เพลงฉ่อยชาววัง

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560

ควรฟังอย่างตั้งใจ!!! บันทึกประวัติศาสตร์ ดร.ทักษิณ หลังการถูกยึดทรัพย์ สี่หมื่นกว่าล้าน

ควรฟังอย่างตั้งใจ!!! บันทึกประวัติศาสตร์ ดร.ทักษิณ หลังการถูกยึดทรัพย์ สี่หมื่นกว่าล้าน


                     

อ่านข่าวเกี่ยวข้องที่นี่ค่ะ


ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์จำนวน 76,621,603,061.05 บาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัว ท่ามกลางความสนใจและจับจ้องของประชาชนทั่วประเทศ ทักษิณให้สัมภาษณ์หลังถูกยึดทรัพย์ขอเป็นเหยื่อคนสุดท้าย

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้ง 9 คน ขึ้นนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา ภายหลังจากมีการประชุมช่วงเช้า เพื่อเขียนคำวินิจฉัยกลางร่วมกัน
 การอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่าทั้งสามคนเก็บตัวและรอฟังผลที่เซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่งใน กทม. มีเพียงทีมทนายความของบุคคลทั้งสามเดินทางมาฟังคำพิพากษา ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รอลุ้นผลพิพากษาที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) อย่างใจจดใจจ่อ พร้อมทั้งวิดีโอลิงก์เข้ามาสื่อสารกับแกนนำพรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดงเป็นระยะ
 บรรยากาศรักษาความปลอดภัยที่ศาลฎีกานั้น มีกำลังเจ้าหน้าที่ รปภ.รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ และตำรวจปราบจลาจล ซึ่งมีอาวุธโล่ กระบอง กว่า 150 นาย เตรียมพร้อมภายในพื้นที่ศาล โดยมีรถวิทยุ 191 และ บก.น.1 บก.น.6 และหน่วยอื่นๆ อีกประมาณ 300 นาย ประจำการตรวจตราโดยรอบศาลฎีกา ขณะเดียวกันมีการวางกำลังพลแม่นปืนตามจุดสูงข่มบนอาคารสูง เพื่อป้องกันเหตุร้าย นอกจากนี้ระหว่างการอ่านคำพิพากษามีการตัดสัญญาณโทรศัพท์ทุกระบบ เพื่อป้องกันการจุดระเบิดด้วย โดยก่อนหน้านี้เวลา 06.50 น. พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์ รอง ผบช.น. เดินทางมาตรวจสถานที่ภายในศาลฎีกาด้วยตัวเอง
 ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริเวณหน้าศาลฎีกา บริเวณถนนราชดำเนิน มีกลุ่มคนเสื้อแดงปักหลักชุมนุมหน้าศาลตั้งแต่ก่อนอ่านคำพิพากษาประมาณ 200 กว่าคน มีบางส่วนสังเกตการณ์อยู่ฝั่งตรงกันข้าม โดยกลุ่มผู้ชุมนุมนำโปสเตอร์และป้ายให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ มาด้วย
 กระทั่งเวลา 13.30 น.  องค์คณะผู้พิพากษาอ่านผลการวินิจฉัยทางข้อกฎหมายประเด็นที่ว่า ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ตามที่ผู้คัดค้านคัดค้านหรือไม่ วินิจฉัยว่า การตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปตามอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามมาตรา 9 (1) และ (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีมติเป็นมติเอกฉันท์ว่าศาลมีอำนาจสามารถพิจารณาคดีนี้ได้
 ประเด็น คตส.มีอำนาจถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า เป็นการดำเนินการภายใต้ขอบอำนาจตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ส่วนที่ คตส.แต่งตั้งอนุ คตส.นั้น เห็นว่า คตส.ใช้อำนาจตามประกาศ คปค. สามารถแต่งตั้งได้ และไม่ล่วงเลยระยะเวลาตามที่ผู้คัดค้านทำการคัดค้าน เพราะมีกรอบเวลาชัดเจน หากไม่เสร็จสิ้นต้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ ทั้งหมดเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งประเด็นที่ คตส.บางคน ที่อ้างว่าเป็นปฏิปักษ์ของผู้ถูกร้อง แต่งตั้งเป็นประธานอนุ คตส.นั้น ชอบแล้วด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ประเด็นวินิจฉัยว่าผู้ร้อง (อัยการ) มีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ องค์คณะมีมติด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ว่า ผู้ร้อง (อัยการ) มีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้ ขณะที่ประเด็นวินิจฉัยว่าคำร้องเคลือบคลุมหรือไม่นั้น ศาลพิจารณาแล้วมีมติเอกฉันท์ว่า คำร้องไม่เคลือบคลุม
