คดี“พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย” ตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาสมคบและร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร จากการรับเช็คของสหรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กำลังมาถึงจุดที่ “พีค” สุดๆ หลังจากครบกำหนดที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ ) ขีดเส้นให้ “พระธัมมชโย” เข้ามอบตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายจับ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา
แต่ทว่า เมื่อถึงวันนัด “พระธัมมชโย” กลับไม่ได้เข้ามอบตัว ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายตลอดทั้งวันว่า “พระธัมมชโย” จะเข้ามอบตัวภายในกำหนดหรือไม่ โดยตอนแรกมีข่าวว่าจะเข้ามอบตัวที่ สภอ. คลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ทำให้ที่ สภอ. คลองหลวง เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จัดสถานที่เข้ามอบตัว ขณะเดียวกันก็มีบรรดาพระสงฆ์และบรรดาศิษยานุศิษย์ของพระธัมมชโยจำนวนมากแห่มาให้กำลังใจ พร้อมกับทัพสื่อมวลชนที่รอทำข่าว ทุกอย่างน่าจะลงเอยด้วยดี แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้มีการมอบตัวโดยอ้างว่า ระหว่างจะขึ้นรถพยาบาลเพื่อเดินทางไป สภอ.คลองหลวง“ พระธัมมชโย” มีอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ เป็นลม
และจากการที่คดีนี้ทำท่าจะยืดเยื้อ ทำให้เกิดกระแสเรียกร้อง ให้รัฐเข้าจัดการอย่างเด็ดขาดกับ“พระธัมมชโย” โดยจะปล่อยให้คดีไม่มีความคืบหน้าไปเรื่อยๆอย่างนี้ไม่ได้ นำมาซึ่ง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ต้องออกมาชี้แจงว่า ดีเอสไอมีแผนที่กำหนดมาตรการตามขั้นตอนไว้แล้ว และจะดำเนินการตามกฎหมายกับ “พระธัมมชโย ” คาดว่าจะสามารถเร่งรัดคดีนี้ให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุดไม่เกินภายใน 2-3 สัปดาห์
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงเรื่องของ“พระธัมมชโย” ว่าจะไม่ขอรบกับพระ เพราะเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ขอให้เป็นไปตามกฎหมายและทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย พระก็คงเหมือนกับทหารที่ต้องมีกฎ ทั้งกฎหมายและวินัยสงฆ์ด้วย และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่มีวิธีิการที่จะดำเนินการอยู่แล้ว พร้อมไปกับการที่นายกฯขอว่า อย่าทำให้เรื่องนี้เกิดความแตกแยกและอย่ามีการปลุกระดมให้คนออกมาสู้กัน
เมื่อฟังและดูท่าทีของนายกฯและรมว.ยุติธรรม แล้วสรุปได้ว่า จะใช้กฎหมายและดำเนินการให้“พระธัมมชโย”เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ปล่อยปละละเลยแน่
แต่การจัดการกับ“พระธัมมชโย”และ“ธรรมกาย” นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ เพราะ“ธรรมกาย”มีเครือข่ายมากมายทั้งทางสงฆ์และฆราวาสแทรกซึมไปทุกวงการ รวมทั้งมี“สายสัมพันธ์”กับทาง“การเมือง” อีกด้วย
การที่ “ศาสนา” เกี่ยวพันกับ “การเมือง” นั้น มีมานานนมแล้ว หากเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์โลก นับแต่ยุคที่ถือเทพเจ้าหลายองค์มาถึงยุคขงจื๊อ เต๋า พุทธ ฮินดู อิสลาม คริสต์ ยูดาย ฯลฯ เราจะพบความจริงว่า ลัทธิ,ศาสนา,ความเชื่อใดๆ จะเติบโตขยายตัวได้ ก็ต่อเมื่อมี“อำนาจรัฐ”หนุนหลัง เช่น ในจีนหากฮ่องเต้นับถือลัทธิใด ลัทธิอื่นก็จะตกต่ำลงขาดแรงสนับสนุน“การเมือง”กับ“การศาสนา” ที่แท้ ก็คือ ปมประเด็นว่าด้วยอำนาจ เพียงแต่เป็นอำนาจคนละมิติที่เหมือนเหรียญคนละหน้าเท่านั้น
ดังนั้นการที่ “ธรรมกาย” เติบโตมาด้วยอำนาจการเมืองหนุนไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่ จะเห็นได้ว่า “ธรรมกาย” เติบโตแบบก้าวกระโดดในระหว่างที่“กลุ่มการเมืองชินวัตร” มีอำนาจปกครองประเทศต่อเนื่องหลายรอบระหว่างปี 2544-2557
ครั้งหนึ่ง น.พ. เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้โพสแสดงความคิดเห็นส่วนตัวผ่านเฟซบุ๊ก โดยให้ความเห็นที่เป็นผลพวงจากการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ว่า หนึ่งในนั้น คือ การรุกโจมตีวัดธรรมกาย ด้วยข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง ว่า เป็นปาราชิกอวดอุตริมนุสธรรม เป็นการพุ่งปลายหอกเพื่อทำลายกลุ่มพระสงฆ์ที่เป็นฐานกำลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายคนเสื้อแดง ฝ่ายแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ และฝ่าย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ข้อความทีี่ “หมอเหวง” โพส จึงเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีว่า วัดพระธรรมกายเป็นฝ่ายเดียวกับคนเสื้อแดงและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นอกจากนี้ หากมองย้อนไปในช่วง “รัฐบาลพรรคไทยรักไทย” ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร ” เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ก.