เพลงฉ่อยชาววัง

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

พระเจ้าอู่ทองคือขอมที่หนีตายมาจากนครวัด...หลักฐานที่มัดแน่นอย่างกระชับ.

ผู้เขียน   คนถางทาง
ข้าพเจ้าได้เขียนบทความไว้มากหลายเพื่อแสดงหลักฐาน เหตุผล สนับสนุนแนวคิดว่าพระเจ้าอู่ทอง..ผู้สร้างกรุงอยุธยาเป็นขอมที่อพยพหนีมาจากนครวัด

คราวก่อนข้าฯได้เขียนสรุปแบบรุ่มร่าม ทำให้อ่านยาก  บัดนี้จักได้แสดงหลักฐาน เหตุผล อีกครั้งหนึ่งที่กระชับมากขึ้นและเป็นลำดับมากขึ้น รวมทั้งปรับสำนวนใหม่ให้อ่านง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูล ข้อโต้แย้งใหม่ๆ นำเสนอเพิ่มเติมด้วย

๑)  ขอมถูกฆ่าที่นครวัด...ที่มาของพระเจ้าอู่ทอง
เมืองพระนคร ถูกครองโดยกษัตริย์สาย “วรมัน” มาอย่างต่อเนื่องถึง ๒๘ องค์  เป็นเวลากว่า ๕๐๐ ปี จู่ๆ ในปี คศ. 1336 ก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย กษัตริย์องค์ต่อๆ มาไม่มีคำว่า “วรมัน” ต่อท้ายอีกเลย ...แต่จนบัดนี้ก็ไม่มีใครสงสัยเรื่องนี้กันเลย ..ไม่ว่าฝรั่งหรือไทย หรือ เขมร

ในปี คศ. 1336  (ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาเสร็จ 14 ปี) เมืองพระนครได้กษัตริย์ใหม่มีนามว่า ตระซอกเปรแอม (แปลเป็นไทยว่า พระเจ้าแตงหวาน) ..ไม่มีวรมันต่อท้าย ...ถือเป็นการสูญพันธุ์ของ “ขอมวรมัน” แต่บัดนั้น

 ข้าพเจ้าวิเคราะห์ว่า พ.แตงหวาน คือหัวหน้าทาส ที่นำพวกทาสซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของเมืองยึดอำนาจมาจาก “ขอมวรมัน” แล้วฆ่า/ขับไล่ขอมวรมันออกไปจากเมืองจนหมดสิ้น ... แต่เนื่องจากตนไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อพันธุ์เดียวกับพวกวรมัน แต่เป็นเชื้อชาติอื่น ก็เลยยกเลิกธรรมเนียมการตั้งชื่อเป็น “วรมัน” ที่ยืนยาวมากว่า 500 ปี

การวิเคราะห์ของข้าพเจ้านี้ไปตรงกับพงศาวดารเขมร ฉบับ “นักองค์เอง” เข้าอย่างจัง (นักองค์เองนี้หน่อเนื้อกษัตริย์เขมร ที่หนีภัยการเมืองมาพึ่งพระบารมี ร ๑ ของเรา จากนั้นส่งไปครองเขมร)

 พงศาวดารฉบับนี้บันทึกว่า.ต้นตระกูลเขมรมาจาก ตระซอกเปรแอม (พระเจ้าแตงหวาน) นี่เอง (อ้างใน..”วัฒนธรรมขอมกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา”, อุดม เชยกีวงศ์, สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา, ๕๒๘ หน้า,พศ. ๒๕๕๒, หน้าที่ ๑๖๓)

ต้องถามว่า ถ้าเขมรเป็นทายาทของ “ขอมวรมัน”  มีหรือที่นักองค์เองจะพลาดจนไม่ยอมพาดพิงไปถึง  แต่ด้วยความภูมิใจในเลือดเขมรที่ปลดแอกจากความเป็นทาสของพวกขอมวรมันได้ ก็เลยระบุไปแบบพาซื่อและตามจริงว่าพวกตนเป็นหน่อเนื้อของ ตระซอกเปรแอม

