เพลงฉ่อยชาววัง

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Edward Snowden, Where are you?

กรณีนาย Edward Snowden


ข่าวดังระดับโลกเมื่อหลายเดือนก่อนต้องยกให้กรณีอื้อฉาวของรัฐบาลสหรัฐ โดยมีคู่กรณีคือนาย Edward Snowden อดีตเจ้าหน้าที่ Central Intelligence Agency (CIA) ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าว BBC ของอังกฤษว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังใช้อำนาจที่มีอยู่ในการกำกับดูแล ตรวจสอบ เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Information) ของประชาชนโดยมิต้องขออนุญาต รวมถึงการดักฟังโทรศัพท์ (Wiretapping) และกำกับดูแลการใช้ข้อมูลการอินเทอร์เน็ต (Monitoring of Internet Data) ของประชาชน โดยรัฐบาลใช้ข้อกล่าวอ้างที่ว่า “อาจเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อรัฐบาลสหรัฐ” เป็นเหตุผลหลักในสำหรับการกระทำการดังกล่าว
ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐได้แสดงความกระตือรือร้นอย่างยิ่งในการติดตามตัวนาย Snowden กลับมายังมาตุภูมิเพื่อรับโทษตามกฎหมายในข้อหาเปิดโปงข้อมูลอันเป็นความลับของทางราชการโดยมิได้รับการอนุญาต โดยรัฐบาลสหรัฐได้ขอความร่วมมือไปยังหลายสิบประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศภาคีที่สหรัฐมีข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดน (Extradition Treaty) ด้วย ในขณะที่นาย Snowden เองก็ได้ขอลี้ภัยในหลายสิบประเทศเช่นกัน โดยประเทศที่เสนอ (Offer) ให้นาย Snowden ลี้ภัยภายในประเทศของตนก็มีหลายประเทศ เช่น เวเนซุเอลา นิคารากัว โบลิเวีย
สถานการณ์ล่าสุดขณะนี้ (วันที่ 13 สิงหาคม 2556) นาย Snowden ได้ลี้ภัย (Asylum) อยู่ในประเทศรัสเซีย โดยที่ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียเพิ่งให้การรับรองการลี้ภัยของนาย Snowden อย่างเป็นทางการเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากรัสเซียและสหรัฐไม่มีความตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน นอกจากนี้ ตามกฎหมายของรัสเซียนาย Snowden มีสิทธิที่จะลี้ภัยอยู่ในรัสเซียได้นานถึง 1 ปี และสามารถต่อสิทธิการลี้ภัยออกไปได้
จากสาเหตุนี้เองนำไปสู่ความตึงเครียด (Tension) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยผลสะท้อนกลับของความไม่พอใจจากสหรัฐคือ การที่ประธานาธิบดีโอบามาได้ยกเลิกการประชุมสุดยอดสหรัฐและรัสเซีย (US-Russia Summit) เป็นการตอบโต้การกระทำของรัสเซีย
ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว ประเด็นปัญหาของนาย Snowden ไม่ควรที่จะลุกลามบานปลายเป็นประเด็นปัญหาระหว่างสหรัฐและรัสเซียด้วยซ้ำ แต่ในที่สุดก็เป็นไปอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด และจากจุดนี้เองอาจเปรียบเสมือนเชื้อไฟลามทุ่งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกันในด้านอื่นๆ ด้วย ดังนั้น การบริหารจัดการเรื่องความมั่นคงภายในประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย
จากจุดเดียวกันนี้เอง ทำให้ระบบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกาที่เชื่อว่าเป็นระบบประชาธิปไตยที่ดีที่สุดระบบหนึ่งของโลก กำลังถูกท้าทายจากประชาคมโลกว่า ประชาธิปไตยในแบบที่สหรัฐเป็นอยู่นั้นเป็นประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพและประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ (Liberty and Freedom) จริงหรือไม่
เนื่องจากการใช้อำนาจที่ค่อนข้างเกินขอบเขต (Excessive Power) ของรัฐบาลในสหรัฐ ด้วยการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลเชิงลึกโดยมิได้มีแจ้งการให้ทราบล่วงหน้า จนกระทั่งบัดนี้เองก็ยังไม่มีข้อสรุปว่า การใช้อำนาจที่เหมาะสม มีความเป็นกลาง มีประสิทธิภาพ โดยมีเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ตั้งจุดสมดุล (Balance) จะอยู่ที่ใด นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมอเมริกันปัจจุบันและกำลังแผ่ขยายความตึงเครียดในระดับโลก


