เพลงฉ่อยชาววัง

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"ชูพงศ์" กับสภาแดงอิสระ

นับจากที่ "สศจ." หรือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดเรื่อง "สถาบันพระมหากษัตริย์"
ในรายการตอบโจทย์ ทางสถานีไทยพีบีเอส โลกโซเชียลมีเดีย ก็ร้อนแรงด้วยปฏิกิริยาโต้กลับจากกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อสีฟ้า และเสื้อหลากสี
จากกรณีของ "สศจ." ทำให้นึกถึงคนที่หายหน้าไปจากเมืองไทยนานหลายปีแล้ว นั่นคือ ชูพงศ์ ถี่ถ้วน หรือดีเจวิทยุออนไลน์ในนาม "ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ" หรือ "หลวงตาชูพงศ์" ของคนเสื้อแดงในต่างแดน
จริงๆ แล้ว "สศจ." กับ "หลวงตาชูพงศ์" มีวิธีคิดและวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน "สศจ." เป็นนักวิชาการ ที่มีโอกาสแสดงทัศนะต่อ "เรื่องลึกลับ" ผ่านฟรีทีวีได้
ขณะที่ "ชูพงศ์" มุ่งมั่นในแนวทาง "เปลี่ยนแปลงอย่างสันติ" จึงต้องเคลื่อนไหวผ่าน "สื่อใต้ดิน" จากต่างแดน โดยการสนับสนุนของผู้ที่ศรัทธาในแนวคิดแนวทางของเขา
วันนี้ "ชูพงศ์" ร่วมกับมิตรสหาย ก่อตั้ง "ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน" พร้อมกับเปิดตัว"มหาวิทยาลัยประชาชน" อันเป็นจุดเริ่มต้นของ "การปฏิวัติประชาธิปไตย" โดยมีกิจกรรมให้ความรู้ผู้สนใจผ่านสื่อออนไลน์
ปัจจุบัน "มหาวิทยาลัยประชาชน" ของชูพงศ์ ได้เชื่อมต่อกับ "วิทยุชุมชนเสื้อแดง" บางคลื่นบางกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารกันระหว่างในและนอกประเทศ
ล่าสุด พวกเขาจัดตั้ง "สภาประชาชน" อันเป็นการรวมตัวของ "แดงเสรีชน" ที่ก่อรูปเป็นขบวนการตรวจสอบภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
รูปธรรมแห่งสภาประชาชน ได้เกิดความร่วมมือกันของสถานีวิทยุเรดการ์ด ของ "โกตี๋ แดงนอกคอก" กับมหาวิทยาลัยประชาชน ของชูพงศ์ เปิดประเด็นเรื่อง "พลังงานและความมั่งคั่งของประชาชน"
การจุดประเด็นของแดงเสรีชนเรื่อง ปตท.คือขุมทรัพย์ของกลุ่มทุนพลังงาน ปตท.เอารัดเอาเปรียบประชาชน จึงไปสอดคล้องกับการเคลื่อนไหว "ทวงคืน ปตท." ของคนเสื้อเหลือง ทั้งที่สองกลุ่มมีความคิดต่างขั้วกัน
มวลชนคนเสื้อแดงในเมืองที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง ก๊าซแอลพีจีขึ้นราคา จึงเห็นดีเห็นงามในข้อมูลที่มหาวิทยาลัยประชาชนนำเสนอผ่านวิทยุออนไลน์ และเปิดการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายพลังงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์
จึงมี "ปัญญาชนเสื้อแดง" ออกมาปรามมวลชนแดงว่า อย่าไปติดกับดักคนเสื้อเหลืองกรณี ปตท. และพลังงาน ให้ตั้งสติตรวจสอบข้อมูล ไม่ใช่ฝ่ายเสื้อเหลืองโยนข้อมูลผิดๆมาให้ ก็ไปรับเอามาเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดีย
คำพูดบางประโยคในวันที่ "ทักษิณ" สไกป์มาที่พรรคเพื่อไทย ก็ออกอาการหงุดหงิดกับข้อมูล "ฉีกหน้ากาก ปตท." ในโซเชียลมีเดีย ถึงกับสั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปทำความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะคนเสื้อแดง
จะว่าไปแล้ว "แดงอิสระ" มีมากมายหลายร้อยกลุ่มย่อย จึงยากแก่การควบคุมเรื่องข้อมูลข่าวสาร หรือแนวคิดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
สถานีวิทยุชุมชน เป็นแหล่งเพาะเชื้อ "แดงอิสระ" เพราะพวกเจ้าของสถานีวิทยุเหล่านี้พึ่งพาตัวเองได้ หากไม่รับจ้างโฆษณาขายยา ขายอาหารเสริม ก็จัดงานโต๊ะจีนหาทุนเป็นระยะๆ
เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต้องยอมรับว่า "กลุ่มวิทยุชุมชน 11 คลื่น" มาแรงกว่ากลุ่มอื่น ประกอบด้วยคลื่นเล็ก บ้านดอน(แยกวังหิน) , คลื่นศรรัก มาลัยทอง (ลำลูกกา) , คลื่นเสียงสายไหม, คลื่นบ้านเรือนไทย (ลำลูกกา) , คลื่นเรดสกิล(รังสิต) , คลื่นทีโอที(แจ้งวัฒนะ) ,คลื่นหนุ่มโคราช(ปากน้ำ) , คลื่นเพื่อไทย(นนทบุรี) ,คลื่นจอมยุทธ์ (ปทุมธานี),คลื่นธุรกิจรากหญ้า ฯลฯ
กลุ่มวิทยุชุมชนเสื้อแดง มักจะมีแนวคิดสวนทางกับ นปช. และซึมซับรับข้อมูลมาจาก "ชูพงศ์ ถี่ถ้วน" จึงทำให้มวลชนแดงอิสระ แสดงพลัง "เลยธง" หรือ "ล้ำหน้า" อยู่บ่อยๆ
สรุปว่า ชูพงศ์ไม่ใช่ "สศจ." แม้จะคิดเหมือนกันในบางเรื่อง เนื่องจากคนหนึ่งหวังก่อการ "ปฏิวัติสันติ" แต่อีกคนหนึ่งแค่คิด "ปฏิรูป"


