เพลงฉ่อยชาววัง

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

การรวมศูนย์อำนาจของ ร.5

จุฬาลงกรณ์ขึ้นเป็น ร.5 เมื่ออายุ 15 ปี มีลูกทั้งหมด 77 คน มีเมียอีกมากมาย มีนโยบายให้อำนาจทั้งหมดรวมศูนย์อยู่ที่ตนเพียงผู้เดียว โดยการส่งลูกหลานของตนไปควบคุมเมืองต่างๆที่ในอดีตเคยปกครองกันเองคล้ายระบบสาธารณรัฐ
ที่มีหลายรัฐหลายแคว้นปกครองตนเองแต่ต้องส่งบรรณาการให้เมืองหลวงทุกปี
การรวมศูนย์อำนาจของ ร.5 เป็นการเพิ่มระดับของการรีดนาทาเร้น ใครขัดขวางหรือแข็งข้อก็จะโดนปราบปรามอย่างเหี้ยมโหด
เช่น ใช้กำลังทหารและความรุนแรงเพื่อบีบบังคับให้ชาวปัตตานี
ต้องปฎิบัติตาม และประชาชนชาวอิสานที่ต้องลุกขึ้นสู้ในปี 2444 ที่ผู้กล้าชาวอิสานหลายร้อยคนต้องถูกสังหาร เช่นชาวร้อยเอ็ดที่มีแกนนำหลายคนถูกตัดหัวและเสียบประจานที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
สมัย ร.5 ถือได้ว่าประเทศไทยกับญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาพร้อมกันแต่ประเทศญี่ปุ่นนำเงินไปพัฒนาประเทศ พัฒนาเทคโนโลยี 
พัฒนาอู่ต่อเรือ ญี่ปุ่นส่งคนไปเรียนต่างประเทศเพื่อพัฒนาความรู้ด้านต่างๆให้เก่ง
แต่ ร.5 ต้องการให้ลูกของตนทุกคนเมื่ออายุครบ 18ต้องมีคฤหาสน์ใหญ่โตของแต่ละคนจึงทุ่มเทงบประมาณประเทศ
จำนวนมหาศาลไปกับการสร้างคฤหาสน์เป็นจำนวนมากย้ายจากคฤหาสน์วัดพระแก้วมาอยู่คฤหาสน์สวนดุสิตและลูกหลานของ ร.5 ทุกคนต้องมีเบี้ยหวัดเงินปีเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ใช้จ่ายได้อย่างสบาย ร่ำรวยกันทุกๆคนแทบไม่มีเงินเหลือไปพัฒนาประเทศ
เพราะฉะนั้นในสมัย ร.6 และ 7 จะเห็นว่าในบางกอกมีคฤหาสน์ของลูกท่านหลานเธอทุกหัวถนนเต็มไปหมดทั้งที่สนามหลวง ถนนราชสีมา ถนนสุโขทัย บ้านหม้อ พญาไท วังบูรพา ปากคลองตลาด ทุกหัวถนน เป็นเหตุให้ต้องมีการปฏิวัติ 2475 เพราะประชาชนลำบากยากแค้นมากชาวนาต้องถูกยึดที่ทำกินเพราะไม่มีเงินเสียภาษี แต่บรรดาคฤหาสน์เหล่านี้มีแต่การจัดงานรื่นเริงสนุกสนาน เช่น คฤหาสน์บางขุนพรม ของเจ้าชายบริพัตรนครสวรรค์ที่ร่ำรวยมาก มีวงดนตรีส่วนตัว มีทั้งวงดนตรีไทย วงดนตรีสากลจะกินอาหารก็ต้องมีดนตรีบรรเลง จะนอนก็ต้องมีวงดนตรีกล่อม
เรื่องที่ประกาศเลิกทาสแล้วยกย่องว่าเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่ของ ร.5 จนได้เป็นมหาราชา แต่เป็นการเลิกทาสเป็นอันดับสุดท้ายของโลกเพราะประเทศจีน ประเทศอินเดีย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา เนเธอร์แลนด์ ทุกประเทศเลิกทาสก่อนบางกอกหมด
ซึ่งการเลิกทาสมันต้องเลิกอยู่แล้ว แต่ ร.5 ออกกฎหมายให้ลูกทาส ในปี 2417 ที่เกิดตั้งแต่ปีที่ตนครองบัลลังก์ ยังต้องเป็นทาสต่อไปจนอายุครบ 21 ปี ถึงจะเลิกเป็นทาส และค่อยออกกฎหมายเลิกทาสในปี 2448 หรืออีก 31 ปีต่อมาเพราะว่าเกรงขุนนางจะสะสมกำลังยึดอำนาจ
ขณะที่ทั่วโลกเขาเลิกทาสกันไปหมดแล้ว เพราะเริ่มมีเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่แล้ว มีการปลูกข้าวเพื่อส่งออก มีโรงเลื่อยไม้ โรงสีข้าวแต่ประชาชนกลับถูกรีดภาษีอย่างหนักและภาษีกว่า 80%ถูกดูดเข้ามายังคลังหลวงเพื่อหล่อเลี้ยงบางกอกเท่านั้นทำให้มีการต่อต้านการรวมศูนย์อำนาจและการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อประชาชนในเมืองที่ห่างไกล
ราชวงศ์จักรีเก่งในการปราบปรามประชาชน แต่ไม่เคยคิดสู้กับฝรั่งต่างชาติเลยและบางกอกก็เป็นเมืองเดียวในโลกนี้ที่ยอมเสียดินแดนให้พวกฝรั่งโดยไม่ต้องมีการรบเลย บ้านเมืองอื่นฝรั่งอยากได้ดินแดนต้องรบเอา อย่างเดียวเท่านั้นเพราะไม่มีใครเขายอม แต่ ร.5 ของตระกูลจักรี ยินดียกให้เลย แล้วยังอ้างว่าเป็นความเก่งกล้าสามารถไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นซึ่งที่จริงแล้วนี่เป็นนโยบายที่โง่ที่สุด
บางดินแดนฝรั่งไม่ได้ขอแต่เจ้ารามากลับยกให้เอง เช่น ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะริด ทั้ง 4 แคว้นนี้ ฝรั่งไม่ได้ขอ แต่ ร.5 ยกให้ฝรั่งเองเนื่องจากในราวปี 2440 ร.5 ได้ทำสัญญาลับกับอังกฤษยอมให้อังกฤษได้สัมปทานแร่ดีบุกของภาคใต้เพียงผู้เดียวและสัมปทานป่าไม้ภาคเหนือ โดยห้ามยกสัมปทานนี้ให้ประเทศอื่น
หลังจากนั้นเยอรมันมาขอสัมปทานการรถไฟในภาคใต้ ร. 5ต้องไปขอเจรจาแก้สัญญากับอังกฤษ แต่อังกฤษไม่ยอมจึงต้องยกดินแดน เช่น ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะริด ให้อังกฤษอีกอังกฤษจึงยอมแก้สัญญา โดย ร.5 แก้ตัวว่า ขืนเอาดินแดนไว้ ก็รักษามิได้ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ไม่มีเหตุผล
เมื่อฝรั่งยึดเมืองจันทบุรีไว้ ร.5 เข้าไปเจรจาขอให้ถอนกำลัง จากเมืองจันทบุรี แล้วจะยกพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณให้ซึ่งเป็นการแลกที่เสียเปรียบ และยังเอาจำปาศักดิ์ไปแลกกับเมืองตราดทั้งๆที่จำปาศักดิ์เป็นเมืองเอก แต่เมืองตราดมีพื้นที่เพียงนิดเดียวทำให้ต้องเสียดินแดนเป็นพึ้นที่มากมายมหาศาลโดยไม่จำเป็นและไม่เคยคิดต่อสู้ หวังเพียงแต่รักษาบัลลังก์ของตนเองเท่านั้น
ทางรถไฟที่สร้างเป็นสายแรก คือสายปากน้ำ เพื่อให้เจ้านายที่เดินเรือจากต่างประเทศได้นั่งรถไฟเข้ามาบางกอกเท่านั้นส่วนทางรถไฟที่สร้างไปหัวหินเพราะเจ้านายที่กลับมาจากต่างประเทศจะได้ไปตากอากาศที่ชายทะเล
ที่จริงแล้วทางรถไฟส่วนใหญ่มาสร้างสมัยจอมพล ป.ส่วนโรงพยาบาลก็สร้างเพราะลูกของตนเองป่วย