 ในส่วนประเด็นข้อกล่าวหาที่ 1.กรณีผู้ถูกกล่าวหาปกปิดอำพรางหุ้น (ซุกหุ้น) หรือไม่นั้น ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหามีการอำพรางหุ้นในชื่อบุคคลอื่นในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ศาลจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ผู้ถูกกล่าวหา (พ.ต.ท.ทักษิณ) ยังคงถือไว้ซึ่งหุ้นชินคอร์ป จำนวน 1,419,490,150 หุ้น ในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทั้งสองวาระ
 2.ประเด็นการแปลงสัมปทานฯ เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปหรือไม่ ศาลมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า ผู้ถูกกล่าวหาใช้อำนาจหน้าที่ออก พ.ร.ก.แปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นค่าภาษีสรรพสามิต ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ป จนทำให้รัฐเกิดความเสียหายกว่า 6 หมื่นล้านบาท
 3.ประเด็นการแก้สัญญาโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน เอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอสในเครือชินคอร์ปหรือไม่ ศาลมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงินเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอส ในขณะที่ประเด็นการแก้สัญญาโทรศัพท์มือถือแบบโรมมิ่ง เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปหรือไม่ ศาลมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า ผู้ถูกกล่าวหา (พ.ต.ท.ทักษิณ) มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ผลประโยชน์ในการลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วมตกอยู่กับเทมาเส็ก เนื่องจากมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ป เป็นเหตุให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น เงินที่ได้จากการขายหุ้นจึงเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ถูกต้อง
 4.ประเด็นการอนุมัติกิจการดาวเทียมไอพีสตาร์ เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปหรือไม่ ศาลเห็นว่าเป็นการกระทำที่ลัดขั้นตอน รีบเร่ง ผิดปกติวิสัย ทั้งนี้ ดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่ได้เป็นดาวเทียมหลัก แทนไทยคม 3 เป็นดาวเทียมใช้สื่อสารต่างประเทศ ผิดสัญญาตามที่ระบุว่า ใช้สื่อสารในประเทศ จึงอยู่นอกกรอบสัญญา เป็นการอนุมัติให้บริษัทผู้ถูกกล่าวหาได้รับสัมปทานไปโดยไม่มีคู่แข่ง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ศาลจึงมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า การอนุมัติส่งเสริมกิจการดาวเทียมเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปและบริษัทไทยคม
 5.ประเด็นการอนุมัติปล่อยกู้พม่า 4,000 ล้านบาท เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปหรือไม่ ศาลมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า การดำเนินการในกรณีนี้เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทไทยคมและบริษัทชินคอร์ป
