เพลงฉ่อยชาววัง

วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

พี่ชายคิม จอง อึน ฟันธงระบอบเกาหลีเหนือใกล้ถึงจุดจบ


นายคิม จอง นัม บุตรชายคนแรกของนายคิม จอง อิล และพี่ชายของนายคิม จอง อึน ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เสียแล้วว่า ระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือจะถึงกาลอวสานอย่างแน่นอน

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเปิดเผยคำสัมภาษณ์ของนายคิม จอง นัม บุตรชายคนโตของนายคิม จอง อิล อดีตผู้นำเกาหลีเหนือ และพี่ชายต่างมารดาของนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเรื่อง "คิม จอง อิล พ่อกับผม: คำสารภาพของนายคิม จอง นัม" หรือ "My Father, Kim Jong Il, and I: Kim Jong Nam's Exclusive Confession" ของนายโยจิ โกมิ นักข่าวหนังสือพิมพ์โตเกียว

โดยนายคิม จอง นัมระบุว่า การสืบทอดตำแหน่งของนายคิม จอง อึนในครั้งนี้ เป็นเพียงการเล่นละครต่อชาวโลกเท่านั้น ทั้งๆ ที่นายคิม จอง อิลเอง ก็ไม่ได้ต้องการสืบทอดตำแหน่งให้กับนายคิม จอง อึน เพราะการที่เขาเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ทำให้เขาไม่ค่อยสนิทสนมกับผู้เป็นบิดา ทั้งยังเคยรับวัฒนธรรมตะวันตก และเคยเสนอให้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศเกาหลีเหนือ

นายคิม จอง นัม คาดการณ์ว่า ระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือจะล่มสลายลงในที่สุด ไม่ว่าจะมีการปฏิรูปหรือไม่มีการปฏิรูป  และนายคิม จอง อึนก็จะได้เป็นผู้นำสูงสุดของประเทศในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ โดยเขากล่าวว่าช่วงเวลาที่ประเทศกำลังตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองของประเทศ เป็นช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงมากที่สุด


ข้อความช่วงหนึ่งของหนังสือแสดงให้เห็นถึงความกังวลของนายคิม จอง นัม ที่มีต่อการบริหารประเทศของนายคิม จอง อึน เพราะแม้ว่ารูปลักษณ์ของนายคิม จอง อึนจะทำให้นึกถึงนายคิม อิล ซุง บิดาผู้ก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือ แต่คิม จอง อึนอาจจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนชาวเกาหลีเหนือได้ และที่สำคัญที่สุด นายคิม จอง อึนมีอำนาจแต่เพียงในนาม เรพาะอำนาจที่แท้จริงในขณะนี้ อยู่ในมือชนชั้นสูงชาวเกาหลีเหนือบางกลุ่มต่างหาก

นายโยจิ โกมิ ผู้เขียนหนังสือดังกล่าวเล่าว่า เขาเคยกับนายคิม จอง นัม 3 ครั้ง และเขียนอีเมลแลกเปลี่ยนกันไปมาเป็นเวลาถึง 6 ปีเต็ม โดยเขามองว่า ที่นายคิม จอง นัมออกมาให้สัมภาษณ์อยู่บ่อยครั้ง และให้สัมภาษณ์เชิงลึกในหนังสือของเขาเล่มนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อต้องการขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ แต่เพราะต้องการให้เกิดการพัฒนาในประเทศอย่างแท้จริง

โดยก่อนหน้านี้ นายคิม จอง นัมได้ขอให้เลื่อนกำหนดการพิมพ์และวางจำหน่ายหนังสือเล่มนี้ออกไปก่อน แต่ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงภายในเกาหลีเหนือ ผู้จัดพิมพ์จึงได้ขอให้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกมาก่อน ซึ่งนายคิม จอง นัมก็ได้ตกลง และจะมีการวางจำหน่ายหนังสือเล่มดังกล่าวในเร็วๆ นี้

นายคิม จอง นัมตกเคยเป็นคนที่นายคิม จอง อิล อดีตผู้นำเกาหลีเหนือเอ็นดูมากที่สุด แต่โอกาสที่จะได้ขึ้นสืบทอดตำแหน่งของบิดาของเขาก็หมดลง เมื่อเขาถูกจับได้ว่าเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อเที่ยวชมสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ด้วยพาสปอร์ตปลอม โดยนายคิม จอง นัมเปิดเผยว่า แม้ว่าเขาจะเป็นพี่น้องต่างมารดากับนายคิม จอง อึน แต่เขาก็ไม่เคยพบก็น้องผู้นี้สักครั้ง จึงไม่สามารถบอกได้ว่า นายคิม จอง อึน มีลักษณะนิสัยอย่างไร
*****************************

เปิดแฟ้ม "คิม จอง นัม" พี่ชายต่างมารดาของผู้นำเกาหลีเหนือ กับการลอบสังหารที่อาจสั่งการโดยน้องชาย
หน่วยงานด้านข่าวกรองในกรุงวอชิงตันระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน คือผู้สั่งการลอบสังหารนาย คิม จอง นัม พี่ชายต่างมารดาของตนเอง สนามบินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย

