Fri, 2014-01-03 21:25
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรก็เคยตัดสินใจในลักษณะเดียวกันเมื่อครั้งรัฐบาลพรรคไทยรักไทย เมื่อเผชิญกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรเสี้อเหลือง ก็ยินยอมยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งนำไปสู่การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ที่ถูกศาลวินิจฉัยให้เป็นโมฆะ กลายเป็นวิกฤตยืดเยื้อและเป็นข้ออ้างให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในที่สุด
และก็เช่นเดียวกับปี 2549 ฝ่ายเผด็จการวันนี้ได้อาศัยสภาพที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีอำนาจนิติบัญญัติอีกต่อไป และรัฐบาลกลายเป็นเพียงรักษาการ ยิ่งทำการรุกไล่ กดดันให้นายกฯยิ่งลักษณ์ลาออกจากตำแหน่งรักษาการ ให้คณะรัฐมนตรีทั้งชุดลาออก และให้ยกเลิกการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เข้ามาร่วมสมทบสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิด “ทางตัน” ประสานกับกลุ่ม กปปส. เรียกร้องให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ด้วยอ้างสถานการณ์ที่รุนแรงและ “ความไม่พร้อมของประชาชน”
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ยังได้ใช้โอกาสที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังถอยร่น เงื้อดาบขึ้นตระเตรียมที่จะฟาดฟันทั้งสมาชิกสภาผู้แทนและสมาชิกวุฒิสภากว่า 300 คนในข้อหาร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในข้อหาทุจริตโครงการบริหารต่าง ๆ
และก็เช่นเดียวกับปี 2549 การยุบสภาไม่ได้ทำให้กลุ่มมวลชนบนท้องถนนลดหรือยุติการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด หากแต่สร้างความฮึกเหิมให้กับพวกเขา ยิ่งรุกไล่ เพิ่มความรุนแรงถึงกับติดอาวุธ ได้กำลังเสริมจากฝ่ายทหารที่ถึงบัดนี้ได้ออกมาเคลื่อนไหวร่วมด้วยอย่างเปิดเผย ใช้อาวุธเข้าปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อการสูญเสียบาดเจ็บล้มตาย กลายเป็นสภาวะจลาจลที่รัฐบาลสูญเสียความควบคุมไปทีละน้อย
เป็นที่ชัดเจนว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ ใช้ยุทธวิธี “ถอยสุดทาง” ในทุกแนวรบ ยอมอ่อนข้อให้ทุกเรื่องทุกประเด็น รวมทั้งสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธและห้ามใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมอีกด้วย โดยนายกฯยืนกรานไม่ยินยอมเพียงข้อเดียวคือ การลาออกจากตำแหน่งรักษาการนายกฯ
วิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็มีจุดเริ่มต้นจากการที่ตระกูลชินวัตรเชื่อมั่นใน “สัญญาณบวก” ลงทุนทำลายเพื่อนมิตร ละทิ้งมวลชน ไปผลักดันนิรโทษกรรมเหมาเข่ง ซึ่งกลับกลายเป็น “กับดักมรณะ” มาจนถึงทุกวันนี้ ถึงกระนั้น ในวันนี้ พวกเขาก็ยังหวังว่า ฝ่ายจารีตนิยมจะ “รักษาคำสัญญา” ยอมให้มีการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่โดยดีอยู่อีก ดังจะเห็นได้ว่า นับแต่ยุบสภาเป็นต้นมา นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ได้พยายามส่งสัญญาณขอประนีประนอมเพื่อยุติศึกหลายต่อหลายครั้งจนถึงบัดนี้
หนทางที่นายกฯยิ่งลักษณ์เลือกไว้ก็คือ จะยังคงอยู่ในตำแหน่งรักษาการไปจนถึงที่สุด จนกว่าจะถูก ปปช. ชี้มูลความผิด หรือถูกกองทัพก่อรัฐประหาร