 จากนั้นศาลได้อ่านคำวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหา (พ.ต.ท.ทักษิณ) หรือไม่ ศาลเห็นว่า การดำนินการตามทั้ง 5 ข้อเป็นผลจากการใช้อำนาจหน้าที่ องค์คณะมีมติเสียงข้างมากว่าผู้ถูกกล่าวหาใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ธุรกิจชินคอร์ปตามคำร้อง
 ศาลยังพิจารณาด้วยว่าการพิจารณาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินนั้น เป็นผลมาจากการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ป บริษัทไทยคมและบริษัทในเครือ ดังนั้นเงินปันผลค่าหุ้นและเงินค่าขายหุ้นชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กจึงเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะนายกฯ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านย่อมไม่อาจอ้างว่าเงินดังกล่าวเป็นสินสมรส หรือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันได้ ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ประกอบพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542
 ส่วนจะตกเป็นของแผ่นดินเพียงใดนั้น เห็นว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป.ป.ช มาตรา 4 ให้ความหมายคำที่เกี่ยวข้องกับคำร้องให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินใน 2 กรณี คือ ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ ซึ่งหมายความว่าการที่ทรัพย์สินและหนี้สินที่ผู้ดำรงตำแหน้งทางการเมืองยื่นเมื่อพ้นตำแหน่ง เปลี่ยนแปลงไปจากบัญชึที่ยื่นไว้ในลักษณะที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือหนี้สินลดลงผิดปกติ และคำว่าร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งหมายความว่ามีทรัพย์เพิ่มมากผิดปกติ หรือมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร
 เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า มูลคดีการร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน แยกเป็น 2 กรณี คือ เมื่อเปรียบเทียบบัญชีทรัพย์สินเมื่อยื่นก่อนและพ้นตำแหน่งแล้ว พบว่าผู้ถูกล่าวหา (พ.ต.ท.ทักษิณ) มีทรัพย์สินเพิ่มมากผิดปกติและหนี้ลดผิดปกติกรณีหนึ่ง และกรณีได้ทรัพย์สินเพิ่มมาจากการเอื้อประโยชน์บริษัทชินคอร์ป
 การที่ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้าน ร้องค้านว่า ก่อนจะมาดำรงตำแหน่งนายกฯ วาระแรก ผู้ถูกกล่าวหามีทรัพย์สินตามรายการที่ยื่นต่อป.ป.ช มีมูลค่ารวม 15,124 ล้านบาท จึงไม่อาจให้ทรัพย์ในส่วนนี้ตกเป็นของแผ่นดินได้นั้น คำไต่สวนไม่ได้ขอบังคับไปถึงทรัพย์สินอื่น จึงไม่มีข้อต้องพิจารณาตามคำร้องผู้คัดค้านที่ 1 อย่างไรก็ดี ยังมีข้อต้องพิจารณาว่าเงินปันผลและเงินที่ได้จากการขายหุ้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยไม่สมควรทั้งจำนวนหรือไม่
 เมื่อพิจารณาจากเอกสารแล้วปรากฏว่า การซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2544 อันเป็นวันที่หุ้นชินคอร์ปมีราคาเฉลี่ย 213.9 บาท เมื่อคำนวณมูลค่าหุ้นหลังเปลี่ยนทุน เป็นหุ้นละ 1 บาท เท่ากับราคาซื้อขายวันดังกล่าวมีราคา 21.309 บาท ครั้นคำนวณจากหุ้นจำนวน 1,419 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้น  30,247,915,606.35 บาท อันถือเป็นทรัพย์ที่ผู้ถูกกล่าวหามีแต่เดิมและไม่อาจให้ตกเป็นของแผ่นดินได้
 องค์คณะมีมติเสียงข้างมากว่า ทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินมีเฉพาะเงินปันผลค่าหุ้น และเงินที่ได้จากการขายหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,373,687,454.70 บาท พร้อมดอกผลของเงินจำนวนดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยบังคับจากทรัพย์สินที่อายัดไว้ก่อนหน้านี้
ทักษิณให้สัมภาษณ์หลังยึดทรัพย์ขอเป็นเหยื่อคนสุดท้าย

 พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แถลงผ่านทีวีสภาประชาชนหลังจากศาลฎีกาได้พิพากษาว่า  ต้องยอมรับเป็นการเมืองสุดๆ ใจดำด้วย ที่ใส่เสื้อสีดำก็เพื่อไว้ทุกข์ที่ไม่เชื่ออดีตภรรยาและลูก กฎหมาย4-5ปีที่ผ่านมานี้เป็นเหมือนติต่าง ขอโทษผู้พิพากษาที่มีอุดการณ์ที่ต้องการมาจัดการคนเช่นตน เพราะตนจะเป็นเหยื่อคนสุดท้ายแล้ว และขอให้กลุ่มคนเสื้อแดงต่อไปเพื่อประชาธิปไตยอย่างสันติ และนักธุรกิจอย่าได้เข้ามาเล่นการเมืองเลยเพราะอาจจะยึดทรัพย์เช่นตนได้
 "หากผมโกงจริงขอให้มีอันเป็นไปใน 3 วัน 7 วัน เราท่านประหารเราชอบ เราไม่ผิดดาบนั้นคืนสนอง วันนี้ผมไม่ได้รับความไม่ยุติธรรมสุดๆ" พ.ต.ท.ทักษิณ

ขณะที่บรรยากาศที่พรรคเพื่อไทย ริมถนนพระราม 4 ปรากฏว่าตั้งแต่ช่วงเช้ามีกองทัพสื่อมวลชนจำนวนมากมาจับจองพื้นที่ เพื่อรอรายงานสถานการณ์ความเคลื่อนไหวภายในพรรคหลังจากพรรคเพื่อไทยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะวีดีโอลิงค์เข้ามาที่พรรคเป็นระย ๆ เริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 น.ระหว่างการตัดสินคดี จนเต็มบริเวณพื้น ที่ห้องโถงชั้น 1 ของอาคารที่ทำการพรรค
 โดยพรรคเพื่อไทยได้จัดเตรียมจอโปรเจคเตอร์ไว้ให้ติดตามสถานการณ์ไว้ 4 จุด แบ่งเป็นที่ห้องโถงชั้น 1 จำนวน 2 จุด และชั้น 4 เพื่อรองรับแกนนำพรรคเพื่อไทยและอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน รอให้กำลังใจการตัดสินคดี
 เบื้องต้นได้มีแกนนำพรรคเพื่อไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรค นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคฯ และนายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรมว.คลัง นายพิชัย นฤคพันธุ์ อดีตรมช.คลัง ทยอยเดินทางเข้าพรรคขึ้นไปรวมตัวกัน รวมทั้งมีบรรดาอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประ ชาชน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายอดิศร เพียงเกษ อดีต รมช.เกษตรฯ นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในเวลา12.00 น.ที่บริเวณชั้น 4 ส่วนใหญ่สวมเสื้อแดงซึ่งพรรคจัดวอร์รูมไว้เพื่อวีดีโอลิงค์กับพ.ต.ท.ทักษิณด้วย
 ขณะเดียวกันมีประชาชนคนเสื้อแดงทยอยเดินทางมาให้กำลังใจและเกาะติดสถานการณ์อย่างต่อเนื่องจับจองจนเต็มพื้นกว่า100 คน ที่ห้องโถงชั้น 1 อาคารที่ทำการพรรค
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการนำแผ่นพับ 2 ชุด ๆ ละ 4 หน้า จำนวนปึกใหญ่ มาวางไว้ที่เคาน์เตอร์พรรคเพื่อไทยเพื่อแจกให้ประชาชนที่มาให้ติดตามสถานการณ์และรอให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยแผ่นแรกเป็นของกลุ่มผู้พิทักษ์ความยุติธรรม ใช้ชื่อว่า”ยึดอำนาจ ยึดทรัพย์ ทำลายหลักนิติธรรม นำประเทศสู่กลียุค”ซึ่งเนื้อหาสาระถึงความเป็นมาจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง จนนำไปสู่การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ
 ส่วนอีกแผ่นเป็นของกลุ่มผู้รักความยุติธรรมใช้ชื่อว่า”ที่มาที่ไป ทรัพย์สิน 7.6 หมื่นล้านบาท ความจริงที่คนไทยควรรู้”เนื้อหาสาระข้อเท็จจริงที่มาที่ไปทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยได้ระบุยืนยันว่ารวยก่อนทำงานงานการเมือง ไม่ใช่ทำงานการเมืองแล้วรวย
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.10 น.นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช.ให้สัมภาษณ์ถึงการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรขอให้คนเสื้อแดงตั้งหลักให้ดี เพราะทราบมาว่าจะมีการสร้างสถานการณ์ที่ศาลฎีกาภายหลังมีคำตัดสิน เนื่องจากเย็นวันที่ 25 ก.พ.เครือข่ายรัฐบาลโดยเฉพาะกลุ่มเสื้อน้ำเงินได้มีการระดมคนจากจังหวัดบุรีรัมย์และมหาสารคามเข้ามาที่กทม. เข้าใจว่าจะมาใส่เสื้อแดงเพื่อสร้างสถานการณ์ อาจเป็นรูปแบบการแสดงความไม่พอใจ ทุบข้าวของต่างๆ จึงอยากจะเตือนนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยว่า ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อน้ำเงิน พวกตนก็อาจจะไปชุมนุมที่กระทรวงมหาดไทยหรือที่บริษัทชิโนไทยก่อนก็ได้