ก่อนจะเริ่มเขียนคอลัมน์ในวันนี้ ขอถือโอกาสส่งกำลังใจและส่งความปรารถนาดีไปถึงพี่น้องชาวมุสลิมที่กำลังปฏิบัติความเคร่งเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และพิสูจน์แรงศรัทธาต่อพระอัลเลาะห์ในเดือนรอมฎอน ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ขอให้ความดีที่ตั้งใจทำไว้กลับสู่ทุกท่านอย่างทวีคูณ และขอให้บุญกุศลที่สะสมเอาไว้นั้นคุ้มครองทุกท่านครับ  

  
สำหรับคอลัมน์ในวันนี้จะถือว่าเป็นการครบรอบเกือบ 1 เดือนเต็มที่คนทั่วโลกจะได้ยินชื่อนาย Edward Snowden ไม่ว่าใครจะติดตามข่าวคราวประเภทจริงจังหรือประเภทผิวเผิน  หรือแม้แต่จะคุ้นกับชื่อของ Snowden แต่เมื่อเอ่ยชื่อของเขาขึ้นมา ผมเชื่อว่าหลายคนคงต้องคุ้นบ้าง    

ลำพังเพียงแค่ชื่อของ Snowden เฉยๆ ก่อนเกิดเหตุการณ์คงไม่มีใครในโลกนี้รู้จักเขาเท่าไรนัก เพราะเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งไม่ได้เป็นดารา ไม่ได้เป็นนักเขียน ไม่ได้เป็นอาจารย์ ไม่ได้เป็นนักกีฬา และไม่ได้เป็นนักการเมือง เขาเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น แต่ที่น่าสนใจคือเป็นผู้ชายที่ทำงานในหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ แต่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตหรือสำคัญอะไรเป็นพิเศษนัก แต่ที่เป็นจุดเด่นขึ้นมาทั่วโลกมาตลอด 1 เดือนเต็มก็คือ เขาได้ข้อมูลลับๆ หรือเรียกว่าเอกสารที่เป็นหลักฐานชัดๆ ว่า ทางหน่วยงานความมั่นคงฝ่ายสหรัฐ ร่วมกับของประเทศอังกฤษ ได้ปฏิบัติตัวในทางมิชอบเป็นประจำ ซึ่งหมายความว่าแอบดักฟังโทรศัพท์ของคนทั่วไปหรือเลือกเฉพาะกลุ่ม แอบอ่าน E-mail ของคนทั่วไปเช่นเดียวกัน หรือพูดง่ายๆ ทำในสิ่งที่คนทั่วไปสงสัย และสันนิษฐานว่าหน่วยงานเหล่านี้ต้องทำเพื่อรักษาความสงบและรักษาความปลอดภัยให้กับประเทศ

   
พอ Snowden เริ่มรู้ตัวว่าทางหน่วยงานที่เขาสังกัดอยู่นั้น จับได้ว่า Snowden เป็นหนอนบ่อนไส้ ทาง Snowden เลยถือโอกาสหนีออกจากประเทศและพยายามเลือกประเทศที่ไม่มีข้อตกลงเรื่องสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐอเมริกา   และที่ผมงงคือเลือกไปประเทศฮ่องกง ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นประเทศแล้วครับ แต่ถือว่าเป็นเขตปกครองพิเศษภายใต้ประเทศจีน  

