"จะหลับลงได้อย่างไร ในเมื่อประชาชนไม่มีที่จะนอน"
Create a MySpace Music Playlist at MixPod.com
หลายวันก่อนเห็นภาพข่าวข้างบนนี้แล้ว น้ำตาซึมด้วยความปลาบปลื้มและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น พระสุขภาพของในหลวงยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่ แต่ก็ยังทรงงานตลอด รู้ได้เลยว่าทรงทุกข์ไม่น้อยกว่าคนไทยที่ต้องเจอกับน้ำท่วมเลย ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานและพระพลานามัยแข็งแรงขึ้นในเร็ววันพระพุทธเจ้าค่ะ
ตอนนี้น้ำท่วมไปครึ่งค่อนประเทศ เห็นแล้วใจคอหดหู่เหลือเกิน แถมบล็อกหายอีก หาเรื่องชุ่มชื่นหัวใจมาให้อ่านกันดีกว่า เป็นเรื่่องเล่าจาก FW mail, บทความที่ฝรั่งเขียนถึงในหลวงของเรา, และข้อความที่คัดบางตอนจากการแสดงความคิดผ่านทางเว็บไซต์ของ บีบีซี นิวส์ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ คิดว่าหลายคนคงเคยอ่านกันแล้ว ทีแรกว่าจะลงแค่ FW mail อย่างเดียว แต่เห็นว่าบทความมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน เลยรวมมาลงไว้ในบล็อกด้วย บล็อกนี้เลยยาวมากเหมียนเคย แต่เรื่องดี ๆ แบบนี้ ยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบค่ะ น่าดีใจที่คนต่างชาติมากมายยังรู้ว่า "คนไทยโชคดีเหลือเกินที่มีในหลวง "
ขอส่งกำลังใจให้ผู้ที่ประสบกับอุทกภัยทุกท่าน อย่าท้อนะคะ ภาวนาให้น้ำลดลงเร็ว ๆ และทุกท่านปลอดภัยค่ะ
ในหลวงในสายตาของชาวต่างชาติ
ไหนจะเขมร พม่า น้ำท่วม พายุ คลิป เสธ.หนั่น การประท้วง...ที่สำคัญการโพสต์ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามหน้าwall และในหลายเว็ปไซด์...พาทั้งผมและคนไทยเครียดกันเป็นแถบ ๆ ถ้าไม่ให้ตกเทรน คงต้องคุยกันแต่เรื่องพวกนี้ แต่วันนี้มีเรื่องเล่าให้หายเครียดกับบรรยากาศบ้านเมือง แต่คนทำให้หายเครียดกลับไม่ใช่คนไทย กลายเป็นคนต่างชาติไปซะนี่...แปลก ซึ้ง แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง...ถ้ามีฝีมือในการถ่ายทอดพอคงได้เห็นน้ำตาซึมออกมาเพราะความปีติอีกครั้ง...ตามมาครับ
เมื่อวันก่อน พอดีมีโอกาสต้อนรับนักธุรกิจชาวอังกฤษหนึ่งท่านที่มาตามงานที่เขาสั่งผลิตเอาไว้...ตามประสาคนทำธุรกิจ เลยต้องรับขับสู้ให้ดีที่สุด เพื่อโชว์ความเป็นคนไทยที่มีน้ำใจ...เรื่องมันเกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำครับ...เราก็ทานกันไปตามปกติ มาอีตอนท้าย ๆ การสนทนาครับ...จำได้ว่า เราคุยกันเรื่องการลงทุนนี่แหละครับ...อยู่ดี ๆ ฝรั่งตาน้ำข้าวก็พูดขึ้นมาว่า..."คุณรู้ไหมทำไมคนต่างชาติหลาย ๆ ประเทศถึงตัดสินใจมาลงทุนที่เมืองไทย "...เราก็ตอบไปตามสไตล์คนอยากรู้ว่า...ไม่รู้ เข้าทางฝรั่งเลยครับ เขาพูดขึ้นมาว่า "ส่วนมากแล้วจะประเมินกันว่าแรงงานประเภทงานฝีมือคนไทยมีศักยภาพสูงสุดในแถบเอเซีย สูงกว่าญี่ปุ่นเสียอีก ตอนนี้จะพอมีใช้ได้ก็คือเวียดนาม แต่ไม่กระตือรือล้นเท่าที่ควร จึงยังห่าง"...แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักนะครับ เพราะสิ่งที่นักธุรกิจคนนี้พูดออกมาคือ...."แต่ปัจจัยหลักที่พวกเขาตัดสินใจมาลงทุนที่เมืองไทยเป็นเพราะ "ในหลวงฯ"...เริ่มอึ้งไปชั่วขณะเพราะงง...จึงถามกลับไปว่าทำไมจึงเป็นเพราะในหลวงฯ...มาฟังคำตอบชัด ๆ เลยครับ...