 ขอยืนยันว่าคนเสื้อแดงจะไม่เคลื่อนไหวไปที่ศาลหรือบริเวณใดๆทั้งสิ้น จะนัดชุมนุมในวันที่ 14 มี.ค.เพราะจะเป็นการชุมนุมโดยใช้สติ ไม่มีการใช้อารมณ์มาเจือปน วันนี้เท่าที่ดูท่าทีของนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เหมือนจะรู้อะไรล่วงหน้า จึงให้ช่องหอยม่วงออกมาเคลื่อนไหวไม่หยุด ขอเตือนว่านายสาทิตย์เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นเป้าหมายของคนเสื้อแดงด้วย
 ทั้งนี้น่าสังเกตว่ากระบวนการต่างๆมีการเคลื่อนไหวช่วงนี้โดยเชื่อมโยงและโยงใยกับกระบวนการโค่นล้มอำนาจ 19 ก.ย.2549 ล็อคเป้าหมายทำลายพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งภายหลังคำตัดสินทุกคนก็จะทราบว่าใครเป็นใคร แต่ใครที่ฉ้อฉลจะต้องได้รับชะตากรรมยิ่งกว่าคนที่ถูกตัดสินคดีในวันนี้ และจะได้เห็นหน้าที่ชัดเจนของนอมินีคตส.ที่ใช้มารับค่าสินบนนำจับ
 ตนได้คุยกับพ.ต.ท.ทักษิณเมื่อเวลา 24.00 น.ของวันที่ 25 ก.พ. โดยพ.ต.ท.ทักษิณยังมีสุขภาพและใจแข็งแรง ยังคาดหวังต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ยืนยันว่ากำลังใจดีมาก ในส่วนแกนนำกลุ่มเสื้อแดงนั้น ไม่มีใครที่จะเดินทางไปดูไบ ยังปักหลักที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว ส่วนกรณีที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ออกมาขอโทษตนหลังจากระบุว่าคนเสื้อแดงไม่มีทางจะนำคนเสื้อแดงขึ้นรถกระบะ 1 แสนคันเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯได้นั้น ต้องขอกราบขอบพระคุณและขอโทษร.ต.อ.เฉลิมด้วย ที่ผ่านมาเรารักใคร่กันดี ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไร

ความจริง ...คดีตบทรัพย์ ทักษิณ 7.6 หมื่นล้าน
กษัตริย์ไทยเสด็จออกจากโรงพยาบาลเพียงแค่ ๔ ชั่วโมง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น