    หลังจากที่อยู่ฮ่องกงเป็นเวลาไม่นานนัก เพราะทางฮ่องกงปฏิเสธที่จะลี้ภัยให้ Snowden ทางเขาจึงต้องหาประเทศอื่นเพื่อลี้ภัยต่อไป ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมามีการสันนิษฐานว่าจะไปประเทศเอกวาดอร์ หรือรัสเซีย หรือจะไปประเทศไหนก็ตามแต่ที่ไม่ใช่ประเทศที่ทางสหรัฐสามารถลากตัวเขากลับมาได้ ตามข่าวล่าสุดมีข่าวลือว่า Snowden อยู่ที่รัสเซีย โดยที่ทางรัสเซียไม่ค่อยยอมให้ความร่วมมือกับทางสหรัฐ   เลยเป็นเรื่องที่ยืดยาวและต่อเนื่องไปเรื่อยๆ 

    แต่ถึงแม้เรื่องของ Snowden จะค่อยๆ เลือนหายออกจากความสนใจของคนทั่วโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจหรอกครับ เพราะประเด็นที่น่าสนใจประเด็นหนึ่งก็คือ ความรู้สึกของคนทั่วไปเมื่อทราบข่าวเรื่องนี้  

    ลึกๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นคนอเมริกัน คนอังกฤษหรือคนอะไรก็แล้วแต่ในทุกประเทศทั่วโลก ตามความเข้าใจของคนคือ หน่วยงานที่ดูแลความมั่นคงของประเทศไม่ว่าจะเป็นหน่วยข่าวกรอง กองทัพหรือตำรวจ อาจจะต้องใช้วิธีการรักษาความปลอดภัยและความสงบที่ไม่ค่อยสะอาดหรือซื่อตรงเท่าไรนัก   เพราะเมื่อต้องจัดการกับมารยิ่งเฉพาะมารที่อยู่ในที่มืด ต้องทำตัวเป็นมารเช่นเดียวกัน ผมเชื่อว่าความเข้าใจตรงนี้เป็นสิ่งที่คนไทยรับได้และรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อความปลอดภัยของส่วนรม

    แต่ความตลกของความเป็นมนุษย์ คือ เมื่อมีใครเปิดโปงว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นหรือเปิดเผยว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง คนทั่วไปจะรู้สึกยัวะและโกรธขึ้นมา เพราะสิทธิส่วนบุคคลของเขาถูกละเมิด มันเข้าข่ายความคิดตรงนี้ไหมครับว่าในบางเรื่องการไม่รับรู้เปรียบเสมือนความสุขที่แท้จริง เพราะพอรู้ขึ้นมาจะทำให้รู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ

  
  อย่าบอกว่าตัวเองไม่เคยคิดหรือไม่เคยเชื่อว่าหน่วยงานที่รักษาความสงบและความปลอดภัยของสังคมจะไม่ได้ใช้วิธีที่บางครั้งล้ำเส้น เพราะถ้าทุกคนเชื่อแบบนั้นผมเชื่อว่าทุกคนคงอยู่ในโลกแห่งความฝัน บางครั้งอาจจะต้องใช้วิธีการสกปรกๆ  เพื่อให้เรื่องชัดเจนหรือสะอาดขึ้น แต่เพื่อความสบายใจให้แก่สังคมโดยรวม บางครั้งในการที่ไม่บอกให้รับรู้ เป็นการรักษาความสงบที่ดี เพียงแต่เกิดคำถามที่ว่าขอบเขตและเส้นแบ่งระหว่างความจำเป็นกับการทำเลยอำนาจมันอยู่ตรงไหน และถ้ารู้ขึ้นมาว่าเจ้าหน้าที่ดักฟังโทรศัพท์เพื่อกลั่นแกล้ง หรือเพื่อประโยชน์ส่วนตน นั่นแหละครับคือจุดเริ่มต้นของปัญหา ซึ่งในครั้งนี้ผมเชื่อว่าคนทั่วไปสนใจในเรื่องของ Snowden เพราะเขามีข้อมูลอยู่ในมือว่าทางสหรัฐและทางอังกฤษแอบดักฟังการคุยโทรศัพท์ได้มากน้อยเพียงไร และข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างยิ่งของคนทั่วไป และจะเกิดความอึดอัดจากฝ่ายสหรัฐอเมริกา