สรุปในท่อนนี้คือ เขมรไม่ใช่ขอมแต่เป็นพวกที่มาฆ่าขอมและไล่ขอมออกไปจากนครวัดต่างหาก
พวกขอมนี้คงถูกพวกเขมรเรียกว่า “เสียม” (สยาม) พอเขมรไล่เสียมออกไปได้ก็เลยเรียกเมืองพระนครว่า “เสียมเรียบ” แปลว่า สยามราบ หรือ สยามหมดเรียบ



๒) ขอมหนีตายจากนครวัดไปสร้างกรุงศรีอยุธยา
กล่าวฝ่ายพวกขอมวรมัน (เสียม?) ที่เป็นชนชั้นปกครอง ที่ถูกเผ่าพันธุ์ของตรอซอกเปรแอม ฆ่าไม่หมด”เรียบ”เสียทีเดียว ก็หนีไปซบอก “ขอมพ่อ” ที่ลพบุรี  โดยไปสร้างเมืองใหม่ใกล้ลพบุรี แล้วเรียกว่า กรุงอโยธยา โดย หัวหน้าใหญ่ชาวขอมที่อำนวยการหนีอพยพก็คือ พระเจ้าอู่ทอง นี่เอง  

ทฤษฎีเดิมที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเสนอว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรี นั้นบัดนี้พิสูจน์กันแล้วว่า ไม่ใช่  เพราะหลักฐานด้านโบราณคดีได้พิสูจน์ชัดว่าเมืองอู่ทองนั้นเป็นเมืองร้างมาก่อนหน้านี้สามร้อยปีแล้ว  ส่วนทฤษฎีอื่นๆก็มีมากหลายเช่นบ้างก็ว่ามาจากเชียงแสน เป็นลูกขุนบรม บ้างก็ว่ามาจากสุโขทัยเป็นบุตรพระราเมศวร บ้างก็ว่าเป็นสุลต่านมุสลิมมาจากกลันตันมาลายู (ที่พระศพยังฝังอยู่ที่กลันตันจนวันนี้)  บ้างก็ว่าเป็นพ่อค้าชาวจีนมาจากเพชรบุรี (พงศาวดารฉบับวันวลิต พ่อค้าชาวฮอลันดา)

พระเจ้าอู่ทองนำคนประมาณ 3 แสน (ตามการประมาณการของนักวิชาการฝรั่ง) มาสร้างเมืองใหม่ที่อยุธยา  ถามว่า..เอาคนจำนวนมหาศาลมาจากไหน?   เพราะพลเมืองของเมืองอู่ทอง (แม้ยังไม่ร้าง)  สุโขทัย เชียงแสน เพชรบุรี รวมกันหมดแล้วยังไม่น่าถึงสามแสนด้วยซ้ำไป

นักวิชาการบางท่านที่ได้อ่านบทความนี้ของข้าฯแล้ว ก็หาทฤษฎีมาหักล้างทันที่ว่า พระเจ้าอู่ทองก็ทรงมาจากลพบุรีนั่นไง ..ซึ่งข้าฯขอแย้งกลับว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะลพบุรีจะอพยพมาอยู่อยุธยาทำไม ใกล้กันแค่นี้ (อย่ามาอ้างหนีโรคระบาดนะ..เพราะมันง่ายเกินไป)  แล้ว ลพบุรีมีพลเมืองถึงสามแสนหรือ แล้วทำไมลพบุรีไม่กลายเป็นเมืองร้างล่ะ เพราะอีก 18 ปีต่อมา พระราเมศวร (ราชบุตรพระเจ้าอู่ทอง) ก็เสด็จไปครองเมืองนี้ (แสดงว่าเมืองนี้มีพลเมืองอาศัยอยู่..ไม่ได้เป็นเมืองร้างโดยการอพยพมาอยู่ที่อยุธยาแต่อย่างใด)

