอ [สีฟ้า] นี้ ข้าราชบริพารในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้เอามาให้พวกเราคืน [ก่อนเกิดรัฐประหาร] นั้น แล้วบอกว่า พระองค์ท่านพระราชทานมา เป็นผ้าพันคอพระราชทาน” หลังจากนั้นในการชุมนุมของพันธมิตรฯ เดือนต่อมา สนธิได้นำเทปบันทึกเสียงส่วนพระองค์ของพระราชินีมาเปิดให้ผู้ชุมนุมฟัง แล้วตีความในลักษณะที่สนับสนุนการชุมนุมขับไล่รัฐบาล และต่อมาในวันที่ 13 ต.ค. ปีเดียวกัน พระราชินีได้เสด็จไปพระราชทานเพลิงศพให้ “น้องโบว์” ซึ่งบิดาของน้องโบว์ได้เปิดเผยแกสื่อมวลชนว่าพระองค์มีรับสั่งว่า “[น้องโบว์] เป็นคนดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์... ยังไงก็ต้องมางานนี้ เพราะทำเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระองค์ด้วย... เป็นห่วงพันธมิตรฯ ทุกคน ไว้จะฝากดอกไม้ไปเยี่ยมพันธมิตรฯ” ดู หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ,กรุงเทพธุรกิจ, มติชน, และอีกหลายฉบับของวันที่ 14 ต.ค. 2551; คำนูญ สิทธิสมาน, ปรากฏการณ์สนธิ:จากเสื้อสีเหลืองถึงผ้าพันคอสีฟ้า (กรุงเทพฯ: บ้านพระอาทิตย์, 2549); และดูเพิ่มเติมบทความของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล 2 ชิ้น เรื่อง “พระบารมีปกเกล้า: พระสุรเสียงราชินีบนเวทีพันธมิตร,” ประชาไท, 12 สิงหาคม2551, http://www.prachatai.com/journal/2008/08/17688; และ “ปัจฉิมลิขิต บทความ ‘พระบารมีปกเกล้า: พระสุรเสียงราชินีบนเวทีพันธมิตร’,” ประชาไท, 12 สิงหาคม 2553, http://prachatai.com/journal/2010/08/30680.
ในภาพอาจจะมี 1 คน, ภาพระยะใกล้
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

แต่กลุ่มที่สนับสนุนเครือข่ายพระมหากษัตริย์ยังคงปฏิเสธอาณัติทางการเมืองของประชาชนในชนบท ขณะเดียวกัน แม้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะสถาปนาตัวเองว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มชนชั้นล่างที่มีคนเสื้อแดงเป็นฐานเสียงใหญ่ แต่ยิ่งลักษณ์ก็เริ่มเรียนรู้ที่จะประนีประนอม จนนำไปสู่ความเชื่อในกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลส่วนหนึ่งว่า ยิ่งลักษณ์กำลังพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่จะสามารถร่วมมือทำงานกันได้ (working relationship) กับกองทัพ ซึ่งอาจมีข้อตกลงที่ตั้งอยู่บนความต้องการของกลุ่มเครือข่ายพระมหากษัตริย์ที่ยังไม่ต้องการให้ทักษิณ “กลับบ้าน” เพื่อแลกกับความอยู่รอดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

อย่างไรก็ดี ณ ตอนนั้น หลายคนเชื่อว่า “เวลา” ยังอยู่ข้างทักษิณ/ยิ่งลักษณ์ หรืออีกนัยหนึ่ง ทักษิณยังคงได้แต้มต่อทางการเมืองเพราะมีฐานเสียงกว้าง ส่วนกลุ่มรักเจ้า/รอยัลลิสต์และกลุ่มที่โหยหาต่อระบอบราชาธิปไตยได้ “ลงทุน” ทางด้านการเมืองไว้กับกษัตริย์ภูมิพลอย่างล้นเอ่อ ทั้งในรูปของความจงรักภักดีและการปกป้องสถาบันกษัตริย์ จนมองข้ามไปว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถส่งผ่านต่อไปยังกษัตริย์องค์ใหม่ที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไป หรือพูดง่ายๆ คือ ความจงรักภักดีเป็นเรื่องของตัวบุคคล ไม่ใช่เรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแม้แต่บุคคลรอบข้างสถาบันกษัตริย์ก็เข้าใจถึงสภาพที่เกิดขึ้นนี้ ทว่ากลับเลือกที่จะใช้มาตราการแตกหักที่โง่เขลาในการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามเพื่อซ่อนเร้นความกังวลใจของตัวสถาบันเอง มาตรการที่เด่นชัดที่สุดคือ การใช้กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ในการกำจัดกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง หรือนับรวมถึงมาตรการใช้กำลังทหารปราบปราบกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อประชาธิปไตย ณ แยกราชประสงค์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553

การใช้ความรุนแรงสลายผู้ชุมนุมในครั้งนั้น แม้จะนำไปสู่การสร้างความหวาดกลัวให้แก่คนไทยทั่วๆ ไปได้บ้าง แต่กลับสร้างผลกระทบในทางลบอย่างมหาศาลต่อกลุ่มรอยัลลิสต์เอง อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า กลุ่มรอยัลลิสต์จะยังไม่ลดละท่าทีและความคิดในการใช้ความรุนแรงต่อสู้กับผู้เห็นต่างเพื่อคงไว้ซึ่งสถานะทางการเมืองและสังคมของตนเอง ดังนั้น มีความเป็นไปได้ที่การใช้ความรุนแรงอาจจะยังคงเกิดขึ้นอีก (โดยเฉพาะในขณะนี้ที่มีการชุมนุมอย่างกว้างขวาง) ทั้งนี้ เพราะบารมีของกษัตริย์ภูมิพล ผนวกกับการโฆษณาชวนเชื่ออย่างต่อเนื่องของรัฐไทยถึงคุณสมบัติพิเศษของกษัตริย์ภูมิพลที่ไม่อาจมีผู้เทียบเคียงได้ในจักรวาลแห่งนี้ ยิ่งจะทำให้โอกาสของความอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์ลดน้อยลงมากยิ่งขึ้นไปอีก วชิราลงกรณ์กำลังประสบกับปัญหา “ความขาดแคลน” ของอำนาจที่ตั้งบนความชอบธรรมของกษัตริย์ ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ ความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดอย่างเดียวของสถาบันกษัตริย์คือต้องร่วมมือกับประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ตามที่ปรากฏ นั่นไม่ใช่สิ่งที่วชิราลงกรณ์ต้องการ กระนั้นก็ตาม สถานการณ์มีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อสังคมไทยยังไม่เปิดโอกาสให้มีการถกเถียงกันอย่างมีเหตุผลและอารยะ ถึงอนาคตการเมืองไทยและสถาบันกษัตริย์ในยุคที่ไม่มีกษัตริย์ภูมิพลต่อไปอีกแล้ว

ทั้งหมดนี้นำไปสู่สภาวะของความวิตกกังวลและเสียจริตของคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มรอยัลลิสต์ ถึงความไม่แน่นอนต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นในยุคหลังรัชสมัยของกษัตริย์ภูมิพล แต่สำหรับตัวทักษิณเอง คงเป็นเรื่องไม่ยากที่จะคาดเดาอย่างเชื่อมั่นได้ว่า อิทธิพลทางการเมืองของทั้งสถาบันกษัตริย์และกลุ่มชนชั้นนำรอยัลลิสต์กำลังถูกท้าทาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสูญญากาศทางอำนาจที่ทักษิณหรือบริวารปรารถนาที่จะเติมให้เต็มด้วยการเมืองแบบใหม่ที่ตั้งบนหลักสปิริตของการเลือกตั้ง บั้นปลายจึงน่าจะมีอยู่ 2 ทาง คือ การล่มสลายของระเบียบทางการเมืองที่กำหนดโดยสถาบันกษัตริย์มาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา หรือการปะทะกันด้วยความรุนแรงจากกลุ่มรอยัลลิสต์และกองทัพที่บดขยี้กลุ่มส่งเสริมประชาธิปไตยและกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งจะนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอย่างมิอาจพรรณาได้

แต่ทั้งหมดนี้ มันดันเกิดตัวแปรใหม่ๆ ขึ้นมาก การทำรัฐประหารล้มยิ่งลักษณ์ การกลับมาของรัฐบาลทหาร การสวรรคตของภูมิพล ลัทธิการสร้างความหวาดกลัวภายใต้วชิราลงกรณ์ กำเนิดพรรคอนาคตใหม่ การระบาดของโควิด และการฟื้นตัวของพลังนักศึกษาทั่วประเทศ เราจะค่อยๆ ไปทีละประเด็นหลังจากนี้.....
ในภาพอาจจะมี 2 คน, ภาพระยะใกล้
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

เครือข่ายสถาบันกษัตริย์ครอบงำการเมืองไทยอย่างประสบความสำเร็จเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยผ่านทั้งความร่วมมือจากภาครัฐ การใช้การโฆษณาชวนเชื่อทั้งผ่านสื่อและการศึกษา หากผู้นำพลเรือนคนใดต้องการท้าทายเครือข่ายสถาบันกษัตริย์ ก็มักจะถูกกำจัดโดยการทำรัฐประหาร แต่การเข้าสู่การเมืองของทักษิณมันต่างไปจากสิ่งที่เกิดขึ้น โดยอาศัยนโยบายประชานิยมในการเอาใจคนรากหญ้า คนที่ถูกคนกรุงมองข้ามมาตลอด ทำให้คนเหล่านั้น ซึ่งรวมกันแล้วเป็นเสียงข้างมากทางการเมือง ผันความจงรักภักดีจากภูมิพลมาสู่นักการเมือง ทักษิณเป็นนักการเมืองคนแรกที่เปลี่ยนความศรัทธาทางการเมืองที่ขึ้นกับตัวบุคคล มาสู่การขึ้นกับพรรคการเมือง กล่าวคือ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ถ้าคุณลงสมัครในนามพรรคไทยรักไทย เค้าก็จะเลือก เพราะเค้ารู้ว่า เค้าจะได้รับการตอบแทนไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ การได้รับถุงพระราชทานที่มีปลากระป่อง ยาสีฟัน สบู่ มาสู่ถุงประชานิยมของทักษิณที่มีสมารต์โฟน ไอแพ๊ด และอื่นๆ ทำให้ไม่มีใครอยากกลับไปรับถุงพระราชทานอีก นี่เป็นประเด็นหนึ่งในหลายประเด็นที่เครือข่ายสถาบันกษัตริย์ต้องการกำจัดทักษิณ โดยเฉพาะหลังจากพรรคไทยรักไทยได้รับการเลือกตั้งเป็นครั้งสองอย่างถล่มทลาย ทำให้เป็นนักการเมืองคนแรกของไทยที่อยู่ครบเทอม 4 ปี

....จากนั้นก็คือการตั้งขบวนการล้มทักษิณ โดยม็อบเสื้อเหลืองที่เรารู้จักกันอยู่​​ โดยให้เหตุผลสำคัญ 2 ประการ คือ รัฐบาลทักษิณคอร์รัปชั่น และที่สำคัญกว่านั้นคือ ทักษิณล้มเจ้า แค่การล้มเจ้าก็เพียงพอที่จะผลักดันให้รอยัลลิสต์ชนชั้นกลางในกรุงเทพออกมาโจมตีรัฐบาล โดยใช้สัญลักษณ์ของกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในการล้มทักษิณ ทั้งเสื้อเหลือง ทั้งพระบรมฉายาลักษณ์ และการทำป้าย “รักในหลวง ต่อต้านทักษิณ” นี่เป็นการเอาสถาบันกษัตริย์มาสร้างเงื่อนไขทางการเมือง คือคุณต้องเลือก ไม่มีสายกลาง ถ้าคุณเอาทักษิณ นั่นคือคุณล้มเจ้า ถ้าคุณรักเจ้า คุณต้องกำจัดทักษิณ เรื่องทั้งหมดนี้ สถาบันกษัตริย์ไม่ได้ออกมาปฏิเสธ การไม่ออกมาปฏิเสธนั่นคือการยอมรับการให้พันธมิตรใช้ชื่อสถาบันในการล้มทักษิณนั่นเอง

....พันธมิตรทำสำเร็จ ล้มทักษิณได้ แต่การล้มทักษิณคือการตบหน้าคนเสื้อแดง มันมีคคำเปรียบเปรยบ่อยๆ คนต่างจังหวัดเลือกนายก แต่ถูกล้มโดยคนกรุง พอกันที เค้าจึงตั้งกลุ่มต่อต้านรัฐประหาร จนกลายมาเป็นเสื้อแดงอย่างที่เรารู้ หลังรัฐประหาร ฝ่ายเจ้าคิดว่าล้มทักษิณได้แล้ว จึงยอมปล่อยให้มีการเลือกตั้งในปีถัดไป แต่เค้าก็คาดไม่ถึงว่า ถึงตอนนั้น อิทธิพลทางการเมืองของทักษิณมันฝังรากลึก คนเสื้อแดงที่ปรากฏตัวก้เป็นฐานเสียงให้ทักษิณ ผนวกกับภูมิพลเองก็เริ่มป่วย เข้ารักษาตัวที่ศิริราช เข้าๆ ออกๆ ตั้งแต่ปี 2552 ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งทักษิณใช้สมัครเป็นนอมินี จึงประสบความสำเร็จอีกแล้ว เหยียบหน้าผู้ดีกรุงเทพผ่านกล่องเลือกตั้ง พอสมัครขึ้นเป็นนายก ก็จุดผีพันธมิตร และใช้ทุกวิถีทางในการล้มสมัคร โดยจุดประเด็นเรื่องเขาพระวิหาร

....เราแพ้คดีเขาพระวิหารตั้งแต่ปี 2505 ที่ศาลโลก แต่เราไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไป ยังคงใช้เป็นประโยชน์ทางการเมือง ทีนี้ กลางปี 2551 กัมพูชาต้องการเอาเขาพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลกของ UNESCO ไทยเองเห็นว่า การให้การสนับสนุนเขมรจะเป็นเรื่องดีหลายประการ ถ้าเขาพระวิหารได้รับสถานะนั้น ก็จะมีนักท่องเที่ยวมามากขึ้น ไทยจะได้รับประโยชน์ด้วย แล้วอย่าลืมว่า ไทยมีเรื่องกับเขมรจนนำไปสู่การเผาสถานทูตไทยที่พนมเปญ เมื่อปี 2546 สมัครจึงเป็นว่า การสนับสนุนเขมรรอบนี้จะช่วยปรับความสัมพันธ์ แต่พันธมิตรตีข่าวเรื่องการสนับสนุนเขมรคือการที่สมัครยกพื้นที่รอบๆ เขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้เขมรไป เพื่อสร้างกระแสชาตนิยมล้มรัฐบาลสมัคร ตอนนั้น นพดล ปัทมะ ทนายของทักษิณ ที่ดำรงตำแหน่ง รมต ต่างประเทศต้องถูกบังคับให้ลาออก แต่ในที่สุด ก็ไม่สามารถเอาสมัครออกได้ จึงหันไปใช้ข้อกล่าวหาอื่น นั่นคือ การที่สมัครยังมีรายการทำอาหารเป็นของตัวเองในระหว่างดำรงตำแหน่งนายก ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ศาลรัฐธรรมนูญเข้าแทรกแซง และวินิจฉัยให้สมัครลงจากตำแหน่ง ถือเป็นกรณีแรกๆ ของตุลาการภิวัฒน์ หรือ judicial coup ซึ่งสะท้อนอีกครั้งว่า ศาลไม่เป็นกลางทางการเมือง แต่เป็นส่วนหนึ่งและเป็นเครื่องมือของสถาบันกษัตริย์ เมื่อสมัครลงจากตำแหน่ง ทักษิณไม่ยอมแพ้ ส่งสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผัวเจ๊แดง น้องเขย เป็นนายกแทน ยิ่งทำให้พันธมิตรเกรี้ยวกราด เลยใช้การปิดสนามบินเพื่อกดดันรัฐบาล จนเกิดวาทกรรม อาหารดี ดนตรีเพราะ​โดยนายกษิต ภิรมย์ แต่แล้ว ก็ไม่สามารถกำจัดสมชายได้ จนศาลรัฐธรรมนูญต้องออกมาทำตุลาการภิวัฒน์รอบสอง สั่งยุบพรรคพลังประชาชน กล่าวหาว่ากรรมการพรรคท่านนึงโกงเลือกตั้ง การยุบพรรคครั้งนั้นทำให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง ซึ่งกองทัพและวัง ได้ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาลจากเสียงข้างน้อย (แทนที่จะจัดให้มีการเลือกตั้ง) ซึ่งการเข้ามาของอภิสิทธิ์คือจุดด่างสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทั้งในแง่การทำสงครามกับเขมรเรื่องเขาพระวิหาร และการสังหารคนเสื้อแดงเกือบ 100 คน ที่จะกล่าวในตอนต่อไป
ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และอาหาร
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

อภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นนายก นับเป็นชัยชนะชั่วคราวของฝ่ายเจ้า แต่ก็เกิดปัญหารุมเร้า 2 ประการ เรื่องแรกคือสงครามกับกัมพูชา ในช่วงที่พันธมิตรพยายามเอาเรื่องเขาพระวิหารมาล้มสมัครนั้น พรรคประชาธิปัคย์ถือเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตร ดังนั้น เมื่ออภิสิทธิ์เป็นนายก ทันทีทันใด ก็ได้สร้างความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา นายกฮุนเซนใชคำพูดรุนแรงหลายครั้ง ถากถางเยาะเย้ยอภิสิทธิ์ อาทิ แช่งให้อภิสิทธิ์ตกเครื่องบินตาย หรือการที่ปล่อยให้เมียฮุนเซน ชื่อ บุณรานี ออกมาแสดความใจทักษิณที่ถูกอีลีทไทยกลั่นแกล้ง โดยบอกว่าจะสร้างบ้านให้ทักษิณอยู่ในกัมพูชา นอกจากนี้ มันยังเกิดปรากฏการณ์ใหม่ คือการที่กัมพูชาท้าทายฝ่ายเจ้าโดยการสนับสนุนกิจกรรมเสื้อแดงอย่างออกหน้า เช่น มีการแข่งฟุตบอลที่ทักษิรเข่าร่วม ฮุนเซนเองก็ลงในทีมเขมรที่ใส่เสื้อแดง แถมเปิดพรมแดนให้คนเสื้อแดงจากอีสานเข้าไปเชียร์บอลในเขมร และจัดงานสงกรานต์ให้ทักษิณเจอคนเสื้อแดงในกัมพูชาด้วย ในที่สุด ก็เกิดสงครามสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2551 และมาพีคในปี 2554 ที่อาเซียนต้องเข้าแทรกแซง

...อีกประเด็นหนึ่งก็คือ การท้าทายจากคนเสื้อแดง นับตั้งแต่อภิสิทธิ์ขึ้นตำแหน่งนายก คนเสื้อแดงก็ปฏิเสธมาตลอด เค้าโกรธ เค้าเกลียดอภิสิทธิ์ เพราะรัฐบาลที่เค้าเลือก ถูกกำจัดมาตลอด ตั้งแต่ทักษิณ สมัครและสมชาย จึงเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ลงจากตำแหน่งแจะจัดให้มีการเลือกตั้ง แต่อภิสิทธิ์ไม่ยอม สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น ซึ่งมันไปสัมพันธ์กับสุขภาพของภูมิพลที่แย่ลงทุกวัน ในช่วงที่เป็นขาลงของภูมิพล มันคือขาขึ้นของสิริกิติ์ สิริกิติ์ได้ใช้ฐานพลังของตัวเองใน queen’s guard หรือบูรพาพยัคฆ์ เป็นตัวขับเคลื่อนทางการเมือง ซึ่งผู้ที่ดูแลบูรพาพยัคฆ์ก็คือประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่โตมาในสำนักสิริกิติ์

