ที่ทุกท่านออกมาโวยวาย เหมาเข่งหรือไม่เหมาเข่ง ฟังให้จบ ตาจะสว่าง และแชร์ออกไปให้ด้วยแล้วกันนะครับ. ว่านี่คือสมองใคร หากมิใช่คนชื่อทักษิณ?
ขอบคุณ คุณ คน กรุงเทม
เพลงฉ่อยชาววัง
- หน้าแรก
- About Admin
- FB Page
- Our Mission
- Videos
- Veerapat
- ๋JAKRAPOP
- กฏของมัวร์
- บทความทั้งหมด
- ฟังไว้จะได้หายโง่
- BBC.Articles
- วีดีโอเกี่ยวกับ การยุบพรรค
- Yingluck Shinawatra : This is unlawful
- โรงเรียนการเมือง Democraticregime
- แด่นักสู้ธุลีดินชาวไทย
- สงครามเวียดนาม สู่ตำนานเมียเช่า
- ฉีกหน้ากากผู้มากบารมี 2557
- อะไรคือระบอบทักษิณ (ฉบับเต็ม)
- เสียงบนบัตรเลือกตั้ง
- ลั่นกลองรบ
- วาทะกรรมเผาบ้าน เผาเมือง
- ยุทธการ "รุมยิงนกในกรง"
- เวทีดีเบตไทยรัฐทีวี "เลือกตั้ง 62
- คลิปเกี่ยวกับประเทศต่าง ๆ
- จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เปลี่ยนแปลงมาสู่ระบอบประชาธิปไตย
- สุทิน คลังแสง( แก้ไข)
- ตลาดวิชา อนาคตใหม่
- My Man
- ช่อ สุดยอดถล่ม "ไวรัส รัฐประหาร
- ใครฆ่าร.8
- สถาบัน กับการเมืองในปัจจุบัน
- ตาสว่าง
- ยึดทรัพย์ทักษิณ
- ธงชัย วินิจจะกูล
- ศสจ. ผูผลักดัน เพดานเสรีภาพมาทั้งชีวิต!
- Netiwit talk to Time
- เพลงปีศาจ
- ปืนปิดปาก ประหารชีวิต ที่สุดของเผด็จการ
- interview the king no.10
- ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี
- เพลงฉ่อยชาววัง
- คุณรู้จัก "สลิ่ม" ไหม??
- ประชุมสภา แก้ไขรัฐธรรมนูญ
- น้อง อั่งอั๊ง
- เสวนา“ รัฐไทยจะอยู่อย่างไรเมื่อมีรัฐสวัสดิการ
- WHAT HAVE I DONE WRONG
- โบว์คือใครคะ
- 🌺 Politics Gossip for admin
- โหด ซาดิสม์
- ความจริง สองด้าน ระหว่าง พี่น้อง "ตู่-เต้น
- ถนอมบวชเณรกลับไทย สาเหตุ 6 ต.ค. 19
- ขบวนการสกัดกั้นพิธาด้วยหุ้น ITV
- ธนาธร
- ธนาธร สอนบัญชี
- 🌹🌹ดร.ปวิน
- ธนาธร "ประเทศไทยควรได้อะไร"
- 14 ตุลา มหาวิปโยค
- PIYABUTR
- 6ตุลา19 'เหี้ยมอย่างสัตว์'
- ปู่แอ๊ด
- Piyabutr Saengkanokkul
- สมยศ พฤกษาเกษมสุข ชีวิตของนักโทษ ม.112
- 🌹🌹How to Start a Revolution
- 🌹🌹ก้าวไกลส่งต่อรุ่นสาม
- อ. ลอย สัมภาษณ์ หนูหริ่ง
- 🌹🌹ปราศรัยเดือด! 4 แกนนำ อนาคตใหม่
- 🌹🌹พวงทอง ภวัครพันธุ์
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556
เรื่อง ของ คุณ หมา ๆๆ
โพสต์เมื่อ: 03:25 วันที่ 26 ก.พ. 2545
เสื้อคุณทองแดงฮิตโด่งดังทั่วโลก
สำนักข ่าว "เอเอฟพี" ตีข ่าวเสื้อยืด "คุณทองแดง" ดังทั่วโลกเพราะกำลังเป็นแฟชั่นยอดฮิตของคนไทย หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว พร ้อมพระบรมวงศานุวงศ ์ ทรงฉลองพระองค ์เสื้อยืดสกรีนรูปสุนัขตัวโปรดพร ้อมกับลูก 9 ตัว เมื่อครั้งเสด็จฯ ออกจาก รพ.ศิริราช และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล ้าฯ ให ้สำนักพระราชวัง นำออกจำหน ่ายนำเงินรายได ้มาตั้ง รพ.สัตว ์ ในพื้นที่ต ่าง ๆ ตามโครงการพระราชดำริ ปรากฏขายดีในพริบตาจนต ้องสั่งจองล ่วงหน ้า
ภายหลังจากพสกนิกรทุกหมู ่เหล ่ารู ้สึกปลาบปลื้มปีติยินดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว มีพระวรกายแข็งแรงขึ้น เนื่องจากคณะแพทย ์ได ้ถวายการรักษาด ้วยวิธีใช ้เครื่องมือตัดต ่อมลูกหมากเฉพาะส ่วนเป็นที่เรียบร ้อย และเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในคืนวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ ่านมา โดยเฉพาะอย ่างยิ่งในวันเสด็จฯ กลับ พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว พร ้อมด ้วยพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และทูลกระหม ่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงฉลองพระองค ์ด ้วยเสื้อยืดคอโปโลพื้นขาว มีสกรีนกลางหน ้าอกเสื้อเป็นรูป "คุณทองแดง" สุนัขจรจัดเพศเมียพร ้อมกับลูก ๆ 9 ตัวที่ พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว ทรงโปรดมากที่สุด ซึ่งก ่อนหน ้านั้นไม ่กี่ชั่วโมง ทางกองงานส ่วนพระองค ์ สำนักพระราชวัง ได ้นำเสื้อยืดแบบดังกล ่าวออกมาจำหน ่ายให ้กับประชาชนที่ศาลาศิริราช 100 ปี จำนวน 400 ตัว ในราคาตัวละ 300 บาท เพื่อนำเงินรายได ้ไปสมทบทุนในโครงการก ่อตั้งโรงพยาบาลสัตว ์ ในพื้นที่ต ่าง ๆ ตามโครงการพระราชดำริ ปรากฏว ่าจำหน ่ายหมดในเวลาเพียงไม ่นาน รวมทั้งยังมีการสั่งจองอีกจำนวนมาก
ต ่อมาเมื่อวันที่ 8 ก.พ. สำนักข ่าวเอเอฟพี รายงานข ่าว และภาพถึงแฟชั่นยุคใหม ่ของคนไทย ที่กำลังได ้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้คือ เสื้อยืดคอโปโลสีขาว สกรีนรูปครอบครัว "คุณทองแดง" สุนัขตัวโปรดของพระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว ที่เป็นภาพฉายฝีพระหัตถ ์พระองค ์เอง หลังจากพระองค ์พร ้อมด ้วยพระบรมวงศานุวงศ ์ ฉลองพระองค ์ด ้วยเสื้อยืดแบบดังกล ่าว ขณะเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราช เมื่อค่ำวันพุธที่ 6 ก.พ.ที่ผ ่านมา ปรากฏว ่ามีประชาชนแสดงความสนใจเสื้อยืดแบบดังกล ่าว ทำให ้จำหน ่ายจนหมดจากร ้านโกลเด ้นเพลส 4 สาขา ภายในเวลาไม ่กี่ชั่วโมง ขณะนี้จึงต ้องมีการสั่งจองกันล ่วงหน ้ากันเลยทีเดียว
สำหรับประวัติ "คุณทองแดง" นั้น เข ้ามาอยู ่ในรั้วพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน หลังจาก "คุณมะลิ" คลอดลูกได ้ไม ่นาน โดยพระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว ทรงยก "คุณทองแดง" สุนัขเทศ (พระองค ์ทรงย ่อมาจากคำว ่าเทศบาล) ให ้เป็นลูกเลี้ยงของ "คุณมะลิ" เมื่อเข ้ามาอยู ่ในรั้ววัง "คุณทองแดง" ก็เป็นที่โปรดปรานของพระองค ์อย ่างมาก เนื่องจากเป็นสุนัขที่มีความฉลาดเฉลียว เช ่น พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว ทรงเรียกให ้ "คุณทองแดง" ขึ้นชั่งน้ำหนักบนตาชั่งเพื่อทรงชัั่งน้ำหนัก "คุณทองแดง" ก็ขึ้นไปนั่งบนตาชั่งทันที และเมื่อ "คุณทองแดง" บังสเกล ก็หลบให ้พระองค ์ทรงทอดพระเนตรได ้โดยสะดวกเหมือนกับรู ้พระทัยพระองค ์ หรือจะทรงรับสั่งอย ่างไรก็ทำได ้อย ่างฉลาดเฉลียวกว ่าสุนัขตัวอื่นที่พระองค ์ทรงเลี้ยงไว ้ จนกลายเป็นที่โปรดปราน
หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว ทรงสนพระทัยสุนัขพันธุ ์ "บาเซนจิ" ซึ่งต ้นตระกูลเดิมอยู ่ในแอฟริกากลาง โดยคาดเดากันว ่าน ่ามีมาตั้งแต ่สมัยอียิปต ์โบราณ เพราะสังเกตได ้จากรูปสลักบนหลังพีรามิด เนื่องจากหน ้าตาเหมือน "คุณทองแดง" จึงอยากจะให ้มาเป็นคู ่ จนกระทั่งนำมาจากประเทศเยอรมัน เลยได ้รับพระราชทานชื่อว ่า "คุณทองแท ้" นับจากนั้นมาจึงกลายเป็นคู ่ครองกัน ต ่อมา "คุณทองแดง" ตั้งท ้องและคลอดลูกออกมาทั้งหมด 9 ตัว ซึ่งทรงพระราชทานชื่อทั้งหมดเป็นชื่อขนมไทยว ่า "คุณทองชมพูนุท คุณทองเอก คุณทองม ้วน คุณทัต คุณทองพลุ คุณทองหยิบ คุณทองหยอด คุณทองอัฐ คุณทองนพคุณ" และพระองค ์ทรงฉายภาพครอบครัว "คุณทองแดง" ไว ้จำนวนมากด ้วยฝีพระหัตถ ์ ก ่อนที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล ้าฯ ให ้กองงานส ่วนพระองค ์ สำนักพระราชวัง จัดทำและจำหน ่ายเพื่อนำเงินรายได ้ไปสมทบทุนในโครงการก ่อตั้งโรงพยาบาลสัตว ์ ในพื้นที่ต ่าง ๆ ตามโครงการพระราชดำริ.