คิม จอง นัม บุตรชายคนโตวัย 46 ปี ของอดีตผู้นำเกาหลีเหนือรุ่นที่ 2 คิม จอง อิล และพี่ชายต่างมารดาของผู้นำคิม จอง อึน เสียชีวิตระหว่างถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในกรุงกัวลาลัมเปอร์ หลังจากรายงานระบุว่าเขาถูกลอบสังหารโดยสตรีสองคน ด้วยเข็มหรือผ้าอาบยาพิษ ตามรายงานของสื่อในเกาหลีใต้ซึ่งอ้างจากแหล่งข่าวกรองในกรุงโซล
เจ้าหน้าที่มาเลเซีย ระบุว่า คิม จอง นัม มีอาการซวนเซขณะไปขอความช่วยเหลือที่สนามบิน ก่อนที่จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแต่เสียชีวิตเสียก่อน แต่ทางมาเลเซียยังมิได้สรุปว่าเป็นการลอบสังหารหรือไม่
ขณะที่หน่วยงานข่าวกรองในกรุงวอชิงตันระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้นำคิม จอง อึน เป็นผู้สั่งการลอบสังหารพี่ชายต่างมารดาของตนเอง อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวกรองแห่งชาติในกรุงโซลกล่าวกับวีโอเอว่า ยังไม่สามารถยืนยันรายงานที่ว่านี้
Passengers are queuing up for the security checks at the 2nd Kuala Lumpur International Airport in Sepang, Malaysia on Tuesday, Feb. 14, 2017. Malaysian officials say a North Korean man has died after suddenly becoming ill.
Passengers are queuing up for the security checks at the 2nd Kuala Lumpur International Airport in Sepang, Malaysia on Tuesday, Feb. 14, 2017. Malaysian officials say a North Korean man has died after suddenly becoming ill.
แต่เดิมนั้น คิม จอง นัม เคยถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา แต่หลังจากที่เขาถูกจับกุมที่ญี่ปุ่นจากข้อหาใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อเข้าญี่ปุ่นเพื่อไปยังสวนสนุกดีสนีย์แลนด์ในกรุงโตเกียว คิม จอง อิล จึงตัดสินใจเลือกลูกชายอีกคนขึ้นมาแทน ด้วยเหตุผลว่า คิม จอง นัม ทำให้เกาหลีเหนือเสื่อมเสีย
เขาใช้ชีวิตในสถานะผู้ลี้ภัยเป็นเวลาหลายปีที่มาเก๊า และมีรายงานเผยว่าเขาเคยถูกลอบสังหารมาแล้วหลายครั้ง รายงานยังบอกด้วยว่า ดูเหมือนผู้นำคิม จอง อึน ไม่เคยพบหน้ากับพี่ชายต่างมารดาผู้นี้
คุณ Balbina Hwang อาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัย Georgetown ระบุว่าเนื่องจาก คิม จอง นัม เคยถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา จึงถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อผู้นำคิม จอง อึน ดังนั้นเขาจึงถูกกำจัด
และว่า "การลอบสังหารครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณไปให้ประเทศที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเกาหลีเหนือ และบรรดาคนในประเทศที่ต่อต้านผู้นำ ได้ทราบถึงความเด็ดขาด และความมั่นคงไม่สั่นคลอนของระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือ"
FILE - A man believed to be Kim Jong Nam, the eldest son of North Korean leader Kim Jong Il, looks at a battery of photographers as he exits a police van to board a plane to Beijing at Narita International Airport, northeast of Tokyo, May 4, 2001.
FILE - A man believed to be Kim Jong Nam, the eldest son of North Korean leader Kim Jong Il, looks at a battery of photographers as he exits a police van to board a plane to Beijing at Narita International Airport, northeast of Tokyo, May 4, 2001.
ขณะที่คุณ Tara O แห่ง Pacific Forum Center for Strategic and International Studies ให้ความเห็นว่า ในยุค Chosun ของเกาหลี เป็นเรื่องปกติที่ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำจะกำจัดพี่ชาย น้องชาย ลุงหรืออา ของตนเอง
และว่า คิม จอง นัม ที่เสียชีวิตไปนั้น มีแนวคิดก้าวหน้า และเขาต้องการปฏิรูปเกาหลีเหนือซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกับรัฐบาลจีน



คิม จอง นัม เสียชีวิตใน 15-20 นาที


นายสุบรามาเนียม สถาสิวัม รัฐมนตรีสาธารณะสุขมาเลเซียเปิดเผยว่านายคิม จอง นัม พี่ชายต่างมารดาของผู้นำเกาหลีเหนือ ได้รับสารพิษวีเอ็กซ์ในปริมาณมากและเสียชีวิตอย่างเจ็บปวดทรมานใน 15-20 นาที และไม่มียาถอนพิษดังกล่าว
สหประชาชาติจัดให้สารพิษวีเอ็กซ์เป็นอาวุธเคมีทำลายล้างสูง ผู้ที่ถูกสารวีเอ็กซ์เพียงหยดเดียวที่ผิวหนังสามารถเสียชีวิตได้ในเวลาไม่กี่นาที
นางสิตี ไอชยาห์ ผู้ต้องสงสัยชาวอินโดนีเซียบอกกับเจ้าหน้าที่สถานทูตอินโดนีเซียว่า เธอได้รับเงินค่าจ้าง 400 ริงกิต (ราว 3,140 บาท) ให้ใช้เบบี้ออยล์ป้ายหน้านายคิมสำหรับเข้าฉากรายการตลกล้อเล่นทางโทรทัศน์