******************************************************************************
ภาพผู้ชายผมสีดอกเลา พูดจาสำเนียงใต้ ชื่อชูพงศ์ ถี่ถ้วน ที่ปรากฎในรายงานพิเศษ ผ่าขบวนการล้มเจ้า ทางเอ็นบีที เมื่อค่ำวันนี้(๒๖) เป็นภาพแทนทักษิณ ชินวัตร สะท้อนความคิดอันชั่วร้ายที่คิดโค่นล้มสถาบันที่ชัดเจนยิ่ง ชูพงศ์พูดผ่านรายการความยาวหลายนาที บอกว่าเขากำลังต่อสู้เพื่อเป้าหมายล้มระบอบราชาธิปไตย ภาพความเลวร้ายของชูพงศ์ ถูกถ่ายทอดผ่านเว็บไซต์หลายแห่ง โดยเฉพาะเว็บไซต์ของคนเสื้อแดง
       ถามว่า ชูพงศ์ คือใคร ?
       ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เป็นแก๊งหางแดงกลุ่มเดียวกับนายชินวัฒน์ หาบุญพาด เพียงแต่ว่าชูพงศ์ ไม่ได้ขึ้นเวทีเช่นเดียวกับชินวัฒน์ ทั้งสองเคยนำกลุ่มคาราวานคนจนไปล้อมเนชั่นเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๔๙ ต่อมาศาลพิพากษาจำคุกคนละ ๒ ปี โดยไม่รอลงอาญา คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ 
       ทั้งชูพงศ์ และชินวัฒน์ ต่างมีวิทยุชุมชนเป็นของตนเอง เป็นวิทยุที่มอบกายถวายชีวิตให้พ่อแม้ว โดยไม่คิดชีวิต
        ในห้วงรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์  มีการปิดวิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่ ของนายชินวัฒน์ หาบุญพาด และวิทยุชูพงศ์ ถี่ถ้วน
         วิทยุชุมชนชูพงศ์ ออกอากาศใน คลื่น FM ๘๗.๗๕ MHz. ฟังได้ในเขตพื้นที่รอยตะเข็บจังหวัดนนทบุรี  และเขตบางซื่อ กทม. อีกทั้งออนไลน์ไปทั่วโลก วิทยุชุมชนชูพงศ์ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นคลื่นมิตรภาพ เลิกยุ่งการเมือง ได้เคยทำหน้าอย่างแข็งขันเรียกร้องความชอบธรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้อง กับโจมตี รัฐบาลและ คมช.อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งฮึกเหิม เปิดคลื่นให้ทักษิณ ชินวัตร แสดงบทบาทนายกฯพลัดถิ่น สำแดงอำนาจเหนือรัฐบาลกับคมช.ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
           นับเป็นครั้งแรกที่ทักษิณ โฟนอินข้ามประเทศ หลังถูกรัฐประหาร
           ถ้อยคำประชดประเทียด เหน็บแนม ของชูพงศ์ ที่กล่าวถึงฝ่ายตรงข้ามของเขา แสดงความถ่อยตลอดเวลา แต่เมื่อกรมประชาสัมพันธ์ บุกเข้าไปตรวจสอบการจัดตั้งสถานี เครื่องส่งสัญญาณกลับชำรุดเสียหายกะทันหัน ชูพงศ์ ถี่ถ้วน กลายเป็นนินจาหายไปอย่างไร้ร่องรอยในครั้งนั้น