เหตุผลแวดล้อมที่สำคัญที่สุดว่าพ.อู่ทองมาจากนครวัดคือ พอสร้างกรุงศรีอุยธยาเสร็จเมื่อ 1350 ...14 ปีหลังจากถูกไล่ฆ่าที่นครวัด  (ก็เหมาะสมที่ใช้เวลา 14 ปีในการสร้างเมืองใหม่สำหรับคน 3 แสนคน)  ...จากนั้น 1352 ทรงยกทัพไปตีนครวัด  ซึ่งต้องถามว่า.เพิ่งสร้างเมืองเสร็จใหม่ ๆ กำลังพลอ่อนล้ามานาน น่าจะพักผ่อนและเฉลิมฉลองเสียมากกว่า อีกทั้งกองทหารก็ใหม่เอี่ยมถอดด้าม ไม่มีเวลาซ้อมรบ (เอาไปสร้างเมืองหมด)  แล้วจะไปรบกับ “ขอมผู้ยิ่งใหญ่” ที่เป็นอาณาจักรเก่าแก่และมีพลเมืองมหาศาล และมีกองทัพอันเกรียงไกรไหวหรือ

 ตามประวัติศาสตร์นั้นมักจะตรงข้าม ...คือถ้าสร้างเมืองเสร็จใหม่มักถูกเมืองเก่าเข้ามาโจมตี เพื่อขจัดศัตรู แต่นี่เมืองใหม่ที่เล็กกว่า 3 เท่า ไม่น่ากล้ายกกองทัพไปตีเมืองเก่าที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในละแวกนี้ ..มีแต่จะไปถวายเครื่องราชบรรณการเสียมากกว่า

 อยุธยาตอนนั้นมีพลเมืองเพียงสามแสน ถ้านครวัดยังเป็นนครวัดเดิมๆ ก็คงมีพลเมือง 1 ล้าน อีกทั้งมีกองทหารที่เข้มแข็งมาก เป็นที่เลื่องลือ ดังที่นักประวัติศาสตร์ฝรั่งว่า (เช่น สุโขทัย และลพบุรี  ก็เป็นเมืองขึ้นขอมหมดสิ้น)

 เรื่องนี้มีคำตอบทางเดียวคือ การยกทัพไปตี”เขมรนครวัด”ของพระเจ้าอู่ทองนั้น คือการไปล้างแค้นนั่นเอง เพราะทนรอมา 16 ปีแล้ว ทรงชรามากแล้ว เดี๋ยวจะสวรรคตเสียก่อนได้ล้างแค้นพวกเขมร ที่มาไล่ฆ่าชาวขอมแล้วยึดนครวัดไป  อีกทั้งทรงรู้ว่าพวกอดีตทาสพวกนี้ไม่ได้มีกองทัพที่เข้มแข็งที่ชำนาญในการรบแต่ประการใดหรอก

 สรุปความตอนนี้คือ ..พระเจ้าอู่ทองคือผู้นำพลเมืองขอมที่หนีตายมาจากนครวัดเนื่องจากถูกพวกทาสที่มีกำลังมากกว่าไล่ฆ่า เพื่อปลดแอกพวกตนจากความเป็นทาส

๓) หลักฐานจากบันทึกของโจวตากวน
บันทึกของโจวตากวน (ทูตการค้าชาวจีน) ที่เข้ามาอยู่นครวัด ๒ ปีในสมัยช่วงปลายยุควรมัน ได้เขียนบันทึกอันทรงคุณค่าบรรยายไว้ว่า ประชากรส่วนใหญ่ในเมืองพระนครเป็นพวกทาสที่ถูกจับมาจากป่าเขารอบๆ  คนเหล่านี้ตัวดำมาก นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว ไม่ใส่เสื้อ

พวกข้าราชการพูดภาษาต่างจากคนพื้นเมือง (พวกข้าราชการนี้คือพวกขอม ส่วนคนพื้นบ้านพูดคนละภาษา แสดงว่าไม่ใช่ขอม ก็คงเป็นเขมรนั่นแล)  อีกทั้งผิวไม่ดำมาก บางคนผิวขาวยังกะหยก (ก็เข้าลักษณะคนสยามที่มีหลายสีผิวผสมกัน)