ส่วนนางสาวด่วน ทิ ฮึง ผู้ต้องสงสัยชาวเวียดนาม เล่าว่าเธอคิดว่าเป็นการเข้าฉากรายการโทรทัศน์เช่นกัน
ตำรวจมาเลเซียเปิดเผยว่า ผู้ต้องสงสัยทั้งสองรายถูกฝึกมาว่า ต้องล้างมือโดยเร็ว หลังจากทำร้ายนายคิม
ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า พวกเขาอาจใช้ส่วนประกอบของสารวีเอ็กซ์ที่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่เกิดเป็นพิษร้ายแรงที่ทำให้เสียชีวิตได้เมื่อสารดังกล่าวทำปฏิกิริยาร่วมกันบนใบหน้าของนายคิม

เมื่อ 23 ก.พ. เอเอฟพีรายงานเจาะลึกเบื้องหลังชีวิตสาวเวียดนามผู้ถูกจับกุมในฐานะผู้ต้องสงสัยวางยาพิษนายคิม จองนัม พี่ชายต่างแม่ของนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ กลางสนามบินกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 13 ก.พ.2560


Doan Thi Huong of Vietnam /AFP PHOTO

น.ส.ดวน ธิ ฮวง อายุ 28 ปีถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัยเป็นรายแรก หลังปรากฏอยู่ในภาพจากกล้องวงจรปิดของสนามบินขณะใส่เสื้อยืดมีลายอักษร LOL โดยเป็นหนึ่งในสองสาวที่แอบพ่นสเปรย์ของเหลวใส่หน้านายคิม จองนัม


บ้านที่น.ส.ดวน ธิ ฮวง เคยอาศัยอยู่กับนางเหวียน ธิ วี แม่เลี้ยง /AFP

เอเอฟพีบุกไปยังภูมิลำเนาเดิมของหญิงสาว เป็นหมู่บ้านในชุมชนทำไร่ทำนา ห่างจากกรุงฮานอยถึง 150 ก.ม. ผู้คนที่นั่นต่างรู้จักน.ส.ฮวง ว่าเป็นสาวเปรี้ยว ชอบแต่งตัว ย้อมผมสีฉูดฉาด และมีแฟนหนุ่มหลายคนเป็นชาวต่างชาติ
ภูมิหลังนี้ยิ่งทำให้แปลกใจว่าหญิงสาวมาเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมสะท้านโลกได้อย่างไร กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจสูงมากในเวียดนาม แม้ว่าทางการเวียดนามจะควบคุมการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารแล้วก็ตาม


แม่เลี้ยงเปิดบ้านให้สัมภาษณ์ / AFP

นางเหวียน ทิ วี แม่เลี้ยงของน.ส.ฮวงกล่าวว่า ลูกสาวคนนี้เป็นคนแหวกประเพณีของชุมชน ทั้งย้อมผม แต่งตัวเปรี้ยว มีแฟนหนุ่มหลายคนเป็นชาวต่างชาติ ตั้งแต่ออกจากพื้นที่ไปเรียนหนังสือตอนอายุ 18 ปี
“ตอนแรกที่เราเห็นรูปในข่าว ก็สงสัยว่าใช่เธอหรือเปล่า จนมีรูปที่ชัดขึ้นเผยแพร่ออกมา เราจึงรู้ว่าเป็นฮวง ถ้าเธอก่อคดีจริงล่ะก็ ก็คงต้องลำบากแล้ว เราคงช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่ฉันคิดว่าเธอคงถูกบงการมากกว่า” แม่เลี้ยงของหญิงสาวกล่าว


ปรากฏตัวในภาพจากกล้องวงจรปิด (Star TV via AP)

จากข้อสังเกตของตำรวจมาเลเซีย น.ส.ฮวงและสาวอินโดนีเซียอีกคนที่เป็นผู้ต้องสงสัยผ่านการฝึกฝนในการวางยาพิษเหยื่อ เพราะในจังหวะก่อเหตุ ทั้งสองรีบวิ่งไปล้างมือ แสดงว่ารู้ว่าของเหลวดังกล่าวเป็นยาพิษ

ทางการมาเลเซียยังได้จับตัวชายเกาหลีเหนือไว้ได้อีกหนึ่งคน และยังมีผู้ต้องสงสัยอีก 11 คน ที่ทางการมาเลเซียต้องการตัว รวมถึงเลขานุการโทประจำสถานทูตเกาหลีเหนือ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ อย่างไรก็ตามทางการเกาหลีเหนือปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น
วันนี้ (26 ก.พ.) ทางการมาเลเซียเข้าตรวจสนามบิน และยืนยันว่าปลอดภัย และขณะนี้พวกเขากำลังตรวจสอบข้าวของบางอย่างที่พบในห้องเช่า ซึ่งผู้ต้องสงสัยใช้เป็นที่พัก