           วันนี้ชูพงศ์ ก็ยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนความคิดของทักษิณ ชินวัตร อย่างแข็งขัน โดยเฉพาะหน้าที่ในการเป็นเครื่องยืนยันว่า ทักษิณคือหัวหน้าใหญ่ขบวนการล้มเจ้าตัวจริง

****************************************************************
ตั๊ก บงกช ปรี๊ดแตก ท้าเสื้อแดงข้ามศพ หากต้องการล้มระบอบกษัตริย์ หลัง ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ประกาศลั่นจะทำทุกทางให้ระบอบกษัตริย์หายไปจากสังคมไทย
วันนี้ (8 ธ.ค.) เกิดเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาในโลกไซเบอร์ เมื่อดาราสาวทรงโต ตั๊ก บงกช คงมาลัย ได้โพสต์ข้อความสุดแรงผ่านอินสตราแกรมส่วนตัว แสดงความเห็นถึงกรณีที่นายชูพงศ์ ถี่ถ้วน แนวร่วมกลุ่ม นปช. ที่ออกประกาศผ่านสื่อคนเสื้อแดง จะทำทุกวิถีทางเอาระบอบกษัตริย์ออกไปจากประเทศไทย ว่า
***********************************************************************************************************************

ด่วน! แกนนำล้มเจ้ากัดกันเองในเน็ต

    ก่อนอื่นต้องขอแนะนำแกนนำเจ้าของเรื่องก่อนคือ 
    1. “ameriloa” หรือ ริชาร์ด ใสสมมอน เป็นคนลาวเจ้าของเวปไซต์ Internetfreedom.us มีอาชีพบ่อนทำลายประเทศไทย อาศัยความแตกแยกกันเองของคนไทยหาเงินเข้ากระเป๋ามานานแล้ว
    2. “เพียงดิน” หรือ เสน่ห์ ถิ่นแสน เป็นอาจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อยู่ดีๆไม่ชอบคิดการใหญ่ หนีใช้หนี้ทุนมหาลัยฯ ไปอยู่รัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา หาเงินใช้จากการรับจ้างวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ มาโดยตลอด
    3. “แอนตี้” หรือ พิษณุ พรหมสร หนีหมายจับคดีหมิ่นสถาบันฯไปกบดานในลาว เลยต้องไปเป็นนักจัดรายการวิทยุบนเน็ต รับจ้างบ่อนทำลายสถาบันฯ หากินไปวันๆหนึ่ง