คนพื้นเมืองทอผ้าไม่เป็น เย็บและชุนผ้าด้วยเข็มก็ไม่เป็น แต่คน “เสียม” ทอผ้าเป็น เย็บและชุนผ้าด้วยเข็มก็เป็น พวกเขาปลูกหม่อนเลี้ยงไหมโดยเอาต้นหม่อนตัวไหม มาจากเมืองเสียม

ถามว่าคนเสียมไปทอผ้าอยู่ที่นครวัดทำไมในช่วงนั้น (ประมาณ คศ. 1290) ตอบได้ว่า เป็นครอบครัวที่อพยพไปอยู่กับพวกทหาร ขุนนาง ซึ่งเป็นชนชั้นปกครองนั่นเอง
...ถามต่อไปว่าคนพื้นเมืองทอผ้าเย็บผ้ายังไม่เป็น แล้วจะสร้างนครวัดนครธมเป็นหรือ??

โจวฯ บันทึกด้วยว่าพวกคนชั้นสูงแต่ละคนมีทาสกันเป็นร้อยคน   คนชั้นกลางมีทาส 30 คน คนที่จนมากจริงๆ จึงจะไม่มีทาสเลย
 ...ลองมาคำนวณดูว่าในบรรดาคนชั้นสูง 100 ครอบครัว ถ้ามีฐานะดี 10 ครัว ชั้นกลาง 30 ครัว ชั้นล่างอีก 60 ครัว   ก็จะมีทาสเสียประมาณ 2000 คน ถ้าครัวหนึ่งมี 6 คน ก็จะมีสัดส่วนคนชั้นสูง 1 คนต่อทาส 3 คน  นักวิชาการฝรั่งประเมินว่า นครวัดในช่วงนั้นมีพลเมืองประมาณ 1 ล้านคน  (ใหญ่กว่าปารีส และลอนดอน ตรงนี้ขอเชื่อฝรั่งสักหน่อย เพราะมีเหตุผลอยู่) ดังนั้น พลเมืองนครวัดในช่วงนั้นจะเป็นนายทาส และคนอิสระเสีย สองแสนห้าหมื่น และเป็นทาสเสีย เจ็ดแสนห้าหมื่นคน

 ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่พอเกิดความเสื่อมในคนชั้นปกครอง พวกทาสที่มีจำนวนมากกว่า 3 เท่าก็เลยรวมหัวกันล้มอำนาจเสียเลย เพื่อปลดแอกตนเอง จากนั้นสถาปนา  ตระซอกประแอม (นายแตงหวาน)  ขึ้นเป็นกษัตริย์ จนเป็นต้นตระกูลของเขมรตามพงศาวดารฉบับแรกที่(ยัง)ไร้การเสี้ยมของ “ฝรั่งเศษ”

๔) ขอมนครวัดคือใคร
คำว่าขอมนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นทั้งชนชาติและเป็นทั้งวัฒนธรรม คำว่า ขอม นั้นเป็นคำที่ “คนไต” เรียกคนเผ่านี้

ข้าฯขอสันนิษฐานว่าอาณาจักรขอมในยุคก่อนนครวัดนั้น น่าจะมีศูนย์กลางอยู่ที่ลพบุรี เมืองเสมา (อ.สูงเนิน โคราช)  พิมาย และ ศรีเทพ  กล่าวอย่างรวมๆ อาณาจักรขอมก็คืออาณาจักรทวาราวดีเก่านั่นเอง

หลังจากนั้นได้แผ่อารยธรรมออกไปทางเขมร โดยแพร่มาจากลพบุรีผ่านมาทางศรีมโหสถ (ปราจีนบุรี) ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งมาจากเมืองเสมา โคราช พิมาย แล้วมาสร้างนครวัดในที่สุด