"ก็เพราะประเทศคุณมี King of King...(แปลไม่ถูกเพราะหัวใจมันพองโตขึ้นมาในทันใด)...พวกเราเป็นที่รู้กันมาตลอดว่าประเทศไทย ไม่ว่าจะมีเรื่องเลวร้ายแค่ไหน มันจะผ่านไปได้ทุกครั้ง แม้กระทั่งความรุนแรงหรือความแตกแยกทางความคิดใด ๆ หากเกิดขึ้น...เพียงในหลวงของคุณบอกให้จบ ทุกอย่างจะจบด้วยความสงบสันติ"...แล้วผมก็ถามกลับไปว่า ตอนนี้เรายังมีปัญหาอยู่เลย..เขาตอบกลับทันทีว่า "เรื่องการจลาจลเผาเมืองที่ผ่านมา เขาตามข่าวมาตลอดด้วยความเป็นห่วง แต่ที่แปลกใจก็คือ ครั้งนี้ในหลวงไม่ออกมา แต่นั่นทำให้เขารู้ว่า...ความรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องความ "แตกแยก" แต่เป็นเรื่อง "การเมือง" ในหลวงจึงไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว"
...จบตอนนี้ผมอึ้ง ทึ่ง สมองสั่งการให้เห็นแสงสว่างขึ้นมาทันทีว่า...จริงด้วย เราหลงทางหรือเปล่า ที่คิดว่าเราแตกความสามัคคี จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องการเมืองของคนเลว ๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น...คิดได้เท่านั้น ทุกอย่างก็หยุดลง เพราะคำว่า "ในหลวง" ที่มีคุณูปการมากมายต่อคนไทย จนคนไทยอย่างเราเองคาดไม่ถึง นึกไม่ถึงว่าคนต่างชาติมาลงทุนบ้านเราเพราะพระบารมีของพระองค์...ผมกับคุณพ่อเริ่มออกอาการซึม เพราะมันรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกในเวลานั้น...ทุกอย่างแห่งความซาบซึ้งน่าจะจบลงตรงนั้นแต่แล้ว...น้ำตามันซึมออกมาเองอีกครั้ง...เมื่อตอนคนมาเก็บเงินค่าอาหาร...
ในตอนที่ส่งเงินให้พนักงาน ฝรั่งคนเดิมพูดขึ้นมาอีกว่า...