....เมื่อคนเสื้อแดงมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งจากการตั้งเป็นขบวนการภายใต้ นปช และการสนับสนุนจากทักษิณจากต่างประเทศ เลยไปถึงการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงในอีสานที่มีธงแดงเป็นสัญลักษณ์​กำเนิดของเสื้อแดงยิ่งสร้างความตระหนกให้เครือข่ายสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นเมื่อมีการรวมตัวประท้วงอภิสิทธิ์ในปี 2553 ทางฝ่ายรัฐบาลและบูรพาพยัคฆ์จึงไม่ลังเลที่จะใช้ความรุนแรงในการสลายชุมนุม ยิงกบาลผู้ประท้วงกลางย่านช้อปปิ้งกรุงเทพ แถมท้ายด้วยการบิดเบือนสถานการณ์โดยการสั่งเผาเซ็นทรัลเวิร์ด เพื่อเป็นข้อกล่าวหาคนเสื้อแดง ที่จะใช้กลบเกลื่อนการสังหารโหด บิดเบือนความสำคัญของการสังหารโหด และการสร้างความชอบธรรมให้การสังคม กลายมาเป็นตราบาปคนเสื้อแดงหลายปี ที่แม้แต่จุฬาภรณ์เองก็เอามาใช้ป้ายสีเสื้อแดงว่าการ​ “เผาบ้านเผาเมือง” คือต้นตอของการล้มป่วยยิ่งไปอีกของภูมิพล

....ถามว่าทำไมรอบนี้ภูมิพลถึงไม่แทรกแซงเพื่อยุติความรุนแรงและความขัดแย้ง ก่อนอื่นขอตั้งข้อสังเกตว่า การเข้าแทรกแซงของภูมิพลในอดีตเพื่อยุติความขัดแย้ง ภูมิพลจะต้องรอให้เกิดการรุนแรงก่อน เพื่อที่จะใช้สร้างภาพของการเป็นผู้เข้ามายุติความรุนแรง​ (stop the bloodshed) เช่น ในเหตุการณ์เดือนตุลาและเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่รอบนี้ ภูมิพลไม่ออกมาแทรกแซง เป็นเพราะ 1) ป่วยหนัก และสำคัญกว่านั้น 2) สถาบันกษัตริย์สูญเสียภาพลักษณ์ความเป็นกลางไปแล้ว ตั้งแต่ออกมาสนับสนันพันธมิตร ตั้งแต่การที่สิริกิติ์ไปงานศพน้องโบว์ จนเกิดวันตาสว่าง ดังนั้น หากภูมิพลออกมา มีแนวโน้มว่าคนเสื้อแดงจะปฏิเสธภูมิพล ซึ่งจะส่งผลเสียมากกว่าได้ แต่ทั้งนี้ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การสังหารคนเสื้อแดงนั้น ทางวังมีส่วนรู้เห็นอย่างแน่นอน เพราะความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างกองทัพ บูรพาพยัคฆ์ และสิริกิติ์ อาจกล่าวในว่า ในช่วงเวลานั้น สิริกิติ์คือผู้กุมบังเหียนที่แท้จริง ก่อนที่จะล้มป่วยในปี 2555

ในตอนหน้า จะกล่าวถึงบทบาทของสิริกิติ์และประยุทธ์ และการเตรียมพร้อมในการรับมือกับฝ่ายชินวัตร รวมถึงการเตรียมการเปลี่ยนรัชสมัย ที่นำไปสู่การทำรัฐประหารในปี 2557
ในภาพอาจจะมี 1 คน, ภาพระยะใกล้
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

หลังจากการสลายผู้ชุมนุมในครั้งนั้น ซึ่งไม่มีหน่วยงานของรัฐมารับผิดชอบ แถมพยายามโยนความผิดให้กับผู้ชุมนุม อาทิ ผู้ชุมนุมเสื้อแดงติดอาวุธ หรือการเผาเซ็นทรัลเวิร์ด อีก 1 ปีต่อมา อภิสิทธิ์ตัดสินใจประกาศให้มีการเลือกตั้ง ตามคาด ทักษิณได้ส่งยิ่งลักษณ์ลงแข่งขันในนามพรรคใหม่ คือพรรคเพื่อไทย ดิชั้นได้มีโอกาสเดียวที่ได้พบกับยิ่งลักษณ์ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งยิ่งลักษณ์เองได้บอกกับดิชั้นว่า อยากขอเข้ามาช่วยให้ความเห็นในเรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกัมพูชาจากกรณีเขาพระวิหาร จากนั้น เราทราบกันอยู่ว่า พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เป็นสถิติที่ต้องจำว่า ในช่วง 1 ทศวรรษเต็มๆ ที่ตั้งปี คศ 2001-2011 พรรคของทักษิณได้รับชัยชนะทุกครั้ง ซึ่งเป็นความหนักใจกับฝ่ายที่ไม่สามารถแข่งขันกับทักษิณได้โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ทั้งนี้ เพราะฝ่ายเจ้าไม่เคยสนใจ/ไม่ให้ความไว้วางใจกับการเลือกตั้ง เพราะเป็นสิ่งที่พวกเค้าควบคุมไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา ได้ใช้แต่การทำรัฐประหารอย่างเดียวในการจัดตั้งรัฐบาล นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม การเขียนรัฐธรรมนูฐครั้งล่าสุดได้กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญต่อพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย เพราะการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคตไม่ได้ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว

....เมื่อยิ่งลักษณ์เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล ได้กลายมาเป็นผู้หญิงคนแรกของไทยที่ได้รับตำแหน่งนี้ ทูตานุทูตต่างประเทศเรียงคิวกันเข้าพบยิ่งลักษณ์ ฝ่ายเสื้อแดงดีใจว่า นโยบายเดิมของทักษิณจะได้กลับมา แต่การกลับมาของยิ่งลักษณ์ทำให้ฝ่ายเจ้า ที่มีชนชั้นกลางหนุนหลังไม่พอใจ และหาช่องว่างตลอดในการโจมตีรัฐบาล ปลายปีนั้น น้ำท่วมใหญ่ เลยกลายมาเป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งเบื้องต้าน ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถแก้ได้ ไม่ใช่เพียงเพราะปริมาณน้ำที่มากจนเกินจะรับได้ แต่ยังขาดความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ ที่สนับสนุนฝ่ายเจ้า รวมถึงกองทัพ กระทรวงทบวงกรม และกรุงเทพมหานคร เท่ากับว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องแก้ไขปัญหานี้ด้วยตัวเอง

....แต่ยิ่งลักษณ์ก็ยังพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่รอมชอมกับฝ่ายเจ้า ทั้งการพูดถึงราชวงศ์ด้วยความรักและเคารพ ทั้งความพยายามปรองดองกับกองทัพ เป็นยุทธวิธีใหม่ที่ฝ่ายทักษิณต้องการลองใช้ ในยุคทักษิณ เพราะความที่กลัวว่ากองทัพจะทำรัฐประหาร ทักษิณจึงต้องการทำให้กองทัพขาดเอกภาพ โดยการส่งคนของตัวเองไปนั่งในตำแหน่งสำคัญในกองทัพ ซึ่งเรื่องนี้ ทำให้กองทัพ และสำนักองคมนตรีโกรธมาก เพราะเค้าถือว่า กิจการทหารเป็นภารกิจของเค้าที่รัฐบาลพลเรือนห้ามแทรกแซง ผลก็คือ โดยรัฐประหารซะเลย (ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยต่างๆ ของการทำรัฐประหาร)​ สมัยยิ่งลักษณ์นั้น มีความเป็นมิตรมากขึ้น แต่ก็หนีไม่พ้นความพยายามของฝ่ายตรงข้ามในการลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล อาทิ การเสนอนิรโทษกรรมเหมาเข่ง เป็นผลมาจากการที่ทักษิณได้รับ “สัญญาณที่ผิด” ที่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเอาด้วย แต่สุดท้ายก็โดยเท กรณีนี้สร้างความแตกร้าวในหมู่เสื้อแดงมาก โครงการจำนำข้าว กรณ๊โพร์ซีซั่น ทั้งหมดรวมกัน กลายมาเป็นเงื่อนไขจุดชนวนผีพันธมิตรในรูปใหม่ นั่นคือ กปปส

...สาเหตุที่ต้องเกิด กปปส เพราะ ความนิยมของยิ่งลักษณ์มีแต่ขึ้นกับขึ้น อีลีทไทยคนหนึ่งเคยบอกกับดิชั้นว่า ยิ่งลักษณ์มีความอดทนสูง ต่อให้ถูกด่าอย่างไร เป็นกะหรี่ อีโง่ ยิ่งลักษณ์ไม่เคยตอบโต้ เรื่องนี้ทำให้อีลีทไทยยิ่งโกรธ เพราะ “ทำยังไง มันก็ไม่โกรธ” การกลับมาของ กปปส ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ล้มยิ่งลักษณ์ แต่มันมีเงื่อนไขของการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยที่กำลังจะเกิด คนเหล่านี้กลัวว่า ผลประโยชน์ที่พวกเค้าลงทุนในภูมิพล มันจะสูญสลายไปกับความตายของภูมิพล ในใจหนึ่งก็เกลียดวชิราลงกรณ์ แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องรักษาประโยชน์เอาไว้ แล้วเห็นว่า การปล่อยให้การเปลี่ยนผ่านเกิดในสมัยยิ่งลักษณ์ จะทำให้ฝ่ายชินวัตรได้แต้มต่อ โดยเฉพาะข่าวลือถึงความสัมพันธ์ระหว่างวชิราลงกรณ์กับทักษิณ จึงเป็นการออกมาชุมนุมเพื่อสร้างเงื่อนไขการทำรัฐประหาร เพื่อให้กองทัพเป็นผู้ดูแลการเปลี่ยนผ่านรัชสมัย โดยเฉพาะก่อนสิริกิติ์ป่วย ได้มีการตอกย้ำถึงเจตนารมย์ของสิริกิติ์ที่ต้องการให้ลูกชายขึ้นครองราชย์ไม่ว่าจะเกิดอะไรชึ้น บูรพาพยัคฆ์จึงมีหน้าที่สำคัญในการทำให้ภารกิจนี้ลุล่วงด้วยดี

....ตอนหน้าจะมาพูดว่า ใครอยู่เบื้องหลัง กปปส เป็นสิรินธรหรือไม่?
ในภาพอาจจะมี 1 คน, ภาพระยะใกล้ และสถานที่กลางแจ้ง

====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

กองทัพทำรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปี คศ 2014 ยิ่งลักษณ์อยู่ในอำนาจได้เพียง 3 ปี การปูทางไปสู่การทำรัฐประหารมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนผ่านรัชสมัย เพราะเครือข่ายสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องการให้กองทัพเข้ามากำกับการเปลี่ยนผ่านให้เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งนี้เพราะเข้าใจว่า วชิราลงกรณ์ไม่เป็นที่นิยม จึงอาจเกิดสิ่งท้าทายในช่วงเปลี่ยนผ่าน การวางตัวผู้นำกองทัพเกิดขึ้นในสมัยที่สิริกิติ์ยังมีอำนาจเต็มที่ (ก่อนป่วย) โดยอาศัยทหารฝ่ายบูรพาพยัคฆ์เป็นตัวขับเคลื่อนการเมืองในครั้งนี้ เมื่อครั้งที่ภูทิพลยังแข็งแรง แน่นอน ทหารฝ่ายกษ้ตริย์หรือที่รู้จักกันว่าเป็นฝ่ายวงศ์เทวัญ มีอำนาจเต็มที่ และอยู่ภายใต้การดูแลของเปรม ซึ่งเป็นทั้งคนสนิทของภูมิพล เป็นทั้งอดีตนายก อดีต ผบ ทบ เป็นประธานองคมนตรี และมีตำแหน่งเป็น “CEO” ของเครือข่ายสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อภูมิพลป่วย บทบาทของวงศ์เทวัญก็ลดลง เมื่อสิริกิติ์ขึ้นมากุมบังเหียน จึงนำพาเอาบูรพาพยัคฆ์ขึ้นมาด้วย จึงอธิบายได้ว่า ทำไมทหารชุดที่แล้วจึงมีแต่บูรพาพยัคฆ์และอธิบายว่าทำไมประยุทธ์ถึงมาอยู่ตรงนี้ แล้วมันยังอธิบายได้ว่า ตอนนี้วชิราลงกรณ์กุมอำนาจไว้ได้ทั้งหมด จึงได้สถาปนาความสำคัญของวงศ์เทวัญกลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยการแต่งตั้งให้อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ขึ้นมาเป็น ผบ ทบ และให้ความชอบธรรมในการ “พูดแทนเจ้า” ในหลายโอกาส แม้แต่บดบังบทบาทของประยุทธ์ โดยหลายฝ่ายคาดว่า นี่คือบุคคลที่วชิราลงกรณ์ต้องการให้ขึ้นมาเป็นนายกแทนประยุทธ์ในอนาคตอันใกล้

.....ทั้งหมดนี้ชี้ว่า วังกับทหารทำงานอย่างใกล้ชิด นักวิเคราะห์มักมองผิดว่า วชิราลงกรณ์ไม่เคยสร้างความสัมพันธ์กับกองทัพ สาเหตุมาจากภูมิพลทำหน้าที่ตรงนี้ด้วยตัวคนเดียว และวชิราลงกรณ์เองก็สนใจแต่กองทัพราชวัลลภของตัวเอง ในความเป็นจริงอย่างที่ปรากฏ วชิราลงกรณ์มีความสามารถอย่างมากในการเรียกความจงรักภักดีจากกองทัพในปัจจุบันได้ ส่วนหนึ่งมาจากการสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นทั่วไป ซึ่งจะกล่าวอีกครั้งหนึ่ง

....กลับมาเรื่องรัฐประหารยิ่งลักษณ์ คราวนี้ อีลีทไทยต้องการมั่นใจว่า การขับชินวัตรออกจากการเมืองต้องเป็นการตอกฝาโลงด้วยตะปูตัวสุดท้าย คือต้องกำจัดให้สิ้นซาก ทั้งในแง่การหาเรื่องยิ่งลักษณ์และคนรอบข้าง จนถึงจุดที่มีการส่งสัญญาณว่ายิ่งลักษณ์ต้องหนี ซึ่งก็เป็นตัวเลือกที่อีลีทต้องการ เพราะเอายิ่งลักษณืเข้าคุก ก็จะถูกต่างชาติประนาม แถมอาจก่อให้เกิดจราจลครั้งใหญ่จากผู้สนับสนุนยิ่งลักษณ์ แต่การผลักออกนอกประเทศนั้น คือไม่ได้เป็นการทำร้ายยิ่งลักษณ์ แต่ขณะเดียวกันก็กลับบ้านไม่ได้ เพราะอีลีทก็ไม่แคร์ว่ายิ่งลักษณ์จะเคลื่อนไหวในต่างประเทศ เพราะเค้าก็มองทะลุไส้ผุงของชินวัตรว่าต้องการปรองดองอยู่ แม้ถึงทุกวันนี้

...การทำต่อไปคือการเขียนรัฐธรรมนูญที่วางรากฐานใหม่ให้การกลับมาของชินวัตรลำบากยิ่งขึ้น การสร้างเงื่อนไขให้ระบบบริหารต้องอยู่ในการครอบงำขององค์กรนอกระบอบการเลือกตั้ง อาทิ การให้อำนาจกับวุฒิสภามากขึ้น หรือหน่วยงานต่างๆ ที่ภักดีกับเครือข่ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญ ปปช กสม คณะกรรมการเลือกตั้ง และอีกร้อยแปด ขณะเดียวกัน กองทัพก็ใช้นโยบายกำจัดขบวนการคนเสื้อแดง ทำลายหมู่บ้านเสื้อแดง (อย่างที่เรายังเห็นเร็วๆ นี้ที่อีแรมโบ้อีสานไปรับธงแดงคืนจากพื้นที่อิสาน) ซึ่งกองทัพทำสำเร็จด้วยดี อาจกล่าวได้ว่า ทุกวันนี้ ขบวนการเสื้อแดงหายไปแล้ว ทำให้ฝ่ายตรงข้าม นั่นคือเสื้อเหลือง ที่กลายพันธุ์ไปเป็นสลิ่ม เข้าครอบงำการสร้างวาทกรรมทางการเมืองแบบใหม่รายวัน แม้แต่อดีต นปช อย่างจตุพรยังออกมาแปรพักตร์ ชี้ถึงการซื้ออุดมการณ์จากฝ่ายแดงที่ได้ผล ทางด้านทักษิณ/ยิ่งลักษณ์ ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนเดิม เพราะยังมีความหวังที่จะได้รับการปรองดอง รวมถึงความกังวลต่อธุรกิจใจไทยและความเป็นอยู่ของครอบครัวในไทยเช่นกัน

....ในตอนหน้าจะพูดเรื่องการก้าวเข้ามาของวชิราลงกรณ์เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ ที่เริ่มตั้งแต่ก่อนภูมิพลเสียชีวิต
ในภาพอาจจะมี 1 คน
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

หลังรัฐประหารปุ๊ป กระบวนการกำจัดคนเห็นต่างก็ปรากฏ โดยการเรียกตัวปรับทัศนคติบุคคล...หลายวงการ ทั้งนักการเมือง นักกิจกรรมการเมืองและนักวิชาการ อย่างที่รู้ ดิชั้นก็พลอยโดนไปด้วย นี่เป็นก้าวย่างหนึ่งที่สำคัญในการจัดการการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยให้ปลอดจากกลุ่มวิจารณ์เจ้า คืออย่างน้อย ก็ผลักพวกนี้ให้ออกไปอยู่ต่างประเทศ หรือถ้าอยากอยู่ ก็ต้องสงบปากสงบคำ (อย่างอาจารย์วรเจตน์) ซึ่งเค้าคิดว่าได้ผล แต่ไม่รู้เลยว่า ในโลกแห่งโซเชียลมีเดีย ผู้ลี้ภัยต่างประเทศยังสามารถมีตัวตนและดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้เช่นกัน

....อะไรคือความเคลื่อนไหวของวชิราลงกรณ์ ความเคลื่อนไหวแรกคือการจัดระเบียบวังและเครือข่ายสถาบันกษัตริย์ โดยวชิราลงกรณ์สั่งปลดบุคคลที่เคยทำงานให้ภูมิพล แล้วเอาคนของตัวเองไปแทนที่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนภูมิพลจะเสียชีวิตด้วยซ้ำ ตั้งแต่การเลิกใช้เปรมให้เป็นตัวแทนของเครือข่ายพระมหากษัตริย์ คือยังให้คงตำแหน่งประธานองคมนตรี แต่ไม่ให้อำนาจอีกแล้ว ถือเป็นการลงโทษอย่างหนึ่ง แต่การลงโทษที่แสบไปกว่านั้นคือการลงโทษตระกูลวัชโรทัย ตระกูลนี้รับใช้ภูมิพลมานาน ผ่านฝาแฝดอภินิหาร ขวัญแก้ว-แก้วขวัญ ซึ่งลูกของคนตระกูลนี้ที่สำคัญคือดิสธร วัชโรทัย ที่เป็นมือขวาภูมิพล เป็นคนที่เข็นรถให้ในหลวงออกสื่อ ในหลวงถึงขนาดเรียกดิสธรว่าเป็น​ “บุรุษไปรษณีย์ส่วนตัว” ตอนภูมิพลยังไม่ป่วย ดิสธรใช้อำนาจล้นฟ้า เป็นที่หมั่นไส้ของวชิราลงกรณ์อย่างมาก ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนผ่าน วชิราลงกรณ์ถึงเล่นตระกูลนี้อย่างหนัก จับปลดทุกตำแหน่ง แล้วแถมส่งเข้าคอร์สฝึกทหารที่ทวีวัฒนา แล้วแกล้งปล่อยรูปออกสื่อเพื่อสร้างความอับอายอย่างมาก มีนักการเมืองท่านหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า ในโอกาสการเข้าเฝ้าวชิราลงกรณ์ที่ไทย ระหว่างรอวชิราลงกรณ์ มีคนใช้เอาน้ำชามาเสิร์ฟ คนใช้คนนั้นคือดิสธรนั่นเอง