    เรื่องทั้งหมดที่แกนนำขบวนการล้มเจ้าต้องกัดกันเองไม่ใช่เรื่องอื่นใด เงินๆทองๆทั้งนั้น และไม่ใช่ครั้งแรกที่คนเหล่านี้ออกมาพาดฟันกันในเรื่องผลประโยชน์ จะเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังสักหน่อยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการจัดงาน 14 ตุลาคม 2554 ทั้ง ดร.ริชาร์ด และ “เพียงดิน” ต่างคนต่างจัดงานเรียกร้องขอรับเงินบริจาคจากสมาชิกคนเสื้อแดง หาเงินเข้ากระเป๋าตนเองจนมีปากเสียงกัน แต่ในที่สุดก็ตกลงกันได้ให้รวมเป็นกองทุนเดียวกันก่อนแล้วค่อยแบ่งกันทีหลัง ไม่เชื่อลองฟัง “เพียงดิน” ถาม ดร.ริชาร์ด ดู “กระทู้ของ Piangdin ใน Internetfreedom เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2554 เรื่อง “ขอน้ำใจและความสามัคคีของพี่น้องไทย” หายไปไหน”
    เรื่องนี้ก็แปลก เป็นเรื่องช่วยกันทำมาหากินจากเงินบริจาคของชาวบ้าน ทั้งขอเงินผ่านเน็ตทั้งจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น “จิบน้ำชากับคนรู้ใจ” เมื่อ 11 กันยายน 2554 เพื่อหาเงินช่วยค่ายานายชูพงศ์ ถี่ถ้วน ทั้งๆทีนายชูพงศ์เองก็ป่วยเป็นไข้หวัดเล็กน้อยแต่ช่วยกันประโคมข่าวว่าอาการหนักมากต้องการหาเงินมารักษา ใครพอมีเงินเท่าไหร่ก็ช่วยกันบริจาคเงินค่ายาค่าขนมอาจารย์ชูพงศ์ด้วย พอมีคนเอาข่าวเรื่องบ้านของชูพงศ์ที่หมู่บ้านชวนชื่น โมดัส ย่านปากเกร็ด ว่าใหญ่โตราคาหลายล้านแถมยังมีเงินซื้อรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มให้เมืยไว้ใช้งานอีก เท่านั้นแหละ ดร.ริชาร์ด รีบปิดการรับบริจาคทันทีอ้างว่ากลัวถูกกล่าวหาเรื่องยักยอกเงิน ให้บริจาคที่อาจารย์ชูพงศ์เองดีกว่า ทำไงได้หละชาวบ้านเขาสงสัยแล้ว ชูพงศ์จึงต้องหายตัวไปชั่วคราว กลับมาจัดรายการอีกทีเมื่อ 11 ตุลาคม 2554 บอกว่าไปพบแพทย์มาเป็นสารพัดโรค...
    ส่วน “แอนตี้” กะว่าจะฉายเดี่ยวถูก “บรรพต” ถามถึงความโปร่งใสจนต้องรีบหาแนวร่วมมาช่วยเช่น “เพียงดิน”, “อาคมซิดนีย์” และ “โอริเวอร์” มาเป็นยันต์กันผีให้ ล่าสุดไปออกรายการแสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ นปช. กล่าวหานางธิดา ถาวรเศรษฐ ว่าการชูแนวทางการต่อสู้ของคอมมิวนิสต์เป็นแนวทางสิ้นคิด จนดร.ริชาร์ดโทรมาต่อว่าสดๆกลางรายการ “ตื่นเถิดชาวไทย” เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2555 นอกจากนี้ “แอนตี้” ยังได้แบ่งคนเสื้อแดงออกเป็น 2 กลุ่มคือ แดงล้าหลังกับแดงก้าวหน้า โดยมองว่านักเคลื่อนไหนในต่างแดนเช่นพวกตนเป็นแดงก้าวหน้า ส่วนแดง นปช. และแดงรากหญ้าเป็นแดงหล้าหลัง ซึ่งใช้แต่กำลังไร้ความคิด