"คนไทยนี่โชคดีจริง ๆ นะ จะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร มีในหลวงคอยติดตาม เฝ้าดูอยู่อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา"...ผมกับพ่อหันไปมอง คราวนี้พ่อผมถามเองเลยว่า...คุณรู้ได้อย่างไร เขาตอบกลับทันทีเลยว่า..."ก็ผมเห็นธนบัตรไทยมีรูปในหลวงของพวกคุณอยู่ ทุก ๆ ใบ แม้นกระทั่งในเหรียญที่มีค่าน้อยที่สุดถึงมีค่ามากที่สุดในธนบัตร เห็นเป็นอย่างนี้มาหลายสิบปีแล้ว ดังนั้นเวลาคนไทยไปไหน ในหลวงจะอยู่กับคนไทยตลอดเวลา ไม่เคยห่างกัน ผมยังสงสัยเลยว่า ทำไมรัฐบาลคุณไม่พิมพ์คำว่า..."เรารักในหลวง" ลงไปในธนบัตร..."...ทั้งผมทั้งพ่อน้ำตากลั้นไม่ไหวจริง ๆ ครับ มันซึมออกมาแบบไม่อายเลย น้ำลายมันก็กลืนไม่เข้าเวลานั้น..."เท่ห์" มากครับที่เกิดเป็นคนไทย หัวใจมันพองโต จนรู้สึกว่าตายกี่ชาติต่อกี่ชาติ ขอให้ได้เกิดเป็นคนไทยทีเถิด
ส่งแขกเสร็จกลับบ้านกับพ่อสองคน...ตลอดทางไม่พูดกันซักคำ ต่างคนต่างเงียบ ผมก็ได้แต่นั่งคิดถึงคำพูดของฝรั่งคนนี้มาตลอดทาง มันเป็นความสุขที่ได้รับแบบคาดไม่ถึงจริง ๆ ครับ...พอถึงบ้านจอดรถให้พ่อลงที่หน้าบ้าน เห็นแม่มายืนรออยู่...พอพ่อลงรถคำแรก ที่พ่อพูดกับแม่...ถามลูกมันดูซิว่า แกรรี่เค้าพูดถึงในหลวงว่ายังไง...จบครับ เป็นอันว่าตลอดทางที่กลับบ้านพ่อผมคิดถึงแต่เรื่องในหลวงแน่นอน...
เรื่องทั้งหมดที่เล่า คงอธิบายความรู้สึกที่อยากจะถ่ายทอดทั้งหมดไม่ได้ แต่อยากแบ่งปันครับ...แบ่งปันให้พวกเราเก็บเรื่องดี ๆ นี้ไว้ในความทรงจำ เพื่อแบ่งปันกันต่อ จากรุ่นสู่รุ่น...ไม่น่าเชื่อนะครับว่า คนอื่นมองเห็นเราชัดเจนกว่าตัวเราที่เป็นคนไทยซะอีก...คำว่า เป็นเรื่อง "การเมือง" ไม่ใช่เรื่อง "ความแตกแยก"...อาจเป็นคำตอบให้คนไทยกลับมาคิดทบทวนกันอีกครั้งว่า...เราแตกแยกกันจริงหรือ...เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ที่ประเสริฐที่สุด จนคนทั้งโลกยังอิจฉา แต่เราบางคนกลับมองไม่เห็น
เพิ่งรู้และสัมผัสกับคำว่า หัวใจพองโต...มันคับฟ้าคับแผ่นดิน...จริง ๆ นะครับ..ที่สำคัญคือ...การที่รู้สึกแบบนี้ได้เป็นเพราะ...ผมเป็นคนไทยที่มีพระมหากษัตริย์ที่ประเสริฐที่สุด เป็น "พ่อของแผ่นดิน"...พระองค์ต้องอยู่เป็นมิ่งขวัญให้คนไทยทั้งแผ่นดินตลอดไป...จริงไหมครับ...????