*******************************************************

North Korean leader Kim Jong Il, front left, poses with his first-born son Kim Jong Nam, front right, and his relatives in Pyongyang in this Aug. 19, 1981 photo.
North Korean leader Kim Jong Il, front left, poses with his first-born son Kim Jong Nam, front right, and his relatives in Pyongyang in this Aug. 19, 1981 photo.
คิม จอง นัม เป็นบุตรชายคนแรกของอดีตผู้นำ คิม จอง อิล และดาราหญิงชาวเกาหลี ซุง ไฮ ริม ซึ่งเสียชีวิตในกรุงมอสโคว์เมื่อปี ค.ศ. 2002
เขาเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อโทรทัศน์ของญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 2010 ว่า "ตนไม่มีความปรารถนาที่จะเป็นผู้นำเกาหลีเหนือ และหวังว่าน้องชายจะสามารถทำหน้าที่ได้ดีที่สุดสำหรับความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนชาวเกาหลีเหนือ"
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเกาหลีเหนือถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ภายใต้การปกครองของผู้นำ คิม จอง อึน
(ผู้สื่อข่าว Steve Herman รายงาน / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)

********************************
สำนักข่าวต่างประเทศได้รวมเรื่องราว 10 สิ่ง ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ คิม จอง อึน ว่าที่ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ คนต่อไป

1. คิม จอง อึน ถือได้ว่า เป็นกูรูสไตส์ อย่างไม่ได้ตั้งใจในเกาหลีเหนือ จากทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้หนุ่มๆ ในเปียงยาง ต่างพากันเข้าคิวเพื่อตัดผมให้ออกมาคล้ายกับที่ คิม จอง อึน ตัด โดยมีลักษณะเป็นรองทรงสูง ไถข้างหูทั้งสองข้าง

2. สื่อในประเทศเกาหลีเหนือ ถูกสั่งไม่ให้เผยแพร่ข่าวการทำศัลยกรรมพลาสติกหลายต่อหลายครั้งของ คิม จอง อึน เพื่อให้ออกมาคล้าย กับ คิม อิลซุง ผู้เป็นปู่ และผู้นำคนแรกของเกาหลีเหนือ

3. กีฬาบาสเกตบอล เป็นกีฬาที่ คิม จอง อึน โปรดปรานเป็นที่สุด โดยนักกีฬาที่ คิม จอง อึน ชื่นชอบ ได้แก่ ไมเคิล จอร์แดน

4. คิม จอง อึน เมื่อสมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ใช้นามแฝงหลายต่อหลายชื่อ รวมถึงการแฝงตัวว่าเป็นลูกของคนขับรถ

5. คำว่า อาย ที่ไม่มีอยู่ในความเป็นผู้นำ แต่เป็นคำที่นำมาใช้อธิบายตัวตนของ คิม จอง อึน ได้อย่างชัดเจน ซึ่งในสมัยที่ คิม จอง อึน ยังเป็นเด็กจะไม่พูดจาสื่อสารกับคนที่ไม่รู้จักมากนัก

6. ถึงอย่างไรก็ดี คิม จอง อึน สมัยที่เป็นเด็กนักเรียน กลับมีชื่อเสียงโด่งดังในแง่ของการกีฬา โดยเฉพาะ สกี และบาสเกตบอล ซึ่งเป็นกีฬาที่เขาชื่นชอบ

7. ครั้งหนึ่งคิม จอง อึน พร้อมด้วย พี่ชาย เคยถูกจับได้ว่า ใช้พาสปอร์ตปลอม ในการลักลอบเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น โดยหวังจะเดินทางไปเที่ยวที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์

8. เชฟส่วนตัวของ คิม จอง อึน ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ได้บรรยายเอาไว้ ว่าที่ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ คนนี้ มีลักษณะหลายๆ อย่าง ที่คล้ายกับผู้เป็นพ่อ ทั้ง หน้าตา รูปร่าง และนิสัยส่วนตัว

9. นอกจากนี้ คิม จอง อึน ยังเดินทางตามรอยเท้าของผู้เป็นพ่อ ในเรื่องของความเคารพนับถือ และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังจะเห็นได้จากในการจัดงานวันเกิด, วันหยุดประจำชาติ หรือ แม้แต่การเฉลิมฉลอง ในวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี

10.รายงานสารคดี มีการอ้างอิงคำพูดของทหารเกาหลีเหนือ ระบุว่า คิม จอง อึน มีความเป็นผู้นำ และมีการแสดงถึงไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี


 คิม จอง อึนผู้นำ สุดเกรียนแห่งเกาหลีเหนือ กับความเสี่ยงก่อสงครามนิวเคลียร์


    ตลอดระยะเวลาต่อเนื่องแรมเดือนที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเด็นร้อนที่สุดแห่งแวดวงข่าวต่างประเทศ ที่ดูจะได้รับความสนใจอย่างมาก คงหนีไม่พ้นข่าวความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ สองชาติเพื่อนบ้านบนคาบสมุทรเกาหลีที่กำลังระอุด้วยภัยคุกคามจาก“สงครามนิวเคลียร์” ที่อาจก่อตัวขึ้นโดยฝีมือของรัฐบาลเกาหลีเหนือภายใต้การนำของ “คิม จองอึน” ผู้นำโสมแดงที่ก้าวขึ้นครองอำนาจต่อจากผู้เป็นบิดา คือ นายคิม จองอิล ที่ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปลายปี 2011