....การปรับโครงสร้างนี้ ยังรวมถึงการ “ทำความสะอาดบ้าน” เพื่อเตรียมพร้อมกับรัชกาลใหม่ เริ่มด้วยการกำจัดศรีรัศมิ์ ซึ่งเกิดมาจากความเบื่อหน่ายในตัวศรีรัศมิ์ และการที่ตัวเองก็ไปมีเมียใหม่ นั้นคือสุทิดา จนเกิดอาการหึงหวง มีเรื่องราวตบตีกันในต่างประเทศ จนทำให้วชิราลงกรณ์บันดาลโทสะ จับปลดศรีรัศมิ์ ตัดขาดไม่ให้พบลูก จับขังในบ้านราชบุรี ให้จมอยู่ในความทุกข์ทรมาน แถมส่งคนไปทำลายข้าวของในบ้าน ตัดต้นไม้ให้ระเกะระกะ เอาตัวเหี้ยไปปล่อยในบริเวณบ้าน ขุดส้วมหลุมหน้าบ้าน แล้วปิดตายส้วมในบ้าน เอาป้าย “กูบอกให้มึงอยู่อย่างเพียงพอ” เพื่อที่จะล้อปรัญชาพอเพียงของพ่อตัวเอง หลังจากเหตุการณ์ที่รูปรั่วออกมา ทำให้มีคนตกเป็นเป้าหลายคน (ที่ปล่อยรูป) เอาไว้มีโอกาสจะเล่าให้ฟังอีกที นอกจากศรีรัศมิ์ถูกถอด ครอบครัวยังโดนด้วยทั้งหมด ด้วยข้อหาการขายน้ำพริกในชื่อวชิราลงกรณ์​ (ขำ) พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ที่เป็นญาติศรีรัศมิ์ก็โดนด้วย เรื่องนี้ภูมิพลให้ท้าย เพราะการหย่าร้าง มันเป็นการทำลายภาพลักษณ์สถาบันกษัตริน์อย่างซ้ำซาก ทั้งนี้ ศรีรัศมิ์ไม่ใช่เป็นแค่เมียเก่า แต่ยังเป็นแม่ของหลานในหลวง จึงทำให้ภูมิพลต้องออกมาแสดงบทบาทคุณปู่ใจดี มอบเงินค่าทำขวัญเป็นเงิน 200 ล้านบาท ซึ่งในความเป็นจริงศรีรัศมิ์ไม่เคยได้ การมอบเงินทำขวัญจากภูมิพลเป็นแค่เกมตบตา เพราะภูมิพลก็ยังปล่อยให้วชิราลงกรณ์กักขังเมียเก่าต่อไป

...ทำไมต้องลงโทษเมียทุกคน (ยกเว้นโสม) ด้วยความป่าเถื่อน นี่เป็นเพราะวชิราลงกรณ์ต้องการสร้างความชอบธรรมให้กับการหย่าร้าง เห็นมั๊ย เมียชั้นมันเลว โครตเหง้ามันก็เลว ชั้นไม่ใช่คนผิด แต่เมียชั้นคือคนผิด ยิ่งลงโทษหนัก วชิราลงกรณ์ยิ่งคิดว่ามันทำให้เค้าขาวสะอาดมากขึ้น แต่การลงโทษศรีรัศมิ์ยังเปรียบไม่ได้กับการลงโทษลูกน้องใกล้ชิดอื่นๆ ในกรณีนี้ของพูดถึงทีม Bike for Mum ที่ประกอบไปด้วยพิสิษฐ์ศักดิ์ ปรากรม และหมอหยอง ที่ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาช่วยแคมเปญนี้ แต่ทีมหมอยังมันแข่งขันกับทีมจักรภพ ภูริเดชมาตลอด (ค้อก) เมื่อหมอหยองพลาดเรื่องโกงเงิน ทำให้ค้อกได้โอกาสเพ็ดทูลให้จัดการ (สังหาร) คนเหล่านี้เสีย มันมีวาระหนึ่งที่หมอหยองไปขอเงินเสี่ยเจริญจัดงานให้วชิราลงกรณ์ โดยไม่ได้แจ้งวชิราลงกรณ์ล่วงหน้า เมื่อเสี่ยเจริญเล่าเรื่องนี้ให้สิรินธรฟัง สิรินธรเอาไปฟ้องพี่ชาย ยิ่งทำให้วชิราลงกรณ์โกรธมากขึ้น และให้ไฟเขียวในการกำจัดแก๊งค์นี้ทั้งหมด (ปล: พิสิษฐ์ศักดิ์เคยเดทกับองค์ภาในช่วงเวลาหนึ่ง)

...ตอนหน้าจะกลับมาเล่าแก๊งค์ Bike for Mum ต่อค่ะ
ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และสถานที่ในร่ม
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

การจัดแคมเปญ Bike for Mom เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพลักษณ์ของวชิราลงกรณ์โอกาสก่อนขึ้นครองราชย์ เมื่อไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์อัจฉริยะแบบพ่อได้ ลูกก็เลยใช้ธีมนักกีฬาแทน ให้เห็นว่าเป็นกษัตริย์ที่ยังฟิตและมีพลานามัย โครงการนี้ วชิราลงกรณ์ได้มอบหมายให้บุคคลทั้ง 3 เป็นผู้ดูแล ได้แก่ พิสิษฐ์ศักดิ์ ปรากรม และหมอหยอง ซึ่งทั้งสามได้ abuse อำนาจของวชิราลงกรณ์ ทำตัวเหนือตำแหน่ง มีโอกาสเข้าถึงประยุทธ และบุคคลสำคัญทางการเมืองอื่นๆ รวมถึงเรื่องการจัดสรรงบประมาณและการเรี่ยไรเงินในการทำแคมเปญนี้ ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า แม้แต่คนรอบข้างของวชิราลงกรณ์ก็มีการแตกออกเป็นหลายฝ่าย ฝ่ายหมอหยองไม่ถูกกับจักรภพ ภูริเดช อย่างที่เขียนไปแล้ว เมื่อหมอหยองพลาด จึงทำให้ค้อกลงมือได้ทันที การตายแบบปริศนาของทั้งสามคนแทบจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการสั่งการ และการสั่งการแบบนี้ ที่ให้มีโทษถึงตายต้องมาจากเบื้องสูงจริงๆ... ในการไล่ล่ากลุ่มของหมอหยอง ยังมีหลายคนที่โดนด้วย บางส่วนหนีรอดไปอยู่ต่างประเทศ คนเหล่านี้ได้เล่าเรื่องวิปริตที่เกิดขึ้นในรั้ววัง โดยเฉพาะในส่วนของการลงโทษผู้ทำให้เคืองเบื้องยุคลบาท แน่นอน เราไม่สามารถตรวจสอบหาความจริงได้ แต่ข่าวเหล่านี้ล้วนมาจากบุคคลใกล้ชิด หรือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งนั้น

....ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของคนทั้งสาม มีการเล่าไปต่างๆ นานา อาทิ การถูกต้มในกระทะ การถูกเฆี่ยนตีจนบอบช้ำ การถูกบังคับให้นอนกอดศพหลายคืน โดยกระบวนการเหล่านี้มันพิกลพิการตั้งแต่แรก โดยเฉพาะเมื่อมีการกล่าวหาคนเหล่านี้ พวกเขาไม่มีโอกาสต่อสู้ทางกฎหมาย การลงโทษเป็นไปอย่างลับๆ แม้แต่การเสียชีวิตก็อึมครึม มักลงเอยด้วยการบอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือด ในกรณีของหมอหยองนั้น ทำการฌาปนกิจในทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก

...ภายในวังทวีวัฒนา มีผู้มาเล่าให้ดิชั้นฟังมากมาย จนดิชั้นนำเอาไปเขียนเป็นบทความตีพิมพ์ใน นสพ The Japan Times <https://www.japantimes.co.jp/opinion/2017/06/02/commentary/world-commentary/dhaveevatthana-prison-hell-earth-thailand/> ทวีวัฒนาคือวังของวชิราลงกรณ์ ต่อมา พื้นที่ส่วนหนึ่งถูกดัดแปลงเป็นเรือนจำ และได้รับการอนุมัติโดยรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ไม่มีใครเคยเห็นคุกดังกล่าว แต่ผู้ที่ถูกกักขังได้ออกมาเล่าให้ฟังว่า บางส่วนมีลักษณะเหมือนคุกขี้ไก่ สกปรก และไม่อาจนับจำนวนนักโทษได้ เพราะการเข้าออกของนักโทษมีตลอดเวลา โดยเฉพาะพลทหารที่ทำผิดวินัย มีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มาเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่ง เมื่อต้องไปเข้าเฝ้าที่วังทวีวัฒนาในตอนค่ำ ผู้คนต่างยืนรอหน้าวัง แต่ได้เห็นเหมือนมีบุคคลผู้หนึ่งกำลังวิ่งอยู่รอบสนามบอลที่ติดอยู่กันวัง สักพัก บุคคลผู้นั้นก็วิ่งมาถึงหน้าตึก แล้วทุกคนก็ตกใจว่า เค้าเป็นทหารหญิง ตัดผมสั้น ถูกสั่งลงโทษให้วิ่งรอบสนาม แต่งกายเหมือนก้อยคือชุดสั้นๆ เหมือนมีแค่เสื้อในกับกางเกงใน ที่ทุกคนตกใจก็คือ เธอถูกบังคับให้เอาหนอน ไส้เดือนยัดไว้ในกางเกงในในระหว่างวิ่งด้วย

...เรื่องเล่าอื่นๆ ยังมีอีกมากมาย อาทิ เมื่อพลทหารถูกจับได้ว่าไปข่มขืนชาวบ้าน การลงโทษคือการไปเอาศพหญิงนิรนามมาให้พลทหารคนนั้นข่มขืน หรือกรณีอื่นๆ เช่น การลงโทษโดยการให้พลทหารแต่งชุกลิเก แล้วคลานรอบๆ พลทหารคนอื่นๆ คนเหล่านั้นจะถุยน้ำลายใส่พลทหารคนนั้น ทุกอย่างเหล่านี้ล้วนเพื่อต้องการลดทอนความเป็นมนุษย์ และการทำทุกครั้งจะมีการบันทึกเทปไว้ให้วชิราลงกรณ์ชมด้วย

...การกำจัดหมอหยองแบบนั้น การลงโทษศรีรัศมิ์แบบนั้น เป็นการ bypass หรือมองข้ามกฏหมายที่มีอยู่ นี่คือการพิสูจน์ว่า กษัตริย์ไทยนั้น ความเป็นจริงคือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และดูเหมือนว่า วชิราลงกรณ์ไม่แคร์ว่าภาพลักษณ์ความโหดร้ายที่จะบั่นทอนตัวเองเท่าใด ชี้ให้เห็นถึง paradox ของวชิราลงกรณ์เอง คือในแง่หนึ่งต้องการสร้างภาพจาก Bike for Mom ส่วนอีกด้าน ก็ไม่เกรงว่าการลงโทษหมอหยองแบบนั้นมันจะทำให้พังพินาศเพียงไร

...ตอนต่อไปจะมาเล่าเรื่องการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจในวัง ในกองทัพ และในภาคการเมืองของวชิราลงกรณ์ ต้องการแสดงให้เห็นว่า ใครที่บอกว่าวชิราลงกรณ์ไม่สนการเมืองนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดมหันต์
ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังนั่ง และหมวก

====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

วชิราลงกรณ์น่าจะเป็นไบโพล่าร์ ส่วนหนึ่งต้องการสร้างภาพลักษณ์ตัวเอง แต่ในที่สุด อย่างอื่นก็มาทำลายภาพลักษณ์นั้น จะจัดงาน Bike for Mom เพื่อสร้างภาพ แต่มีคนตายจากงาน จัดงานฉลองเมียน้อยยิ่งใหญ่ แต่สามเดือนต่อมาจับเมียน้อยขังคุก นี่คือความผิดปกติทางสมอง ดิชั้นเคยสัมภาษณ์นักการเมืองสำคัญคนหนึ่ง เค้าบอกดิชั้นว่า อย่าไปพยายามเข้าใจวชิราลงกรณ์ เพราะเค้าเป็นบ้า แม้วชิราลงกรณ์เองจะทำเรื่องผิดกฏหมายหรือจริยธรรมากมาย แต่ตัวเองจะไม่ยอมให้ใครทำผิดกฏหมายหรือจริยธรรมเป็นอันขาด และโทษจะร้ายแรงมากเพื่อพิสูจน์ว่า ตัวเองเป็นผู้รักษาจริยธรรม

...ความโหดร้ายและป่าเถื่อนเป็นเรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่หนุ่ม อย่างที่เคยเขียนไปแล้ว ตั้งแต่ตอนที่อยู่อังกฤษ วชิราลงกรณ์เองถูกเพื่อนร่วมกันด่าว่าเป็นคนบูลลี่และไม่มีใครคบ เมื่อย้ายไปอยู่ดันทรูนที่ออสเตรเลีย มันเป็นช่วงเวลาหล่อหลอมความโหดร้าย กล่าวคือ แม้ดันทรูนจะเป็นวิทยาลัยทหารที่มีชื่อของออสเตรเลีย แต่มันก็มีเรปูเทชั่นของความโหดร้าย อาทิ มีวิธีการซ่อมที่โหด มีการล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อปีที่แล้ว ดิชั้นได้มีโอกาสไปลงพื้นที่ทำวิจัยที่ดันทรูน และได้พบว่า แม้วชิราลงกรณ์จะไม่ร่วมอยู่ในความป่าเถื่อนเหล่านั้น แต่วชิราลงกรณ์ได้เห็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ซึ่งกลายเป็นนิสัยติดตัวมาจากบัดนั้น อาจารย์ออสเตรเลียคนหนึ่งถึงพูดกันดิชั้นว่า ดันทรูนต้องรับผิดชอบต่อการผลิตกษัตริย์บ้าคลั่งของไทย

...วชิราลงกรณ์เกิดและโตในช่วงสงครามเย็น และได้มีโอกาสติดตามพ่อและแม่ไปพื้นที่ที่เป็นเขตต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ด้วยการที่รักวิชาทหาร วชิราลงกรณ์อินมากกันการสังหารคอมมิวนิสต์ การปกป้องสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นเมื่อมีการล้อเลียนภาพที่หน้าตาเหมือนเค้าในช่วงเดือนตุลา มันจึงกลายมาเป็นโศกนาฏกรรมที่มีความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าและคอมมิวนิสต์ จากนั้น ชื่อเสียงของวชิราลงกรณ์ในด้านการใช้ความรุนแรงก็มีมากขึ้น การหายตัวของศิรินทิพย์ ศิริวรรณ เพราะไม่พอใจที่เอาเรื่องของยุวธิดาไปเม้าท์ในร้านทำผม ข่าวนั้นแพร่ไปทั่วและมีการเม้าท์กันอย่างกว้างขวางว่าถูกโยนให้จระเข้กินบ้าง ถูกฆ่าฝังคอนกรีตบ้าง ถูกถีบลงจากฮาบ้าง เอาจริงๆ ศิรินทิพย์คือบุคคลแรกที่ถูกอุ้มหายของไทย

....การเลิกกับเมียทุกครั้งมันมีความป่าเถื่อน เลิกกันโสมสวลีก็มีการฟ้องร้องวุ่นวาย เพราะโสมไม่ยอมหย่า จึงทำให้วชิราลงกรณ์ต้องใช้ข้ออ้างว่าโสมไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางเพศได้ การเลิกกับยุวธิดาก็ป่าเถื่อนยิ่งกว่า มีการใช้ประเด็นการมีชู้ การขนเฮโรอีน การขับไล่ออกนอกประเทศพร้อมลูกในไส้ การส่งแฟ๊กซ์ไปทั่วเมืองเพื่อประจานเมีย และการเผาเสื้อผ้าของใช้ของยุวธิดาในที่สาธารณะ การเลิกกับศรีรัศมิ์คือการทำให้เค้าตกนรกทั้งเป็น​​ โดยเฉพาะการตัดขาดแม่ลูก และสุดท้ายคือการเลิกกับสินีนาฏ ที่ข้ามกระบวนการทางกฏหมายไปเช่นเคย ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าก้อยอยู่ไหน ทำอะไร มีชีวิตอยู่หรือไม่

....นอกจากนี้ยังมีกรณีอื่นๆ อาทิ ฟ้ารุ่ง ชารีรัตน์ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเรื่องลงเอยอย่างไร ตามข่าวนั้น ฟ้ารุ่งฆ่าตัวตายที่แอลเอ แต่หลายปีก่อน เมื่อดิชั้นเดินทางไปเยอรมัน และได้มีโอกาสเข้าไปหารือกับเจ้าหน้าที่ที่นั่น ได้มีการพูดถึงความเป็นไปได้ที่ฟ้ารุ่งอาจจะถูกวางยาในเยอรมัน แต่ไปเสียชีวิตที่แอลเอ ซึ่งทางเยอรมันสนใจที่จะสืบสวนคดีนี้ต่อ ดิชั้นไม่ได้ตามเรื่องและไม่แน่ใจว่าจะสรุปเรื่องนี้อย่างไร คือข่าวบอกว่า ฟ้ารุ่งเป็นคนแพร่เชื้อเอดส์ให้วชิราลงกรณ์ ดิชั้นไม่เชื่อ 100% ค่ะ
ในภาพอาจจะมี 1 คน, ภาพระยะใกล้
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

หลังจาก “ทำความสะอาดบ้าน” แล้ว วชิราลงกรณ์ก็เริ่มสร้างความสัมพันธ์กับกองทัพ อย่าลืมว่า ในช่วงภูมิพลที่ยาวนาน ภูมิพลเป็นบุคคลที่กำกับความสัมพันธ์วัง-กองทัพ แต่เพียงผู้เดียว ถือว่าเป็นการผลักวชิราลงกรณ์ออกไป มิหนำซ้ำ การจัดตั้งราชวัลลภยังทำให้กองทัพไม่พอใจ เพราะไม่มีประเทศใดที่ไม่อยากเห็นเอกภาพของกองทัพ ในส่วนของราชวัลลภเองนั้นก็ไม่เป็นที่นิยม เพราะนอกจากจะมีการฝึกที่โหดเหี้ยมแล้ว มันไม่ได้เป็นสถาบันบ่มเพาะผู้นำทหาร ใครที่คิดว่าจะได้ดีในกองทัพก็จะไม่เข้ามาอยู่ในราชวัลลภ มองอีกแง่หนึ่ง ราชวัลลภก็เหมือนเสือป่าสมัยวชิราวุธที่มีความเป็นเอกเทศออกจากกองทัพ