ค 2549ได้มีการใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน ”รวมใจทุกศาสนาพัฒนาท้องถิ่นไทยฯ" โดยมีการระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ จำนวน 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี "ทักษิณ " เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาด้วย ซึี่งสถานการณ์การเมืองในช่วงนั้น "รัฐบาลทักษิณ " กำลังอยู่ภาวะคับขันจากการที่ถูก" กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย " ชุมนุมขับไล่ และจะเป็นความบังเอิญหรือเกี่ยวข้องกันหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะหลังจากนั้นเพียงเดือนเศษก็มีการถอนฟ้องคดีที่พระธัมมชโย ถูกฟ้องว่า เบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่มิชอบ โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา จังหวัดพิจิตร และนำเงินอีกเกือบ 30 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินกว่า 900ไร่ ใน ต.หนองพระ จ.พิจิตร และที่ ต.ท่าข้าม อ. ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งหมดให้กับลูกศิษย์คนสนิท
หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2555 ที่ีออกมาสนับสนุน“รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็มีข่าวออกมาว่า ได้มีการนำกลุ่มชายฉกรรจ์จากกรมอุทยานแห่งชาติฯ ไปฝึกอบรมรมอยู่ในวัดธรรมกาย เพื่อสนับสนุนการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ส่วน"รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ในขณะนั้น ก็ได้มีการจัดงานๆหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่มากๆ คือ งานฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่บริเวณประตูน้ำ ถนนราชปรารภ งานดังกล่าวมี น.ส. ยิ่งลักษณ์ เป็นประธานในพิธีตักบาตรพระ จำนวน 22,600 รูป ยิ่งใหญ่ชนิด“ปิดกรุงเทพ”กันเลยทีเดียว งานดังกล่าวหลายหน่วยงานร่วมกันจัด ซึ่งมีทั้ง สำนักนายกรัฐมนตรี, วัดพระธรรมกาย ,มูลนิธิธรรมกาย และในงานดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใส่ชุดขาวมีแถบสองแถบพาดจากไหล่ทั้งสองข้างลงด้านล่าง ซึ่งมีการวิจารณ์กันว่า ช่างเหมือนกับชุดอุบาสิกาของธรรมกาย ส่วนพระพุทธรูปในงาน ก็เป็นพระพุทธรูปแบบธรรมกาย อีกทั้งประธานฝ่ายสงฆ์ ก็เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าสนับสนุนธรรมกาย
นี่..เป็นแค่ตัวอย่าง ที่แสดงให้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง“ธรรมกาย” กับ “อำนาจทางการเมือง” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้“ พระธัมมชโย” และ“ธรรมกาย” อยู่รอดและคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้แถมยังเติบโตเรื่อยมาโดยไม่แคร์สายตาใคร ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวพุทธ ที่ขัดใจกับพฤติกรรมและคำสอน
แต่ปัจจุบันในยุค "รัฐบาล คสช. สถานการณ์การเมืองได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะว่าได้เดินหน้าชนกับวัดพระธรรมกาย อย่างเต็มที่
เห็นได้จากท่าทีของ พล.อ.ไพบูลย์ รมว.ยุติธรรม ก่อนหน้านี้ในต่างกรรมต่างวาระกัน ในทำนองพร้อมเอาผิดเต็มที่
... “เจ้าหน้าที่ทำงานตามกฎหมายก็ขอให้ไม่ต้องกลัว เพื่อให้คดีจบให้ได้”
,...“ได้สั่งการให้ดีเอสไอติดตามกรณีวัดพระธรรมกายจัดกิจกรรมระดมคน หากมีสิ่งใดแอบแฝง ส่งสัญญาณว่าอาจนำไปสู่ความไม่เรียบร้อย ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงที่ต้องดำเนินการ”
..“ไม่มีใครจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจจะใช้ได้บางครั้ง แต่วันหนึ่งก็ต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายอยู่ดี ถ้าไม่ผิดจะยืดเยื้อไปทำไม”
คำพูดของ พล.อ. ไพบูลย์ จึงไม่ต่างอะไรกับการมอบนโยบายของรัฐบาลต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ว่า ต้องเอาคดีวัดพระธรรมกายขึ้นสู่การพิจารณาของศาลให้ได้ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนเอาจริงเอาจังเท่ากับรัฐบาลชุดนี้มาก่อน แต่จะ “ผลีผลาม” ก็ไม่ได้ ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เพราะหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น “รัฐบาล คสช ” จะเสียเอง
นอกจากนี้ใน“ทางการเมือง ”อาจมองได้ว่า การดำเนินคดีกับ“พระธัมมชโย” อย่างชนิดเต็มพิกัด ยังส่งผลเป็นการทำลายฐานกำลังสำคัญของ“กลุ่มอำนาจเก่า” ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ คสช.ได้อีกด้วย
“ชะตากรรมของ ”พระธัมมชโย“ จะเป็นอย่างไร เมื่อ” การเมือง“ เปลี่ยน จึงน่าติดตามชมอย่างยิ่ง ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น