*********************
ฟูฟู เป็นสุนัขเพศผู้ พันธุ์ "พุดเดิล" เกิดเมื่อ 15 มิถุนายน 2540 ก่อนเป็นสุนัขทรงเลี้ยง กลุ่มผู้ประกอบอาชีพเพาะพันธุ์สุนัขสวนจตุจักรได้ถวายสุนัขซึ่งขณะนั้นอายุประมาณ 1 เดือน ซึ่งมีลักษณะเด่น ขนแน่น และฟูน่ารัก เมื่อ 9 สิงหาคม 2540 แด่ หม่อมเจ้าหญิงสิริวัณวรี มหิดล ที่เสด็จตลาดสวนจตุจักร หม่อมเจ้าหญิงสิริวัณวรีได้ประทานชื่อว่า "ฟูฟู" และนำไปเลี้ยงในพระตำหนักนนทบุรีได้ระยะหนึ่ง ท่านหญิงไม่ค่อยได้ใกล้ชิดมากนัก เนื่องจากมีสุนัขที่โปรดหลายตัว
เสื้อคุณทองแดงฮิตโด่งดังทั่วโลก
สำนักข ่าว "เอเอฟพี" ตีข ่าวเสื้อยืด "คุณทองแดง" ดังทั่วโลกเพราะกำลังเป็นแฟชั่นยอดฮิตของคนไทย หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว พร ้อมพระบรมวงศานุวงศ ์ ทรงฉลองพระองค ์เสื้อยืดสกรีนรูปสุนัขตัวโปรดพร ้อมกับลูก 9 ตัว เมื่อครั้งเสด็จฯ ออกจาก รพ.ศิริราช และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล ้าฯ ให ้สำนักพระราชวัง นำออกจำหน ่ายนำเงินรายได ้มาตั้ง รพ.สัตว ์ ในพื้นที่ต ่าง ๆ ตามโครงการพระราชดำริ ปรากฏขายดีในพริบตาจนต ้องสั่งจองล ่วงหน ้า
ภายหลังจากพสกนิกรทุกหมู ่เหล ่ารู ้สึกปลาบปลื้มปีติยินดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว มีพระวรกายแข็งแรงขึ้น เนื่องจากคณะแพทย ์ได ้ถวายการรักษาด ้วยวิธีใช ้เครื่องมือตัดต ่อมลูกหมากเฉพาะส ่วนเป็นที่เรียบร ้อย และเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในคืนวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ ่านมา โดยเฉพาะอย ่างยิ่งในวันเสด็จฯ กลับ พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว พร ้อมด ้วยพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และทูลกระหม ่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงฉลองพระองค ์ด ้วยเสื้อยืดคอโปโลพื้นขาว มีสกรีนกลางหน ้าอกเสื้อเป็นรูป "คุณทองแดง" สุนัขจรจัดเพศเมียพร ้อมกับลูก ๆ 9 ตัวที่ พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว ทรงโปรดมากที่สุด ซึ่งก ่อนหน ้านั้นไม ่กี่ชั่วโมง ทางกองงานส ่วนพระองค ์ สำนักพระราชวัง ได ้นำเสื้อยืดแบบดังกล ่าวออกมาจำหน ่ายให ้กับประชาชนที่ศาลาศิริราช 100 ปี จำนวน 400 ตัว ในราคาตัวละ 300 บาท เพื่อนำเงินรายได ้ไปสมทบทุนในโครงการก ่อตั้งโรงพยาบาลสัตว ์ ในพื้นที่ต ่าง ๆ ตามโครงการพระราชดำริ ปรากฏว ่าจำหน ่ายหมดในเวลาเพียงไม ่นาน รวมทั้งยังมีการสั่งจองอีกจำนวนมาก
ต ่อมาเมื่อวันที่ 8 ก.พ. สำนักข ่าวเอเอฟพี รายงานข ่าว และภาพถึงแฟชั่นยุคใหม ่ของคนไทย ที่กำลังได ้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้คือ เสื้อยืดคอโปโลสีขาว สกรีนรูปครอบครัว "คุณทองแดง" สุนัขตัวโปรดของพระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว ที่เป็นภาพฉายฝีพระหัตถ ์พระองค ์เอง หลังจากพระองค ์พร ้อมด ้วยพระบรมวงศานุวงศ ์ ฉลองพระองค ์ด ้วยเสื้อยืดแบบดังกล ่าว ขณะเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราช เมื่อค่ำวันพุธที่ 6 ก.พ.ที่ผ ่านมา ปรากฏว ่ามีประชาชนแสดงความสนใจเสื้อยืดแบบดังกล ่าว ทำให ้จำหน ่ายจนหมดจากร ้านโกลเด ้นเพลส 4 สาขา ภายในเวลาไม ่กี่ชั่วโมง ขณะนี้จึงต ้องมีการสั่งจองกันล ่วงหน ้ากันเลยทีเดียว
หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ ้าอยู ่หัว ทรงสนพระทัยสุนัขพันธุ ์ "บาเซนจิ" ซึ่งต ้นตระกูลเดิมอยู ่ในแอฟริกากลาง โดยคาดเดากันว ่าน ่ามีมาตั้งแต ่สมัยอียิปต ์โบราณ เพราะสังเกตได ้จากรูปสลักบนหลังพีรามิด เนื่องจากหน ้าตาเหมือน "คุณทองแดง" จึงอยากจะให ้มาเป็นคู ่ จนกระทั่งนำมาจากประเทศเยอรมัน เลยได ้รับพระราชทานชื่อว ่า "คุณทองแท ้" นับจากนั้นมาจึงกลายเป็นคู ่ครองกัน ต ่อมา "คุณทองแดง" ตั้งท ้องและคลอดลูกออกมาทั้งหมด 9 ตัว ซึ่งทรงพระราชทานชื่อทั้งหมดเป็นชื่อขนมไทยว ่า "คุณทองชมพูนุท คุณทองเอก คุณทองม ้วน คุณทัต คุณทองพลุ คุณทองหยิบ คุณทองหยอด คุณทองอัฐ คุณทองนพคุณ" และพระองค ์ทรงฉายภาพครอบครัว "คุณทองแดง" ไว ้จำนวนมากด ้วยฝีพระหัตถ ์ ก ่อนที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล ้าฯ ให ้กองงานส ่วนพระองค ์ สำนักพระราชวัง จัดทำและจำหน ่ายเพื่อนำเงินรายได ้ไปสมทบทุนในโครงการก ่อตั้งโรงพยาบาลสัตว ์ ในพื้นที่ต ่าง ๆ ตามโครงการพระราชดำริ.