ข้อมูลจาก FW mail
สื่อต่างชาติสงสัยทำไมคนไทยรัก “ในหลวง” สุดหัวใจ
พวกเราลืมกันแล้วหรือยังว่า “วันมหามงคลของคนไทย” เมื่อ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ในพระราชพิธีฉลองครองสิริราชสมบัติครบ ๖o ปี เพื่อรับการถวายพระพรจากพสกนิกรทั่วประเทศที่สวมเสื้อสีเหลืองอร่าม และโบกธงทรงพระเจริญปลิวไสว นอกจากจะสร้างความปีติแก่ชาวไทยจนน้ำตาไหล เปล่งเสียงถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” กึกก้องยาวนานแล้ว เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ยังได้สร้างความฉงน ฉงาย ทึ่ง แปลกใจให้กับสื่อต่างประเทศอย่างมาก
ภาพจากเวบ school.obec.go.th
ความทึ่งและแปลกใจนี้ ส่งผลให้สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักจำเป็นต้องเสริมข้อเขียนเกี่ยวเนื่อง กับราชพิธีครั้งนี้ออกไปจากที่ตั้งใจไว้ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาคำตอบว่า เหตุใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานที่สุดในโลก จึงได้รับความเคารพรัก และเทิดทูนจากชาวไทยมากมายขนาดนั้น
ผู้สื่อข่าวบีบีซี นิวส์ แห่งประเทศอังกฤษ แสดงสีหน้าแปลกใจไม่น้อย เมื่อได้รับคำตอบจากสาวรุ่นชาวไทยผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังเดินออกมาหลังจากใช้เวลาเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จฯออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคมเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายนที่ผ่านมา คำตอบเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น แต่จับใจความได้ว่า “รักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก รักจนตายแทนพระองค์ท่านได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา”
“ร็อบ โคเฮน” ผู้สื่อข่าวของวิทยุเสียงอเมริกา (วีโอเอ) ปักหลักรายงานข่าวพิธีเฉลิมฉลองครั้งนี้ จากกรุงเทพมหานคร ข้อเขียนชิ้นหนึ่งของผู้สื่อข่าวอเมริกันผู้นี้ นำเสนอในเว็บไซต์ของวีโอเอเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายนที่ผ่านมา สะท้อนถึงความพยายามที่จะอธิบายต่อบุคคลภายนอกที่ยังไม่กระจ่างชัดนักว่า เหตุใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งประเทศไทย จึงได้รับความภักดีอย่างถึงที่สุดจากปวงชนชาวไทย พร้อม ๆ กับที่ได้รับคำสรรเสริญอย่างยิ่งใหญ่จากต่างประเทศ
“พระมหากษัตริย์ของไทยซึ่งฉลองวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบรอบ ๖o ปีในสัปดาห์นี้ เป็นที่รู้จักกันในประเทศของพระองค์ว่าทรงเป็น “กษัตริย์นักพัฒนา” จากการที่ทรงให้การสนับสนุนโครงการ เพื่อการพัฒนาในชนบทต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก การอุทิศพระองค์เพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกร ส่งผลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับความเคารพ และยกย่องจากทุก ๆ ภาคส่วนของสังคมไทย”
ย่อหน้าถัดมาผู้เขียนบอกเอาไว้ว่า ในการเสด็จพระราชดำเนินออกมหาสมาคม มีคนไทยเรือนล้านเข้าร่วมรับเสด็จฯ และคาดว่าจะมีคนไทยอีกหลายล้านคนร่วมในพิธีฉลองยิ่งใหญ่ในช่วง ๓ วันนี้
“ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะความพระอุตสาหพยายามของพระองค์ ในการขจัดความยากจนให้กับคนในประเทศของพระองค์ ทำให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับความเคารพเทิดทูนอย่างกว้างขวาง และนอกจากนั้นยังทรงเป็นองค์ประกอบสำคัญ อันทำให้สังคมไทยยังคงความเป็นปึกแผ่น เป็นเอกภาพอยู่ในขณะนี้ “
“ร็อบ โคเฮน” ระบุเอาไว้ในข้อเขียนว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่าง ๆ มากกว่า ๓,ooo โครงการ ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาแหล่งน้ำ และการส่งเสริมสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมกับสภาพการอยู่อาศัย