ขอมนครวัดเริ่มต้นสู่ความยิ่งใหญ่ที่กษัตรยิ์สุริยวรมันที่ ๑  แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าท่านมาจากที่ไหน จู่ๆก็เข้ามาเป็นกษัตริย์ แถมยังเป็นกษัตริย์พุทธเสียอีก ทั้งที่เขาเป็นฮินดูกันทั้งเมืองมานานนม

ข้าพเจ้าเชื่อว่า กษัตริย์สย. ๑ ทรงมาจากการยึดอำนาจ  เพราะหากมาจากการสืบทอดอำนาจก็น่าจะทรงเป็นพราห์มณ์   น่าจะเป็นพิมายที่ส่งกำลังทหาร(พุทธ)มาช่วยยึดอำนาจ เพราะพิมายในช่วงนี้นับถือพุทธแล้ว

อีกทั้งมีหลักฐานว่า สย. ๑ ทรงเป็นผู้เริ่มก่อสร้างปราสาทหินพิมายด้วย (ซึ่งเป็นปราสาทพุทธ)  นับว่าน่าประหลาดมากที่ทรงเป็นกษัตริย์ครองนครวัด แต่แล้วทำไมไปสร้างปราสาทหินที่พิมาย  แสดงว่าต้องการตอบแทนพระคุณของ “เมืองแม่” (พิมาย) นั่นเอง .... อย่าลืมด้วยว่าป.พิมาย เริ่มสร้างก่อน ป. นครวัดประมาณ 100 ปี

80 ปีต่อมา พระเจ้าชัยวรมันที่ 6  (กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อีกพระองค์) ก็มาจากพิมาย (http://en.wikipedia.org/wiki/Jayavarman_VI)

พระราชบิดาของพระองค์มีพระนามว่า “กัมพู สวายามภูวา”  มารดานามว่า เมรา   (นาม สวายามฯ นี้น่าพิศวงมาก เพราะมันช่างพ้องกับคำว่า สยาม เสียเหลือเกิน ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า  คำว่า สยาม มาจากคำนี้แหละ..โปรดอ่านต่อ)

นักวิชาการฝรั่งสันนิษฐานว่า ชย. ๖  มาจากการยึดอำนาจ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพิมาย (อีกแล้ว) ส่งทหารเข้ามาช่วยยึดอำนาจ (คืน)  คราวนี้คงส่งทหารมามาก แล้วให้ครอบครัวอพยพมาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก  พลเมืองส่วนนี้ก็เลยถูกเรียกว่าพวก (ลูกหลานของ)  “สวายาม”   มาแต่บัดนั้น

 ชย. ๖ นี้เชื่อกันว่า คือผู้มาสานต่อการสร้างปราสาทหินพิมายจนเกือบแล้วเสร็จ  (ราว คศ. 1100 ก่อนสร้างปราสาทนครวัดสัก 50 ปี)   รวมทั้งสร้างทางด่วนยาว 200 กว่ากม. เชื่อมพิมายกับนครวัดด้วย  หลักฐานยังมีให้เห็นจนทุกวันนี้ แสดงว่าทรงมาจากพิมายแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงไม่ผูกพันไปลงทุนสร้างอะไรให้กันใหญ่โตปานนี้ดอก

 คศ. 1115 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่ง ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้เริ่มสร้างปราสาทนครวัด) ก็มีจารึกว่าไปจาก “ลพบุรี”  (อ้างใน Wikipedia http://en.wikipedia.org/wiki/Suryavarman_II )  (แต่ครองราชห่างจาก สย. 1 ประมาณ 70 ปี) ทรงทำสงครามกับพวกจามมากที่สุด และคงจับเอาพวกจามมาเป็นทาสมาก เอาแรงงานมาสร้างปราสาทหินนี่เอง  แต่ตอนหลังพวกทาสนี่แหละที่จะกลายมาเป็นหอกข้างแคร่ และกลายมาเป็นเขมรในที่สุด