***************************************************************************************
แดงแห่ศพอากงเพื่ออะไร ทั้งๆที่รู้ว่าป่วยมะเร็งขั้นสุดท้าย
             จุดติดเป็นกระแสของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางสำหรับการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับของนายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง นักโทษคดีการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเฉพาะกิจกรรมรดนำศพที่หน้าศาลอาญาวานนี้ และการแห่ขบวนศพไปตามสถานที่ต่างๆ
                    โดยในวันที่ 10 พฤษภาคม เมื่อเวลา 09.00น. ญาติและกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้เคลื่อนย้ายโลงศพอากงจากบริเวณ หน้าศาลอาญา ไปยังรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล ก่อนเคลื่อนย้ายไปยังวัดด่านสำโรง จ.สมุทรปราการ เพื่อตั้งบำเพ็ญกุศล โดยเส้นทางที่ใช้เคลื่อนศพ เริ่มจากหน้าศาลอาญา เข้า ถ.พหลโยธิน ไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถ.ราชวิถี ถ.พระราม 6 และ ถ.พิษณุโลก ผ่านด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล และเข้า ถ.อู่ทองใน ผ่านหน้ารัฐสภา และย้อนกลับไปทางทำเนียบรัฐบาล ก่อนจะตรงเข้า ถ.เพชรบุรี เข้าแยกอโศก เลี้ยวเข้า ถ.สุขุมวิท มุ่งหน้าไปยังเส้นทางพระโขนง อ่อนนุช บางนา และสำโรง
                    นางรสมาลิน ตั้งนพคุณ ภรรยาของอากง เปิดเผยว่า จะทำการตั้งศพสวดพระอภิธรรมรวมทั้งหมด 7 คืนและจะทำการเก็บศพไว้ก่อนเนื่องจากมารดาของอากง เพิ่งเสียชีวิตไปยังไม่ครบ 100 วัน ซึ่งตามประเพณีของชาวจีนแล้วจะยังไม่เผา โดยในค่ำคืนนี้ทางกลุ่มนปช.จะเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม โดยมีนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานนปช. นพ.เหวง โตจิราการ และแกนนำคนอื่นๆเดินทางมาร่วมงาน
                     การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในเรื่องความเหมาะสมถึงขั้นถูกประณามว่าเป็นการหากินกับศพคนตายเพื่อจุดชนวนการรณรงค์แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112
                     ล่าสุดก็เป็น "ตั๊ก บงกช คงมาลัย"นักแสดงชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คแสดงความเห็นกรณีการเสียชีวิตของ "อากง" ทำนองที่ไม่เห็นด้วยกับการที่มีกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวและใช้ความตายของอากงเชื่อมโยงไปยังความต้องการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112
                    โดยเนื้อหาที่โพสต์ระบุว่า เวรกรรมของอากง แต่อากงไม่อยู่ก็ดีนะคะ แผ่นดินจะได้ดีขึ้น   ถึงฉันจะเปิดนม เปิดอะไร หรือมีชื่อเสียงไม่ดี หรืออะไรก็ตามที่คุณจะสันหามาด่า แต่ฉันก็ไม่โง่ แล้วทำไมคุณกล้าสู้เพื่ออากง แล้วเมื่อไหร่คุณจะตายค่ะ จะได้ไปช่วยอากงต่อในนรก เพราะอากงคุณตกนรกแน่ จากกรรมที่หมิ่นพ่อของฉัน
                    ตั๊ก บงกช เปิดใจกับผู้สื่อข่าวเพิ่มเติมว่า การที่โพสต์ข้อความเหล่านั้นเป็นการแสดงถึงคนที่ตนรักและเคารพถูกดูหมิ่น แต่ไม่ขอแสดงความคิดเห็นเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงหรืออะไรก็ตาม      
                    นี่คืออีกแง่มุมหนึ่งของความรู้สึกที่สะท้อนมาจากสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเด็นของความเห็นต่างเรื่องมาตรา 112 พร้อมที่จะจุดชนวนความแตกแยกขึ้นในสังคมไทยได้โดยง่าย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนบางกลุ่มพยายามใช้ชีวิตของอากง แม้ลมหายใจสุดท้าย มาเป็นเงื่อนไขของการแก้ไขมาตรา 112
                     นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่ม นปช. กล่าวว่ากรณีการเสียชีวิตของอากงกับการแก้ไขมาตรา 112 ว่าคนเสื้อแดงเปรียบเสมือนมหาสมุทร เป้าหมายหลักคือเรียกร้องความยุติธรรมประชาธิปไตย แต่มีบางกลุ่มมีอุดมการณ์แตกแขนง เรียกร้องให้มีการปฏิรูป มาตรา 112 เพราะเห็นว่าถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง โดยมีกลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ ที่รณรงค์มาตลอด  ซึ่งเป็รสิทธิที่จะเรียกร้อง แสดงความคิดเห็น และหากมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่กรระบวนการรัฐสภา ตนในฐานะที่เป็นส.ส. ก็พร้อมจะพิจารณาเรื่องนี้
                    ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขมาตรา 112 ทางคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) ได้นัดทำกิจกรรมก่อนยื่นร่างแก้ไขต่อสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ หลังจากที่ครบกำหนดเวลา 112 วันที่ทำกิจกรรมล่าชื่อผู้สนับสนุนการยื่นร่างกฎหมายและได้รายชื่อครบตามที่กฎหมายกำหนดตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา
                    สำหรับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ของครก.112 ที่เตรียมเสนอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่พิจารณา
ระบุถึงหลักการประกอบร่างพระราชบัญญัติเอาไว้ 2 ข้อคือ
1 ยกเลิกมาตรา 112

