ในปี 2469 เจ้าฟ้ามหิดลก็เสด็จกลับฮาร์เวิร์ด เพื่อทรงศึกษาต่อในวิชาแพทย์ พระองค์มีพระประสงค์ที่จะนำการแพทย์สมัยใหม่สู่สยาม
ปลายปี 2470 รัชกาลที่ 7 ทรงประกาศว่าพระโอรสทุกพระองค์ของพระเชษฐาและพระอนุชาชั้นเจ้าฟ้า และที่ต่างพระมารดา ของพระองค์ ไม่ว่าจะเกิดจากพระมารดาที่มีสถานะใด จะได้รับการขนานนามเป็น พระองค์เจ้า และมีโอกาสยกสถานะสูงขึ้นไปอีก
เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นนโยบายในการเปลี่ยนสายเลือดที่ถือว่าไม่บริสุทธิ์เพื่อความอยู่รอดของราชวงศ์จักรี พี่น้องทั้งหกของเจ้าฟ้ามหิดลมีพระโอรสเพียงแค่สองพระองค์ ทั้งยังไม่ใช่เลือดแท้ของราชวงศ์จักรีล้วนๆอีกต่างหาก
เจ้าฟ้าจักรพงษ์ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วมีพระโอรสหนึ่งองค์ คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์
ซึ่งมีมารดาเป็นสามัญชนชาวรัสเซีย (หม่อมคัทริน เดสนิคสกี Cathrine Desniksky )
ก็มีพระโอรสหนึ่งพระองค์คือพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช ซึ่งมีมารดาเป็นนางกำนัลหรือหญิงรับใช้ ไม่มีชาติสกุล
รัชกาลที่ 7 จึงทรงต้องยกสถานะของบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่เป็นโอรสของชั้นเจ้าฟ้าเพื่อให้มีตัวเลือกระดับพระองค์เจ้า 11 พระองค์
ซึ่งรวมถึงพระโอรสทั้งสองจากราชสกุลมหิดล
แต่เจ้าฟ้ามหิดลไม่ประสงค์ให้พระโอรสของพระองค์ต้องผูกติดอยู่กับพิธีกรรมและได้รับการปฏิบัติเยี่ยงเทวดา เมื่อทรงประชวรอย่างหนักในปี 2471
พระองค์ทรงขอร้องให้ฟรานซิส แซร์ ช่วยป้องกันไม่ให้พระโอรสของพระองค์ต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ หากพระองค์สิ้นพระชนม์
เจ้าฟ้ามหิดลมีพระชนม์อยู่จนจบจากฮาร์เวิร์ด และเสด็จกลับกรุงเทพฯ ผู้คนมองว่าพระองค์เป็นคนฉลาด แต่ไม่หนักแน่นไม่เด็ดขาด และอ่อนเชิงทางการเมือง
บางคนก็วิจารณ์กำพืดพระชายาของพระองค์ และพระองค์ก็มักจะประชวรอยู่บ่อยๆ
กล่าวกันว่าพระองค์มีพระทัยเอนเอียงไปทางดัานสาธารณรัฐหรือระบอบที่มีประมุขจากสามัญชนที่มาจากการเลือกตั้งหรือระบอบประธานาธิบดี
โดยทรงชื่นชมการมีสิทธิและเสรีภาพของชาวอเมริกัน แต่พระองค์ก็ยังมีผู้สนับสนุนจำนวนมาก ส่วนหนึ่งด้วยความกลัวต่ออีกทางเลือกหนึ่ง คือ เจ้าฟ้าบริพัตร ที่ควบคุมกองทัพสยาม
พระองค์ทรงขอร้องให้ฟรานซิส แซร์ ช่วยป้องกันไม่ให้พระโอรสของพระองค์ต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ หากพระองค์สิ้นพระชนม์
เจ้าฟ้ามหิดลมีพระชนม์อยู่จนจบจากฮาร์เวิร์ด และเสด็จกลับกรุงเทพฯ ผู้คนมองว่าพระองค์เป็นคนฉลาด แต่ไม่หนักแน่นไม่เด็ดขาด และอ่อนเชิงทางการเมือง