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ผู้ยิ่งใหญ่ที่สองรองจาก สย 2  แต่บางท่านก็ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดกว่า สย. ๒ เสียอีก) เป็นผู้มาสร้างนครวัดต่อให้เสร็จ และยังสร้างนครธมอีกด้วย   ก็ไม่มีบันทึกว่าเป็นลูกเต้าใครมามาจากไหน (อีกแล้ว..เหมือนสย. 1)  ...นักวิชาการฝรั่ง “เดา” ว่าน่ามาจาก จาม แต่ข้าพเจ้าว่า ไม่ใช่ เพราะท่านคือผู้มากู้ขอมนครวัดให้พ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของจามที่ยึดครองนครวัดอยู่ถึง ๔ ปี แล้วท่านจะเอาทหารกู้ชาติมาจากไหน  นอกเสียว่าเอามาจาก พิมาย และ ละโว้ ..ดังที่มีภาพสลักทหารสยำและละโว้อันโด่งดังไว้ที่กำแพงนครวัดนั่นแล

 ชย. ๗ ทรงเป็นชาวพุทธที่เคร่งยิ่งกว่า สย. ๑ เสียอีก แสดงว่าไม่มีทางมาจากจามที่เป็นมุสลิมผสมฮินดูไปได้อย่างแน่นอน ...ทรงเป็นผู้ทำให้นครวัดเป็นพุทธไปหมดอย่างถาวรตลอดมาจนวันนี้ อีกทั้งมาสร้างปราสาทพิมายให้เสร็จและบำรุงเส้นทางพิมาย-นครวัดให้สมบูรณ์ สร้างอโรคยาศาล (ที่พักริมทางพร้อมโรงพยาบาล) เต็มไปหมด ยิ่งเป็นหลักฐานว่ามาจากพิมาย

การลงทุนสร้างปราสาท (หินพิมาย )  ถนน  อโรคยศาล แบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ถ้าว่าพิมายเป็นเมืองขึ้นของนครวัด ลองนึกถึงสภาพเมืองขึ้นโบราณ มีแต่เขาจะกวาดต้อนผู้คนมาเป็นทาส (และลดกำลังทหารไปด้วยในตัว) แล้วให้ส่งส่วย แต่นี่ไปช่วยเขาสร้างเมือง สร้างถนน โรงพยาบาล ?  แสดงว่าไปสร้างเพื่อ “ตอบแทนบุญคุณบ้านพ่อเมืองแม่เสียมากกว่า”

 สรุปตอนนี้คือ ลพบุรี พิมาย ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของนครวัดอย่างที่นักวิชาการฝรั่งมักชอบอ้าง แต่ตรงข้าม ลพบุรีเป็นเมืองพ่อ และพิมายเป็นเมืองแม่ ที่ส่งกษัตริย์มาปกครองนครวัดด้วยซ้ำ อีกทั้งมาช่วยรบกู้บ้านกู้เมืองตลอดเวลา ตั้งแต่สมัย สย. ๑   สย. ๒  ชย. ๖  โดยเฉพาะ ชย. ๗ ที่มากู้ออกจากอำนาจจาม นอกจากนี้ชาวสยาม (จากลพบุรีและพิมายก็เข้ามาอยู่เป็นชนชั้นปกครองของนครวัดอีกด้วย)

  ...จนกระทั่งฝรั่งเศสเข้ามาในยุคล่าอาณานิคม ก็มาเสี้ยมสอนให้เขมรเชื่อว่าเป็นทายาทของ “ขอมวรมัน”  ทั้งนี้ ก็เพื่อยกความเป็นขอมให้เขมร..เพื่อผลประโยชน์ในการล่าอาณานิคมนั่นแล

