*** "ธีระชัย" แฉแหลก "ปิยสวัสดิ์" ร่วมมือ "แม้ว" เอื้อ "เพิร์ล ออย" ฮุบพลังงานไทย ?
"ธีระชัย" แฉแหลก "ปิยสวัสดิ์" สมัยเป็น รมว.พลังงาน ในรัฐบาลขิงแก่ ได้เดินหน้าล็อบบี้ สนช. ให้แก้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม เพื่อยกเลิกเพดานพื้นที่สำรวจ ตั้งข้อสังเกตเพื่อช่วยบริษัท "เพิร์ล ออย" ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด "ทักษิณ" ให้พ้นผิดหรือไม่ เนื่องจากถือพื้นที่เกิน 20,000 ตารางกิโลเมตร เกินจากกฎหมายกำหนดไว้ ซ้ำยังเป็นผู้เสนออนุมัติสัมปทานรอบที่ 19 - 20 ให้เองกับมือ พร้อมกับประเคนพื้นที่ให้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งที่รู้ว่าเกี่ยวโยงกับนักโทษหนีคดี เชื่อสัมปทานรอบ 21 อดีตนายกฯก็ยังคงยื่นมือข้ามประเทศเข้ามาจัดการผลประโยชน์ โดยมีผู้เกี่ยวข้องคนเดิมวนเวียนอยู่ในอำนาจ
วันนี้ (10 พ.ย.) นายธีระชัย ภูวนาถนรนุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Thirachai Phuvanatnaranubala" เกี่ยวกับเรื่องพลังงาน ดังนี้
"มีคนขอให้ผมขยายความว่า ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่เกิดขึ้นในปี 2550 เป็นการดำเนินการเพื่อช่วยให้บริษัทหนึ่ง (สมมุติขื่อ P O) พ้นผิด ผลจะเป็นอย่างไร
ผลก็จะเป็นความอาญานะซิครับ
ทั้งรัฐมนตรีพลังงาน และข้าราชการกระทรวงพลังงานที่ชงเรื่องเสนอ จะมีความผิดอาญา
มีเพื่อนผมที่เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในช่วงภายหลังการปฏิวัติรัฐประหารปี 2549 เล่าให้ฟังว่า
ในปี 2550 มีบุคคลกลุ่มหนึ่ง ในแวดวงพลังงาน ได้ขอนัดสมาชิก สนช. หลายคน เพื่อเลี้ยงอาหาร พูดคุย ล็อบบี้ ให้ช่วยสนับสนุนการแก้ไข พ.ร.บ ปิโตรเลียม ดังกล่าว
พวกเขาชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อพยายามแสดงความจำเป็น ที่จะต้องแก้ไขกฎหมายนี้ อ้างว่าเพื่อประโยขน์ของประเทศ
กลุ่มเพื่อนของผมเขาเห็นว่าคนที่มาล็อบบี้ดังกล่าว มีคนระดับรัฐมนตรีที่น่าเชื่อถือ และคงจะมีความรู้ลึกจริงๆ เพราะบุคคลนี้เคยทำงานราชการด้านพลังงานมานาน และเรียนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำในอังกฤษทีเดียว
กลุ่มเพื่อนของผม จึงให้การสนับสนุนแก้ไขกฎหมายดังกล่าว โดยอาศัยเชื่อมั่นในตัวบุคคลเป็นสำคัญ เพราะเขาไม่ได้เจาะลึกเบื้องหลังการเสนอกฎหมายดังกล่าว
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้แจ้งข้อมูลให้เขาทราบว่ามีคนนำตาราง ที่สรุปพื้นที่สำรวจของบริษัทหนึ่ง (สมมุติชื่อ P O) ระหว่างปี 2550 จนถึงปี 2556 มาให้ผมดู
ข้อมูลดังกล่าวแสดงว่าบริษัทดังกล่าว น่าจะถือพื้นที่ในปี 2549 อยู่ 11,509 ตารางกิโลเมตร หรือไม่
ต่อมาในปี 2550 ก่อนหน้าสัปทานรอบที่ 20 เพิ่มเป็น 37,227 ตารางกิโลเมตร หรือไม่
ถ้าข้อมูลถูกต้อง ก็จะแสดงว่าบริษัทนี้ ถือพื้นที่เกินกว่า 20,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นเพดานที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว ก่อนหน้าที่จะมีการแก้ไขกฎหมาย