    แต่สิ่งที่จะทำให้เกิดเรื่องได้คือข่าวที่หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐแอบขโมยหรือ Hack ข้อมูลของจีนด้วยซ้ำ เพราะอย่าลืมว่าในช่วงที่เรื่องนี้กำลังเปิดเผยไปทั่วโลกเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผู้นำของประเทศจีนกับสหรัฐอเมริกาไปพบปะคุยกันในรีสอร์ตแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งประเด็นหลักในการพบปะกันในครั้งนั้นคือเรื่องของการ Hack ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ที่ฝั่งสหรัฐจะกล่าวหาว่าฝ่ายจีนเป็นฝ่ายที่ละเมิดการกระทำตรงนี้ แต่ปรากฏว่า Snowden เปิดโปงว่าเป็นฝ่ายสหรัฐที่ทำเสียมากกว่า  

    หลังจากที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศเจอกันเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อล่าสุดมานี้ทางคณะจากจีนได้ไปที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสืบเรื่องราวต่างๆ จากการพบกันในครั้งนั้น ซึ่งจากการประชุมครั้งที่ผ่านมาทางประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้แสดงท่าทีต่อคณะจากจีนว่า เขาค่อนข้างผิดหวังกับการกระทำของจีนที่เหมือนกับปล่อยตัว Snowden ออกจากประเทศจีนได้ง่ายดายขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ทางสหรัฐเรียกร้องให้ฮ่องกงส่งตัว Snowden มาที่สหรัฐอย่างเป็นทางการระหว่างที่ Snowden  อยู่ที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ทางโอบามาบอกฝ่ายจีนว่าการกระทำแบบนี้ทำให้เจตนารมณ์และบรรยากาศดีๆ ของการพบปะกันในครั้งโน้น เสียหายไปหรืออย่างน้อยก็เสื่อมลงอย่างแรง  

    แต่ฝ่ายจีนตอบมาสุดยอดครับ ผู้อาวุโสสุดของคณะจีนบอกว่าทางรัฐบาลกลางของจีนไม่เคยเข้ามาแทรกแซงอำนาจอธิปไตยเขตปกครองพิเศษฮ่องกงมาตลอดระยะเวลา 16 ปี ที่ประเทศอังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้กับประเทศจีน ซึ่งเป็นการเรียกร้องของประเทศตะวันตกอย่างเช่นสหรัฐและอังกฤษ เป็นต้น ดังนั้นที่ฮ่องกงอนุญาตให้ Snowden ออกจากประเทศไปในทางกฎหมายและตามความชอบธรรมของฮ่องกงโดยเฉพาะ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลกลางของจีนแม้แต่นิดเดียว  