*********************
|
ฟูฟู เป็นสุนัขเพศผู้ พันธุ์ "พุดเดิล" เกิดเมื่อ 15 มิถุนายน 2540 ก่อนเป็นสุนัขทรงเลี้ยง กลุ่มผู้ประกอบอาชีพเพาะพันธุ์สุนัขสวนจตุจักรได้ถวายสุนัขซึ่งขณะนั้นอายุประมาณ 1 เดือน ซึ่งมีลักษณะเด่น ขนแน่น และฟูน่ารัก เมื่อ 9 สิงหาคม 2540 แด่ หม่อมเจ้าหญิงสิริวัณวรี มหิดล ที่เสด็จตลาดสวนจตุจักร หม่อมเจ้าหญิงสิริวัณวรีได้ประทานชื่อว่า "ฟูฟู" และนำไปเลี้ยงในพระตำหนักนนทบุรีได้ระยะหนึ่ง ท่านหญิงไม่ค่อยได้ใกล้ชิดมากนัก เนื่องจากมีสุนัขที่โปรดหลายตัว
ต่อมาหม่อมศรีรัศมิ์ได้พบเห็นเลี้ยงอยู่ที่แผนกงานสัตวบาลและสุนัขทรงเลี้ยง ติดใจในความน่ารัก น่าเอ็นดู จึงนำมาเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด ทำให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระเมตตาโปรดเกล้าฯรับไว้เป็นสุนัขทรงเลี้ยงส่วนพระองค์ที่โปรดมาก โดยมีหม่อมศรีรัศมิ์เป็นผู้ร่วมดูแลตลอดมา
เมื่อฟูฟูอายุประมาณ 2 เดือน ได้รับการฝึกให้จำชื่อตัวเอง ขับถ่ายให้เป็นเวลา จนอายุ 6 เดือน ครูฝึกทำการฝึกเชื่อฟังคำสั่งและเพิ่มเติมความฉลาดให้ ซึ่งฟูฟูเป็นสุนัขฉลาด สามารถเรียนรู้การฝึกได้เร็วกว่าสุนัขตัวอื่น
นิสัยส่วนตัวของฟูฟู รักความสะอาด เรียบร้อย รักและหวงแหนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อย่างมาก หากบุคคลแปลกหน้าหรือผู้ใดถือสิ่งของผิดปกติเข้าใกล้ ฟูฟูจะส่งเสียงเห่าขู่ หรือจะกระโดดเข้าทำร้าย แต่หากพระองค์ดุหรือห้ามปรามก็จะหยุดหรือเชื่อฟังเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ฟูฟูยังเคยได้ตำแหน่งรางวัลชนะเลิศประเภทมิตรแท้ และรองชนะเลิศอันดับสอง ประเภทสวยงามตามสายพันธุ์ ในการเข้าประกวดงานวันเกษตรแห่งชาติ ประจำปี 2543 และในปี 2544 ก็ได้รางวัลชนะเลิศประเภทสวยงามและความสามารถพิเศษ พร้อมกับรางวัลชนะเลิศประเภทขนสวยที่สุด โดยปลอมตัวไปประกวดไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นสุนัขทรงเลี้ยงของพระองค์ท่าน
*************************************
*************************************
ย่าเหลเป็นสุนัขพันธุ์ทาง สีขาวด่างดำ เกิดในเรือนจำ จ. นครปฐม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ได้เสด็จฯ ตรวจเยี่ยมเรือนจำ และทอดพระเนตรเห็นลูกสุนัข จึงทรงรับมาเลี้ยงและพระราชทานนามว่า
"ย่าเหล"
ด้วยความที่ทรงโปรดย่าเหลมาก ทำให้มีข้าราชบริพารบางคนไม่พอใจ เกิดความอิจฉาริษยาและคอยทำร้ายย่าเหล เวลาที่มิได้ออกติดตามรับใช้ จึงกลายเป็นข้อขัดแย้งระหว่างย่าเหล และข้าราชบริพารเหล่านั้น เมื่อได้พบเจอหน้ากัน ย่าเหลก็จะแสดงอาการเกรี้ยวกราด และเข้ากัดศัตรูคู่แค้น เมื่อองค์ล้นเกล้า ร.6 เห็นอาการเช่นนั้น ทรงบริภาษอย่างแรง ยิ่งสร้างความอับอาย และความแค้นให้กับศัตรูของย่าเหลมากยิ่งขึ้น
จนในวันหนึ่ง ย่าเหลออกไปเที่ยวเล่นตามปกตินอกวัง บริเวณกรมทหารมหาดเล็ก รักษาพระองค์ โดยที่ไม่ได้กลับมาอีกเลย เนื่องจากถูกพบว่าเสียชีวิตจากการถูกยิง
ครั้งย่าเหล สุนัขทรงเลี้ยงเสียชีวิต การสูญเสียย่าเหลนี้ นำพามาซึ่ง ความโทมนัสสู่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เป็นอย่างมาก พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้มีการจัดงานศพเพื่อเป็นอาลัยให้กับย่าเหล มีหีบศพใส่อย่างดีพร้อมกับมีของชำร่วยแจกในงานเป็นผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์รูปย่าเหลไว้
หลังจากนั้นจึงได้พระราชทานอนุสาวรีย์ให้กับย่าเหล หล่อขึ้นด้วยทองแดง ติดตั้งไว้ที่หน้าพระที่นั่งชาลีมงคลอาสน์ ซึ่งก่อนหน้านั้นให้ชื่อไว้ว่า ตำหนักเหล และมาเปลี่ยนเป็นนามในปัจจุบัน หลังจากที่พระองค์ทรงนิพนธ์เรื่อง รักแท้ เป็นบทละครแปลจากเรื่อง My Friend Jarlet ที่ประพันธ์โดย A. GOLS WDRTHY และ E.B. NARMAN เป็นเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับการเสียสละของตัวเอกเพื่อเพื่อนคือ ชาลี (Jarlet – สามารถอ่านออกเสียงว่า ย่าเหล ได้เช่นกัน) จึงได้นำชื่อชาลีมาเป็นชื่อพระที่นั่ง
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเพชรซาอุ
โดยคนละหมัด เดอะซีรี่ย์เมื่อ 24 มกราคม 2012 เวลา 21:58 น. ·
ใครรักสถาบันจริง ควรอ่านให้จบและช่วยกันเผยแพร่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดย นายตำรวจเก่า
> เป็นเรื่องน่าเสียใจและน่าเศร้าใจเป็นอย่างมากว่า ตลอดระยะเวลาหลายเดือนของความขัดแย้งทางการเมือง การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำลายฝ่ายตรงข้ามของกันและกัน ไม่ได้ถูกจำกัดวงอยู่เฉพาะประเด็นปัญหาทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเศรษฐกิจ หรือความามยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียมกันเท่านั้น แต่ยังได้ล่วงเกินข้ามเลยไปถึงการดึงสถาบันสูงสุดเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ สร้างความเข้าใจผิดและมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความโกรธความเกลียดเพื่อบั่นทอนให้สถาบันสูงสุดอ่อนแอลง