และพื้นที่ดังกล่าว คำนวนตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท (สมมุติชื่อ P O) ในแปลงสำรวจแต่ละแปลงด้วย มิใช่เอาพื้นที่ทั้งหมดของแต่ละแปลง ที่รวมของผู้ถือหุ้นอื่นๆ
ถ้าข้อมูลนี้ เป็นจริง ก็เท่ากับว่า การแก้ไข พ.ร.บ. ปิโตรเลียม ก็เพื่อให้บริษัทนี้ (สมมุติชื่อ P O) พ้นผิดนั่นเอง หรือไม่
ข้อมูลในปี 2550 ปีเดียวกันนี้ ภายหลังสัมปทานรอบ 20 ปรากฏว่า มีการให้สัมปทานแก่บริษัท (สมมุติชื่อ P O) เพิ่มขึ้นแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
พื้นที่สำรวจบานตะไท ขึ้นไปเป็น 61,365 ตารางกิโลเมตร หรือไม่
(ข้อมูลที่ผมจะเรียกข้าราชการกระทรวงพลังงานมาเป็นพยาน ก็คือ จะขอให้ยืนยันว่าคำนวณจากแปลงสำรวจ B5/27, B11/38, G2/50, G1/48, G2/48, G3/48, G6/48, G10/48, G11/48, L21/50 หรือไม่)
และปี 2551 ยังเบ่งขึ้นไปอีก เป็น 67,663 ตารางกิโลเมตร หรือไม่ (ส่วนที่เพิ่มจาก L52/50 และ L53/50 หรือไม่)
เมื่อได้ฟังข้อมูลนี้ เพื่อนผมตกใจมาก คาดไม่ถึงว่าเขาตกเป็นเครื่องมือ ช่วยผ่านกฎหมายนี้
เรื่องนี้ หากเป็นจริง ก็จะเข้าขั้นปล้นชาติกลางวันแสกๆ เลวร้ายกว่าคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย
โปรดคอยติดตามตอนต่อไปนะครับ
ผมขอเพิ่มเติม เนื่องจากมีคนตั้งประเด็นว่า การที่ผู้สำรวจรายหนึ่ง ถือพื้นที่มากๆ เสียหายตรงไหน
ตั้งแต่ปี 2514 พ.ร.บ. ปิโตรเลียมกำหนดเพดานต่อรายเอาไว้ 50,000 ตาราง กม. ต่อมาลดลงเหลือ 20,000 ก็เพื่อมิให้รายใดรายหนึ่ง มีอำนาจต่อรองมากเกินไป
และที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน ก็เพื่อป้องกันมิให้มีการมอบสัมปทานอย่างโอเวอร์ ให้แก่รายหนึ่ง เพื่อเอาไปขายต่อ กำไรจนพุงปลิ้น
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีบริษัท (สมมุติชื่อ P O) ที่ข้าราชการ และรัฐมนตรี ประเคนพื้นที่บานทะโร่ ไปเกินกว่า 67,000 หรือไม่
เปิดโอกาสให้เขาเอาไปเซ็งลี้ต่อแบบง่ายๆ จนล่าสุด พื้นที่ลดลงเหลือเพียงระดับ 20,000 หรือไม่
ถ้าข้อมูลนี้เป็นจริง เป็นการตอกย้ำ ว่าการมอบสัมปทาน ซึ่งทำกันแบบมืดๆ เปิดช่องให้เอื้ออำนวยประโยชน์แก่บางคนได้ หรือไม่
ผิดกับระบบแบ่งปันผลประโยชน์ ที่ต้องประมูลแบบสว่างๆ จะเอื้อประโยชน์ไม่ได้
นอกจากนี้ ถ้าใครเชื่อสนิทใจ ว่าในช่วงเวลารัฐบาลชั่วคราว ภายหลังปฏิวัติ ซึ่่ง ค.ร.ม. เป็นอดีตข้าราชการ ย่อมจะไม่มีทุจริตนั้น
ขอให้ตื่นได้แล้ว
และที่น่าแปลกใจอย่างไม่น่าเชื่อ ก็คืออดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ถึงแม้ถูกโค่นลง ระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ ก็ยังสามารถยื่นมือยาว เข้ามาจัดการผลประโยชน์ได้
ภายหลังปฏิวัติปี 2549 กรณีบริษัท (สมมุติชื่อ P O) แสดงถึงอิทธิพลนี้
ภายหลังปฏิวัติปี 2557 ผมก็ทราบว่ามีการยื่นมือยาวข้ามประเทศมาด้วยเช่นกัน"
ต่อมา นายธีระชัย ได้โพสต์ภาพข้อความใน พ.ร.บ. ปิโตรเลียม โดยมี เอกสาร
1. พ.ร.บ. ปิโตรเลียม 2514 ซึ่งกำหนดพื้นที่สูงสุดต่อราย 50,000 ตาราง กม.