“ในปี ๒๔๙๓ กษัตริย์หนุ่มให้การสนับสนุนความพยายามในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของอหิวาตกโรค นับตั้งแต่บัดนั้นโครงการของพระองค์ได้วิวัฒน์ขึ้นไปหลากหลาย ตั้งแต่การให้ความช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน เรื่อยไปจนถึงการพัฒนาเกษตรกรรม โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ รวมถึงความพยายามของพระองค์ในอันที่จะเพิ่มขีดผลผลิตในการทำนาข้าว การปรับปรุงการผสมพันธุ์ปศุสัตว์ และโครงการที่มีนัยสำคัญในด้านแหล่งทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำ โครงการแพทย์ประจำหมู่บ้าน โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ แม้กระทั่งการที่ทรงคิดค้นกระบวนการทำฝนเทียม เพื่อใช้ในระหว่างหน้าแล้งยาวนานในประเทศไทย ล้วนแล้วแต่ได้รับความสนับสนุนจากพระองค์ท่านทั้งสิ้น”
โคเฮนระบุว่า ปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” อันหมายถึงการส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างได้สมดุลในระยะยาวและยืนนาน คือหัวใจของพระราชภาระเหล่านี้ เพราะกว่าครึ่งหนึ่งของคนไทย ๖๔ ล้านคน ยังคงใช้ชีวิตของตนขึ้นอยู่กับผลผลิตที่ได้จากผืนดิน แม้ว่าอีกส่วนหนึ่งของประเทศจะแปรผันไปเป็นอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วแค่ไหนก็ตาม
“สังคมไทยแทบทั้งหมดได้รับผลประโยชน์จากพระราชกรณียกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาขององค์พระมหากษัตริย์ไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งชนกลุ่มน้อยชาวเขาทั้งหลายทางตอนเหนือของประเทศ โครงการปลูกพืชทดแทนต่าง ๆ สำหรับชาวเขาเหล่านี้ส่งผลให้ไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นประเทศแหล่งผลิตเฮโรอีนแหล่งใหญ่ เกือบจะปลอดจากการปลูกฝิ่นแล้วในขณะนี้ ในขณะที่อีกหลายโครงการกระตุ้นให้ชาวเขาเหล่านี้ยุติการตัดไม้ทำลายป่า เผาพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตร” ข้อเขียนของ ร็อบ โคเฮน ระบุ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลอันเนื่องมาจากผลงานการพัฒนาชนบทของพระองค์มากมาย รวมทั้งรางวัลล่าสุดที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายจาก นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งกล่าวสดุดีพระองค์ไว้ในโอกาสดังกล่าวว่า
“พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์เอื้อไปยังบรรดาผู้ที่ยากจนที่สุด และเปราะบางที่สุดในสังคมไทย ทรงรับฟังปัญหาของพวกเขาเหล่านั้น และให้ความช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นให้สามารถยืนหยัดดำรงชีวิตของตนเองต่อไปได้ด้วยกำลังของตัวเอง โครงการเพื่อการพัฒนาชนบทต่าง ๆ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังประโยชน์ให้กับประชาชนนับเป็นล้าน ๆ ทั่วทั้งสังคมไทย นั่นไม่เพียงทำให้พระองค์ทรงดำรงสถานะเป็น “กษัตริย์นักพัฒนา” ในสายต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกประเทศเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงสถิตอยู่ในดวงใจของคนไทยทั้งปวงไปตลอดกาลนาน"
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในทรรศนะของชาวต่างประเทศ
เดวิด โมห์เซนี่ -นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
“กษัตริย์ของประเทศไทยเป็นพระประมุขพระองค์เดียว ที่ยังคงสามารถรักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศของพระองค์ไว้ได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งพิเศษมากสำหรับประเทศไทย นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชบัลลังก์อยู่ยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ พระองค์ใดเท่าที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ดูเหมือนว่าคนไทยมีเหตุผลดีพอที่จะรักพระองค์อย่างไม่จางหาย… “
แอนดี้ แคนฟีลด์ ร้อยเอ็ด
“ผมใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย และผมจะสวมเสื้อเหลืองในวันนี้ (๙ มิถุนายน ๒๕๔๙) พระมหากษัตริย์ไทยของเราเป็นบุคคลอัศจรรย์ เป็นนักบุญ สามารถเทียบเคียงได้กับองค์ทะไลลามะ หรือองค์พระสันตะปาปา พระองค์พระราชทานแรงบันดาลใจทุกอย่างให้กับเรา แม้กระทั่งกับผู้ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับผมที่ถือกำเนิดในดินแดนอื่น แต่มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ “
เดวิด-ยอร์ก สหราชอาณาจักร
“ควรตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า ในขณะที่คนไทยนั้นให้ความเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด แต่กลับเป็นบุคลิกภาพ และการอุทิศพระองค์โดยปราศจากเงื่อนไขขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่กอรปกันขึ้นเป็นรากฐานของความชื่นชม เคารพ ยกย่องในพระองค์อย่างลึกซึ้งและใหญ่หลวงอย่างที่พระองค์สมควรได้รับ”
สตีฟ-ลอนดอน สหราชอาณาจักร
“ผมใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯมาเป็นเวลา ๔ ปี และผมคงจำเป็นต้องบอกว่า การแสดงออกถึงความเคารพ และเทิดทูนที่คนไทยมีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทยนั้น เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ประชาชนสหราชอาณาจักรควรเรียนรู้จากพวกเขาให้มากเข้าไว้”
โธมัส บราวน์-ว็อกซอลล์ ลอนดอน สหราชอาณาจักร
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระองค์อย่างชนิดที่ควรค่าอย่างยิ่งต่อการได้รับความเคารพรักจากปวงชนชาวไทย พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมที่คนไทยทุกคนสามารถพึ่งพิงได้ ไม่ว่าจะมีความแตกต่างระหว่างกันเองมากมายแค่ไหนก็ตาม ซึ่งไม่มีใครอื่นสามารถทำได้เช่นนี้ ผมคิดว่าพระมหากษัตริย์ไทยทรงแสดงบทบาทในแง่ของการให้ความคุ้มครอง และยึดถือรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ผู้ที่ปฏิเสธเสรีภาพ ผมอยากให้ทหารของเราต่อสู้เพื่อพระราชาหรือพระราชินี และประเทศชาติ แทนที่จะเป็นรัฐสภาและรัฐบาล”
ศาสตราจารย์แมนเฟรด คราเมส เยอรมัน
ผมรู้สึกสงสารพระองค์อย่างสุดซึ้ง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเพียงบุคคลเพียงคนเดียวที่พยายามจะพัฒนาประเทศชาติ ในขณะที่คนอื่น ๆ ในชาติได้แต่เฝ้ารอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นโดยที่มิได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ ซึ่งผมคิดว่าการพัฒนาประเทศในรูปแบบนี้ไม่น่าจะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้
ผมมีโอกาสได้อ่านบทความมากมายในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยท่านหนึ่ง ผู้ที่นำพาประเทศไทยเข้าสู่สนามแห่งธุรกิจ เราพบเห็นนักการเมืองส่วนมากในเอเชียที่หลังจากครองอำนาจและได้ผลประโยชน์ แล้วก็ไม่ช่วยเหลืออะไรประชาชนเลย นั่นทำให้ผมรู้สึกสงสารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะคำสอนของพระองค์ตรงข้ามกับสิ่งที่นักการเมืองเหล่านั้นกำลังเป็นอยู่ พวกเขาจึงทำให้พระองค์ทรงทุกข์ใจ โดยเสแสร้งว่าซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการสร้างภาพไม่ใช่ความจริง พวกเขาเพียงแค่ต้องการจะใช้ภาพแห่งความจงรักภักดีนี้เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเทคะแนนให้ในการเลือกตั้ง และขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมาเท่านั้น
กล่าวถึงความรู้สึกต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวต่างชาติที่อยู่รอบตัวผม สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน พวกเขาจะชื่นชมในพระปรีชาสามารถของพระองค์อย่างมาก โดยพื้นฐานแล้ว ชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในประเทศไทยมีทัศนคติในด้านบวกกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงแต่เราไม่ได้เทิดทูนในลักษณะเดียวกับคนไทย
ภาพจากเวบ flixya.com
มาร์ติน วีลเลอร์ สหราชอาณาจักร
คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมาก เพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือ คนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่ มีกินไว้ก่อน
ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริง ๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย
Darryl N. Johnson จาก LA TIMES สหรัฐอเมริกา