2 กำหนดความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ออกจากความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระราชินี รัชทายาท และ
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ลดอัตราโทษลง
                     จากบทบัญญัติและโทษเดิมที่ระบุว่าผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี มาเป็นผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมาหากษัตริย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3ปี หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
                    ส่วนพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับกลุ่มนิติราษฎร ให้เหตุผลการแก้ไขว่า บทลงโทษเดิมมีความรุนแรงเกินไป ส่วนการแยกพระมหากษัตริย์ ออกจากพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ถือเป็นการจัดความสำคัญ
                    แม้กลุ่มครก.112 พยายามเสนอให้มีการจัดแบ่งและกำหนดชั้นความสำคัญของประมวลกฎหมายอาญา แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว การกำหนดอัตราโทษและจัดลำดับกลุ่มกฎหมายหมิ่นประมาทของไทย ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะตามรัฐธรรมนูญก็ได้มีการจัดอันดับความสำคัญเอาไว้แล้วดังนี้
1.การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

1.1.หมิ่นประมาท มาตรา 326 โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

1.2.หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา มาตรา 328 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท

1.3. หมิ่นประมาทซึ่งหน้า มาตรา 393 ซึ่งอยู่ในหมวดลหุโทษ เป็น "การดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา" มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. การหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน มาตรา 136 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.การหมิ่นประมาท ศาล มาตรา 198ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4.การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
                    พิจารณาตามหลักการดังกล่าว ก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนว่า ไม่เฉพาะการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ถูกกำหนดอัตราโทษเอาไว้สูงกว่าการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่การหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน และศาล ก็เช่นกัน ซึ่งถูกกำหนดอัตราโทษเอาไว้สูงกว่า ทั้งนี้ก็เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในการจัดลำดับความสำคัญของการหมิ่นประมาทนั่นเอง
                     และโดยสามัญสำนักแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่าทำไมถึงต้องกำหนดอัตราโทษของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเอาไว้มากกว่าการหมิ่นประมาทธรรมดาทั่วไป ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าความสำคัญของพระมหากษัตริย์ ราชินี องค์รัชทายาท ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย และไม่เพียงเท่านั้นหากลงลึกในรัฐธรรมนูญ ยิ่งทำให้ทราบถึงข้อเท็จจริงว่าทำไมรัฐธรรมนูญถึงให้ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2550

มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งเดียว จะแบ่งแยกมิได้

มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มาตรา 8 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
มาตรา 10 ที่ระบุว่าพระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย
                    พิสูจน์กันต่อว่า ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ให้เพิ่มร่างพระราชบัญญัติในลักษณะของการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์โดยไม่ผิดกฎหมายนั้น ถือเป็นการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่
                    1.ผู้ใดติชม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงข้อความใด โดยสุจริตเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญเพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ทางวิชาการ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้นั้นไม่มีความผิด
                    2.ความผิดต่างๆในลักษณะนี้ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดพิสูจน์ได้ว่าข้อความนั้นเป็นความจริงผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ถ้าข้อที่กล่าวหาว่าเป็นความผิดนั้นเป็นเรื่องความเป็นอยู่ส่วนพระองค์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวแล้วแต่กรณี และการพิสูจน์นั้นไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ห้ามมิให้พิสูจน์
                    3.ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้กล่าวโทษว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
                    ทั้งหมดนี้กลุ่มนิติราษฎร์อธิบายเหตุผลว่า มาตรา 112 ในปัจจุบัน เปิดช่องให้บุคคลนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือนำไปใช้โดยไม่สุจริตและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
                     เหตุผลที่พูดถึงสิทธิการประกันตัวผู้ต้องหา การต่อสู้คดี และขั้นตอนการฟ้องร้องดำเนินคดีก็ดีนั้น ต้องแยกแยะให้ออกว่าเป็นส่วนของการบังคับใช้กฎหมายหรือวิธีการพิจารณาคดีโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ที่สามารถเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ ไม่เฉพาะกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่านั้น แต่กับคดีทั่วไปก็เหมือนกัน ซึ่งเป็นคนละส่วนกับบทบัญญัติของกฎหมาย
                     การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ย่อมสามารถกระทำได้อยู่แล้ว เพราะเนื้อหาตามบทบัญญัติของมาตรา 112 ก็ระบุเอาไว้ภายใต้ขอบเขตของการกระทำความผิดว่าจะต้องหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการหมิ่นประมาททั่วไป แต่ที่สำคัญกลุ่มนักวิชาการ ได้ไปดูรายละเอียดพฤติกรรม ของนักโทษและผู้ต้องหาเหล่านี้หรือไม่ว่า เป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตหรือเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย กันแน่
1.นายสุชาติ นาคบางไทร ปราศรัยใส่ความเท็จสถาบัน
2.นายณัฐ สัตยาภรณ์พิสุทธิ์ เผยแพร่คลิปหมิ่นทางอีเมล์
3.นายวันชัย แซ่ตัน แจกจ่ายเอกสารเข้าข่ายหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
4.นายเสถียร รัตนวงศ์ ขายซีดีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นฯ
5.นายเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โพสต์ลิงค์โฆษณาให้ผู้คนเชื่อมต่อไปอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาให้ร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
6.นาย ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล นำข้อความในลักษณะหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เผยแพร่ในรายการ “ทางออกประเทศไทย”เว็บไซต์ norporchorusa ซึ่งจัดรายการโดยนายชูพงศ์ ถี่
ถ้วน
7.นาย สุริยันต์ กกเปือย  โทรศัพท์ไปยัง 191 ข่มขู่วางระเบิดโรงพยาบาลศิริราช
9.นางดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล ปราศรัยด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย บนเวทีเสียงประชาชน ท้องสนามหลวง
                    นอกจากนี้พฤติการณ์ของผู้ต้องหาระดับแกนนำอย่างนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข หรือนายจตุพร พรหมพันธ์ ก็จะต้องพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลางว่า ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตเจตนาหรือเป็นการกล่าวหา แสดงความอาฆาตมาดร้ายกันแน่