แต่ไม่ว่านายกฯยิ่งลักษณ์จะคาดคะเนถึงผลต่อเนื่องของแนวทางดังกล่าวอย่างไร สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ หากฝ่ายจารีตนิยมสามารถโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้งได้สำเร็จ ตระกูลชินวัตรจะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้อีกต่อไป พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายของตระกูลชินวัตรจะถูกทำลาย รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาด้วย “วิธีพิเศษ” จะดำเนินการกวาดล้างปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าปี 2549 และ 2553 ขบวนประชาธิปไตยจะประสบความเสียหายอย่างหนักและเกิดการถดถอยครั้งใหญ่อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ฝ่ายจารีตนิยมอาจประเมินว่า จะสามารถโค่นล้มนายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แล้วกวาดล้างแกนนำของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยทั่วประเทศเพื่อไม่ให้สามารถระดมมวลชนมาต่อต้านพวกเขาได้ และจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้โดยง่ายและรวดเร็วเพราะตนมีกองทัพและแสนยานุภาพอาวุธร้ายแรงอยู่ในมือ
แต่ในครั้งนี้ พวกเขาจะประเมินผิดพลาดเพราะฝ่ายประชาชนได้ต่อสู้มาอย่างยืดเยื้อยาวนาน เก็บรับบทเรียนประสบการณ์ สะสมกำลังจนเติบใหญ่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เกินกว่าพลังรวมศูนย์ที่มีจำนวนจำกัดของพวกเผด็จการจะสามารถบดขยี้ให้สูญสิ้นได้
เบื้องหน้าการคุกคามของฝ่ายเผด็จการครั้งที่ร้ายแรงที่สุดนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยได้เตรียมตัวรับมือกันแล้วอย่างเต็มที่และไม่ประมาท เพื่อให้ประสบความเสียหายน้อยที่สุดและสามารถกลับมาเคลื่อนไหวต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการได้อีก
หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องล่มสลายลง นี่จะเป็นชัยชนะสำคัญอีกครั้งของฝ่ายจารีตนิยม แต่จะเป็นชัยชนะชั่วคราว เพราะการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรม แทนที่ด้วยรัฐบาลแต่งตั้งของพวกจารีตนิยมจะได้รับการต่อต้านจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศ และจะถูกปฏิเสธจากนานาประเทศอารยะ
รัฐบาลใหม่ที่เป็นเผด็จการจะไม่สามารถปกครองประชาชนและบริหารประเทศไปได้อย่างราบรื่น การปฏิเสธจากประชาชนและนานาชาติจะทำให้รัฐบาลนี้ไม่มีความชอบธรรมในทางการเมือง การต่อต้านจากประชาชนจะก่อตัวขึ้นเป็นกระแสที่หลากหลายด้วยวิธีการแตกต่างไปตามสภาพการณ์ท้องถิ่น
ประเทศไทยหลังจากมีรัฐบาลเผด็จการจะเข้าสู่สภาวะ “สงครามกลางเมือง” อย่างแท้จริง แม้ในช่วงเริ่มแรกอาจจะเป็น “สงครามซ่อนเร้น” ที่เป็นการต่อต้านโดยประชาชนอย่างประปรายและกระจัดกระจาย แต่ในที่สุด เมื่อความคับแค้นในหมู่ประชาชนระเบิดออก ก็จะแสดงออกมาเป็นการต่อต้านอย่างเปิดเผยด้วยรูปแบบและวิธีการทุกชนิดเท่าที่ประชาชนจะแสวงหามาใช้ได้ ความเสียหายทั้งทางวัตถุและเลือดเนื้อชีวิตนั้นอาจมากมายจนยากที่จะคาดเดา
ชัยชนะของฝ่ายจารีตนิยมในการโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ จะเป็นชัยชนะสำคัญครั้งสุดท้ายของพวกเขา การต่อต้านจากประชาชนส่วนข้างมากของประเทศและการปฏิเสธจากนานาชาติอารยะจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวอย่างยิ่งในลักษณะ “ตั้งรัฐบาลได้ แต่ปกครองไม่ได้” การครอบงำทางอุดมการณ์และจิตใจที่พวกเขามีต่อประชาชนมายาวนานจะสูญสิ้น
การล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรมถึงสามครั้งติดต่อกันในช่วงปี 2549-2557 การปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงในเดือนเมษายนปี 2552 และเมษายน-พฤษภาคมปี 2553 และที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2557 การทวงสิทธิ์ประชาธิปไตยและการหลั่งเลือดโดยประชาชน ทั้งหมดนี้ จะเป็นความสูญเสียอันเจ็บปวดและควรจะหลีกเลี่ยงได้ของประชาชน แต่พวกจารีตนิยมในวันนี้ ก็กลับปิดทางเลือกที่จะแก้ปัญหาอย่างสันติด้วยการเลือกตั้ง และกำลังผลักดันประเทศไทยไปสู่อนาคตที่เสี่ยงอันตรายที่สุด