    ผมคงไม่ต้องบอกหรอกครับว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นี้ฝ่ายสหรัฐไม่พอใจกับทั้งจีนและรัสเซียอย่างมาก แต่ตอนนี้เราลองดูว่าบทบาทของฮ่องกงเป็นอย่างไรต่อเหตุการณ์นี้ดีกว่า ถ้ามองผิวเผินหลายคนอาจตีความว่าทางฮ่องกงร่วมมือกับรัฐบาลกลางจีน หรือรับคำสั่งจากรัฐบาลกลางจีนให้ปล่อยตัว  แทนที่จะให้ความร่วมมือกับทางสหรัฐ ด้วยการส่ง Snowden กลับบ้าน และหลายคนอาจจะตีความว่าพอฝ่ายจีนรู้ขึ้นมาว่าฝ่ายสหรัฐแอบ spy ฝ่ายจีนเป็นว่าเล่น ก็คงไม่ผิดหรอกถ้าจะคิดว่าฝ่ายจีนจะไม่ให้ความร่วมมือกับสหรัฐ เพื่อแก้แค้นหรือกลั่นแกล้งก็ว่าได้ แต่ผมไม่อยากให้มองข้ามการรักษาอธิปไตยและแสดงพลังของเกาะฮ่องกงหรอกครับ

    ในการแถลงของฮ่องกงที่ปล่อยให้ Snowden ออกไปได้นั้น ทางฮ่องกงแถลงว่าตลอดระยะเวลาที่เรื่องนี้เกิดขึ้น ซึ่งหมายถึงตลอดระยะเวลาที่ Snowden อยู่ในประเทศของเขา  ฝ่ายสหรัฐเรียกร้องให้ทางฮ่องกงออกหมายจับ Snowden แต่ต่อเมื่อทางฮ่องกงขอฝ่ายหรัฐถึงเหตุผล รวมถึงหลักฐานว่า Snowden เป็นบุคคลที่ควรออกหมายจับนั้น ทางสหรัฐไม่สามารถให้เอกสารหรือเหตุผลตามรอบเวลาที่ Snowden มีสิทธิ์อยู่ในประเทศและตามกฎหมายของท้องถิ่นด้วย เพราะเหตุผลเหล่านี้บวกกับการเรียกร้องอย่างเป็นทางการไปถึงสหรัฐ เรื่องที่สหรัฐแอบ Hack ข้อมูลที่มีผลกระทบต่ออธิไตยของฮ่องกงด้วยซ้ำ จึงเป็นเหตุผลที่อนุญาตให้ Snowden ออกจากประเทศได้ 

    เหตุผลและหลักการอยู่ที่เรื่องเอกสารระหว่างฮ่องกงและสหรัฐ ที่ทางฮ่องกงแถลง แต่เรื่องที่พูดถึงการแอบ Hack ข้อมูล จากสายตาผมนั้นเหมือนเป็นการตอกย้ำและตบหน้า   แต่ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่การที่ฮ่องกงจะปล่อยตัว Snowden ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรครับ ถึงแม้ฮ่องกงจะอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลจีนกลางก็ตาม แต่ทางฮ่องกงได้อธิปไตยที่แยกตัวออกมาจากจีนนานพอสมควร เพราะถ้าดูประวัติของฮ่องกงตลอดระยะเวลา 16 ปีที่อยู่ภายใต้จีน จะเห็นได้ชัดว่าเขาพยายามทุกวิถีทางที่ให้ทั่วโลกและจีนรู้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นมณฑลหนึ่งของจีนเท่านั้น แต่ของเขาเป็นเขตปกครองพิเศษที่มีอธิปไตยและเอกลักษณ์ของตัวเขาเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางจีนควรจะจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าเขาสามารถยืนหยัดด้วยตนเองและตบหน้าสหรัฐด้วยความใจกล้าอย่างนี้ อีกหน่อยเขาจะไม่ทำเช่นนี้กับรัฐบาลกลางของจีนหรอกเหรอ  

    หลังเหตุการณ์ที่ Snowden ออกจากฮ่องกง ทั้งสื่อท้องถิ่นและประชาชนของฮ่องกงลุกขึ้นปรบมือและให้กำลังใจผู้บริหารเกาะฮ่องกง และเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูต่อไปว่าฮ่องกงจะวางตัวอย่างไรต่อไปในอนาคต ส่วนเรื่องของ Snowden ก็ต้องดูกันต่อไปว่าดราม่าในเรื่องของเขาจะเป็นเช่นไร.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น