2. พ.ร.บ. หลังแก้ไขปี 2532 พื้นที่สูงสุดลดลงเหลือ 20,000 ตาราง กม.
3. พ.ร.บ. ที่แก้ไขในวันที่ 7 ตุลาคม 2550 ยกเลิกเพดานไปเลย !!!!
2. พ.ร.บ. หลังแก้ไขปี 2532 พื้นที่สูงสุดลดลงเหลือ 20,000 ตาราง กม.
3. พ.ร.บ. ที่แก้ไขในวันที่ 7 ตุลาคม 2550 ยกเลิกเพดานไปเลย !!!!
ท่านผู้อ่านสนใจหรือไม่ครับ ว่าใครเป็นคนเสนอแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
จากนั้น นายธีระชัย โพสต์ภาพ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานบอร์ด ปตท. พร้อมระบุว่า "ผมจะไม่บอกนะครับ ว่าใครเป็นรัฐมนตรีพลังงานในช่วงเวลาที่มีการแก้ไขกฎหมาย ยกเลิกเพดาน 20,000 ตาราง กม. ในวันที่ 7 ตุลาคม 2550
ท่านผู้อ่านต้องค้นคว้าเอาเองจากภาพนี้นะครับ ซึ่งผมได้มาจาก Wikipedia แต่ไม่ทราบว่าวันที่ที่แสดงอยู่นั้น ถูกต้องหรือไม่
ล่าสุด นายธีระชัย ได้โพสต์ภาพหนังสือกระทรวงพลังงาน ที่ พน 0304/3390 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2549 โดย นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสมัยนั้น เป็นผู้เสนอ ครม. ให้อนุมัติสัมปทานรอบที่ 19 แก่ 3 บริษัท โดยหนึ่งในนั้นคือ บริษัท เพิร์ล ออย (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่ามีความเกี่ยวโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นายธีระชัย ยังโพสต์อีกว่า "เนื่องจากข่าว Bloomberg มีการประกาศไปทั่วโลก นับเป็นเวลา ประมาณ 9 เดือน ก่อนวันที่ 25 ตุลาคม 2549 ที่มีการเสนออนุมัติสัมปทานรอบที่ 19
ผู้ที่เสนออนุมัติสัมปทานรอบที่ 19 จึงย่อมต้องทราบดี ว่าบางบริษัทที่เสนออนุมัตินั้น เป็นของรัฐบาลที่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยคนหนึ่ง ชักนำเข้ามาทำธุรกิจพลังงานในไทย หรือไม่
และที่สำคัญ ก็คือ ผู้เสนออนุมัติสัมปทาน ทั้งรอบที่ 19 และรอบที่ 20 ด้วยนั้น เป็นบุคคลคนเดียวกัน หรือไม่
จึงส่อเค้าว่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยคนหนึ่ง สามารถเดินเกม เอื้อมมือเข้ามาจัดผลประโยชน์พลังงานในไทย ทั้งรอบที่ 19 และ 20 ได้จริงหรือไม่
จึงมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเอื้อประโยชน์พิเศษ แก่บริษัทที่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยคนหนึ่ง ชักนำเข้ามาทำธุรกิจพลังงานในไทย หรือไม่
*** และที่สำคัญมากกว่านั้น ก็คือ ขณะนี้มีการประกาศ จะเปิดสัมปทานรอบที่ 21 แล้ว
โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาทั้งรอบที่ 19 และ 20 ขณะนี้ก็วนเวียนอยู่ในแวดวงอำนาจ แม้ภายหลังการปฏิวัติรัฐประหารปี 2557
*** จึงส่อเค้าว่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยคนหนึ่ง กำลังเดินเกม ที่จะจัดผลประโยชน์พลังงาน เป็นรอบที่ สาม ซ้ำอีกหรือไม่" นายธีระชัย ระบุ
โดยก่อนหน้านี้มีข่าวความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทสำรวจปิโตรเลียมของประเทศตะวันออกกลางกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มตั้งแต่ที่ นายโมฮัมหมัด อัลฟาเอ็ด เจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความสนิมสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ก่อตั้งแฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี (ประเทศไทย) เพื่อรับสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซ ร่วมกับ ปตท.สผ. เมื่อปี 2541 ต่อมาในปี 2547 บริษัท เพิร์ล เอ็นเนอร์ยี่ ซื้อกิจการ แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี และเปลี่ยนชื่อเป็นเพิร์ลออย (ประเทศไทย) จากนั้นในปี 2551 บริษัทลงทุนของรัฐบาลอาบูดาบี ชื่อ มูบาดาลา เข้ามาซื้อกิจการของบริษัท เพิร์ลเอ็นเนอร์ยี่ ซึ่งในปีเดียวกันนั้น พล.อ.เตีย บัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงทุนในธุรกิจพลังงาน และพบอีกว่าบริษัท เพิร์ลออย (ประเทศไทย) ได้ย้ายสำนักงานจากไทยพาณิชย์ปาร์ค พลาซา ไปอยู่อาคารชินวัตร 3