       นับตั้งแต่ต้นปี 2013 ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนถือเป็นสถานการณ์ที่คุกรุ่นที่สุดระหว่าง 2 เกาหลีในรอบหลายปี และแน่นอนว่าผู้ที่เพิ่มดีกรีความร้อนระอุให้กับสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีได้ไม่เว้นแต่ละวัน จนผู้คนทั่วทั้งโลกพากันหวาดวิตกถึงภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์ที่อาจปะทุขึ้น ก็คือหนุ่มน้อยผู้มีนามว่า คิม จองอึน ผู้นำหนุ่มแห่งเปียงยางนั่นเอง

       เมื่อวันที่ 24 มกราคม คิม จองอึน ออกมาประกาศกร้าวว่า ตนเองมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะโจมตีแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯด้วยขีปนาวุธและความก้าวหน้าทางนิวเคลียร์ พร้อมตราหน้ารัฐบาลเมืองลุงแซมเป็น “ศัตรูตัวฉกาจ” ตามติดด้วยการประกาศของผู้นำคิมในเดือนมีนาคมที่ขอถอนตัวจากข้อตกลงไม่รุกรานเกาหลีใต้พร้อมสั่งปิดแนวพรมแดนกั้นสองเกาหลี และตัดสายด่วนต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับรัฐบาลโซลจนหมดสิ้น
Weekend Focus : “คิม จอง อึน” ผู้นำ “สุดเกรียน” แห่งเกาหลีเหนือ กับความเสี่ยงก่อสงครามนิวเคลียร์
        แต่ที่น่าวิตกที่สุด คือ การที่คิม จองอึน ประกาศยกเลิก “สัญญาสงบศึกชั่วคราว”หลังสงครามเกาหลีที่ทำไว้ในปี ค.ศ. 1953 ส่งสัญญาณว่านับจากนี้ การสู้รบครั้งใหม่ระหว่าง 2 เกาหลีพร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หลังจากที่สหรัฐฯ ตัดสินใจส่งเรือพิฆาตหลายลำ รวมถึง เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน “B-2” เข้ามาในคาบสมุทรเกาหลีเพื่อร่วมซ้อมรบประจำปีกับเกาหลีใต้ ซึ่งเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นดังกล่าวนี้ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า มีขีดความสามารถในการติดตั้งระเบิดนิวเคลียร์ได้ ขณะที่ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯหรือ “เพนตากอน”ประกาศว่ามีความพร้อมในระดับสูงสุดในการ“ปกป้องตนเองและชาติพันธมิตร” จากการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากเปียงยาง

       จากนั้นในวันที่ 2 เมษายน คิม จองอึน ผู้นำหนุ่มน้อยร่างอ้วนแห่งเปียงยางยังคง “เกรียนไม่เลิก” ด้วยการประกาศเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในศูนย์วิจัยในเมืองยอง-บยอน ที่มีศักยภาพในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์จาก “พลูโตเนียม” ได้

       หลังจากนั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง คือ ในวันที่ 3 เมษายน ทางการเกาหลีเหนือประกาศปิดเขตอุตสาหกรรมร่วม “แกซอง” ไม่ให้เจ้าหน้าที่ของฝ่ายเกาหลีใต้เข้าไปปฏิบัติงานภายใน และตามมาด้วยการถอนแรงงานเกาหลีเหนือที่มีอยู่กว่า 53,000 รายออกจากเขตอุตสาหกรรมดังกล่าว

       พฤติกรรมสุดเกรียนแบบไม่สนใจชาวโลกของคิม จองอึนยังไม่ยุติลงง่ายๆ เพราะในวันที่ 4 เมษายน เขาได้ประกาศ “เปิดไฟเขียว” ให้กองทัพประชาชนเกาหลี (KPA) หรือกองทัพโสมแดง ซึ่งมีกำลังพลประจำการกว่า 9.5 ล้านคน และเป็นหนึ่งในกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลกสามารถใช้ “อาวุธนิวเคลียร์” โจมตีสหรัฐฯได้ จนทางชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯต้องแถลงว่าพร้อมดำเนินทุกมาตรการเพื่อขจัดภัยคุกคาม และประกาศติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธที่เกาะกวม ดินแดนในปกครองของสหรัฐฯในแปซิฟิก เพื่อรองรับความเป็นไปได้ที่อาจถูกเกาหลีเหนือเล่นงาน

       “ความเกรียน” อีกประการที่ไม่พูดถึงไม่ได้ของผู้นำเกาหลีเหนือ คือ การประกาศผ่านทาง “กระบอกเสียง” ของรัฐบาลโสมแดงอย่างสำนักข่าว “เคซีเอ็นเอ” เตือนให้ชาวต่างชาติรีบอพยพหนีตายออกจากเกาหลีใต้ ก่อนจะมีการเปิดฉากทำ “สงครามนิวเคลียร์” และการไม่ขอรับประกันความปลอดภัยแก่บรรดาเจ้าหน้าที่ทางการทูตของต่างประเทศในกรุงเปียงยางหลังวันที่ 10 เมษายนเป็นต้นไป