                     รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของนักวิชาการกลุ่มต่างๆ ที่อ้างถึงสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย แต่กลับเคลือบแฝงเอาไว้ด้วยเจตนาบางอย่าง โดยเฉพาะ 8 เสนอข้อของนายสมศักดิ์ เจียมธีสกุล ดังนี้
1. ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8
2. ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
3. ยกเลิกองคมนตรี
4. ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491
5. ยกเลิกการประชาสัมพันธ์ การให้การศึกษาเกี่ยวกับสถาบันทั้งหมด
6. ยกเลิกพระราชอำนาจ ในการแสดงความเห็นทางการเมืองทั้งหมด
7. ยกเลิกพระราชอำนาจในเรื่องโครงการหลวงทั้งหมด
8. ยกเลิกการบริจาค รับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด
                     และที่ชัดเจนที่สุด กับเป้าหมายของขบวนการล้มเจ้า ที่ยังคงเดินหน้าโจมตีสถาบันอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรา 112นักวิชาการ นักเขียน หรือกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ จะรับรู้ข้อเท็จจริงหรือไม่ก็ตาม ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันมีกลุ่มที่จ้องโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่จริง ขณะที่การทำหน้าที่เพื่อปกป้องและพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ถือเป็นหน้าที่ของคนไทย ที่ถูกระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
                     รัฐธรรมนูญมาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้
                     รัฐธรรมนูญมาตรา 77 รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ
                      และถึงไม่มีรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 77กำหนดให้คนไทยพิทักษ์รักษา พระมหากษัตริย์  แต่ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ คนไทยส่วนใหญ่ก็ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวด้วยความเต็มใจ ....
                       จากข้อมูลข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งที่สำนักข่าวที-นิวส์น้ำมาย้ำเตือนให้กับผู้ที่มีแนวความคิดต้องการให้แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 นำกลับไปพิจารณา ด้วยใจที่เปิดกว้าง แต่ถ้าหากว่าท้ายที่สุดแล้วทางครก.112และผู้สนับสนุนดึงดันเพื่อที่จะเสนอให้ร่างแก้ไขมาตรา 112 เข้าสู่การพิจารณาของสภา ซึ่งเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้นั้น ก็ต้องถามเสียงข้างมากในสภา โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่าจะยังคงเจตนารมณ์เดิมว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 ตามที่เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
                     "คือดิฉันมองว่าวันนี้เราทุกคนต้องไม่เอาสถาบันเข้ามายุ่งเกี่ยว แล้วที่สำคัญในฐานะคนไทยด้วยกันเราต้องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ดิฉันมองตรงนี้นะคะที่จะไม่เอาไปใช้ในทางอื่นนะคะ เราคงต้องร่วมกันในการปกป้องสถาบัน ซึ่งในเรื่องมาตรา112 เป็นการแก้ไขในเรื่องของกฎหมายอาญาซึ่งวันนี้ภารกิจสำคัญของรัฐบาลคือการมุ่งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม" น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
                     "จะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 คุณเอาอำนาจอะไรไปแก้ คุณไม่มีสิทธิ์ คุณพูดได้ และพรรคเพื่อไทยไม่แก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเด็ดขาด ใครแก้ผมค้าน และการแก้ไขโดยประชาชนเสนอเนี่ย 1 แก้รัฐธรรมนูญได้ แก้กฎหมายสิทธิพื้นฐานได้ แก้กฎหมายที่ริดลอนสิทธิเสรีภาพได้ แก้กฎหมายอย่างอื่นไม่ได้" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
                      ก็เป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะไม่สนับสนุนให้เกิดการแก้ไขมาตรา 112 อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้วก็คงต้องถามกลับไปที่ครก.112 และคนเสื้อแดงบางกลุ่มว่าจะแก้เกี่ยวรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยอย่างไร
***********************************************************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น