และก็เช่นเดียวกับปี 2549 ฝ่ายเผด็จการวันนี้ได้อาศัยสภาพที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีอำนาจนิติบัญญัติอีกต่อไป และรัฐบาลกลายเป็นเพียงรักษาการ ยิ่งทำการรุกไล่ กดดันให้นายกฯยิ่งลักษณ์ลาออกจากตำแหน่งรักษาการ ให้คณะรัฐมนตรีทั้งชุดลาออก และให้ยกเลิกการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เข้ามาร่วมสมทบสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิด “ทางตัน” ประสานกับกลุ่ม กปปส. เรียกร้องให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ด้วยอ้างสถานการณ์ที่รุนแรงและ “ความไม่พร้อมของประชาชน”
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ยังได้ใช้โอกาสที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังถอยร่น เงื้อดาบขึ้นตระเตรียมที่จะฟาดฟันทั้งสมาชิกสภาผู้แทนและสมาชิกวุฒิสภากว่า 300 คนในข้อหาร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในข้อหาทุจริตโครงการบริหารต่าง ๆ
และก็เช่นเดียวกับปี 2549 การยุบสภาไม่ได้ทำให้กลุ่มมวลชนบนท้องถนนลดหรือยุติการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด หากแต่สร้างความฮึกเหิมให้กับพวกเขา ยิ่งรุกไล่ เพิ่มความรุนแรงถึงกับติดอาวุธ ได้กำลังเสริมจากฝ่ายทหารที่ถึงบัดนี้ได้ออกมาเคลื่อนไหวร่วมด้วยอย่างเปิดเผย ใช้อาวุธเข้าปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อการสูญเสียบาดเจ็บล้มตาย กลายเป็นสภาวะจลาจลที่รัฐบาลสูญเสียความควบคุมไปทีละน้อย
เป็นที่ชัดเจนว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ ใช้ยุทธวิธี “ถอยสุดทาง” ในทุกแนวรบ ยอมอ่อนข้อให้ทุกเรื่องทุกประเด็น รวมทั้งสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธและห้ามใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมอีกด้วย โดยนายกฯยืนกรานไม่ยินยอมเพียงข้อเดียวคือ การลาออกจากตำแหน่งรักษาการนายกฯ
วิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็มีจุดเริ่มต้นจากการที่ตระกูลชินวัตรเชื่อมั่นใน “สัญญาณบวก” ลงทุนทำลายเพื่อนมิตร ละทิ้งมวลชน ไปผลักดันนิรโทษกรรมเหมาเข่ง ซึ่งกลับกลายเป็น “กับดักมรณะ” มาจนถึงทุกวันนี้ ถึงกระนั้น ในวันนี้ พวกเขาก็ยังหวังว่า ฝ่ายจารีตนิยมจะ “รักษาคำสัญญา” ยอมให้มีการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่โดยดีอยู่อีก ดังจะเห็นได้ว่า นับแต่ยุบสภาเป็นต้นมา นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ได้พยายามส่งสัญญาณขอประนีประนอมเพื่อยุติศึกหลายต่อหลายครั้งจนถึงบัดนี้
หนทางที่นายกฯยิ่งลักษณ์เลือกไว้ก็คือ จะยังคงอยู่ในตำแหน่งรักษาการไปจนถึงที่สุด จนกว่าจะถูก ปปช. ชี้มูลความผิด หรือถูกกองทัพก่อรัฐประหาร
แต่ไม่ว่านายกฯยิ่งลักษณ์จะคาดคะเนถึงผลต่อเนื่องของแนวทางดังกล่าวอย่างไร สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ หากฝ่ายจารีตนิยมสามารถโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้งได้สำเร็จ ตระกูลชินวัตรจะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้อีกต่อไป พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายของตระกูลชินวัตรจะถูกทำลาย รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาด้วย “วิธีพิเศษ” จะดำเนินการกวาดล้างปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าปี 