       จากพฤติกรรมต่างๆ ข้างต้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คิม จองอึน ซึ่งเพิ่งมีอายุประมาณ 30 ปี ถือเป็นหนึ่งในผู้นำประเทศที่เรียกได้ว่า “เกรียน” ที่สุดในยุคนี้ เห็นได้จากการแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวและก้าวร้าวชนิดไม่สนใจ “หน้าอินทร์หน้าพรหม” ไม่เกรงใจแม้กระทั่งลูกพี่ใหญ่อย่าง รัสเซียกับจีน ที่ทำตัวเป็น “หนังหน้าไฟ” คอยออกร้อนออกรับแทนรัฐบาลเปียงยางมาโดยตลอดในเวทีโลก รวมถึงไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับคำว่า “สงบ” และ “สันติ”

       ดังนั้นจึงไม่ผิดนักหากหลายต่อหลายคนจะพากันขนานนามให้กับคิม จองอึน เสียใหม่ว่า “คิม จองเกรียน” หรือ “ตี๋เกรียนแห่งเปียงยาง”
Weekend Focus : “คิม จอง อึน” ผู้นำ “สุดเกรียน” แห่งเกาหลีเหนือ กับความเสี่ยงก่อสงครามนิวเคลียร์
        เมื่อถึงตอนนี้ เชื่อว่าหลายคนคนอยากรู้จักประวัติของคิม จองอึน ผู้นำรัฐบาลเปียงยางว่าเขามีความเป็นมาเป็นอย่างไร เติบโตมาแบบใด และมีความ “เกรียน” แบบได้ใจเช่นนี้ มาตั้งแต่วัยเด็กหรือไม่

       แม้จะไม่เคยมีการเผยแพร่ประวัติอย่างเป็นทางการของคิม จองอึน สู่การรับรู้ของสาธารณชน แต่ข้อมูลที่ได้จากบรรดาหน่วยข่าวกรองของชาติตะวันตกและบรรดาชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์ รวมถึง ผู้ที่เคยมีโอกาสพบปะใกล้ชิดกับครอบครัวคิมแห่งเกาหลีเหนือบ่งชี้ว่า คิม จองอึนถือกำเนิดลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 8 มกราคม ในปี 1983 หรือปี 1984 ขณะที่ทางการเกาหลีเหนือเผยว่า ผู้นำหนุ่มรายนี้เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ปี 1982 โดยเป็นบุตรชายคนที่ 3 ของนายพลคิม จอง-อิล อดีตผู้นำเกาหลีเหนือผู้ล่วงลับ โดยพี่ชายทั้งสองของเขามีนามว่าคิม จอง นัม (พี่ชายต่างมารดา) และคิม จองชอล

       รายงานข่าวจากสื่อสิ่งพิมพ์หลายสำนักในญี่ปุ่นยืนยันตรงกันว่า คิม จองอึนถูกส่งไปเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้กับกรุงเบิร์น เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ ขณะที่รายงานข่าวบางกระแสระบุว่า คิม จองอึนถูกส่งไปเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนนานาชาติที่เน้นการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษ ในระหว่างช่วงปี 1993-1998 หรือระหว่างช่วงปี 1998-2000

       ข้อมูลจากอดีตเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นของคิม จองอึน ระบุว่า ในช่วงที่อยู่ในโรงเรียน คิมเป็นคน “ขี้อาย” โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กนักเรียนหญิง แต่ต่อมาก็สามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมชั้นได้ดี และเป็นผู้ที่ชื่นชอบในกีฬาบาสเก็ตบอลเป็นชีวิตจิตใจรวมถึงเป็นแฟนตัวยงของนักกีฬาบาสเก็ตบอลชื่อดังในศึก“เอ็นบีเอ” ของสหรัฐฯ อย่าง ไมเคิล จอร์แดน, โคบี้ ไบรอันต์ ,โทนี คูค็อก และเดนนิส รอดแมน

       อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า คิม จองอึนขาดเรียนบ่อยและผลการเรียนของเขาก็อยู่ในเกณฑ์ “ต่ำเตี้ยติดดิน” จนบิดาของเขาต้องสั่งให้ “รี ชอล” เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสวิตเซอร์แลนด์ในเวลานั้น ช่วยทำหน้าที่เป็น “ติวเตอร์” พิเศษให้

       หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์นานหลายปี คิม จองอึน ได้รับคำสั่งจากบิดาคือนายคิม จอง-อิลให้เดินทางกลับประเทศเพื่อเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาที่ดีที่สุดของเกาหลีเหนืออย่าง “มหาวิทยาลัยคิม อิล-ซุง” ในกรุงเปียงยาง ระหว่างปี 2002-2007 ก่อนจะสำเร็จการศึกษาใน 2 สาขา ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ สาขา “ฟิสิกส์”

       เป็นที่ทราบกันดีว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้น คิม จอง-อิลมิได้แลสายตามายังบุตรชายคนเล็กอย่างคิม จอง อึนเท่าใดนัก เนื่องจากเขาหมายมั่นปั้นมือที่จะให้บุตรชายคนโตอย่างคิม จอง นัม ก้าวขึ้นเป็น “ผู้สืบทอดอำนาจ” ในเปียงยาง

       แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน เพราะในเวลาต่อมามีรายงานว่าคิม จองนัม มีปัญหากับผู้เป็นพ่ออย่างรุนแรงหลังจากปี 2001 เมื่อเขาถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นจับกุมตัว ขณะพยายามเดินทางเข้าแดนปลาดิบโดยใช้ “หนังสือเดินทางปลอม” เพื่อไปเที่ยวสวนสนุกโตเกียว ดิสนีย์แลนด์

       ขณะที่คิม จองชอล พี่ชายคนรอง ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมมารดาเดียวกันถูกระบุว่า มีบุคลิกภาพที่คล้ายกับผู้หญิงมากเกินไป จึงถูกมองข้าม

       ดังนั้น เมื่อพี่ชายคนโตทำตัวเกเรจนสร้างความเสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล ขณะที่พี่ชายคนรองก็ “ไม่มีความเป็นชาย” คิม จอง-อิล ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในเวลานั้น จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลืออยู่ นอกจากนั้นตัดสินใจเลือกคิม จอง อึน บุตรชายคนเล็กให้ก้าวขึ้นมาเป็นทายาททางการเมืองในที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2010 เป็นต้นมา
Weekend Focus : “คิม จอง อึน” ผู้นำ “สุดเกรียน” แห่งเกาหลีเหนือ กับความเสี่ยงก่อสงครามนิวเคลียร์
       
Weekend Focus : “คิม จอง อึน” ผู้นำ “สุดเกรียน” แห่งเกาหลีเหนือ กับความเสี่ยงก่อสงครามนิวเคลียร์
       
Weekend Focus : “คิม จอง อึน” ผู้นำ “สุดเกรียน” แห่งเกาหลีเหนือ กับความเสี่ยงก่อสงครามนิวเคลียร์
       
Weekend Focus : “คิม จอง อึน” ผู้นำ “สุดเกรียน” แห่งเกาหลีเหนือ กับความเสี่ยงก่อสงครามนิวเคลียร์
        ด้าน “The Sun” หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์จอมแฉแห่งอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า คิม จองอึนในช่วงที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนนานาชาติที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นนอกจากจะเป็นเด็กขี้อายต่อเพศตรงข้าม ชื่นชอบบาสเกตบอลและเรียนหนังสือไม่เก่งแล้ว คิม จองอึน ยังเคยมีส่วนร่วมในการแสดงละครเพลงของโรงเรียนที่นำเอาภาพยนตร์เพลงอเมริกันสุดคลาสสิกแห่งปี 1978 อย่างเรื่อง “Grease” มาดัดแปลงอีกด้วย

       รายงานของเดอะ ซันระบุว่าไม่เพียงแต่จะร่วมร้องร่วมเต้นในละครเพลงสัญชาติอเมริกันดังกล่าวเท่านั้น เชื่อหรือไม่ว่า คิม จองอึนยังถูกจดจำจากเพื่อนร่วมชั้นในฐานะของผู้ชื่นชอบการ์ตูน เกมคอมพิวเตอร์ และภาพยนตร์ฮอลลีวูดตัวยง โดยเฉพาะภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ผจญภัยเกี่ยวกับไดโนเสาร์เรื่อง “Jurassic Park” ของผู้กำกับชื่อก้อง สตีเวน สปีลเบิร์ก

       ขณะที่แหล่งข่าวทางการทูตของชาติตะวันตกเผยว่า ผู้นำหนุ่มแห่งเปียงยางรายนี้ เมื่อโตเป็นหนุ่มเต็มตัวก็เริ่มชื่นชอบผลิตภัณฑ์ยาสูบภายใต้แบรนด์หรู “อีฟส์ แซงต์ โลรองต์” และโปรดปรานน้ำเมายี่ห้อ “จอห์นนี วอล์คเกอร์” เป็นพิเศษ รวมถึงมีรถเมอร์เซเดส เบนซ์ 600 ซีดาน ไว้ใช้เป็นการส่วนตัวคันหนึ่ง

       จากประวัติในช่วงวัยเด็ก-วัยรุ่นข้างต้นของคิม จองอึน หลายฝ่ายคงอดสงสัยแกมประหลาดใจไม่ได้ว่า เพราะเหตุใดผู้นำเกาหลีเหนือรายนี้ซึ่งชื่นชอบบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอของสหรัฐฯ และภาพยนตร์ฮอลลีวูดเป็นชีวิตจิตใจ ถึงกลับกลายเป็นบุคคลที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ ไปได้

       เพราะแม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ คิม จองอึน ก็ยังจัดคอนเสิร์ตในกรุงเปียงยางโดยมีตัวการ์ตูนสวมใส่ชุด “มิคกี้เมาส์” และ “หมีพูห์” ของค่ายดิสนีย์ ขึ้นเวทีมาแล้ว รวมถึงเพิ่งเชิญเดนนิส รอดแมน หนึ่งในนักบาสเกตบอลในดวงใจที่เป็นชาวอเมริกันไปเยือนเกาหลีเหนือเป็นการส่วนตัวด้วยเช่นกัน