> มีเรื่องราวหลายประเด็นที่ถูกนำมากล่าวถึงโดยขาดพื้นฐานความจริงมาสนับสนุน นอกจากผู้พูดผู้เขียนนึกอยากจะเขียนอะไร พูดอะไร ก็ทำไปตามใจอยากทำ ไม่คำนึงว่าความจริงคืออะไร ขอให้ได้กล่าวร้ายโจมตีก็จะทำแล้ว ตัวอย่างของนายชูพงษ์ ถี่ถ้วน นายพิษณุ พรหมศร ในเว็บ นปช.ยูเอสเอ ที่กล่าวให้ร้ายสถาบันโดยปราศจากข้อเท็จจริง และกล้าที่จะทำอย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตระหนักดีว่า สถาบันสูงสุดไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบโต้หรือชี้แจงอะไร
> มิหนำซ้ำรัฐบาลหรือฝ่ายราชการ ก็ยังนิ่งเฉยเสีย อาจเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของตัว จะแกว่งเท้าไปหาเสี้ยนทำไม คนฟังคนอ่าน ที่ถูกยัดเยียดข้อมูลด้านเดียวมาตลอด ไม่เคยฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่เป็นความจริง จึงหลงเชื่อหลงยึดติดอยู่กับข้อมูลเท็จดังกล่าว
> ผมติดตามเรื่องเหล่านี้มานานพอสมควร ผมเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อสถาบัน มีคนนำเรื่องไม่จริงไปเผยแพร่ เจตนาเพื่อให้คนเกลียด สมาชิกในสถาบันจะอธิบายความจริงด้วยตัวเองก็ไม่ได้ คนที่มีหน้าที่รู้เรื่องเป็นอย่างดีก็ไม่ช่วยอธิบายให้ ก็คงต้องตกเป็นหน้าที่ของประชาชนคนเดินดินอย่างพวกเราที่ต้องออกมาทำหน้าที่เหล่านี้แทน > ผมก็เลยขออนุญาตนำบางเรื่องที่ผมมีข้อเท็จจริงอยู่บ้าง มาเล่าสู่กันฟังเพื่อผดุงรักษาความจริงไว้ให้สังคมได้รับรู้กันต่อไป
> วันนี้ผมขอนำประเด็น เพชรซาอุ มาเล่าสู่กันฟังก่อน เพราะเป็นเรื่องใส่ร้ายสำคัญลำด้ทำกันมาต่อเนื่อง เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๓๘ เมื่อนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ขโมยเครื่องเพชรจำนวนมากจากวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด (Prince Faisal bin Fahd bin Abdul Aziz) แล้วลักลอบนำเครื่องเพชรเข้ามาในไทยและจำหน่ายไปยังที่ต่างๆ ผลจากความร่วมมือของตำรวจไทยและทางการซาอุดิอารเบีย ทำให้จับกุมตัวนายเกรียงไกรได้ และได้เครื่องเพชรบางส่วนส่งกลับคืนเจ้าชายไฟซาลไป อาจมีปัญหาเรื่องจำนวนเครื่องเพชรที่หายไปได้คืนไม่ครบถ้วน เครื่องเพชรบางส่วนที่ส่งคืนเป็นของทำเลียนแบบ และมีการพูดกันเรื่อง เพชรบลูไดมอนด์ ไปอยู่ในความครอบครองของสุภาพสตรีในสังคมชั้นสูงบางคน ซึ่งทางตำรวจไทยและเจ้าชายไฟซาลได้ตรวจสอบสอบสวนเพิ่มเติมในทุกประเด็นจนปรากฏความจริงที่ชัดเจนและเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายแล้ว
> ประเด็นเพชรซาอุ ผมขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดและรอบคอบว่า ตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายตรวจสอบเรื่องเพชรจนได้ความจริงแล้ว ราชสำนักและทางการซาอุดิอาระเบียไม่เคยตำหนิ กดดัน หรือเรียกร้องทางการไทยในเรื่องเพชรซาอุอีกเลย ประเด็นที่เป็นปัญหาความสัมพันธ์จนถึงปัจจุบันไม่ใช่เรื่องเพชรซาอุ แต่เป็นเรื่องการหายตัวไปของนายลูไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเขาเชื่อว่าเสียชีวิตแล้วโดยการสังหารของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่มีนายตำรวจระดับผู้บัญชาการภาคในปัจจุบันคนหนึ่งเป็นผู้บงการ แต่ไม่ถูกจับกุม แถมยังได้รับการส่งเสริมให้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งสูงข ึ้น ตรงนี้สำคัญเพราะเมื่อซาอุไม่ติดใจสงสัยก็หมายความว่าไม่มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ใต้พรมอีกต่อไป ทุกอย่างควรจบลงไปนานแล้ว แต่กลับไม่จบ
> อะไรคือสาเหตุที่เรื่องเพชรไม่จบ ตอบได้ว่าหลังจากการยึดอำนาจเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคุณทักษิณกับฝ่ายตรงข้ามทวีความรุนแรงเป็นลำดับ โดยเฉพาะการกล่าวหาสถาบันอยู่เบื้องหลังเรื่องดังกล่าวด้วย เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของคนบางกลุ่ม โดยมีเจตนาทำให้คนรากหญ้าเชื่อว่าเพชรบลูไดมอนด์ตกอยู่ในความครอบครองของบุคคลในสถาบัน เพื่อทำให้คนเกลียดสถาบันซ้ำมากขึ้นไปอีก ในประเด็นไม่เพียงแต่อยู่เบื้องหลังโค่นล้ม ทักษิณแล้ว ยังมีกรณีเพชรซาอุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งเอาไปแต้มสีต่อว่า คุณทักษิณถูกโค่นล้มจากอำนาจเพราะว่า พยายามนำเพชรบลูไดมอนด์กลับคืนสู่ซาอุ เพื่อคนอิสานจะได้กลับเข้าไปทำงานที่ซาอุดิอาระเบียได้เหมือนเดิม
> เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ถูกหยิบยกขึ้นมาจากสื่อประเทศไทยฝ่ายเดียวตั้งแต่เริ่มมีเรื่องนายเกรียงไกรใหม่ๆ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร.เจ้าของคดี ทราบเรื่องนี้ดีเพราะเป็นถามสื่อมวลชนเอง ว่า ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อนเลย จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่งสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นรูปคล้ายอัญญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงาน หนึ่ง แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซอล
> เรื่องนี้ได้มีการพิสูจน์กันสองทางคือ ประการแรกตำรวจได้ส่งภาพถ่ายดังกล่าวไปให้สถาบันอัญญมณีในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตรวจพิสูจน์ ได้ข้อยุติว่า วัตถุที่ว่าเป็นอัญมณีสีน้ำเงินแล้วอนุมานว่าเป็นนเพชรบลูไดมอนด์ ไม่ใช่เพชรหรืออัญญมณีแต่อย่างใด แต่เป็นวัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง ผลพิสูจน์นี้อยู่ ในสำนวนการสอบสวนของตำรวจ เพราะมีหนังสือตอบกลับมาอย่างเป็นทางการ ประการที่สอง บุตรชายของสุภาพสตรีท่านนั้นได้นำสร้อยและจี้ที่ปรากฏในภาพถ่ายมาแสดงต่อพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับผลตรวจพิสูจน์ของสถาบันในลอนดอน
> ข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้อีกประการหนึ่งก็คือ ผลการสอบสวนนายเกรียงไกรพบว่า นายเกรียงไกรได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็น ทั้งไม่รู้ด้วยว่าแบ่งเครื่องเพชรชนิดและประเภทใดให้เพื่อนไปบ้าง นอกจากนั้น เจ้าตัวมีความรู้เรื่องอัญญมณีน้อยมาก เมื่อนำเครื่องเพชรทั้งหมดกลับมาที่บ้านใน จ.ลำปาง ก็ได้ทำการแยกชิ้นส่วนเอาเพชรกับทองแยกออกจากกัน เพราะรู้จักแต่ทองว่ามีค่า โดยนำทองไปขายที่ร้านทองใน จ.แพร่ และ จ.ลำปาง ผลการสอบเจ้าของร้านทองก็ไม่ปรากฏว่าพบเห็นหรือรู้เรื่องเพชรบลูไดมอนด์ ส่วนเพชรนายเกรียงไกรก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเพชรมีความแข็งมากจึงลองทุบบางส่วนดู เม็ดไหนแตกก็ทิ้งไป เม็ดไหนไม่บุบสลายก็แยกไว้ แต่ไม่ได้ทุบไปเสียทั้งหมด จากนั้นได้นำเพชร พลอย อัญญมณีอื่นๆที่แยกออกจากทองแล้วไปฝังดินไว้บางส่วน บางส่วนทะยอยขายให้แก่นายสันติ ศรีธนขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง ซึ่งบางส่วนถูกนำไปขายต่ออีกทอดโดยมี พล.ต.อ.คนหนึ่งซึ่งเป็น อดีต รอง ผบ.ตร.และชอบค้าของเก่าและของมีค่าร่วมมือกับนายสันติขายเพชรซาอุด้วย แต่หลักฐานสาวไปไม่ถึงจึงลอยนวลอยู่จนทุกวันนี้
> การให้การของนายเกรียงไกรกรณีเพชรบลูไดมอนด์มีลักษณะไม่ชัดเจน เหมือนว่าขโมยมาแล้วขายให้นายสันติ แต่นายเกรียงไกรก็ไม่เคยยืนยันอย่างหนักแน่นกับพนักงานสอบสวนในเรื่องดังกล่าว เ นื่องจากไม่มีความมั่นใจ เพราะนำเครื่องเพชรออกมาเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถจดจำรายละเอียดได้ครบถ้วน
> พนักงานสอบสวนและราชสำนักซาอุดิอาระเบียประมาณการณ์ว่า เพชรซาอุถูกขายไปประมาณ ๒๐ % ทั้งนายสันติ และภริยา ต่างยืนยันว่า ไม่เคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์ ความตายของนางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนขันฑ์ เป็นข้อพิสูจน์ได้ดีว่า ผู้รับซื้อเพชรซึ่งมีอยู่รายเดียวจากนายเกรียงไกร ต่างไม่เคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์ มิฉะนั้นคงรับสารภาพและคืนให้ไปแล้วเมื่อเห็นความตายและความเดือดร้อนของตนเอง ครอบครัว และบุตรอยู่ตรงหน้า
> ผลสรุปของการสอบสวนคดีเพชรซาอุ มีข้อยุติว่า ไม่มีใครที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยเคยเห็นเพชรบลูไดมอนด์อยู่ในเครื่องเพชรที่นายเกรียงไกรขโมยมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเพชรบลูไดมอนด์ไม่เคยมีอยู่ในประเทศไทย การกล่าวหากล่าวอ้างว่าบุคคลนั้นบุคคลนี้ครอบครองเพชรบลูไดมอนด์ไว้ จึงไม่เป็นความจริง
> ประการที่สองเจ้าชายหรือเจ้าหญิงของซาอุดิอาระเบียไม่รู้ว่าเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมีชนิดหรือประเภทใดอย่างครบถ้วนเพราะเครื่องเพชรมีเป็นจำนวนมากที่อยู่ในครอบครองและที่ถูกขโมยมา ทั้งยอมรับว่าเครื่องเพชรที่ถูกขโมยมีทั้งของจริงและของปลอมที่ซื้อจากห้าง May Flower ซึ่งทำอัญญมณีประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมาก ทั้งไม่ทราบว่าเครื่องเพชรอันใดเทียมหรือจริง ข้อตำหนิเรื่องส่งคืนเครื่องเพชรปลอมและไม่ครบถ้วนจึงสามารถทำความเข้าใจที่ชัดเจนได้ในเวลาต่อมา
> ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริง ผมเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ควรถูกใช้เป็นประเด็นกล่าวหาบุคคลในสถาบันสูงสุดของเราอีกเพื่อประโยชน์ทางการเมืองอีกต่อไป ผมเห็นว่าตำรวจและรัฐมนตรีที่เคยเกี่ยวข้องกับคดีนี้ควรออกมาอธิบายความจริงให้สังคมได้รับรู้อย่างทั่วถึง อย่าปล่อยให้เป็นประเด็นที่นำไปใช้โฆษณาชวนเชื่อ
> อย่างที่เคยกล่าวไว้ในตอนต้น มันน่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่คนไทยไม่สนใจ ไม่เคารพความจริง มองข้ามหลักเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ เลือกที่จะเชื่อในทุกเรื่องทุกสิ่งที่คนที่เราชอบพูด สังคมเช่นนี้อันตราย
> ในฐานะคนไทยคนหนึ่งผมเรียกร้องให้ผู้รักความจริงช่วยกันเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เรียกร้องให้รัฐบาลและฝ่ายราชการปกป้องสถาบันสูงสุดให้มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะท่านรู้ข้อมูลทุกอย่างดี แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงวางเฉยกัน
> และสุดท้ายต้องขอร้องให้พี่น้องคนไทยทุกคนฟั งและอ่านเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้นในสังไทยของเราอย่างมีเหตุและผล เพราะจากนี้ไปสังคมของเราก็อาจจะกลับเข้าสู่สภาพแวดล้อมของการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และเราก็จะต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวด้วย
สรุป
- ซาอุมีปัญหากับไทยเพราะเรื่องคดีฆ่านักการทูต
- เรื่องเพชรที่ขโมยมาเคลียร์จบไปนานแล้ว ซาอุไม่ติดใจ
- เจ้าชายซาอุก็ไม่รู้ว่ามีเพชรอะไรถูกขโมยไปบ้าง
- ที่มีข่าวเพชรซาอุเพราะมีรูปที่เมีย ผบ.ตร. ใส่เครื่องเพชรที่คล้ายๆกันปรากฏผู้ว่าเชี่ยวชาญต่างชาติพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่
- ไม่มีหลักฐานการเห็นเพชรซาอุที่ไหนอีก
- สรุปว่า เพชรบูลไดมอนไม่เคยเข้ามาอยู่ในเมืองไทย
"ชูพงศ์" กับสภาแดงอิสระ
นับจากที่ "สศจ." หรือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดเรื่อง "สถาบันพระมหากษัตริย์"
ในรายการตอบโจทย์ ทางสถานีไทยพีบีเอส โลกโซเชียลมีเดีย ก็ร้อนแรงด้วยปฏิกิริยาโต้กลับจากกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อสีฟ้า และเสื้อหลากสี
จากกรณีของ "สศจ." ทำให้นึกถึงคนที่หายหน้าไปจากเมืองไทยนานหลายปีแล้ว นั่นคือ ชูพงศ์ ถี่ถ้วน หรือดีเจวิทยุออนไลน์ในนาม "ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ" หรือ "หลวงตาชูพงศ์" ของคนเสื้อแดงในต่างแดน
จริงๆ แล้ว "สศจ." กับ "หลวงตาชูพงศ์" มีวิธีคิดและวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน "สศจ." เป็นนักวิชาการ ที่มีโอกาสแสดงทัศนะต่อ "เรื่องลึกลับ" ผ่านฟรีทีวีได้
จริงๆ แล้ว "สศจ." กับ "หลวงตาชูพงศ์" มีวิธีคิดและวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน "สศจ." เป็นนักวิชาการ ที่มีโอกาสแสดงทัศนะต่อ "เรื่องลึกลับ" ผ่านฟรีทีวีได้
ขณะที่ "ชูพงศ์" มุ่งมั่นในแนวทาง "เปลี่ยนแปลงอย่างสันติ" จึงต้องเคลื่อนไหวผ่าน "สื่อใต้ดิน" จากต่างแดน โดยการสนับสนุนของผู้ที่ศรัทธาในแนวคิดแนวทางของเขา
วันนี้ "ชูพงศ์" ร่วมกับมิตรสหาย ก่อตั้ง "ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน" พร้อมกับเปิดตัว"มหาวิทยาลัยประชาชน" อันเป็นจุดเริ่มต้นของ "การปฏิวัติประชาธิปไตย" โดยมีกิจกรรมให้ความรู้ผู้สนใจผ่านสื่อออนไลน์
ปัจจุบัน "มหาวิทยาลัยประชาชน" ของชูพงศ์ ได้เชื่อมต่อกับ "วิทยุชุมชนเสื้อแดง" บางคลื่นบางกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารกันระหว่างในและนอกประเทศ
ล่าสุด พวกเขาจัดตั้ง "สภาประชาชน" อันเป็นการรวมตัวของ "แดงเสรีชน" ที่ก่อรูปเป็นขบวนการตรวจสอบภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
รูปธรรมแห่งสภาประชาชน ได้เกิดความร่วมมือกันของสถานีวิทยุเรดการ์ด ของ "โกตี๋ แดงนอกคอก" กับมหาวิทยาลัยประชาชน ของชูพงศ์ เปิดประเด็นเรื่อง "พลังงานและความมั่งคั่งของประชาชน"
การจุดประเด็นของแดงเสรีชนเรื่อง ปตท.คือขุมทรัพย์ของกลุ่มทุนพลังงาน ปตท.เอารัดเอาเปรียบประชาชน จึงไปสอดคล้องกับการเคลื่อนไหว "ทวงคืน ปตท." ของคนเสื้อเหลือง ทั้งที่สองกลุ่มมีความคิดต่างขั้วกัน
มวลชนคนเสื้อแดงในเมืองที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง ก๊าซแอลพีจีขึ้นราคา จึงเห็นดีเห็นงามในข้อมูลที่มหาวิทยาลัยประชาชนนำเสนอผ่านวิทยุออนไลน์ และเปิดการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายพลังงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์
มวลชนคนเสื้อแดงในเมืองที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง ก๊าซแอลพีจีขึ้นราคา จึงเห็นดีเห็นงามในข้อมูลที่มหาวิทยาลัยประชาชนนำเสนอผ่านวิทยุออนไลน์ และเปิดการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายพลังงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์