บางคนก็วิจารณ์กำพืดพระชายาของพระองค์ และพระองค์ก็มักจะประชวรอยู่บ่อยๆ
กล่าวกันว่าพระองค์มีพระทัยเอนเอียงไปทางดัานสาธารณรัฐหรือระบอบที่มีประมุขจากสามัญชนที่มาจากการเลือกตั้งหรือระบอบประธานาธิบดี
โดยทรงชื่นชมการมีสิทธิและเสรีภาพของชาวอเมริกัน แต่พระองค์ก็ยังมีผู้สนับสนุนจำนวนมาก ส่วนหนึ่งด้วยความกลัวต่ออีกทางเลือกหนึ่ง คือ เจ้าฟ้าบริพัตร ที่ควบคุมกองทัพสยาม
เจ้าฟ้ามหิดลทรงหวังที่จะทำงานเป็นแพทย์ แต่สถานะความเป็นเจ้าฟ้าก็แทรกแซงไปทุกขั้นตอน
การตรวจไข้ก็ต้องใช้ราชาศัพท์ ที่น้อยคนนอกราชสำนักจะเข้าใจ ในฐานะว่าที่เจ้าเหนือหัว
เจ้าฟ้ามหิดลจะสัมผัสได้ก็แต่ส่วนสูงสุดของคนไข้เท่านั้น คือ ศีรษะ จากนั้นไม่นาน พระองค์ก็ประชวรจึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ และสิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน
ขณะมีพระชนม์ 37ชันษาในวันที่ 24 กันยายน 2472 เป็นวันมหิดล
การตรวจไข้ก็ต้องใช้ราชาศัพท์ ที่น้อยคนนอกราชสำนักจะเข้าใจ ในฐานะว่าที่เจ้าเหนือหัว
เจ้าฟ้ามหิดลจะสัมผัสได้ก็แต่ส่วนสูงสุดของคนไข้เท่านั้น คือ ศีรษะ จากนั้นไม่นาน พระองค์ก็ประชวรจึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ และสิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน
ขณะมีพระชนม์ 37ชันษาในวันที่ 24 กันยายน 2472 เป็นวันมหิดล
ราชสกุลมหิดล พักอยู่ที่วังสระปทุมอันกว้างขวางของพระนางเจ้าสว่างวัฒนา ในคฤหาสน์ไม้ริมคลองแสนแสบ ตรงสพานหัวช้าง
ใกล้ศูนย์กลางกรุงเทพตรงข้ามสยามแสควร์ปัจจุบัน มีทั้งพยาบาล คนรับใช้ นางสนองพระโอษฐ์ และครูฝรั่ง หม่อมสังวาลย์เลี้ยงดูพระโอรสด้วยตนเอง
ปี 2473 เจ้าฟ้าอานันท์ก็เข้าเรียนที่โรงเรียนคาธอลิคของชนชั้นสูงคือ มาแตร์เดอี และสองปีต่อมา เจ้าฟ้าภูมิพลก็ทรงตามไปเรียนที่เดียวกัน
ดูเหมือนว่าเจ้าฟ้าอานันท์จะสืบทอดความอ่อนแอจากพระราชบิดาและพระประยูรญาติ
พระองค์มักจะประชวรอยู่บ่อยๆ และฟกช้ำง่ายทำให้ต้องขาดเรียน แพทย์ประจำพระองค์เรียกภาวะนี้ว่า เลือดจาง
ใกล้ศูนย์กลางกรุงเทพตรงข้ามสยามแสควร์ปัจจุบัน มีทั้งพยาบาล คนรับใช้ นางสนองพระโอษฐ์ และครูฝรั่ง หม่อมสังวาลย์เลี้ยงดูพระโอรสด้วยตนเอง
ปี 2473 เจ้าฟ้าอานันท์ก็เข้าเรียนที่โรงเรียนคาธอลิคของชนชั้นสูงคือ มาแตร์เดอี และสองปีต่อมา เจ้าฟ้าภูมิพลก็ทรงตามไปเรียนที่เดียวกัน
ดูเหมือนว่าเจ้าฟ้าอานันท์จะสืบทอดความอ่อนแอจากพระราชบิดาและพระประยูรญาติ
พระองค์มักจะประชวรอยู่บ่อยๆ และฟกช้ำง่ายทำให้ต้องขาดเรียน แพทย์ประจำพระองค์เรียกภาวะนี้ว่า เลือดจาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น