       ประเด็นที่ว่า คิม จองอึนจงเกลียดจงชังสหรัฐฯ จริงหรือไม่นั้น นักวิเคราะห์หลายฝ่ายลงความเห็นว่า ยากจะคาดเดาได้ แต่ที่ผู้คนทั่วทั้งโลกพากันวิตกอยู่ในเวลานี้ คือการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่างๆ ของคิม จองอึนแบบไม่สนใจประชาคมโลกในช่วงที่ผ่านมา เพราะไม่มีใครทราบได้ว่า ผู้นำหนุ่มรายนี้ของเกาหลีเหนือคิดจะก่อสงครามนิวเคลียร์จริง หรือเพียงแค่ “ขู่” เท่านั้น
Weekend Focus : “คิม จอง อึน” ผู้นำ “สุดเกรียน” แห่งเกาหลีเหนือ กับความเสี่ยงก่อสงครามนิวเคลียร์
       
Weekend Focus : “คิม จอง อึน” ผู้นำ “สุดเกรียน” แห่งเกาหลีเหนือ กับความเสี่ยงก่อสงครามนิวเคลียร์
       
Weekend Focus : “คิม จอง อึน” ผู้นำ “สุดเกรียน” แห่งเกาหลีเหนือ กับความเสี่ยงก่อสงครามนิวเคลียร์
        จนถึงขณะนี้ ความเห็นของนักวิเคราะห์ทั่วโลกยังคงแตกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เชื่อว่า คิม จอง อึน แค่ขู่หรือเรียกร้องความสนใจ หรือแม้แต่ต้องการสร้างการยอมรับจากบรรดาผู้อาวุโสในเปียงยาง กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เชื่อว่าคิมจะ “เอาจริง” แน่

       
       แดเนียล พิงก์สตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือจากกลุ่มเอ็นจีโอ อินเตอร์เนชันแนล ไครซิส กรุ๊ป (ไอซีจี)มองว่าท่าทีของผู้นำเกาหลีเหนือเป็น“เรื่องน่าตลก” ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้น แวดวงการเงิน รวมถึง ต้องการให้ทั่วโลกเกิดความกังวลเสียมากกว่า

       ขณะที่ ซีกฟรีด เฮคเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ศึกษาความมั่นคงและความร่วมมือระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดของสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า ถึงแม้เกาหลีเหนือจะเคยประสบความสำเร็จในการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินถึง 3 ครั้ง (ครั้งล่าสุดคือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา) แต่เชื่อว่า เกาหลีเหนือยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสามารถทำการโจมตีเป้าหมายในสหรัฐฯ หรือแม้แต่การโจมตีเกาหลีใต้ ด้วยขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ ดังนั้น ท่าทีก้าวร้าวแบบไร้ความเกรงใจผู้ใดของคิม จอง อึนในช่วงที่ผ่านมาจึงน่าจะเป็นเพียงการทำ “สงครามจิตวิทยา” เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวเท่านั้น

       อย่างไรก็ดี เดวิด คัง ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและธุรกิจ แห่งมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนียและผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเกาหลีเหนือชื่อ “Nuclear North Korea:A Debate on Engagement Strategies, ”กลับตั้งข้อสังเกตโดยให้มุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

       โดยศาสตราจารย์รายนี้ระบุ พฤติกรรมที่ก้าวร้าวของเกาหลีเหนือในเวลานี้ อาจไม่ใช่เพียงแค่ความพยายามของคิม จอง อึน ในการเรียกร้องความสนใจจากนานาชาติและอาจไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างฐานอำนาจของคิม ให้แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับมากขึ้นจากบรรดาแม่ทัพนายกองและผู้อาวุโสในเปียงยาง

       ศาสตราจารย์คังชี้ว่า แม้พฤติกรรมก้าวร้าวในทำนองนี้ จะเคยพบเห็นได้ในผู้นำเกาหลีเหนือที่ล่วงลับไปแล้ว อย่างคิม อิล-ซุง และคิม จอง-อิล แต่ทว่าในกรณีของคิม จอง อึนนั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากเขาได้ก้าวขึ้นครองอำนาจสูงสุดทั้งในรัฐบาลและกองทัพเกาหลีเหนือตั้งแต่ที่มีอายุยังน้อย คือ ไม่ถึง 30 ปี ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความสุขุมรอบคอบและวุฒิภาวะที่ยังมีไม่มากนักของคิม จอง อึน สมควรเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ไม่อาจมองข้ามได้

       “ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งยวดที่คนหนุ่มอย่างคิม จองอึน ซึ่งขาดทั้งประสบการณ์ ขาดความสุขุมในการอ่านเกมทางการเมืองระหว่างประเทศ และปราศจากวุฒิภาวะที่เพียงพอได้ก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ การตัดสินใจเพียงชั่ววูบของคนหนุ่มซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ในมือผู้นี้อาจนำมาซึ่งหายนะเกินกว่าใครจะคาดเดาได้” ศาสตราจารย์เดวิด คัง กล่าว

       จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่า วิกฤตความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี และการแสดงความก้าวร้าวของคิม จอง อึนจะสิ้นสุดลงเมื่อใด และในรูปแบบใด ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครตอบได้ว่า ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การปะทุของสงครามรอบใหม่ระหว่างสองเกาหลีหรือไม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น