….เมื่อค้นพบว่าตัวเองไม่เคยสร้างความสัมพันธ์กับทหารเลย ก็เป็นโอกาสเหมาะที่จะสร้างความสัมพันธ์ในช่วงก่อนขึ้นครองราชย์ วชิราลงกรณ์มีสองตัวเลือก คือ จะเลือกสร้างสัมพันธ์กับรัฐบาลประชาธิปไตยหรือกองทัพ แน่นอน เค้าเลือกกองทัพ นั่นเป็นเพราะพื้นฐานการทหารของเค้าและส่วนหนึ่งเค้าชอบเรื่องการจัดวินัยทางทหาร ดังปรากฏให้เห็นกฏต่างๆ อาทิ เสื้อผ้า หน้าผม ยกอกอิ๊บ อะไรแบบนั้น ดังนั้น การวางแผนการทำรัฐประหารเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นจึงได้รับความเห็นชอบจากวชิราลงกรณ์ เป็นที่น่าเสียดายที่การเริ่มต้นรัชกาลใหม่ต้องทำภายใต้รัฐบาลทหาร ซึ่งเอาจริงๆ เป็นเรื่องที่วชิราลงกรณ์ไม่แคร์เลย

…ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่าน วชิราลงกรณ์เริ่มเข้ามามีบทบาททางการจัดการภารกิจทางทหารมากขึ้น โดยการแต่งตั้งให้อภิรัชต์เป็น ผบ ทบ ที่มาจาก king’s guard หรือวงศ์เทวัญ เป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาของวงศ์เทวัญที่มาแทนที่บูรพาพยัคฆ์ ขณะเดียวกัน แม้การแข่งขันระหว่างวงศ์เทวัญกับบูรพาพยัคฆ์ยังมีอยู่ แต่ทั้งสองฝ่ายพร้อมใจให้การสนับสนุนต่อวชิราลงกรณ์ ส่วนหนึ่งเพราะต้องการคงไว้ซึ่งปณิธานของสิริกิติ์ที่ต้องการให้กองทัพสนับสนุนลูก ส่วนหนึ่งเพราะบรรยากาศของความหวาดกลัวที่เริ่มมีมากขึ้นภายใต้วชิราลงกรณ์ และส่วนหนึ่งคือผลประโยชน์ของกองทัพเองที่ขึ้นอยู่กับสถาบันกษัตริย์

…เสร็จจากความร่วมมือกับกองทัพ วชิราลงกรณ์ปรับสภาองคมนตรี แม้ไม่มีการเปลี่ยนตัวเปรม แต่ก็ได้มีการเปลี่ยนตัวองคมนตรีอื่นๆ ที่เอาทหารที่ได้รับความไว่วางใจเข้าไปแทนที่ ชี้อีกครั้งถึงสัมพันธ์ระหว่างวชิราลงกรณ์กับกองทัพ นอกจากนี้ ยังเริ่มกระบวนการถ่ายโอนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้ชื่อของวชิราลงกรณ์แต่เพียงผู้เดียว ในสมัยภูมิพล ยังมีความพยายามในการทำให้ สนง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อึมครึม เพื่อเป็นการปิดบัง หลบซ่อนทรัพย์สินของเจ้า ในสมัยนั้นเราเข้าใจกันว่า ทรัพย์สินนี้มี 2 ส่วนคือส่วนที่เป็นของสถาบัน (ของรัฐ) และส่วนที่เป็นส่วนตัวของราชวงศ์​ แต่ในการโอนกรรมสิทธิ์นี้ทำให้เราเข้าใจอย่างกระจ่างว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มันเป็นของส่วนบุคคลมานานแล้ว และตอนนี้มันอยู่ภานใต้กรรมสิทธิ์ของวชิราลงกรณ์แต่เพียงผู้เดียว ที่ไม่มีใครรู้แน่ว่ามีมูลค่าเท่าใด แต่อาจประมาณได้ว่าอยู่ระหว่าง 3-6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และในปัจจุบัน ทั้งวชิราลงกรณ์และสิรินธรก็แข่งขันในการทำธุรกิจภายใต้ สนง นี้ อาทิ การร่วมลงทุนกับราชวงศ์บาห์เรนในกิจการโรงแรม หรือการทำธุรกิจที่ดินในหลายแห่งในกรุงเทพ เป็นต้น
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

การจัดโครงสร้างอำนาจใหม่ในวัง การทำความสะอาดบ้าน การสร้างความสัมพันธ์กับกองทัพ และการโอนกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นส่วนหนึ่งของความต้องการคงไว้ซึ่งพระราชอำนาจนำ (royal hegemony) ของวชิราลงกรณ์ ในส่วนต่อไปที่วชิราลงกรณ์ทำนั้น คือการเข้าแทรกแซงทางการเมือง และการเริ่ม​ “ลงทุน” ในระบอบการเลือกตั้ง เพราะอย่างที่กล่าวไว้แล้ว ฝ่ายเจ้าและทหารไทยไม่เคยให้ความสำคัญต่อการเลือกตั้ง เพราะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ควบคุมลำบาก และแข่งทีไรก็แพ้ แพ้ทั้งทักษิณและธนาธร เพราะตัวเองไม่สามารถสร้างนโยบายที่ดึงดูดประชาชน และเพราะในความเป็นจริง ก็ไม่ได้ต้องการสร้างการพัฒนาที่แท้จริงให้ชาวบ้าน

….วิธีที่วชิราลงกรณ์ใช้ก็คือ การให้การสนับสนุนการตั้งพรรคใหม่ นั่นคือพรรคพลังประชารัฐ จริงอยู่ แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าวชิราลงกรณ์อยู่เบื้องหลังจากจัดตั้งพรรคนี้ แต่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า วชิราลงกรณ์ให้การสนับสนุน เพราะบุคลากรในพรรคนั้นเกือบทั้งหมดคือรอยัลลิสต์ที่มีผลประโยชน์ในการทำนุบำรุงสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ เมื่อพรรคนี้ได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล แน่นอน วชิราลงกรณ์มีส่วนในการเห็นชอบ/รับรอง ให้ประยุทธ์กลับเข้ามาเป็นนายกอีกครั้งหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่า ประยุทธ์ยังใช้นโยบายรอยัลลิสต์เสมอ อาทิ การพูดก่อนหน้านี้ว่า ในรัฐสมัยใหม่ต้องไม่มีการประท้วง การสนับสนุนพรรคการเมืองแบบนี้คือนิมิตรหมายใหม่ (แม้จะไม่ใหม่มาก เพราะเจ้าก็เคยหนุนพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน) เพราะมันเกิดในช่วงที่ประชาชนโหยหาประชาธิปไตยในระบอบการเลือกตั้ง และมันเกิดในช่วงที่คู่แข่งทางการเมือง ทั้งทักษิณและพรรคเกิดใหม่อย่างอนาคตใหม่ หาประโยชน์จากการเลือกตั้งเพื่อเข้ามาเป็นตัวแทนประชาชนช่วงชิงอำนาจการเมือง

…กระบวนการสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่นี้มันเกิดหลังจากที่วชิราลงกรณ์แทรกแซงการเมือง โดยเฉพาะในเรื่องการขอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้รับความเห็นชอบในการลงประชามติไปแล้ว นี่มันคือการทำผิดรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ วชิราลงกรณ์ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจ โดยเฉพาะในเรื่องการให้กษัตริย์เดินทางไปพำนักต่างประเทศนานๆ โดยไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ โดยปกติ การเดินทางของกษัตริย์ไปต่างประเทศจำเป็นต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ ซึ่งปกติก็จะเป็นประธานองคมนตรี (เปรม) แต่แล้วก็ขอให้มีการแก้ไข ให้สามารถไปอยู่เยอรมันได้โดยไม่ต้องแต่งตั้งใคร โดยยังสามารถ “ปกครองไทย” โดยใช้ "รีโมทคอนโทรล" คือไม่ว่าวชิราลงกรณ์จะอยู่ไหน ก็ยังปกครองไทยได้เสมอ นอกจากนี้ ยังเป็นการจำกัดอำนาจของประธานองคมนตรี ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าเป็นการล้างแค้นเปรม (ให้อยู่ในตำแหน่งแต่ไม่ให้อำนาจ)

….เมื่อร่วมมือกับพรรครัฐบาลแล้ว ภารกิจต่อไปคือการกำจัดพรรคฝ่ายค้าน เริ่มจากพรรคไทยรักษาชาติ เรื่องนี้พิลึกกึกกือมาก คือในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ทักษิณเองก็รู้ถึงโอกาสที่จะถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงาน แม้จะมั่นใจว่า พรรคยังสามารถชนะการเลือกตั้งได้ เลยคิดว่าจะมีการแยกพรรคของเป็นสองส่วน เผื่อว่าหากมีการยุบพรรคแล้ว ตัวแทนของทักษิณยังสามารถอยู่ในการเลือกตั้งได้ จึงเป็นการถือกำเนิดพรรคไทยรักษาชาติ ข้อมูลที่ได้จากนี้ ดิชั้นได้จากการสัมภาษณ์นักการเมืองสำคัญคนหนึ่ง แต่ขอไม่ระบุว่าเป็นใครค่ะ

….อุบลรัตน์มีความสนิทสนมกับทักษิณอย่างมาก hang out กันบ่อย และจะคอยรับรองอำนวยความสะดวกทุกครั้งที่อุบลรัตน์เดินทางมาเที่ยวที่ยุโรป ความสนิมสนมนี้ตีความได้ 2 แบบ คือ 1) ความต้องการใช้อุบลรัตน์เป็นสะพานไปสู่ราชวงศ์ เพราะอย่าลืมว่า ชินวัตรต้องการที่จะปรองดองเสมอไม่ว่าอย่างไรก็ตาม และ 2) อาจใช้ความสนิทกับอุบลรัตน์เป็นการตบหน้าราชวงศ์ในเวลาเดียวกัน สร้างความแตกแยกให้กับฝ่ายเจ้า ซึ่งคิดว่าประการที่ 2 สำเร็จได้ดีกว่า (การเสนอชื่ออุบลรัตน์เป็นนายก ดิชั้นเห็นว่าเป็นแผนที่เยี่ยมยอดชองทักษิณในการชี้ถึงการยุ่งเกี่ยวทางการเมืองของเจ้า ซึ่งมีผลในการทำลายความศรัทธาของเจ้าในระยะยาว) แต่ทั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าทักษิณจะเข้าใจหรือไม่ว่า อุบลรัตน์ไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลใดๆ ในกระบวนการตัดสินใจของวังทั้งสิ้น นอกจากนี้ ตัวอุบลรัตน์เองก็ยังไม่สามารถหลุดออกมาเป็นสามัญชนได้อย่างที่ปากพูด เพราะทุกวันนี้ ยังได้รับการดูแลจากรัฐบาล อยู่บนเงินภาษีประชาชน และยังต้องการการปฏิบัติเยี่ยงเจ้าหญิง

…ตอนหน้าเรามาดูว่า ทักษิณและอุบลรัตน์พลาดได้อย่างไรในกรณีไทยรักษาชาติ
ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และผู้คนกำลังนั่ง
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

เรื่องนี้ อุบลรัตน์เป็นคน approach ทักษิณก่อน คือหลังจากลองมาหลายบทบาท ทั้งทำงานชาริตี้ ทั้งเล่นหนัง ร้องเพลง เป็นสาวสังคม ล่าสุด อุบลรัตน์อยากเป็นนายกรัฐมนตรี อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว สำหรับดิชั้น การเสนอตัวของอุบลรัตน์นี่ทุเรศมาก อยากจะเป็นนายก แต่ตัวเองยังตัดไม่ขาดกับราชวงศ์ อยากจะส่งเสริมประชาธิปไตย แต่ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของรากเหง้าระบอบกษัตริย์ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ บอกตรงๆ เหม็นเบื่อ อันนี้ต้องประนามทักษิณในจุดหนึ่งที่ตบหน้าคนดู โดยการส่งชื่ออุบลรัตน์เข้าประกวด เอาละ ถ้าจะอ้างว่าต้องการลากสถาบันกษัตริย์มาสู่การเมืองเพื่อให้พังมากไปอีก แต่ทักษิณก็ไม่อาจหนีข้อวิจารณ์เรื่องการเอาสมาชิกราชวงศ์ที่ไม่เคยมี commitment ต่อการพัฒนาประชาธิปไตย มาเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักษาชาติ ที่สำคัญ คนในพรรครักษาชาติเองไม่รู้เรื่องนี้จนมีการประกาศชื่ออุบลรัตน์อย่างเป็นทางการ

…อุบลรัตน์มาขอทักษิณ ทักษิณบอกให้ไปถามวชิราลงกรณ์ก่อน เพราะมิบังอาจทำการอะไรเช่นนี้โดยไม่ได้รับไฟเขียวจากวชิราลงกรณ์ หลายอาทิตย์ต่อมา อุบลรัตน์กลับมาบอกทักษิณว่า ไปขอน้องชายแล้ว น้องชายบอกว่าได้ (อันนี้มีการตีความหลังจากเหตุการณ์นี้ว่า วชิราลงกรณ์คิดว่าพี่สาวพูดเล่น ไม่ซีเรียส เลยให้อนุญาตไปอย่างนั้น เท็จจริงประการใด ไม่อาจรู้ได้) เมื่ออุบลรัตน์เคลมว่า น้องชายยอมแล้ว ทักษิณจึงเดินหน้าประกาศให้อุบลรัตน์เป็นผู้แทนพรรคชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คิดดูว่ามันป่วยแค่ไหน หากเป็นจริง เรามีวชิราลงกรณ์เป็นกษัตริย์ มีอุบลรัตน์เป็นนายก มาจากครอบครัวเดียวกัน แค่ฟังก็ป่วยแล้ว

….หลังจากข่าวสะพัดออกไป มีปฏิกิริยาตอบสนองสองแบบ ฝ่ายเสื้อแดงดีใจ อาจจะดีใจแบบสะใจ ที่เอาอุบลรัตน์มาเป็นพวกได้ ยิ่งทำให้ราชวงศ์แปดเปื้อนมากไปอีก หรือดีใจแบบไร้เดียงสาว่า อุบลรัตน์คือนารีขี่มาขาว จะอย่างไรก็ตาม ฝ่ายแดงเตรียมฉลองกันแล้ว แต่ฝ่ายเหลืองหรือสลิ่มนี่สิ ที่เป็นตัวแปรสำคัญ ออกมาต่อต้านเต็มที่ ด่าทออุบลรัตน์ ประหนึ่งว่าอุบลรัตน์ไม่ใช่ลูกภูมิพล ส่วนคนเสื้อแดงก็สวนกลับแบบบ้าคลั่ง บอกว่าจะฟ้อง 112 คนด่าอุบลรัตน์ เน่ามากค่ะ

….วชิราลงกรณ์มองเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด และตระหนักว่า อุบลรัตน์คือมันร้อน (hot potato) ที่ต้องกำจัด เรื่องนี้วชิราลงกรณ์คิดอย่างแยบยลมาก รู้ตัวว่า เสื้อเหลืองสลิ่มไม่ได้ชอบตัวเองมากนัก หากตัวเองไม่ทำอะไรเลย ยิ่งทำให้พวกนั้นไม่ชอบตัวเองมากขึ้น เพราะพวกนั้นยังเป็นฐานเสียงของเจ้าที่สำคัญ ทั้งยังมีอำนาจ เป็นอีลีทและชนชั้นกลางกรุงเทพ เรื่องอะไรจะยอมเสียฐานเสียงตรงนี้ไป ในทางตรงข้าม หากตัวเองออกมาด่าทักษิณและพี่สาว ก็จะได้ใจสลิ่มเสื้อเหลือง "ดูสิ วชิราลงกรณ์อยู่ข้างเรานะ" และการตีความแบบนี้ก็นำไปสู่การที่วชิราลงกรณ์ตัดสินใจแทรกแซงโดยการสั่งห้ามการลงรับตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองของอุบลรัตน์ แถมออกแถลงการณ์ที่ด่าทักษิณอย่างรุนแรงว่าลากสถาบันกษัตริย์มาสู่การเมือง ดิชั้นอ่านแล้วขำ เพราะสถาบันกษัตริย์มันยุ่งการเมืองมานานแล้ว

….การลงโทษทักษิณและพี่สาวนำไปสู่คำสั่งยุบพรรค อีกครั้งหนึ่งที่เห็นความร่วมมือระหว่างสถาบันกษัตริย์-ศาล-และชนชั้นกลางกรุงเทพในการกำจัดคู่แข่งทางการเมือง ผลนำไปสู่การยุบพรรค การสั่งห้ามกรรมการบริหารพรรคเล่นการเมือง 10 ปี แม้ว่าทักษิณจะมีส่วนสร้างความรำคาญใจต่อวชิราลงกรณ์ แต่ผลกระทบมันก็รุนแรงมาก เพราะทักษิณเสียฐานเสียงไปมากพอสมควร ส่งผลต่อการต่อสู้ของพรรคเพื่อไทย และอาจเป็นเหตุผลอธิบายว่าทำไมพรรคอนาคตใหม่ถึงได้เสียงมากกว่าที่หลายคนคาดไว้

….แต่ไทยรักษาชาติไม่ใช่แค่เหยื่อพรรคเดียว แผนของวชิราลงกรณ์ในจัดการกับพรรคการเมืองฝ่ายค้านยังรวมไปถึงพรรคอนาคตใหม่ด้วย ตอนหน้ามาเล่าต่อว่า ฝ่ายเจ้าทำอะไรบ้างกับพรรคผัวเก่าดิชั้นบ้าง
ในภาพอาจจะมี 6 คน, ชุดสูท
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

ไม่มีใครไม่รู้ว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่เอาเจ้า ดิชั้นขอไม่วิจารณ์ไปมากกว่านี้ เพราะอยากให้โฟกัสเรื่องวชิราลงกรณ์มากกว่า เพียงแต่จะบอกว่า มันเกิดความลักลั่นระหว่างอุดมการณ์ของคนในพรรคและนโยบายของพรรค ที่ในที่สุด ต้องยอมผ่อนปรนเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง แต่วชิราลงกรณ์อ่านเกมออกแต่แรก โดยเฉพาะการไม่เอาเจ้าของอนาคตใหม่ และมองว่าปิยบุตรคือภัยที่ร้ายแรงกว่าธนาธร เพราะเป็นตัวแพร่อุดมการณ์ไม่เอาเจ้า ความนิยมที่พรรคอนาคตใหม่ได้รับ ผสมกับนโยบายพรรคที่แม้ไม่ได้ชนกับเจ้าโดยตรง แต่ก็กระทบเจ้า อาทิ การลดบทบาททหารทางการเมือง

….ข่าววงในออกอยู่เสมอว่า วชิราลงกรณ์ไม่พอใจพรรคอนาคตใหม่ และเมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏ ยิ่งทำให้ทางวังรู้สึกว่า จะต้องกำจัดพรรคนี้อย่างเร็ว เอาจริงๆ แล้ว วชิราลงกรณ์หวั่นใจในตัวธนาธร/ปิยบุตรมากกว่าที่หวั่นใจในตัวทักษิณ เพราะรู้ว่าทักษิณต้องการไกล่เกลี่ยเสมอ เอาจริงๆ ทางพรรคเองก็รู้ว่าพรรคจะจบแบบไหน ถึงขนาดมีการคิดไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าวันนั้นมาถึง แกนนำพรรคจะต้องทำดีลกับสถานการณ์อย่างไรบ้าง หลังจากพยายามหลายครั้ง ในที่สุด อนาคตใหม่ก็ลงเอยแบบพรรคการเมืองที่ผ่านมา โดยการใช้ตุลาการณ์ภิวัฒน์ ที่ใช้ข้อกล่าวหาของการที่ธนาธรให้พรรคกู้ยืมเงิน ที่ถูกมองว่าเป็นการบริจาค ซึ่งผิดต่อกฎหมายการเลือกตั้ง

…หลังจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ และจำกัดสิทธิของกรรมการพรรคทางการเมืองอีก 10 ปี ในความเป็นจริง ธนาธรยังต้องการผลักดันหลายเรื่องให้เลยไปกว่าการจัดตั้งพรรคก้าวไกล แต่ดันเกิดปัญหาโควิดขึ้น เลยทำให้การยุบพรรคอนาคตใหม่ “ฝ่อ” มิเช่นนั้น อาจจะช่วยจุดกระแสชุมนุมได้ มาบัดนี้ กระแสชุมนุมมันเลยพรรคอนาคตใหม่ไปแล้ว และโอกาสที่ธนาธรจะกลับมาเป็นแกนนำการชุมนุมตอนนี้ก็ยาก เพราะฝ่ายตรงข้ามได้สร้างเรื่องไว้แล้วว่าธนาธรอยู่เบื้องหลังการชุมนุมล้มเจ้า

…ในส่วนนี้ขอพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าสองพรรคนี้ แม้จะมีนโยบายหลายอย่างใกล้เคียงกัน และอยู่ “ฝั่งประชาธิปไตย” เหมือนกัน แต่มันมีเซ้นของการแข่งขันกัน จากมุมมองของคนเชียร์อนาคตใหม่ พวกเค้าอยากก้าวข้ามทักษิณ อยากก้าวข้ามการปรองดอง แม้ในความเป็นจริง เค้าก็ไม่อาจยอมรับได้ว่า พรรคอนาคตใหม่ก็ไปไม่ไกลกว่าที่ทักษิณเคยทำ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น คนเชียร์ไม่เอาอนาคตใหม่เพราะมองว่าเป็นคู่แข่งทางการเมือง มองว่า คนของอนาคตใหม่คอยค่อนแคะพรรคเพื่อไทย ไอ้ประเด็นปลีกย่อยเหล่านี้ที่ทำให้คนเชียร์ของแต่ละพรรคต้องห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

…ต่อหน้าสื่อ ทักษิณชื่นชมอนาคตใหม่ว่าเป็นพลังสำคัญของประชาธิปไตย ลับหลังสื่อ (ตามที่ดิชั้นได้สัมภาษณ์นักการเมืองท่านหนึ่ง) ทักษิณออกจะรำคาญอนาคตใหม่ในความเชื่อมันที่สูงเว่อร์ over-confidence และการไม่ให้เกียรติพรรคที่มาก่อนอย่างเพื่อไทย แต่ทักษิณก็เล่นเกมการเมืองนี้ได้ดี โดยเปิดทางให้ธนาธรเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในฟากของประชาธิปไตย (ซึ่งอนาคตใหม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากเพื่อไทยในฐานะที่เป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากกว่า)

…ขอจบความเกี่ยวข้องของวชิราลงกรณ์กับพรรคการเมืองไว้เท่านี้ ตอนหน้าเรามาพูดถึงกลยุทธสุดท้ายของวชิราลงกรณ์ในการเข้าสู่สังเวียนทางการเมือง นั่นคือ การกำจัดผู้ลี้ภัยข้ามชาติ
ในภาพอาจจะมี 1 คน, ภาพระยะใกล้
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

สิ่งสำคัญประการสุดท้ายของการจัดระเบียบโครงสร้างอำนาจของวชิราลงกรณ์คือการกำจัดผู้ลี้ภัยในต่างประเทศ ในยุคภูมิพลนั้น แน่นอน มีการกำจัดคนเห็นต่างเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเครื่องมือ และมักกระทำโดยมีขอบเขตจำกัด คือจะกระทำภายในประเทศเป็นหลัก ส่วนคนไทยในต่างประเทศหรือชาวต่างชาตินั้น แม้จะถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายหมิ่น แต่หากไม่ย่างกรายเข้าไทย ก็มีผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชีวิตเล็กน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ข้อแตกต่างหนึ่งก็คือ ในยุคภูมิพลนั้น การหมิ่นเจ้าหรือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ดังนั้น การลงโทษผู้ทำผิดจึงมีไม่มาก แต่หลังจากรัฐประหารครั้งล่าสุด ซึ่งประจวบเหมาะกับการใกล้การสวรรคตของภูมิพล มนต์ขลังมันจางหายไปตามกาลเวลา และกษัตริย์องค์ใหม่ ซึ่งคือวชิราลงกรณ์ ก็ไม่ได้รับความรักจากประชาชนเท่าภูมิพล จึงทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เจ้าอย่างแพร่หลาย แต่วชิราลงกรณ์เลือกที่จะไม่ใช้กฎหมายหมิ่นเป็นเครื่องมือ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องภาพลักษณ์​ไทยถูกองค์การระหว่างประเทศต่อว่ามานานเรื่อง 112 การเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่จะไม่ใช้ 112 ไม่ได้หมายความว่า วชิราลงกรณ์ใจดีกว่าพ่อ แต่พราะเค้าหันมาใช้การอุ้มฆ่าแทนที่

….กรณีการอุ้มที่เราสงสัยว่ามาจากวชิราลงกรณ์นั้นเกิดตั้งแต่สมัยศิรินทิพย์ ซึ่งได้พูดไปบ้างแล้ว ขอไม่พูดอีก ข้ามกลับมาในปัจจุบัน สองกรณีแรกของการอุ้มฆ่าก็คือ ดีเจซุนโฮ และโกตี๋ เรามาเริ่มจากดีเจซุนโฮก่อน เค้าหายตัวไปในปี คศ 2016 หายไปอย่างนั้น หายไปเฉยๆ ภาษาฝรั่งเรียกว่า enforced disappearance คือบังคับให้สูญหาย ส่วนโกตี๋ถูกชายชุดดำประมาณ 10 คน มาอุ้มถึงที่พักในกรุงเวียงจันทน์ในปี 2017 ทั้งสองคนถือว่าเป็นคนที่วิจารณ์เจ้ารุนแรงที่สุดไม่แพ้คนอื่นๆ ดีเจซุนโฮมีชื่อเสียงจากการทำคลิปยูทูปโจมตีราชวงศ์ไทย ส่วนโกตี๋ถูกกล่าวหามากนั้น โดยมีการโยงเรื่องการค้าอาวุธ การฝึกอาวุธให้พลเรือนเพื่อต่อต้าน คสช รวมถึงถึงข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ส่งอาวุธให้คนเสื้อแดงปะทะกับกองทัพที่ราชประสงค์ในปี 2010 เมื่อทั้งสองคนสูญหายจากลาว ทางการไทยปฏิเสธว่าไม่รู้เห็น และก็ปฏิเสธคำขอขององค์การระหว่างประเทศในการสอบสวนการอุ้มของคนเหล่านี้อย่างจริงจัง

….ปลายปี 2018 เหยื่ออีกสามราย คืออาจารย์สุรชัย แซ่ด่าน และสหายภูชนะ และสหายกาสะลอง ได้ถูกอุ้มพร้อมๆ กัน จากบ้านพักในลาวเช่นกัน แต่ตามหลักฐานที่ปรากฏ ดูเหมือนว่าจะถูกล่อโดยนกต่อ เพราะภายในบ้านพักของอาจารย์สุรชัย ยังมีร่องรอยของการเลี้ยงรับรองคนจำนวนหนึ่ง การหายตัวไปแบบนั้น ยื่งทำให้สงสัยว่า ฝ่ายวังกำลังทำงานไล่ล่าผู้เห็นต่างอย่างต่อเนื่อง แน่นอน ทั้งสามคนนี้ถูกมองว่าล้มเจ้า จึงสมควรถูกกำจัดไป ในเวลาต่อมา ได้มีศพของชายสองคนลอยขึ้นจากแม่น้ำโขง ผลการพิสูจน์ศพพบว่าเป็นสหายภูชนะและสหายกาสะลอง แต่ร่องรอยของอาจารย์สุรชัยยังหาไม่พบ ดิชั้นได้รับโทรศัพท์จากนักการทูตประเทศยุโรปท่านหนึ่งที่ได้ข้อมูลจากวงในว่า สภาพศพที่ถูกมัดมือขาและผ่าท้องยัดด้วยซีเมนต์นั้น เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่คนร้ายทำก่อนลงมือสังหาร เพราะคนสั่งเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ โดยให้เหยื่อนั่งคุกเข่า มัดมือและขา มือถือดอกบัว กล่าวขอขมาวชิราลงกรณ์ แล้วมีการถ่ายคลิปไว้เช่นกัน จากนั้นจึงลงมือสังหารในท่าดังกล่าว ส่วนการผ่าท้องนั้น นักการทูตกล่าวว่า อาจมาจากความเชื่อว่า การเอาอวัยวะภายในออกจะทำให้วิญญาณไม่สามารถจำร่างได้ จึงไม่สามารถกลับมาล้างแค้นได้ แน่นอน ทั้งนักการทูตฝรั่งและดิชั้นไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่อย่าลืมว่า ราชวงศ์ไทยงมงายในเรื่องไสยศาสตร์มาก ส่วนร่องรอยอาจารย์สุรชัยนั้น ดิชั้นคิดว่า คนร้ายคิดว่าศพทั้งสองที่ลอยขึ้นมาไม่น่าจะเป็นข่าวอะไรมากมาย แต่พอมันกลายมาเป็นข่าวระดับชาติและระหว่างประเทศ พวกเค้าเลยตัดสินใจทำลายร่องรอยของอาจารย์สุรชัยทั้วหมด เพราะกลัวว่า การพบศพจะเป็นการกระตุ้นสาธารณชนให้ออกมาประท้วงได้

…จากนั้น เดือน พค ปีที่แล้ว นักต่อสู้อีกสามคนสูญหาย หนึ่งในนั้นคือลุงสนามหลวง หลังจากทราบชะตากะรรมของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ จึงได้หาทางหนีจากลาวไปเวียดนาม ได้มีข่าวออกมาว่า ทางการไทยขอความร่วมมือเวียดนามในการส่งตัวบุคคลเหล่านั้นกลับไทย ซึ่งเราไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า บุคคลเหล่านั้นตอนนี้อยู่ไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ลุงสนามหลวงเป็นบุคคลที่ฝ่ายเจ้าเกลียดมาก และพร้อมที่จะกำจัดเสมอ โดยหลังจากองค์กรระหว่างประเทศตามเรื่องนี้กับรัฐบาล ประวิตร วงศ์สุวรรณ ตอบว่าไม่รู้ตามเคย อีดอก

….หลังจากนั้นก็มาถึงวันเฉลิม ซึ่งทุกคนคงรู้ที่มาที่ไปแล้ว ต้าร์ไม่ได้เป็นคนวิจารณ์เจ้ามากมายเลย และคิดว่า การดูแลของฝ่ายกัมพูชาจะทำให้ตัวเองรอดพ้นจากวัง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเยอรมัน การประท้วงต่อเนื่อง อาจจะส่งผลให้วชิราลงกรณ์ต้องการล้างแค้นโดยการสร้างความหวาดกลัวกับผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ต้าร์เป็นเหยื่อง่าย เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตปิดบังอะไรในพนมเปญ การอุ้มต้าร์กลางวันแสกๆ นั้นชี้ว่า ตอนนี้ ความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาได้เปลี่ยนไปแล้ว จากการที่กัมพูชาเคยเห็นใจคนเสื้อแดง แต่พลวัตรความสัมพันธ์มันเปลี่ยนไป ตอนนี้ ฮุนเซนต้องการสานสัมพันธ์กับวังไทย ดังนั้น การปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องการหายตัวของต้าร์จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

…ในปี 2016 มีนักการเมืองท่านหนึ่งบอกดิชั้นว่า วชิราลงกรณ์จะขึ้นครองราชย์ปลายปี ในกระบวนการขึ้นครองราชย์ วชิราลงกรณ์ได้ทำรายชื่อศัตรูที่ต้องกำจัดจำนวน 50 คน ดิชั้นเพื่อเข้าใจว่า รายชื่อนั้นมันมีอยู่จริง แต่อย่าถามว่าใครอยู่ในรายชื่อนั้นบ้าง…….
ในภาพอาจจะมี 1 คน, สถานที่กลางแจ้ง, ข้อความพูดว่า "เลือกตั้ง OA"
====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

ทำไมวชิราลงกรณ์ถึงไม่อยากอยู่ไทย และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ อันนี้เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย แน่นอน มันคงไม่มีคำตอบใดคำตอบเดียวที่ถูกต้อง และแน่นอน คงไม่มีใครรู้อย่างแน่แท้เพราะเราไม่ได้เข้าไปนั่งในใจของวชิราลงกรณ์ แต่ดิชั้นของประมวลสาเหตุหลักๆ มาดังนี้

1. เนื่องมาจากปัญหาสุขภาพ จนถึงวันนี้ ยังไม่มีข้อสรุปว่า วชิราลงกรณ์ป่วยด้วยโรคอะไร ที่เราคาดเดากันนั้น คือการป่วยโรคเลือด แต่เจาะลงไปในรายละเอียดจริงๆ ไม่น่าจะมีใครรู้ นอกจากคนใกล้ชิด เรื่องข่าวลือของการติดเชื้อ HIV จากคนนั้นคนนี้ (หนึ่งในนั้นคือฟ้ารุ่ง) ยังไม่มีข้อพิสูจน์ เพราะเชื้อ HIV มันผ่านสู่พ่อไปสู่ลูกได้ และในช่วงที่เกิดทีปังกร วิวัฒนาการของการสร้างยา PreP น่าจะยังไม่ออกมา (ยา PreP คือยาที่ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ HIV แม้ว่าคุณมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ HIV แบบไม่ป้องกันก็ตาม) จะอย่างไรก็ตาม การติด HIV ในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนในสถานะแบบวชิราลงกรณ์นั้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องมีการถ่ายเลือดอย่างข่าวลือ ถ้าจะเป็นโรคเลือดอย่างอื่น ก็มีอีกหลายโรคที่คาดเดาได้ ส่วนตัวคิดว่า น่าจะมาจากยีนของวชิราลงกรณ์ ที่เกิดจากการสมสู่ของคนในครอบครัว ทำให้เกิดยีนด้อย อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคเลือด เอาละค่ะ การต้องทำการตรวจหรือถ่ายเลือดบ่อยๆ วชิราลงกรณ์ต้องการหาคลินิคที่ไว้ใจได้ เค้าสามารถค้นหาแพทย์คนหนึ่งที่สามารถตรวจหรือถ่ายเลือดให้เป็นประจำและพร้อมจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แพทย์คนนี้อยู่ในเมืองมิวนิค (ปล: ในปี 2007 ตอนที่ดิชั้นยังรับราชการที่สถานทูตไทยที่สิงคโปร์ ทูตไทยได้เรียกประชุมด่วนเพื่อแจ้งว่า มีข่าวว่าวชิราลงกรณ์อาจจะเสียชีวิตที่มิวนิค ด้วยโรคเลือด ตอนนั้นเราประชุมกันว่า หากเป็นจริง เราจะแจ้งฝ่ายสิงคโปร์อย่างไร รวมไปถึงจะจัดพิธีระลึกถึงอย่างไร ต้องมีหนังสือลงนามแสดงความอาลัยไหม ฯลฯ)

2. วชิราลงกรณ์ไม่อยากถูกจำกัดด้วยความรับผิดชอบจิปาถะที่ไทย และต้องการใช้ชีวิตอิสระ ห่างไกลผู้คน มิวนิคเป็นเมืองขนาดกลาง ไม่ cosmopolitan เหมือนลอนดอน ปารีส (ที่แน่ๆ ไม่เอาอเมริกาเพราะมันเป็นสาธารณรัฐจ๋า) เค้าต้องการเลือกเมืองขนาดปานกลางแบบนี้ ที่ไม่ต้องมีคนรู้จักมาก ที่ต้องมีบรรยากาศธรรมชาติไม่ห่างไกล เพราะเค้าชอบขี่จักรยาน และยังสามารถแต่งตัวพิลึกกึกกือได้ อย่างเสื้อกล้ามตัวจิ๋ว หรือการติดสติ๊กเกอร์แท๊ททู เรื่องการไปอยู่ต่างประเทศเพื่อหนีความวุ่นวายมันเป็นธรรมเนียมของเจ้าไทยบางองค์ เริ่มจากการไปเรียนนอกก่อน เมื่อมีความคุ้นเคย จึงอยากหลบหนีความวุ่นวายจากไทยอย่างที่บอก เริ่มจาก ร 5 ประพาสยุโรป (เป็นกษัตริย์องค์แรกที่ไป) จากนั้น ส่ง ร 6, 7 ไปอังกฤษ ส่งจักรพงษ์ภูวนาถไปรัสเซีย ส่งมหิดลไปอเมริกา (นี่แค่ตัวอย่างเท่านั้น จริงๆ ส่งลูกหลายคนไปเรียนนอก) ตัวในหลวงเองและพี่น้องเกิดต่างประเทศทั้งหมด (กัลยาณีเกิดลอนดอน อานันท์เกิดไฮเดลเบิร์ก ภูมิพลเกิดที่แมชซาชูเซส) และไปโตที่โลซาน์น ส่วนวชิราลงกรณ์ถูกส่งไปเรียนอังกฤษ จากนั้นไปจบวิชาทหารที่ออสเตรเลีย การหนีความวุ่นวายจากไทยไปมิวนิคสะท้อนให้เห็นความขาดความรับผิดชอบของวชิราลงกรณ์ในฐานะกษัตริย์ ซึ่งต่างจากวิธีของภูมิพลมาก ที่จำกัดเวลาการเดินทางต่างประเทศ และเมื่อเยือนประเทศสำคัญหมดแล้ว (แค่ในช่วงทศวรรษที่ 1950-60 เท่านั้น) ก็ยุติการเดินทางทั้งหมดเพื่อโฟกัสการสร้างฐานอำนาจในไทย (ยกเว้นการไปเปิดสะพานไทย-ลาวเมื่อปี 2537)

3. การชอบขับเครื่องบินเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อธิบายว่าทำไมถึงชอบไปอยู่ยุโรป จริงอยู่ อยู่ไทยก็ขับเครื่องบินได้ ส่วนตัวคิดว่า มันขาดทัศนียภาพและความหลายหลากของภูมิประเทศแบบยุโรป เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยไม่ต้องทำอะไร วันๆ ได้แต่ร่างจดหมายขออนุญาตประเทศต่างๆ ให้วชิราลงกรณ์บินเหนือน่านฟ้า ซึ่งต้องทำทุกครั้งที่บิน แล้วคิดดูว่า วชิราลงกรณ์บินถี่แค่ไหน มีอยู่ครั้งหนึ่ง วชิราลงกรณ์เปลี่ยนเส้นทางบิน คือบินจากเยอรมันเข้าอิตาลี แล้วไม่ได้ขออนุญาตบินผ่านน่านฟ้า จนทำให้อิตาลีเกือบยิงเครื่องบินตก เรื่องนี้วชิราลงกรณ์ทำผิดเอง แต่หวยไปลงที่ทูตไทยที่อิตาลี ที่ถูกด่าว่าไม่สามารถประนีประนอมกับฝ่ายอิตาลีได้ ผลคือมีการย้ายทูตกลับไทยภายใน 24 ชั่วโมง
ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังยืน
====================================
#สถาบันกษัตริย์กับการเมืองในปัจจุบัน ตอนที่ 15
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