2549 และ 2553 ขบวนประชาธิปไตยจะประสบความเสียหายอย่างหนักและเกิดการถดถอยครั้งใหญ่อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ฝ่ายจารีตนิยมอาจประเมินว่า จะสามารถโค่นล้มนายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แล้วกวาดล้างแกนนำของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยทั่วประเทศเพื่อไม่ให้สามารถระดมมวลชนมาต่อต้านพวกเขาได้ และจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้โดยง่ายและรวดเร็วเพราะตนมีกองทัพและแสนยานุภาพอาวุธร้ายแรงอยู่ในมือ
แต่ในครั้งนี้ พวกเขาจะประเมินผิดพลาดเพราะฝ่ายประชาชนได้ต่อสู้มาอย่างยืดเยื้อยาวนาน เก็บรับบทเรียนประสบการณ์ สะสมกำลังจนเติบใหญ่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เกินกว่าพลังรวมศูนย์ที่มีจำนวนจำกัดของพวกเผด็จการจะสามารถบดขยี้ให้สูญสิ้นได้
เบื้องหน้าการคุกคามของฝ่ายเผด็จการครั้งที่ร้ายแรงที่สุดนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยได้เตรียมตัวรับมือกันแล้วอย่างเต็มที่และไม่ประมาท เพื่อให้ประสบความเสียหายน้อยที่สุดและสามารถกลับมาเคลื่อนไหวต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการได้อีก
หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องล่มสลายลง นี่จะเป็นชัยชนะสำคัญอีกครั้งของฝ่ายจารีตนิยม แต่จะเป็นชัยชนะชั่วคราว เพราะการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรม แทนที่ด้วยรัฐบาลแต่งตั้งของพวกจารีตนิยมจะได้รับการต่อต้านจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศ และจะถูกปฏิเสธจากนานาประเทศอารยะ
รัฐบาลใหม่ที่เป็นเผด็จการจะไม่สามารถปกครองประชาชนและบริหารประเทศไปได้อย่างราบรื่น การปฏิเสธจากประชาชนและนานาชาติจะทำให้รัฐบาลนี้ไม่มีความชอบธรรมในทางการเมือง การต่อต้านจากประชาชนจะก่อตัวขึ้นเป็นกระแสที่หลากหลายด้วยวิธีการแตกต่างไปตามสภาพการณ์ท้องถิ่น
ประเทศไทยหลังจากมีรัฐบาลเผด็จการจะเข้าสู่สภาวะ “สงครามกลางเมือง” อย่างแท้จริง แม้ในช่วงเริ่มแรกอาจจะเป็น “สงครามซ่อนเร้น” ที่เป็นการต่อต้านโดยประชาชนอย่างประปรายและกระจัดกระจาย แต่ในที่สุด เมื่อความคับแค้นในหมู่ประชาชนระเบิดออก ก็จะแสดงออกมาเป็นการต่อต้านอย่างเปิดเผยด้วยรูปแบบและวิธีการทุกชนิดเท่าที่ประชาชนจะแสวงหามาใช้ได้ ความเสียหายทั้งทางวัตถุและเลือดเนื้อชีวิตนั้นอาจมากมายจนยากที่จะคาดเดา
ชัยชนะของฝ่ายจารีตนิยมในการโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ จะเป็นชัยชนะสำคัญครั้งสุดท้ายของพวกเขา การต่อต้านจากประชาชนส่วนข้างมากของประเทศและการปฏิเสธจากนานาชาติอารยะจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวอย่างยิ่งในลักษณะ “ตั้งรัฐบาลได้ แต่ปกครองไม่ได้” การครอบงำทางอุดมการณ์และจิตใจที่พวกเขามีต่อประชาชนมายาวนานจะสูญสิ้น
การล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรมถึงสามครั้งติดต่อกันในช่วงปี 2549-2557 การปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงในเดือนเมษายนปี 2552 และเมษายน-พฤษภาคมปี 2553 และที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2557 การทวงสิทธิ์ประชาธิปไตยและการหลั่งเลือดโดยประชาชน ทั้งหมดนี้ จะเป็นความสูญเสียอันเจ็บปวดและควรจะหลีกเลี่ยงได้ของประชาชน แต่พวกจารีตนิยมในวันนี้ ก็กลับปิดทางเลือกที่จะแก้ปัญหาอย่างสันติด้วยการเลือกตั้ง และกำลังผลักดันประเทศไทยไปสู่อนาคตที่เสี่ยงอันตรายที่สุด
ผู้เขียน: พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น