โดยก่อนหน้านี้มีข่าวความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทสำรวจปิโตรเลียมของประเทศตะวันออกกลางกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มตั้งแต่ที่ นายโมฮัมหมัด อัลฟาเอ็ด เจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความสนิมสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ก่อตั้งแฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี (ประเทศไทย) เพื่อรับสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซ ร่วมกับ ปตท.สผ. เมื่อปี 2541 ต่อมาในปี 2547 บริษัท เพิร์ล เอ็นเนอร์ยี่ ซื้อกิจการ แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี และเปลี่ยนชื่อเป็นเพิร์ลออย (ประเทศไทย) จากนั้นในปี 2551 บริษัทลงทุนของรัฐบาลอาบูดาบี ชื่อ มูบาดาลา เข้ามาซื้อกิจการของบริษัท เพิร์ลเอ็นเนอร์ยี่ ซึ่งในปีเดียวกันนั้น พล.อ.เตีย บัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงทุนในธุรกิจพลังงาน และพบอีกว่าบริษัท เพิร์ลออย (ประเทศไทย) ได้ย้ายสำนักงานจากไทยพาณิชย์ปาร์ค พลาซา ไปอยู่อาคารชินวัตร 3
บริษัท มูบาดาลา มีผู้บริหารระดับสูงชื่อ ชีค โมฮัมหมัด บินซาเยด อัล นาร์ยาน และเป็นพี่ชายของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัลนาห์ยาน ที่เข้าซื้อกิจการสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ในราคาประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ซื้อกิจการมาในราคาเพียง 5 พันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีต่อกลุ่มธุรกิจพลังงาน
กรณีพันโทรัฐเขต นำกำลังตำรวจกองปราบฯ ไปชี้ที่เกิดเหตุ บ.น้ำมัน แพนโอเรียน.( อีโค่) บุกรุกที่ดิน สปก.ป่าไม้ และมีการหลีกเลี่ยงการชำระค่าภาคหลวง / มีการลักลอบขนน้ำมันดิบ มีการแจ้งปริมาณการผลิตไม่ตรงข้อเท็จจริง ที่ อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ นั้น บริษัท อีโค่(เปลี่ยนชื่อจาก แพนโอเรียนส์ ) ได้แจ้งความดำเนินคดีอาญา กับ พันโทรัฐเขต ฯข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จำนวน 3 คดี แต่ศาลพิพากษายกฟ้องแล้ว 2 คดี โดยมีคำพิพากษา ดังนี้ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องของโจทย์แล้วว่า จำเลย ไม่ได้ใส่ความผู้อื่น อันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 326 และ 328 การกระทำของจำเลย ไม่ได้ระบุชื่อโจทย์ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามฟ้อง พิพากษาให้ยกฟ้อง
ตอบลบพันโท รัฐเขต แจ้งจำรัส
มันไม่สนใจใครทั้งนั้น มันขุดขายต่อไป โดยล่าสุดตรวจพบว่ามันไม่มีใบอนุญาตให้ผลิตและจำหน่าย(ผิดกฏหมาย) แต่ ก.พลังงานละเลยหน้าที่มันจึงลำพองใจปล้นทรัพยากรต่อไป ยิ่งนายกฯให้ท้ายธุรกิจพลังงาน พี่ล่ะเศร้าใจ เซ็งเป็ด เทศไทย จริงๆ
วิจารณ์สนั่น คลิปปิดบ่อน้ำมันเพชรบูรณ์ ลอบขุด 5 ปี 300 ล้านลิตร ค่าภาคหลวงไม่จ่ายรัฐ http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000068532