ทำไมวชิราลงกรณ์ถึงไม่อยากอยู่ไทย และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ อันนี้เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย แน่นอน มันคงไม่มีคำตอบใดคำตอบเดียวที่ถูกต้อง และแน่นอน คงไม่มีใครรู้อย่างแน่แท้เพราะเราไม่ได้เข้าไปนั่งในใจของวชิราลงกรณ์ แต่ดิชั้นของประมวลสาเหตุหลักๆ มาดังนี้

1. เนื่องมาจากปัญหาสุขภาพ จนถึงวันนี้ ยังไม่มีข้อสรุปว่า วชิราลงกรณ์ป่วยด้วยโรคอะไร ที่เราคาดเดากันนั้น คือการป่วยโรคเลือด แต่เจาะลงไปในรายละเอียดจริงๆ ไม่น่าจะมีใครรู้ นอกจากคนใกล้ชิด เรื่องข่าวลือของการติดเชื้อ HIV จากคนนั้นคนนี้ (หนึ่งในนั้นคือฟ้ารุ่ง) ยังไม่มีข้อพิสูจน์ เพราะเชื้อ HIV มันผ่านสู่พ่อไปสู่ลูกได้ และในช่วงที่เกิดทีปังกร วิวัฒนาการของการสร้างยา PreP น่าจะยังไม่ออกมา (ยา PreP คือยาที่ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ HIV แม้ว่าคุณมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ HIV แบบไม่ป้องกันก็ตาม) จะอย่างไรก็ตาม การติด HIV ในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนในสถานะแบบวชิราลงกรณ์นั้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องมีการถ่ายเลือดอย่างข่าวลือ ถ้าจะเป็นโรคเลือดอย่างอื่น ก็มีอีกหลายโรคที่คาดเดาได้ ส่วนตัวคิดว่า น่าจะมาจากยีนของวชิราลงกรณ์ ที่เกิดจากการสมสู่ของคนในครอบครัว ทำให้เกิดยีนด้อย อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคเลือด เอาละค่ะ การต้องทำการตรวจหรือถ่ายเลือดบ่อยๆ วชิราลงกรณ์ต้องการหาคลินิคที่ไว้ใจได้ เค้าสามารถค้นหาแพทย์คนหนึ่งที่สามารถตรวจหรือถ่ายเลือดให้เป็นประจำและพร้อมจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แพทย์คนนี้อยู่ในเมืองมิวนิค (ปล: ในปี 2007 ตอนที่ดิชั้นยังรับราชการที่สถานทูตไทยที่สิงคโปร์ ทูตไทยได้เรียกประชุมด่วนเพื่อแจ้งว่า มีข่าวว่าวชิราลงกรณ์อาจจะเสียชีวิตที่มิวนิค ด้วยโรคเลือด ตอนนั้นเราประชุมกันว่า หากเป็นจริง เราจะแจ้งฝ่ายสิงคโปร์อย่างไร รวมไปถึงจะจัดพิธีระลึกถึงอย่างไร ต้องมีหนังสือลงนามแสดงความอาลัยไหม ฯลฯ)

2. วชิราลงกรณ์ไม่อยากถูกจำกัดด้วยความรับผิดชอบจิปาถะที่ไทย และต้องการใช้ชีวิตอิสระ ห่างไกลผู้คน มิวนิคเป็นเมืองขนาดกลาง ไม่ cosmopolitan เหมือนลอนดอน ปารีส (ที่แน่ๆ ไม่เอาอเมริกาเพราะมันเป็นสาธารณรัฐจ๋า) เค้าต้องการเลือกเมืองขนาดปานกลางแบบนี้ ที่ไม่ต้องมีคนรู้จักมาก ที่ต้องมีบรรยากาศธรรมชาติไม่ห่างไกล เพราะเค้าชอบขี่จักรยาน และยังสามารถแต่งตัวพิลึกกึกกือได้ อย่างเสื้อกล้ามตัวจิ๋ว หรือการติดสติ๊กเกอร์แท๊ททู เรื่องการไปอยู่ต่างประเทศเพื่อหนีความวุ่นวายมันเป็นธรรมเนียมของเจ้าไทยบางองค์ เริ่มจากการไปเรียนนอกก่อน เมื่อมีความคุ้นเคย จึงอยากหลบหนีความวุ่นวายจากไทยอย่างที่บอก เริ่มจาก ร 5 ประพาสยุโรป (เป็นกษัตริย์องค์แรกที่ไป) จากนั้น ส่ง ร 6, 7 ไปอังกฤษ ส่งจักรพงษ์ภูวนาถไปรัสเซีย ส่งมหิดลไปอเมริกา (นี่แค่ตัวอย่างเท่านั้น จริงๆ ส่งลูกหลายคนไปเรียนนอก) ตัวในหลวงเองและพี่น้องเกิดต่างประเทศทั้งหมด (กัลยาณีเกิดลอนดอน อานันท์เกิดไฮเดลเบิร์ก ภูมิพลเกิดที่แมชซาชูเซส) และไปโตที่โลซาน์น ส่วนวชิราลงกรณ์ถูกส่งไปเรียนอังกฤษ จากนั้นไปจบวิชาทหารที่ออสเตรเลีย การหนีความวุ่นวายจากไทยไปมิวนิคสะท้อนให้เห็นความขาดความรับผิดชอบของวชิราลงกรณ์ในฐานะกษัตริย์ ซึ่งต่างจากวิธีของภูมิพลมาก ที่จำกัดเวลาการเดินทางต่างประเทศ และเมื่อเยือนประเทศสำคัญหมดแล้ว (แค่ในช่วงทศวรรษที่ 1950-60 เท่านั้น) ก็ยุติการเดินทางทั้งหมดเพื่อโฟกัสการสร้างฐานอำนาจในไทย (ยกเว้นการไปเปิดสะพานไทย-ลาวเมื่อปี 2537)

3. การชอบขับเครื่องบินเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อธิบายว่าทำไมถึงชอบไปอยู่ยุโรป จริงอยู่ อยู่ไทยก็ขับเครื่องบินได้ ส่วนตัวคิดว่า มันขาดทัศนียภาพและความหลายหลากของภูมิประเทศแบบยุโรป เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยไม่ต้องทำอะไร วันๆ ได้แต่ร่างจดหมายขออนุญาตประเทศต่างๆ ให้วชิราลงกรณ์บินเหนือน่านฟ้า ซึ่งต้องทำทุกครั้งที่บิน แล้วคิดดูว่า วชิราลงกรณ์บินถี่แค่ไหน มีอยู่ครั้งหนึ่ง วชิราลงกรณ์เปลี่ยนเส้นทางบิน คือบินจากเยอรมันเข้าอิตาลี แล้วไม่ได้ขออนุญาตบินผ่านน่านฟ้า จนทำให้อิตาลีเกือบยิงเครื่องบินตก เรื่องนี้วชิราลงกรณ์ทำผิดเอง แต่หวยไปลงที่ทูตไทยที่อิตาลี ที่ถูกด่าว่าไม่สามารถประนีประนอมกับฝ่ายอิตาลีได้ ผลคือมีการย้ายทูตกลับไทยภายใน 24 ชั่วโมง

====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว สิ่งหนึ่งที่วชิราลงกรณ์ต้องการทำคือ การรวบอำนาจทางการเมือง แน่นอน เค้าไม่อาจพาไทยกลับไปสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ (absolute monarchy)​ ในความเห็นดิชั้น เราหน้าจะเดินไปสู่สิ่งที่เรียกว่าเป็นการเกิดอีกครั้งของระบอบราชานิยมแบบสมบูรณ์ (royal absolutism) ซึ่งจะนำมาใช้ควบคู่และกดทับประชาธิปไตย ทีนี้ การรวบอำนาจทางการเมืองมันทำได้หลายอย่าง ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่การจัดระเบียบอำนาจในวัง การทำงานกับกองทัพและพรรคการเมือง การกำจัดผู้เห็นต่างทั้งหลาย อีกส่วนที่จะพูดในวันนี้คือ การรวบอำนาจผ่านการรวบพื้นที่ (spatial centralization) นั่นคือ ความพยายามของวชิราลงกรณ์ในการยึดที่ดินที่เคยเปิดให้สาธารณชนใช้ประโยชน์ มาอยู่ภายใต้ความเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ที่ทำผ่านสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

….ก่อนไปถึงตรงนั้น ขอพูดเรื่องหมุดคณะราษฏร์ จนถึงป่านนี้ สาธารณชนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า วชิราลงกรณ์อยู่เบื้องหลังหมุดหาย (และถูกทำลายไปแล้ว) เพราะสถานการณ์รอบข้างการสูญหายมันบอกอย่างนั้น ตั้งแต่มันถูกขโมยหายตอนกลางคืน ไปสู่การเอาของใหม่มาติด แล้วใครเข้าไปวุ่นวานกับหมุดใหม่ ก็จะถูกทางการเล่นงาน วชิราลงกรณ์เกลียดคณะราษฏร์ เพื่อมองว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่ขโมยอำนาจทางการเมืองของกษัตริย์ไป โดยเฉพาะความเกลียดที่มีต่อจอมพล ป ที่ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ มีเรื่องเล่าว่า ตอนวชิราลงกรณ์อายุ 5 ขวบ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ ป เป็นนายก ป ได้เข้าไปตีกอล์ฟในวังจิตรลดา ให้ทำภูมิพลโกรธมาก และในที่สุด สมรู้ร่วมคิดต่อการทำรัฐประหาร ป ตอนนั้น แม้ยัง 5 ขวบ แต่วชิราลงกรณ์ยังจำความได้ และก็พลอยเกลียด ป ตั้งแต่บัดนั้น เรื่องนี้ดิชั้นเล่าหลายครั้ง ในวังของวชิราลงกรณ์ มีรูปปั้นหมา แต่หัวเป็น ป เอาไว้เพื่อเป็นการดูถูกเท่านั้น อ้อ ส่วนเรื่องหมุดใหม่ ที่มีการจารึกข้อความใหม่ ก็สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของไทยในอดีตภายใต้สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยิ่งสะท้อนความต้องการของชิราลงกรณ์ในการหวนสู่การสร้างอำนาจกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา

…หมุดหายแล้ว จากนั้นก็ยึดพื้นที่และอาคารต่างๆ คือ อาทิ รัฐสภา เขาดิน สนามม้านางเลิ้ง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และสวนสุนันทา ที่ดินเหล่านี้เคยเป็นของรัชกาลที่ 5 แล้วต่อมาอยู่ภายใต้การดูแลของ สนง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อย่างเขาดิน ซึ่งเคยเป็นสวนพฤกษชาติ (botanic garden) ที่ ร 5 สร้างเรียนแบบสวนต่างๆ ในยุโรป ซึ่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฏร์ก็ยึดเอามาทำประโยชน์ต่อสาธารณะ เรื่องนี้ วชิราลงกรณ์ไม่ยอมและได้ยึดคืนทั้งหมด แถมปิดไม่ได้สาธารณชนได้ใช้ ในนัยหนึ่ง ดิชั้นคิดว่าวชิราลงกรณ์ต้องการอัพเกรดกรุงเทพให้เป็นเมืองแบบลอนดอน ที่สถาปัตยกรรมต่างๆ มันสะท้อนความเป็นเจ้าและได้รับการดูแลอย่างดี แต่มันไม่ใช่ประเด็นการดูแลอย่างดีเท่านั้น มันยังเป็นเรื่องของอำนาจเหนือพื้นที่ด้วย ใครรู้จักลอนดอนจะเข้าใจว่า พื้นที่ที่เป็นตัวแทนสัญลักษณ์มีอยู่ทั่วไปและอยู่ติดๆ กัน มันสะท้อนถึงความอลังการของจักรวรรดิ์อังกฤษ ตั้งแต่วังบัคกิ้งแฮม the mall สวน St James สวน Green Park สวน Regent’s Park และ Hype Park เชื่อว่า วชิราลงกรณ์กำลังเปรียบเปรยความยิ่งใหญ่ของตัวเองกับอังกฤษ จึงต้องการสร้างพื้นที่ในส่วนพระบรมมหาราชวัง ให้เป็น​ “พื้นที่เจ้า” ที่มีความศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

….ในการยึดพื้นที่เหล่านั้นคืน เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์แบบใหม่ที่อิงกับเจ้านั้น วชิราลงกรณ์ได้สั่งให้มีการรื้อถอน ถอดทิ้ง โยกย้าย เปลี่ยนชื่อ เพื่อลบล้างผลพวงของคณะราษฏร์ เช่น การย้ายอนุสาวรีย์ปราบกบฏ ทำล้ายรูปปั้นสมาชิกคณะราษฏร์ เปลี่ยนชื่อสถานที่เหล่านั้นกลับมาเป็นชื่อของสมาชิกครอบครัวตัวเอง กองทัพตอบสนองด้วยการเปลี่ยนชื่ออาคารให้อยู่ในชื่อนักรบรอยัลลิสต์เจ้าในอดีต นี่คือการกระบวนการสร้างประวัติศาสตร์แบบใหม่ ที่ต้องการเขี่ยทิ้งการอภิวัฒน์สยาม 2475

….ตอนหน้าจะมาพูดถึงเรื่องการตั้งฮาเร็มของวชิราลงกรณ์ค่ะ
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ




====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

ตอนที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นข้อมูลจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ค่ะ เรื่องการสร้างฮาเร็มของวชิราลงกรณ์
…ฮาเร็มเป็นเรื่องปกติของเจ้า เป็นชื่อเสียงที่ชาวตะวันตกเข้าใจถึงกษัตริย์ของสยามตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ที่ยึดหลักปฏิบัติการมีหลายเมีย (polygamy) จากรัชกาลที่ 4 ไปสู่รัชกาลที่ 5 ที่มีการตั้งฮาเร็มอย่างเป็นเรื่องเป็นราว สาเหตุของการตั้งฮาเร็มในสมัยนั้นมันไม่ใช่แค่ความใคร่ของกษัตริย์ แต่มันยังตอบสนองต่อผลประโยชน์ทางการเมืองใน 2 ข้อ คือ 1) การใช้ความเป็นผัวเมียในการสร้างพันธมิตรกับครอบครัวขุนนาง หรือแม้แต่พันธมิตรกับราชอาณาจักรเพื่อนบ้าน เรื่องนี้ ยกตัวอย่างที่ ร 5 เอาคนในตระกูลบุนนาคมาเป็นเมีย หรือการเอาเจ้าหญิงของล้านนามาเป็นเมีย เพราะมีข่าวว่า ล้านนาอาจไปสวามิภักดิ์กับอังกฤษที่ตอนนั้นได้ยึดครองพม่าแล้ว เป็นต้น และ 2) การสืบสันตติวงศ์ด้วยความมั่นคงจำเป็นต้องมีตัวเลือกจำนวนมาก นั่นคือการขยาย pool ของการสืบราชสมบัติ
….แต่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลักปฏิบัติสากลอย่างรวดเร็วในต้นศตวรรษที่ 20 ที่ความเป็นผัวเดียวเมียเดียวกลายมาเป็นนอร์มใหม่ บวกกับในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่เป็นเกย์ (แบบไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ) ไม่พึงประสงค์ที่จะมีฮาเร็ม (ที่ตีความอย่างเดียวว่าสำหรับผู้หญิง) แม้ในความเป็นจริง ร 6 ได้สร้างฮาเร็มชายไว้ในที่ประทับด้วยซ้ำ เรื่องนี้ ฝรั่งให้ความสนใจมาก อย่างโทรเลขของสถานทูตสหรัฐที่ได้เคยเอามาลงแล้ว มีการรายงานกลับไปกรุงวอชิงตันว่า ร 6 ไม่มีฮาเร็ม ถือเป็นการเปลี่ยนหลักปฏิบัติเรื่องครอบครัวไปสู่ความเป็นสมัยใหม่
…..จากรัชกาลที่ 7 หรือรัชกาลที่ 9 หลักปฏิบัตินี้คงอยู่ โดยเฉพาะ ร 9 ที่มีความเคร่งครัดในเรื่องการสร้าง happy family ครอบครัวเป็นสุขเพื่อเป็นทั้งตัวอย่างให้กับคนไทย และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของกษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เราถึงไม่เคยได้ยินเรื่อง ร 9 แอบไปมีอะไรกับใคร ในจุดนี้ ดิชั้นคิดว่า ข่าวลือเรื่อง ร 9 มีเมียน้อยอะไรทั้งหลาย เป็นเรื่องไม่จริง... ผ่านมาสู่ ร 10 อย่างที่เรารู้กันอยู่ การตั้งฮาเร็มมันไม่ใช่การตั้งในแง่ยุทธศาสตร์ทางการเมืองอีกแล้ว มันเป็นเรื่องความใคร่ล้วนๆ ที่วชิราลงกรณ์เป็นมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม
…นิสัยการชอบกินหลากหลายมาเกิดในช่วงที่วชิราลงกรณ์แต่งงานกับโสมสวลี ที่ถูกจับให้แต่งแบบคลุมถุงชน จากนั้น วชิราลงกรณ์ก็หันไปชอบยุวธิดา ชอบแบบชอบมาก ชอบจริงๆ ตามข้อมูลที่ได้รับมานั้น วชิราลงกรณ์ถึงขนาดเดินทางไปบ้านพ่อแม่ยุวธิดาเพื่อขอลูกสาวมาเป็นเมีย อยู่กินกับยุวธิดามาได้พักหนึ่ง ทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ผลิตลูกถึง 5 คน ในช่วงนี้แหละ ที่วชิราลงกรณ์เริ่มเบื่อหน่ายชีวิตผัวเดียวเมียเดียว แล้วเริ่มไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จำนวนมาก เรื่องนี้ ยุวธิดารับไม่ได้ในช่วงแรก แต่เมื่อคำนึงถึงความจำเป็นที่ต้องผ่อนปรน เพื่อแลกกับตำแหน่งราชินีในอนาคต ในที่สุด ยุวธิดาถึงยอมให้สามีจัดตั้งฮาเร็มภายในวัง ผู้หญิงที่จะเข้ามาอยู่ในฮาเร็มต้องได้รับความเห็นชอบจากยุวธิดาก่อน คือนางถือคติว่า ถ้าจะกิน อย่าออกไปกินนอกบ้าน กินในบ้านดีกว่า อย่างน้อยประชาชนไม่รู้ไม่เห็น และก็ยังสามารถรักษาภาพลักษณ์ของครอบครัวไว้ได้
….การอยู่กันสมัยนั้นก็คือ ยุวธิดาอยู่บ้านหลังใหญ่ ในรั้วเดียวกัน มีบ้านเล็กบ้านน้อยย่อยออกไป และมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่ได้ถูกคัดเลือกให้มาอยู่ในฮาเร็ม ผู้หญิงเหล่านี้มาจากไหน ส่วนหนึ่งมาจากการ recruit โดยผ่านช่องทางราชวัลลภ ส่วนหนึ่งมาจากการใส่พานถวายของผู้มีอิทธิพลที่ใกล้ชิดกับวชิราลงกรณ์ เช่นกรณีของศรีรัศมิ์ เป็นต้น แรกๆ ยุวธิดาก็อดทนดี จนเมื่อความใคร่ที่มีกับยุวธิดามันหายไป วชิราลงกรณ์ก็ไปอยู่ที่ฮาเร็มทั้งวันทั้งคืน ยุวธิดายังทน เพราะตราบใดที่ตัวเองยังเป็นหนึ่ง ก็ยังยอมได้
…แต่ไอ้ความเป็นหนึ่งมันไม่ยืดยาว ศรีรัศมิ์ได้รับการส่งใส่พานมาให้ พื้นเพเดิมตามข้อมูลที่ได้คือเคยทำงานในสถานบันเทิง แล้วผู้มีอิทธิพลไปเจอ และคิดว่าเป็นสเป็คของวชิราลงกรณ์ เลยเอามาส่งให้ ซึ่งวชิราลงกรณ์ถูกใจ เพราะอี๊ดใจถึง ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะลดความเป็นมนุษย์ของตัวเอง เราจึงเห็นคลิปและภาพต่างๆ ของศรีรัศมิ์มากกว่าคนอื่นๆ อาทิ คลิปริมสระที่มีมาหลายปีแล้ว และภาพนิ่งเรทเอ๊กซ์ เรื่องนี้แหละที่ทำให้ยุวธิดาไม่ยอม เพราะรู้สึกว่า อี๊ดจะเข้ามาแทนที่ตัวเอง นำไปสู่การมีปากมีเสียงกันหลายครั้ง ดังที่เราได้ยินในเสียงในโทรศัพท์ที่รั่วออกมา ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า อี๊ดคือผู้ทำลายครอบครัวเบ๊นซ์​ แล้ววันหนึ่งมันก็กลับมาตอบสนองอี๊ดเหมือนกัน
….กรณีการเลิกกับเบ๊นซ์ เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ความรุนแรง การทำให้อาย เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการหย่า มีการใส่ร้ายเรื่องยาเสพติด มีการส่งแฟ๊กซ์ประจานเบ็นซ์ไปสถานที่ราชการต่างๆ เผาเสื้อผ้าเบ๊นซ์ต่างๆ นานา เรื่องนี้ มีข้อกล่าวหาหนึ่งที่เป็นความจริง คือเบ๊นซ์คบชู้ แต่ผู้ให้ข้อมูลเห็นว่า มันเกิดมาจากความอ้างว้างของเบ๊นซ์ เพราะเมื่อวชิราลงกรณ์หันไปติดผู้หญิงอื่น เบ๊นซ์จึงไปคบกับชายอื่น เพราะความเหงา หรือส่วนหนึ่งมาจากความต้องการล้างแค้นเช่นกัน
…ในสมัยอี๊ด ฮาเร็มก็ยังมีอยู่ แต่อี๊ดอยู่เหนือฮาเร็มเหล่านั้น ในช่วงที่ผัวหลงมากๆ อี๊ดตื้อให้มีลูก เพราะเป็นการปูทางถึงอนาคตตัวเอง และในที่สุด วชิราลงกรณ์ก็ยอมตาม แต่เรื่องมันเกิดซ้ำซาก เพราะในจังหวะเดียวกันนั้น วชิราลงกรณ์ก็เริ่มรู้จักนุ้ย เจอกันบนเครื่องการบินไทย เมื่อเทียบกับเมียในอดีตหรือผู้หญิงในฮาเร็ม นุ้ยมีการศึกษามากสุด และไม่ได้มาจากคาเฟ่ เหมือนคำที่มีคนด่าอี๊ด การคบซ้อนแบบนี้ แรกๆ อี๊ดยอมได้ เพราะตอนนั้นมีทีปังกรแล้ว และยังคิดเข้าข้างตัวเองว่า ผัวไม่มีวันทิ้ง แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อนุ้ยเริ่มถีบตัวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่ง อี๊ดยอมไม่ได้ ถึงขนาดมีการราวีตบตีกัน จนวชิราลงกรณ์โมโห ถึงขนาดด่าอี๊ดว่า มึงมันเป็นอีกะหรี่ กะหรี่คือกะหรี่วันยังค่ำ จริงๆ วชิราลงกรณ์มองอี๊ดอย่างนั้นมาตลอด มิฉะนั้นจะยอมให้อี๊ดแก้ผ้าต่อหน้าข้าราชบริพารได้อย่างไร
…ตอนจบของอี๊ดเหมือนที่เรารู้กันอยู่ โหดร้ายกว่าเบ๊นซ์ เพราะอย่างน้อยเบ๊นซ์ยังหนีทัน หลังจากคบกับนุ้ยได้สักพัก ฮาเร็มยังขยายตัวมากขึ้นต่อไป ส่วนหนึ่งเพราะราชวัลลภได้รับการโปรโมทมากขึ้น มีทหารหญิงเข้ามาสมัครเป็นจำนวนมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือก้อย สินีนาฏ ที่เล็งเห็นช่องทางการขึ้นไปสู่การเป็นคนใกล้ชิดวชิราลงกรณ์ เรื่องนี้ นุ้ยยอมตามทุกอย่าง ยอมเรื่องฮาเร็ม เพราะนุ้ยเข้าใจสถานะตัวเอง และโดยพื้นฐาน นุ้ยไม่ได้เป็นคนโหวกเหวกโวยวาย คือมีการศึกษาว่างั้น จึงยอมทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องตั้งก้อยเป็นเมียน้อยทางการด้วย จุดนี้เองที่ดิชั้นคิดว่า สำหรับวชิราลงกรณ์ นุ้ยเหมาะที่จะเป็นราชินีมากกว่าใคร
…ก้อยเริ่มเข้ามาสมัครเป็นพยาบาลในราชวัลลภ ด้วยกลเม็ดเด็ดพราย เริ่มไต่เต้าไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งโอกาสมาถึงที่ทำให้ก้อยเป็นที่เตะตาวชิราลงกรณ์ ส่วนที่เหลือเรารู้กันอยู่ว่าก้อยกลายเป็นคนโปรด ถึงขนาดหนีบให้ไปอยู่ที่เยอรมันด้วยกัน และย้ายนุ้ยไปสวิสเพื่อป้องกันความระหองระแหง ก้อยเป็นคนใจถึง และเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมแปลกๆ ของวชิราลงกรณ์ ตั้งแต่เรื่องการแต่งตัว การติดแท็ททูปลอม การเดินห้างแบบนั้น เดินกินไอติมกลางดึก การเสพสารต่างๆ จนถึงเช้า แล้วไปสนามบินแบบนั้น แต่งตัวแบบนั้น ไฮแบบนั้น ดังที่เราเห็นในรูปภาพอย่างดาษดื่น
…จุดจบของก้อยคือการปีนเกลียว น่าจะมาจากความพยายามมากไปของก้อย ทั้งในแง่การชิงดีชิงเด่นกับนุ้ย ในแง่การปีนเกลียวกับองค์ภา ในแง่การใช้ชื่อผัวไปกร่างกับคนทั่วไป ซึ่งทำให้เสี่ยต้องกำจัดออกไป มีรายงานว่า ในช่วงที่ยังอยู่กับก้อย ฮาเร็มเป็นสถานที่ครื้นเครงมาก เพราะมีการคัดตัวทหารหญิงล๊อตใหม่มากกว่า 20 คน จัดปาร์ตี้ออร์จี้ แล้วก้อยนี่แหละที่เป็นแม่งาน สาวๆ ในฮาเร็มได้รับการโปรโมททุกคน โดยการมอบนามสกุลใหม่ให้ ในนัยหนึ่ง วชิราลงกรณ์ต้องการให้สาธารณชนรับรู้ถึงการมีอยู่ของฮาเร็มอย่างเป็นทางการ สาวๆ ต้องปฏิบัติตามกฎของราชวัลลภโดยเฉพาะในเรื่องวินัยและการแต่งตัว นั่นเป็นที่มาว่าทำไมทุกคนถึงตัดผมสั้น รวมถึงก้อยด้วย ทุกวันนี้ ฮาเร็มถูกย้ายออกจากไทยไปอยู่ที่โรงแรมในเยอรมัน ดังที่สื่อต่างประเทศรายงานให้เราทราบ
ในภาพอาจจะมี 6 คน, ผู้คนกำลังยืน





====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

ปัญหาหนึ่งของการไม่เข้าใจการปกครองของวชิราลงกรณ์คือ การเข้าไม่ถึงข้อมูลส่วนตัว ในสมัยภูมิพล เรื่องส่วนตัวเจ้าส่วนหนึ่งมันปรากฏในข่าวในพระราชสำนัก แม้มันจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่มันก็ทำให้เราเห็นภาพบางอย่าง ที่สามารถนำไปใช้ตีความต่อได้ ส่วนหนึ่ง ภูมิพลมีความมั่นในใจการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวบางอย่าง สาเหตุหนึ่งก็เพราะ ภูมิพลมีทีมงานที่ปรึกษาที่ดี ในความเป็นจริง เค้ามีที่ปรึกษาในเกือบจะทุกด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเกษตร หรือแม้แต่ด้านสื่อ บุคคลที่เคยอยู่ในการประชุมกับภูมิพลจะรู้ว่า ภูมิพลไม่มีไอเดียอะไรมาก คอยแต่จะเอาไอเดียจากคนอื่น แต่นั่นก็ถือว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งการในเอาไอเดียคนอื่นมาปรับใช้และเคลมว่าเป็นของตัวเอง

….ในตอนนี้ นี่คือสิ่งที่ต้องการพูด ใครคือที่ปรึกษาวชิราลงกรณ์ คำตอบง่ายๆ เลย ไม่มีใครรู้เป็นที่แน่แท้ ก็เดาๆ ไปบ้าง เพราะเราจะไม่เห็นบุคคลรอบข้างวชิราลงกรณ์นอกจากเมีย นอกจากนี้ วชิราลงกรณ์ไม่มี “พระราชกรณียกิจ” จึงทำให้ไม่มีความจำเป็น (มั้ง) ในการแสวงหาที่ปรึกษา ทั้งนี้ทั้งนั้น วชิราลงกรณ์มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง เห็นการทำงานของพ่อมาทั้งชีวิต ต่างจากพ่อที่เริ่มงานนี้เมื่อยังเป็นเด็กเลยต้องมีคนประคับประคอง แต่วชิราลงกรณ์เห็นว่าพ่อทำอย่างไรบ้าง รู้กลไกอำนาจรัฐ และสามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง

…วชิราลงกรณ์อาจมีคนสนิทรู้ใจอยู่บ้าง มีกระแสข่าวเรื่องอำพน กิตติอำพน ที่ตอนนี้เป็นกรรมการ สนง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และที่ปรึกษาโครงการจิตอาสา มีพลากร สุวรรณรัฐ ที่เป็นองคมตรีอยู่ แต่ก็แค่นั้น ต้องขอย้ำอีกทีว่า ในความเป็นจริง วชิราลงกรณ์อาจจะมีคณะที่ปรึกษาก็ได้ ที่เราไม่รู้ แต่ดูจากรูปการณ์แล้ว ดิชั้นไม่เชื่อ ส่วนหนึ่งเพราะนิสัยส่วนตัวของวชิราลงกรณ์ ที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ ไม่มีใครอยากเป็นที่ปรึกษา เพราะไม่ชอบฟังสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ จะฟังแต่ที่ตัวเองจะเชื่อ ข้อมูลภายในแจ้งว่า ทุกวันนี้ พวกประยุทธ์ยังต้องรายงานข่าวการเมืองแบบที่วชิราลงกรณ์อยากฟัง ไม่ได้มาจากความเป็นจริง อาทิ การรายงานว่าการเคลื่อนไหวของนักศึกษามีทักษิณและธนาธรอยู่เบื้องหลัง วชิราลงกรณ์ชอบอ่านแนวหน้า ไทยโพสต์ สยามรัฐ แต่จะไม่อ่านมติชนหรือช่าวสด เอาจริงๆ วชิราลงกรณ์ก็คือสลิ่มตัวพ่อนั่นเอง

…วชิราลงกรณ์ไม่ชอบคนประจบสอพลอ แต่ก็ไม่อยากฟังอะไรที่มันบาดหู มีกรณีทูตไทย รัฐกิจ มานะทัต พยายามวิ่งเต้นหลังจากถูกย้ายจากการเป็นทูตที่เบิรน์​ (สวิตเซอร์แลนด์) เพื่อจะกลับไปปักกิ่ง มาวุ่นวายกับวชิราลงกรณ์ เลยถูกส่งไปอังการา ตุรกี แทน นอกจากนี้ คนที่กระทรวงต่างประเทศเล่าด้วยว่า วชิราลงกรณ์เกลียดคนผมหงอก (55555 อันนี้จริง คงเกลียดเพราะ สศจ) เลยบังคับให้ทูตไทยที่ต้องเข้าเฝ้าก่อนไปประจำการต่างประเทศทุกคนต้องย้อมผมเป็นสีดำ คือรัฐกิจหัวหงอกทั้งหัว เลยต้องไปรีบย้อมผมเพื่อเข้าเฝ้า ก่อนที่วชิราลงกรณ์จะโกรธไปมากกว่านี้ เรื่องนี้ถาม คน กต ได้ รู้กันทั่ว

….แต่มีที่ปรึกษาคนหนึ่งที่วชิราลงกรณ์จะฟัง นั่นคือที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยส่วนตัว นั่นคือ จักรภพ ภูริเดช มันเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด มีทั้งรักทั้งเกลียด เอาจริงๆ เหมือนผัวเมียด้วยซ้ำ ตระกูลภูริเดชรับใช้วชิราลงกรณ์มานาน เลยได้การปูนบำเหน็ดทั้งครอบครัว รวมถึงการแต่งตั้งน้องไอ้ค้อก จิรภพ เป็นผู้บังคับการกองปราบ ไอ้ค้อกได้กลายมาเป็น security guard ให้วชิราลงกรณ์ อย่างที่เรารู้ เป็นมือสังหารให้เสี่ย อยู่เบื้องหลังการกำจัดศัตรูทางการเมือง (กลุ่มหมอหยอง ปรากรมและพิสิษฐ์ศักดิ์) และการกำจัดผู้ลี้ภัยในต่างประเทศ เคยร่วมมือกับก้อยวางแผนการตัดกำลังผู้ลี้ภัยในต่างประเทศด้วย

…แต่ค้อกก็ทำให้วชิราลงกรณ์กริ้วหลายครั้ง ครั้งที่ถูกเด็กเยอรมันลอบยิงด้วยปืนลม อันนั้นทำให้การรักษาความปลอดภัยของวชิราลงกรณ์ต้องบกพร่อง แต่อันที่วชิราลงกรณ์โกรธมากก็คือ การปล่อยให้ปาปารัสซี่เข้าถึงตัว และถ่ายภาพที่วชิราลงกรณ์กับก้อยใส่เสื้อกล้ามตัวจิ๋วยืนบนยอดเขาสกี แถมดิชั้นเป็นคนแรกที่ได้ภาพนั้นมา ทำให้วชิราลงกรณ์โกรธค้อกมาก เลยสั่งให้มีการปลดค้อกแบบฟ้าผ่าเพราะควบคุมความโกรธไม่ได้ แต่สายดิชั้นแจ้งล่วงหน้าว่า การปลดแบบนี้เป็นแค่ชั่วคราว พออารมณ์ดี ก็คืนตำแหน่งให้ แล้วมันก็เป็นจริง มีการคืนตำแหน่งจริงๆ อาจสรุปได้ว่า ในบรรดาคนใกล้ชิดวชิราลงกรณ์ทั้งหมด จักรภพ ภูริเดชคือคนใกล้ชิดที่สุด
ในภาพอาจจะมี 2 คน




====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

ความสัมพันธ์ระหว่างวชิราลงกรณ์กับทักษิณเป็นประเด็นที่พูดกันมาก แม้แต่ตัวดิชั้นเองที่ได้มีโอกาสคุยกับคุณทักษิณหลายครั้ง ก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของคนทั้งสอง เรื่องนี้ลือกันมาก ตั้งแต่ก่อนทักษิณเป็นนายก และยิ่งหนาหูเมื่อตอนทักษิณเป็นนายกแล้ว จนถึงขนาดทูตสหรัฐเอาไปเขียนรายงานกระทรวงการต่างประเทศที่วอชิงตันว่า ทักษิณมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ่งกับวชิราลงกรณ์ จนทำให้อีลีทไทยคนอื่นๆ หวั่นใจว่า วชิราลงกรณ์จะหันไปร่วมมือกับทักษิณแล้วกินรวบการเมืองไทย

….ข่าวลือมันมาจากไหน มันมาจากความพยายามของทักษิณในการเอาใจเจ้า เรื่องนี้เขียนไปแล้ว คือทักษิณจะเอาทุกอย่าง อยากได้อำนาจทางการเมือง และทำได้สำเร็จ แต่การได้อำนาจทางการเมืองนั้น ทำให้ต้องเป็นอริกับฝ่ายเจ้า ซึ่งทักษิณก็พยายามที่จะดีด้วย แต่ไม่เป็นผล เพราะทักษิณถูกมองเป็นภัยตั้งแต่วินาทีแรกที่เค้าชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย นี่มันคือความน่าเสียดายที่ทักษิณไม่ต้องการใช้พลังมวลชนเปลี่ยนการเมืองแบบใหม่ และดับเครื่องชนระบบเจ้าที่มันเกาะกินมานาน ในทางตรงข้าม อำนาจก็จะเอา เจ้าก็จะเลีย ผลสุดท้าย คนไทยกลายเป็นผู้รับกรรม

…ข่าวลือคือ เมื่อทักษิณไม่สามารถทำให้ภูมิพลรักได้ ก็ต้องไปเอาใจวชิราลงกรณ์แทน โดยการเป็นเจ้ามือจ่ายค่าโน่นค่านี่ให้ รวมถึงข่าวลือของการออกเงินช่วยซ่อมวังที่นนทบุรี แต่จดบัดนี้ เราก็ยังไม่เห็นหลักฐานอันนั้น จากนั้นมันก็มีสัญลักษณ์อื่นๆ ที่ทำให้หลายคนเชื่อว่า สองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อาทิ การที่ทักษิณให้สัมภาษณ์ใน นสพ ไทม์ ของอังกฤษ บอกว่า รัชสมัยหน้า ​(ร 10) จะต้องดีกว่า สว่างกว่า รัชสมัยปัจจุบัน (ตอนพูดนั้น ภูมิพลยังไม่ตาย) ทำให้ฝ่ายเจ้าโกรธและฟ้องทั้งทักษิณและนักข่าวอังกฤษด้วย 112 <https://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/2009/11/09/thaksin-and-the-golden-age/>

….ถามว่าเชื่อไหมว่าคนสองคนมีการสื่อสารกัน อันนี้ดิชั้นเชื่อแน่ๆ ว่ามีการสื่อสารโดยผ่านตัวกลาง ทักษิณยังมีคนที่พอพึ่งได้ในวังที่จะเป็นคนส่งสัญญาณต่างๆ อาทิ สัญญาณว่าตัวเองต้องหนีออกไป สัญญาณที่ส่งต่อไปยิ่งลักษณ์ว่าต้องหนี รวมถึงเพื่อนพ้องทางการเมืองที่เป็นตัวกลางให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอนุทิน หรือแม้แต่ประวิตรเองก็ตาม ประวิตรมีความสนิทสนมกับตระกูลดามาพงศ์มาก และยังมีความเกรงใจคุณหญิงพจมานอย่างที่สุด พยายามที่จะแยกความเกลียดทักษิณออกจากพจมาน เราจะสังเกตเลยว่า คนจะด่าทักษิณอย่างไร พจมานไม่ถูกลากไปเกี่ยวด้วย เมื่อตอนอีทยาจาก กปปส ไล่ด่าคุณหญิงที่เอ็มโพเรียม หลังจากนั้น อีทยาถูก “ผู้ใหญ่” เรียกไปด่าว่า อย่าไปยุ่งกับคุณหญิงพจมาน