 หลักฐานสำคัญอันหนึ่งที่ระบุว่าเขมรไม่ใช่ขอมคือ เขมรแต่อดีตอันนานโพ้นจนถึงปัจจุบันนี้ใช้เลขฐาน ๕ พอหกเจ็ดก็ขึ้นเป็น ๕๑ ๕๒ ส่วนขอมโบราณนั้นเขาเขียนว่า  ..๕ ๖ ๗ เหมือนลพบุรีเลย  ไม่เขียนตามการออกเสียงว่า ห้าหนึ่ง ห้าสอง
๕)  เทวราชา/ธรรมราชา
การปกครองบ้านเมืองในลุ่มน้ำเจ้าพระยาแต่ก่อนนิยมใช้ระบบ ธรรมราชา ส่วนของนครวัดเป็น เทวราชา ที่กษัตริย์เป็นสมมติเทพ(แขก)

ดังนี้แล้วต้องถามว่า พระเจ้าอู่ทองเอาระบบ “ เทวราชา” มาจากไหน ? โดยสถาปนาพระองค์เองเป็น พระรามาธิบดีที่ ๑ (อวตารของพระกฤษณะ)  ครองกรุงอโยธยา  ตามคติฮินดูเทวราชาแบบนครวัด...เสียแต่ว่าไม่ยอมใช้วรมันเท่านั้นเอง   นอกจากนี้ยังใช้ระบบตัวเลข (ที่ ๑) ตามระบบนครวัดอีกด้วย

๖) ภาษาไทย สยาม ขอม
โจวตากวนบันทึกว่าพวกชนชั้นปกครองและนักปราชญ์ (ขอม) ที่นครวัด พูดภาษาอีกภาษาหนึ่งที่ต่างจากคนพื้นเมือง ก็ยิ่งมัดแน่นว่าขอมพูดภาษาต่างจากเขมร คนละเผ่ากัน  ภาษานั้นคงเป็นภาษาขอมโบราณ  ยังมีร่องรอยของภาษานี้อยู่บ้างในชื่อปราสาทหินต่างๆที่นครวัด เช่น

ปราสาทนาคพัน (เขมร..เนียกเพียน) ..คำสันสกฤตว่า นาคา แล้วย่อมาเป็น นาค นี้มันธรรมเนียมคนสยามแท้ๆ เลย มีแบบนี้มาก เช่น ราชา-ราช  รัตนา-รัตน์
ปราสาทพิมานอากาศ..คำว่าวิมาน (สันกฤต) แล้วแปลงเป็น พิมาน โดยใช้ พ แทน ว นี้ ก็เป็นธรรมเนียมของภาษาสยามโดยทั่วไป เช่น วิจิตร พิจิตร วิไลย พิไลย เป็นต้น

อื่นๆ เช่น แม่บุญ ปักษีจำกรง เชื้อสายเทวดา นครวัด นครธม  (ธมนี้คือ ธมฺ ในภาษาบาลี คือ ธรรม ในสันสกฤต นั่นเอง แต่นักวิชาการฝรั่งเข้าใจผิดไปว่าแปลว่า “ใหญ่”  ในภาษาเขมร)

ดูเหมือนว่าภาษาขอมโบราณที่เป็นชื่อปราสาท มีส่วนคล้ายภาษาสยามมากทีเดียว

สำหรับราชาศัพท์ไทยเราที่มีคำพ้องกับภาษา “ขอม” มากนั้น  (เช่น เสวย เสด็จ เขนย ) ก็ยิ่งเป็นหลักฐานมัดว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นขอมมาจากขอมนครวัด...ก็ทรงเป็นเทวกษัตริย์ขอมมาจากนครวัด ก็ต้องใช้ภาษาขอมนี่แหละ จะให้ใช้ภาษาอะไรเล่า  ในขณะนั้นจารึกที่สุโขทัยยังใช้ว่า..พ่อกู ขุนศรี แม่กูนางเสืองอยู่เลย ...ไม่มีราชาศัพท์สักคำ

ดังนั้นราชาศัพท์ไทยเราเป็นภาษาขอมผสมกับสันสกฤต ซึ่งไม่ใช่ภาษา”เขมร” อย่างแน่นอน

ส่วนพวกเขมรเป็นทาสขอมมานานหลายร้อยปี ก็ซึมซับรับเอาภาษาขอมไปใช้ด้วย ในส่วนหนึ่งผสมกับภาษาพื้นเมืองของตนอีกส่วนหนึ่ง