ที่ได้กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงมีบทบาทในการปกครองประเทศ อันที่จริงแลัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงใช้อำนาจในการปกครอง และมิได้ทรงเลือกข้างทางการเมือง เฉกเช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีอังกฤษและสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเพียงสัญญลักษณ์และมีหลักธรรมาภิบาล มิได้เป็นอำนาจเพื่อการเมืองการปกครอง แม้ในครั้งที่พระองค์ทรงเข้าแทรกแซงการเผชิญหน้าทางการเมือง ดังเช่นที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็ทรงทำเพื่อมิให้เกิดการนองเลือดและเพื่อให้เกิดการรอมชอมและความสมัครสมาน สามัคคีของคนในประเทศ แต่มิได้ทรงมีพระบรมราชโองการว่าให้ดำเนินนโยบายอย่างไร หรือผู้ใดควรเป็นผู้ปกครองประเทศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุด ในโลกที่มีพระชนม์ชีพในปัจจุบันและยาวนานที่สุดในโลกทั้งหมด จากการครองราชย์ยาวนานกว่า ๖๒ ปี พระองค์ทรงได้รับความชื่นชมและความจงรักภักดีจากพสกนิกรของพระองค์ ในแบบอย่างที่ชาวตะวันตกยากจะอธิบายได้ พระองค์ทรงมีบทบาทเฉพาะในสังคมไทยในอันที่ทรงดำรงตนเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนทั้งประเทศ ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ เป็นลุงผู้อารีผู้ส่งเสริมให้กำลังใจประชาชนทั้งในยามสุขและในยามทุกข์ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นผู้นำทางจิตใจในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
Anthony Bailey จาก The Guardian สหราชอาณาจักร
ผู้ที่เคยไปประเทศไทยมาแล้ว จะรู้ว่าประเทศไทยมีมากกว่าชายหาดและหมู่บ้านชาวเขาที่งดงาม แต่ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่ามุมมองของนักวิจารณ์ชาวตะวันตกบางคนจะได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์เพลง The King and I ของผู้สร้าง Rodgers และ Hammerstein และความสับสนทางการเมืองในประเทศไทยในช่วงสองปีหลังนี้ ดูราวกับเป็นสงครามกลางเมืองอังกฤษในแบบที่เกิดขึ้นในโลกตะวันออก ซึ่งสงครามกลางเมืองอังกฤษนั้น เป็นการสู้รบระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุน Oliver Cromwell (Roundheads หรือ Parliamentarians) และกลุ่มผู้สนับสนุนพระเจ้าชาร์ลที่ ๑ แห่งอังกฤษ (Cavaliers หรือ Royalists) ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มิได้ใกล้เคียงความเป็นจริงเลย
ในทางตรงกันข้าม ในขณะที่บรรดานักการเมืองยังคงขัดแย้งกัน และเหล่าผู้ชุมนุมประท้วงออกมายัง ท้องถนน ประชาชนไทยไม่ว่าอยู่ทางทิศใด ไม่ว่ามีความเกี่ยวข้องทางการเมืองฝ่ายใด ได้มองหาการแนะทางออกจากพระมหากษัตริย์ของพวกเขา พระมหากษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ประชาชนชาวไทยมีความจงรักภักดีและศรัทธาในองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นอย่างมาก มากจนหลายคนได้หวังว่า พระองค์จะทรงเข้ามาแทรกแซงเพื่อให้บ้านเมืองได้กลับเข้าสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ราชวงศ์ตระหนักว่า การเข้าแทรกแซงหรือไม่เข้าแทรกแซงของพระองค์ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญชาวตะวันตก และราชวงศ์ก็ตระหนักเช่นกันว่า เหตุผลเบื้องหลังของการครองราชย์อันยาวนานนั้น ก็มาจากการใช้ดุลยพินิจด้วยความรอบคอบและการนำตนเองให้แยกออกจากการเมืองที่เต็มไปด้วยความเลวร้าย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับความชื่นชมในการวางพระองค์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พระองค์ทรงไม่ตอบรับต่อเสียงเรียกร้องจากผู้ที่อ้างว่ากระทำไปเพื่อพระองค์ และทรงวางพระองค์ออกห่างจากเรื่องดังกล่าว และในขณะนี้ที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มจะดีขึ้น และรัฐบาลใหม่ได้มีการจัดตั้ง การวางพระองค์ตัดสินพระทัยในการทำหรือไม่ทำสิ่งใด ๆ ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม
อ่านบทความภาษาอังกฤษได้ที่นี่ chaoprayanews.com
ภาพจากเวบ 212cafe.com newsofap.com wikipedia.org chumchonmusic.com
|
|
|
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น