เจ้าชายศิริราชป่วยและตายตั้งแต่เด็กๆ
ร.5 เสียใจมากจึงสร้างโรงพยาบาลศิริราชริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ตามชื่อลูกชายที่ตายไป และเพื่อให้มีที่รักษาลูกที่เหลือ เมื่อเจ็บป่วย
สร้างโรงเรียนกุหลาบ โดยเก็บเงินค่าการศึกษา 24 บาท
ซึ่งแพงมากสำหรับคนทั่วไปในสมัยนั้น โดยอ้างว่าต้องการให้เป็นโรงเรียนของพวกผู้ดีมีสกุลเท่านั้น

ส่วนเจ้าหญิงเสาวภาอยากเปิดโรงเรียนเสาวภาให้ผู้หญิงเข้ามาเรียนเพื่อจะได้เป็นเมียที่ดีของพวกขุนนาง ต่อมาจึงพัฒนามาเป็นสถานเสวภากากบาทไทย
มหาวิทยาลัยจุฬาไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ร.5 เลย แต่ตั้งขึ้นในสมัย ร.6 โดยเอาเงินที่เหลือจากการสร้างรูปปั้น ร.5 ขี่ม้า ไปสร้างจุฬา
โดยสุรศักดิ์มนตรี อาจารย์ของ ร.6เป็นคนเสนอ ด้วยความเกรงใจเพราะสุรศักดิ์มนตรีช่วยดูแลและเป็นอาจารย์ของ ร.6 ตั้งแต่ตอนอยู่อังกฤษก็เลยต้องยอม
ร. 6 ต้องการสร้างโรงเรียนวชิราวุธให้เป็นโรงเรียนของคนชั้นสูง แต่กระเบื้องที่มุงหลังคาของโรงเรียนวชิราวุธมีไม่พอ จึงสั่งให้เอากระเบื้องจากจุฬาไปมุงแทน และให้จุฬาใช้หลังคามุงจากไปก่อน

ที่มา: Jack Micheal

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น