ภายหลังก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาคนพูดภาษาตระกูลไทย ลาว ก็อพยพเข้ามาล้นหลามอย่างรวดเร็ว จนเพิ่มขึ้นเป็นล้านคนในที่สุด (เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกพอๆกับ ลอนดอน และปารีส) สำเนียงของไทยจึงมีอิทธิพลกลืนภาษาขอมเดิมเสียเกือบสิ้น ยกเว้นราชาศัพท์ ที่ยังเป็นภาษาขอมเป็นส่วนใหญ่ตามประเพณีเดิมแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง

วรรณกรรมสยามในยุคต้นอยุธยาเขียนเป็นภาษาไทย ขอม  บาลี  ปนกัน เช่น โองการแช่งน้ำ ลิลิตยวนพ่าย

๗) ตำนานเขมร
นอกจากพงศาวดารแล้ว ก็ยังมีนิทานปรัมปรา ซึ่งบ่อยครั้งมีความแน่นอนยิ่งกว่าบันทึกประวัติศาสตร์เสียอีก เพราะบันทึกประวัติศาสตร์นั้นบันทึกตามคำสั่งผู้ชนะเสมอ จึงมีการบิดเบือนได้มาก

..ปรากฎว่านิทานต้นกำเนิดชาติเขมรนั้นช่างตรงกับนิทานต้นกำเนิดพวกจามยังกะแกะ คือ ต้นตระกูลมาจากนางนาค (เนียงเนียก) ชื่อโสมา สมสู่กับฤาษีตนหนึ่ง แล้วออกลูกมาเป็นชาวเขมร ข้อมูลนี้เสริมว่าเขมรอาจคือพวกจามที่ถูกขอมจับมาเป็นทาส แล้วพาเอานิทานต้นกำเนิดนี้ติดตัวมาด้วย  ..

สันนิษฐานของข้าพเจ้าในเรื่องนี้ต่างจากบันทึกของโจวตากวนที่เล่าว่า ทาสในพระนครถูกจับตัวมาจากคนป่าที่อยู่ตามภูเขารอบๆ  (ที่ติดพรมแดนจาม)...แต่อาจลงรอยกันได้บ้างในข้อที่ว่า คนป่าเขาก็มักเอานิทานของคนเผ่าอื่นมาเป็นนิทานของตน (เพื่อยกระดับตน)

สรุปส่งท้าย
สิ่งที่ข้าพเจ้าเสนอมาเป็นเรื่องที่เป็นไปได้มากทีเดียว เพราะหลักฐาน เหตุผล บริบทแวดล้อมมันลงกันได้อย่างเหลือเชื่อ หากเป็นจริงข้าขออุทิศความดีให้ชนชาติขอม สยาม  ไต ที่สละเลือดเนื้อก่อร่างสร้างชาติมาให้ข้าพเจ้ามีเผ่นดินยืนในวันนี้ หากไม่จริงข้าพเจ้าขอรับความอับอายขายหน้าและเป็นตัวตลกโดษดุษฎี

และอย่าเชื่อฝรั่งมากไป โดยเฉพาะเซเดส์ที่เป็นนักวิชาการฝรั่งเศสที่มีความลำเอียงเข้าข้างอาณานิคม นักวิชาการไทยต้อง”กล้า”คิดต่างอย่างอิสระกันเสียที
ในรายละเอียด ยังมีปัจจัยเสริมอีกมาก สนใจโปรดหาอ่านได้ในบทความอันหลากหลายของข้าพเจ้าโดยอาจเริ่มที่  http://www.gotoknow.org/blogs/posts/454712
...ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๑ มีค. ๒๕๕๕)
https://www.gotoknow.org/user/withwit/profile


บทความเกี่ยวข้อง ขำ ๆ

คนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต ประวัติศาสตร์ ′ปลอม′ ที่ไม่ยอมจากไป และพิพิธภัณฑ์ไทย ที่ไม่หมุนตามโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น