…ต่อมาก็เกิดปรากฏการณ์เสื้อแดง ใครจำได้ไหมว่ามีวาทกรรม “เรารักพระบรม” ออกมาจากคนเสื้อแดง ดิชั้นฟังแล้วป่วย บอกเลย ต้องการปลดแอกออกจากระบบภูมิพล แต่กลับจะเอาตัวเองไปอยู่ในระบอบวชิราลงกรณ์ ดิชั้นเองเอาเรื่องนี้มาล้อ การปาฐกถาครั้งสุดท้ายของดิชั้นที่กรุงเทพ ดิชั้นใส่เสื้อตัวนี้ขึ้นเวที เป็นการพูดวิจารณ์วชิราลงกรณ์อย่างตรงไปตรงมา ตอนนั้นยังคิดเลยว่าอีกไม่นานดิชั้นคงถูกจับ ไม่นานก็เกิดรัฐประหาร และอย่างที่เราทราบกันอยู่ว่าดิชั้นโดนอะไรบ้าง กลับมาที่คนเสื้อแดง ส่วนหนึ่งบอกว่า ไอ้แคมเปญเรารักพระบรมเป็นการตอกกลับกลุ่มรอยัลลิสต์ให้มันดิ้นตาย โดยเฉพาะถ้าเห็นว่าวชิราลงกรณ์หันมาอยู่ข้างเสื้อแดง ดิชั้นไม่อินด้วยนะคะกับความคิดแบบนี้ คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ

….ยิ่งตอนที่เสื้อแดงชุมนุมที่อักษะ ยิ่งตีความกันไปใหญ่ว่า วชิราลงกรณ์อนุญาตให้ชุมนุมได้ เท่ากับเป็นการสนับสนุนคนเสื้อแดง โอ้โห ไงละคะ ไม่นานนักก็เกิดรัฐประหาร นั่นเท่ากับว่า วชิราลงกรณ์เลือกแล้วที่จะพึ่งทหารในการช่วยให้การเปลี่ยนผ่านรัชสมัยเป็นไปโดยราบรื่น และได้รับการตอบสนองของกองทัพอย่างเต็มใจ

…ผ่านมาหลายปี หลังจากที่วชิราลงกรณ์เป็นกษัตริย์แล้ว ข่าวลือที่ว่าคนสองคนเป็นมิตรกัน ก็ยังกลับมาเนืองๆ ตอนที่อุบลรัตน์ถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นตัวแทนพรรคไทยรักษาชาติ และมีการออกพระบรมราชโองการด่าทักษิณอย่างรุนแรง นั่นเป็นการพิสูจน์อีกทีว่า ไอ้ความเป็นเพื่อนมันเป็นเรื่องมายาหรือเปล่า หลายคนเชื่อว่า หากไม่ได้รับไฟเขียว พรรคคงไม่กล้าเสนอชื่ออุบลรัตน์ นั่นก็จริง แต่วชิราลงกรณ์วัดกระแสตอบรับจากสังคม และเห็นว่า หากยอมเรื่องนี้ ฝ่ายสลิ่มมันจะเชื่อมั่นว่า วชิราลงกรณ์กับทักษิณเป็นพันธมิตรกันแน่ๆ เลยต้องออกมาปราม เพื่อรักษาแรงสนับสนุนจากฝ่ายสลิ่มคลั่งเจ้า ขณะที่ยังเก็บทักษิณเป็นหมากทางการเมืองต่อไป ส่วนทักษิณยังอวยเจ้าไปเรื่อยๆ เขียนอวยพรในทุกโอกาสเท่าที่จะทำได้

…มีคนเคยบอกว่า “ไม่มีใครเอาใจวชิราลงกรณ์ได้เท่ากับทักษิณ” นั่นอาจจะจริง แต่คนพูดคงลืมไปว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรในมุมมองของวชิราลงกรณ์เช่นกัน”
ในภาพอาจจะมี 2 คน, ชุดสูท และภาพระยะใกล้




====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

ความสัมพันธ์ระหว่างวชิราลงกรณ์และสิรินธรเป็นที่สนใจกับมากทั้งจากฝั่งแดงและเหลือง ก่อนอื่น ขอบอกเลยว่า ข่าวว่าสองพี่น้องทะเลาะกัน เกลียดกัน แก่งแย่งชิงดีนั้น แทบจะไม่มีมูลเลย แน่นอน เราอาจจะไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าความสัมพันธ์มันเป็นแบบไหน แต่จากการสังเกตการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะมุมมองทางการเมืองของวชิราลงกรณ์ เราอาจเชื่อได้ว่า ข่าวลือเรื่องการทะเลาะกันมันไม่เป็นความจริง

…หลายปีก่อน มีคนเม้าท์กันว่า พ่อลำเอียง รักลูกสาวมากกว่า เพราะลูกสาวประพฤติตัวดีกว่าพี่ชาย และอาจยกบัลลังค์ให้ นี่คือการปล่อยข่าวของกลุ่มที่เรียกว่าเป็น wishiful thinking คือฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วเอาข่าวลือมาปลอบใจตัวเอง ลือไปต่างๆ นานาว่า วชิราลงกรณ์เอาปืนยิงสิรินธร จากนั้นก็เห็นสิรินธรเข้าเฝือก โอ้ยขำ ดูละครกันตนามากจนเกินเหตุ นอกจากนี้ การที่ในหลวงยกระดับให้สิรินธรเป็น​ “สยามบรมราชกุมารี” นั้น ก็มีคนไปเต้าว่าเป็นการยกให้เทียบเท่าวชิราลงกรณ์ที่เป็นสยามมกุฏราชกุมาร ในความเป็นจริง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ในยศที่ปรากฏเป็นภาษาอังกฤษ สยามมกุฏราชกุมารคือ Crown Prince ซึ่งมีความหมายว่าเป็นผู้สืบทอดอำนาจคนต่อไป แต่สิรินธรในภาษาอังกฤษไม่ได้ใช้คำว่า Crown Princess ไม่ได้ใช้คำนี้ในภาษาอังกฤษที่เป็นทางการ หากแต่ยังใช้คำว่า Princess เท่านั้น

…ต่อมาการแก้ไขกฏหมายการสืบสันตติวงศ์ที่เปิดโอกาสให้ “ผู้หญิง” ขึ้นเป็นกษัตรีย์ได้นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ภูมิพลต้องการให้สิรินทรมาแทนวชิราลงกรณ์ อย่าลืมว่า ในครอบครัวนี้ มีลูกเพียง 4 คน แล้วก็เหลือสามคนเพราะอุบลรัตน์ถูกตัดฐานันดรไปแล้ว การแก้ไขให้ผู้หญิงขึ้นครองราชย์ได้นั้น เป็นแค่การสร้างทางเลือกในกรณีที่ไม่เหลือผู้ชายในครอบครัว เพราะครอบครัวมันเล็กมาก ไม่เหมือนในสมัยรัชกาลที่ 5 พูดง่ายๆ การแก้ไขกฏตรงนั้นก็เพียงเพื่อไม่ให้การสืบสันตติวงศ์ต้องถึงทางตันเท่านั้นเอง เรื่องนี้พิสูจน์ได้ง่ายๆ ว่า หากภูมิพลต้องการให้น้องสาวขึ้นแทนพี่ชาย ก็ต้องประกาศก่อนตัวเองตาย แต่แม้แต่าภูมิพลเองก็ยังยึดมั่นในหลักการสิบสันตติวงศ์ที่มีมาช้านาน และมองว่า ไม่อยากให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านต้องชะงัก เอาจริงๆ ภูมิพลมีความเห็นแก่ตัวสูง ทิ้งความเน่าเฟะทั้งหลายให้รุ่นลูกต้องมาแก้อีกมาก

…ในความเป็นจริง ครอบครัวนี้มีความรักใคร่กันมาก โตมาด้วยกันในครอบครัวที่มีอภิสิทธิ์ที่สุด แม้วชิราลงกรณ์จะมีความโหดร้าย แต่คนในวงในรู้กันว่า เค้ารักพี่น้องทุกคน รักคนละแบบ รักพี่สาวที่เป็นพี่สาว และเอาจริงๆ สงสารที่ถูกพ่อถอนยศฐาบรรดาศักดิ์ ถ้าไม่เกิดเรื่องไทยรักษาชาติ ก็อาจจะคืนยศให้พี่สาวไปแล้ว รักสิรินธรเพราะเป็นน้องที่สร้างความรักที่ประชาชนมีให้สถาบัน คือต่อให้ใครทำเลวอย่างไร แต่มีสิรินธรเป็นตัวช่วยพยุงสถาบันเอาไว้ เพราะฉะนั้น มันเป็นความรักน้องที่มีประโยชน์​ส่วน คนสุดท้ายนี่รักมาก ดูแลตลอด เพราะน้องอ่อนแอ เค้าจึงยอมไม่ได้หากมีใครมาทำร้ายร้องสาว อย่างกรณีการจัดการกับทั้งวีรยุทธและชัยชนอย่างโหดร้าย

…ดังนั้น กลับมาเรื่องเดิมอีก ไอ้การบอกว่าพี่ชายเกลียดสิรินทร มันแทบไม่มีมูล เอาเข้าจริง 2 พี่น้องทำงานเข้าขากันดีมาก เมื่อถึงจุดที่พี่จะขึ้นครองราชย์ สิรินทรก็ลดบทบาทลงไปมากทีเดียว เพื่อเป็นการปูทางให้พี่ชาย ส่วนไอ้การที่ กปปส บิ้วเรื่องสิรินทรนั้น ส่วนหนึ่งคือ wishful thinking อย่างที่เขียน คืออีพวกอีลีทไทย ชนชั้นกลางตอแหล พวกนี้มันเกลียดวชิราลงกรณ์ แล้วพยายามเอาสิรินทรไปชน อันนี้คนอย่างลุงสนามหลง พูดเป็นตุเป็นตะว่าเค้าทะเลาะกัน ไม่เลย ถามว่า สิรินธรพอใจ กปปส ไหม ในความเห็นดิชั้นคิดว่า ฝ่ายเจ้าทุกคนก็เอา กปปส ทั้งนั้น ดังนั้น การด่วนสรุปว่า สิรินธรเอา กปปส เลยทำให้ไม่ถูกกับพี่ชาย เป็นเรื่องไร้สาระ

…เพราะในความเป็นจริง พี่น้องทำงานอย่างเข้าขา การไปร่วมงานที่ไปร่วมงานขึ้นครองราชย์กษัตริย์เนเธอร์แลนด์ด้วยกัน (บทความของดิชั้นเรื่องนี้ https://www.newmandala.org/royal-power-arrangement/) ก็เพราะต้องการใช้ความชอบธรรมของน้องมาลบภาพลักษณ์ที่ไม่ได้ของพี่ หรือแม้แต่การยอมให้มีการจัดงานวันเกิดสิรินธรอย่างใหญ่โต นั่นก็เพราะจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นคือ สิรินธรคือสินค้าหลักของบริษัทนั่นเอง ส่วนจะได้ขึ้นครองราชย์ต่อไปหรือเปล่า มันเร็วไปที่จะพูด ขึ้นกับเงื่อนไขทางการเมือง และความมั่นคงของสถาบันเอง ทั้งนี้ รวมด้วยว่า สุทิดาจะมีลูกด้วยหรือไม่
ในภาพอาจจะมี 2 คน




====================================
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

วชิราลงกรณ์เป็นคนบ้าเรื่องวินัยมาก การแต่งกาย การประพฤติตน โดยเฉพาะแบบทหาร ศัพท์ภาษาฝรั่งอาจเรียกว่าเป็น Martial power แล้วมันติดตัวมาตลอด ที่มาที่ไปมาจากประสบการณ์ตั้งแต่ยังเล็กๆ จนไปเรียนจบที่ออสเตรเลีย หากวิเคราะห์เรื่องนี้แบบจริงจัง มันเป็นพัฒนาการทางด้านบุคลิกภาพของเค้าเอง แล้วพอมาเป็นกษัตริย์ ก็ใช้บุคลิกภาพนี้มาเป็นตัวสร้าง royal governance ที่ต่างไปจากอดีต ในสมัยภูมิพล เค้าใช้ “การพัฒนา” เป็นแกนในการปกครองมวลชน ในสมัยวชิราลงกรณ์ เนื่องจากไม่สนใจเรื่องการพัฒนา ไม่มีบารมี ไม่มีอำนาจทางจริยธรรม moral authority หรือใช้อำนาจแบบทหาร martial power เป็นตัวนำในรัชสมัยนี้

...วชิราลงกรณ์ถูกย้ายจากโรงเรียนจิตรลดาไปที่โรงเรียนประจำที่แพงที่สุดของอังกฤษ อย่างที่เราได้อ่านรายงานที่เขียนโดยเพื่อนร่วมชั้นของวชิราลงกรณ์ที่อังกฤษแล้ว จะพบว่า ไม่มีใครคบวชิราลงกรณ์ เรื่องการเรียน หัวไม่ดี และแม้จะมาเรียนอังกฤษแต่เด็ก แต่ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ ชอบเก็บตัวเอง เวลากินข้าวไม่มีใครกินด้วย ต้องนั่งกินกับครูแทน นอกจากนี้ ยังอ้วน เบ๊อะบ๊ะ ชอบซุกอาหารไทยไว้ใต้เตียงและแอบกินตอนกลางคืน อย่างไรก็ตาม แม้วิชาทั่วไปจะหัวไม่ดี แต่วิชาที่ลงภาคสนาม อาทิ การออกกำลังกายกลางแจ้ง การจัดระเบียบในชั้นเรียน วชิราลงกรณ์จะชอบมาก keen ว่างั้น จะชอบที่เป็นคนออกคำสั่งให้คนอื่นปฏิบัติ ซึ่งกลายมาเป็นการบูลลี่ ในรายงานที่เขียนโดยเพื่อนร่วมชั้นระบุว่า ใครที่อ่อนแอกว่า จะถูกแกล้ง ถูกใช้กำลัง จนในที่สุดคนที่ถูกบูลลี่ต้องยอมสารพัด (ดูที่นี่https://www.telegraph.co.uk/men/thinking-man/like-board-millfield-school-king-thailand/)
....ภูมิพลเห็นแนวโน้มที่ลูกชอบวิชาทหาร ซึ่งก็เหมาะกับบริบททางการเมืองระหว่างประเทศในตอนนั้น คือสงครามเย็น ที่ต้องต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ เลยส่งให้ลูกไปเรียนที่ Duntroon ซึ่งเป็นโรงเรียนทหารที่มีชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สาเหตุว่าทำไมถึงเลือกออสเตรเลีย แทนที่จะให้เรียนที่ Sandhurst ที่อังกฤษ Westpoint ที่สหรัฐฯ​ หรือ Ecole Militaire ของฝรั่งเศส อาจวิเคราะห์ได้ว่า ลูกไม่อยากอยู่อังกฤษแล้ว ไม่เลือกอเมริกาเพราะเป็นสาธารณรัฐจ๋า (แล้วอุบลรัตน์ก็เลือกไปแล้ว) ไม่เลือกฝรั่งเศสเพราะอยากให้ลูกได้ภาษาอังกฤษ เลยมาตกที่ออสเตรเลีย ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ออสเตรเลียไม่ได้เป็นศูนย์กลางของสงครามเย็น เลยมีความปลอดภัยให้วชิราลงกรณ์
...วชิราลงกรณ์ชอบออสเตรเลีย เพราะมันไกลจากบ้าน ทำตัวได้สบายๆ ชอบวิชาทหารที่นั่น ชอบขับรถจากแคนเบอร์ร่าไปซิดนีย์ไปเที่ยวคลับบาร์ต่างๆ ในส่วนของ Duntroon นั้น แม้มีชื่อเสียงมาก แต่ก็มีเรื่องลบๆ มากเช่นกัน ลอง google ในอินเตอร์เน็ตก็รู้ว่ามีเรื่องอื้อฉาวมาก ทั้งการละเมิดทางเพศ ทั้งการฝึกจนตาย ทั้งการคอร์รัปชั่น ดิชั้นได้สัมภาษณ์นักวิชาการออสเตรเลียที่ให้ความเห็นว่า วชิราลงกรณ์เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ และมันก็ฝังอยู่ในความทรงจำ ดังนั้น ความซาดิสม์ รุนแรงที่มาจากวชิราลงกรณ์ ข่าวลือเรื่องการอุ้มฆ่า การลงโทษผู้ใต้บังคัญบัญชาอย่างป่าเถื่อนพิศดาร ล้วนมาจากประสบการณ์ที่ Duntroon โรงเรียนนี้ควรต้องรับผิดชอบต่อความบ้าคลั่งของวชิราลงกรณ์จริงๆ
...เครือข่ายของวชิราลงกรณ์ในออสเตรเลียมีมาก ดิชั้นได้สัมภาษณ์เพื่อนของเค้าที่เคยเนียน Duntroon ด้วยกัน ลงความเห็นว่า เค้าเป็นคนแปลก แต่ก็เป็นมิตรในจุดหนึ่ง และเมื่อคนพวกนี้ไปเที่ยวเมืองไทย วชิราลงกรณ์ก็ส่งลูกน้องมาต้อนรับอย่างดี แต่เครือข่ายไปอาจไปไกลกว่านั้น คนหนึ่งที่อาจอยู่ในเครือข่ายนี้ในเวลาต่อมาคือธรรมนัส เพราะตอนที่ธรรมนัสถูกจับ เค้าอ้างทันทีว่าเค้าทำงานให้วชิราลงกรณ์ ทุกวันนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าธรรมนัสยังมีสายสัมพันธ์กับวชิราลงกรณ์อยู่ ในแง่ของการเป็นผู้ชักใยทางการเมือง มีส่วนในการจัดตั้งรัฐบาล จนได้ตำแหน่งรัฐมนตรี สังเกตเข็มกลัดทีปังกรบนเสื้อของธรรมนัสด้วย
...พอได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ วชิราลงกรณ์ก็เอา martial power มาใช้อย่างเคร่งครัด เรื่องทรงผม เสื้อผ้า ยกอกอึ้บ กลายมาเป็นเรื่องที่ซีเรียสมากและไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง การตัดผมสั้นยังเลยไปถึงการเป้นสัญลักษณ์ของการลงโทศให้อับอาย เช่นโกนหัวศรีรัศมิ์ หมอหยอง ปรากรม พงศ์พัฒณ์ จุมพล ดิสธร และอีกมาก กฏนี้ใช้อย่างเคร่งครัดในราชวัลลภ ไม่เว้นแม้แต่ทหารหญิง รวมถึงที่อยู่ในฮาเร็ม และแม้แต่ก้อยเองก็ทำตามประสงค์นี้ การบังคับไว้ผมสั้นมันคือการครองงำสิทธิในร่างกายเหนือบุคคลอื่น มันเป็นการย้อนยุคไปสู่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่หญิงไทยในราชสำนักต้องไว้ผมสั้น (เจ้าดารารัศมีประท้วงโดยการไม่ตัดผมเมื่อต้องย้ายมาเป็นสนมของ ร 5 อ้างว่า เธอคือล้านนา ไม่ใช่สยาม) กฏนี้ยังรวมไปถึงทหารคนอื่นๆ ที่อยู่นอกราชวัลลภ ตั้งแต่อภิรัชต์ไปถึงข้าราชการระดับล่าง ดังนั้น เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมมันเป็นตัวชี้วัดระดับอำนาจของวชิราลงกรณ์ และเท่าที่เราเห็น มันมีอิทธิพลอย่างยิ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น