จึงมี "ปัญญาชนเสื้อแดง" ออกมาปรามมวลชนแดงว่า อย่าไปติดกับดักคนเสื้อเหลืองกรณี ปตท. และพลังงาน ให้ตั้งสติตรวจสอบข้อมูล ไม่ใช่ฝ่ายเสื้อเหลืองโยนข้อมูลผิดๆมาให้ ก็ไปรับเอามาเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดีย
คำพูดบางประโยคในวันที่ "ทักษิณ" สไกป์มาที่พรรคเพื่อไทย ก็ออกอาการหงุดหงิดกับข้อมูล "ฉีกหน้ากาก ปตท." ในโซเชียลมีเดีย ถึงกับสั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปทำความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะคนเสื้อแดง
จะว่าไปแล้ว "แดงอิสระ" มีมากมายหลายร้อยกลุ่มย่อย จึงยากแก่การควบคุมเรื่องข้อมูลข่าวสาร หรือแนวคิดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
สถานีวิทยุชุมชน เป็นแหล่งเพาะเชื้อ "แดงอิสระ" เพราะพวกเจ้าของสถานีวิทยุเหล่านี้พึ่งพาตัวเองได้ หากไม่รับจ้างโฆษณาขายยา ขายอาหารเสริม ก็จัดงานโต๊ะจีนหาทุนเป็นระยะๆ
เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต้องยอมรับว่า "กลุ่มวิทยุชุมชน 11 คลื่น" มาแรงกว่ากลุ่มอื่น ประกอบด้วยคลื่นเล็ก บ้านดอน(แยกวังหิน) , คลื่นศรรัก มาลัยทอง (ลำลูกกา) , คลื่นเสียงสายไหม, คลื่นบ้านเรือนไทย (ลำลูกกา) , คลื่นเรดสกิล(รังสิต) , คลื่นทีโอที(แจ้งวัฒนะ) ,คลื่นหนุ่มโคราช(ปากน้ำ) , คลื่นเพื่อไทย(นนทบุรี) ,คลื่นจอมยุทธ์ (ปทุมธานี),คลื่นธุรกิจรากหญ้า ฯลฯ
กลุ่มวิทยุชุมชนเสื้อแดง มักจะมีแนวคิดสวนทางกับ นปช. และซึมซับรับข้อมูลมาจาก "ชูพงศ์ ถี่ถ้วน" จึงทำให้มวลชนแดงอิสระ แสดงพลัง "เลยธง" หรือ "ล้ำหน้า" อยู่บ่อยๆ
สรุปว่า ชูพงศ์ไม่ใช่ "สศจ." แม้จะคิดเหมือนกันในบางเรื่อง เนื่องจากคนหนึ่งหวังก่อการ "ปฏิวัติสันติ" แต่อีกคนหนึ่งแค่คิด "ปฏิรูป"
******************************************************************************
ภาพผู้ชายผมสีดอกเลา พูดจาสำเนียงใต้ ชื่อชูพงศ์ ถี่ถ้วน ที่ปรากฎในรายงานพิเศษ ผ่าขบวนการล้มเจ้า ทางเอ็นบีที เมื่อค่ำวันนี้(๒๖) เป็นภาพแทนทักษิณ ชินวัตร สะท้อนความคิดอันชั่วร้ายที่คิดโค่นล้มสถาบันที่ชัดเจนยิ่ง ชูพงศ์พูดผ่านรายการความยาวหลายนาที บอกว่าเขากำลังต่อสู้เพื่อเป้าหมายล้มระบอบราชาธิปไตย ภาพความเลวร้ายของชูพงศ์ ถูกถ่ายทอดผ่านเว็บไซต์หลายแห่ง โดยเฉพาะเว็บไซต์ของคนเสื้อแดง
ถามว่า ชูพงศ์ คือใคร ?
ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เป็นแก๊งหางแดงกลุ่มเดียวกับนายชินวัฒน์ หาบุญพาด เพียงแต่ว่าชูพงศ์ ไม่ได้ขึ้นเวทีเช่นเดียวกับชินวัฒน์ ทั้งสองเคยนำกลุ่มคาราวานคนจนไปล้อมเนชั่นเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๔๙ ต่อมาศาลพิพากษาจำคุกคนละ ๒ ปี โดยไม่รอลงอาญา คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์
ทั้งชูพงศ์ และชินวัฒน์ ต่างมีวิทยุชุมชนเป็นของตนเอง เป็นวิทยุที่มอบกายถวายชีวิตให้พ่อแม้ว โดยไม่คิดชีวิต
ในห้วงรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีการปิดวิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่ ของนายชินวัฒน์ หาบุญพาด และวิทยุชูพงศ์ ถี่ถ้วน
วิทยุชุมชนชูพงศ์ ออกอากาศใน คลื่น FM ๘๗.๗๕ MHz. ฟังได้ในเขตพื้นที่รอยตะเข็บจังหวัดนนทบุรี และเขตบางซื่อ กทม. อีกทั้งออนไลน์ไปทั่วโลก วิทยุชุมชนชูพงศ์ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นคลื่นมิตรภาพ เลิกยุ่งการเมือง ได้เคยทำหน้าอย่างแข็งขันเรียกร้องความชอบธรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้อง กับโจมตี รัฐบาลและ คมช.อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งฮึกเหิม เปิดคลื่นให้ทักษิณ ชินวัตร แสดงบทบาทนายกฯพลัดถิ่น สำแดงอำนาจเหนือรัฐบาลกับคมช.ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
นับเป็นครั้งแรกที่ทักษิณ โฟนอินข้ามประเทศ หลังถูกรัฐประหาร
ถ้อยคำประชดประเทียด เหน็บแนม ของชูพงศ์ ที่กล่าวถึงฝ่ายตรงข้ามของเขา แสดงความถ่อยตลอดเวลา แต่เมื่อกรมประชาสัมพันธ์ บุกเข้าไปตรวจสอบการจัดตั้งสถานี เครื่องส่งสัญญาณกลับชำรุดเสียหายกะทันหัน ชูพงศ์ ถี่ถ้วน กลายเป็นนินจาหายไปอย่างไร้ร่องรอยในครั้งนั้น
วันนี้ชูพงศ์ ก็ยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนความคิดของทักษิณ ชินวัตร อย่างแข็งขัน โดยเฉพาะหน้าที่ในการเป็นเครื่องยืนยันว่า ทักษิณคือหัวหน้าใหญ่ขบวนการล้มเจ้าตัวจริง
****************************************************************
ตั๊ก บงกช ปรี๊ดแตก ท้าเสื้อแดงข้ามศพ หากต้องการล้มระบอบกษัตริย์ หลัง ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ประกาศลั่นจะทำทุกทางให้ระบอบกษัตริย์หายไปจากสังคมไทย
วันนี้ (8 ธ.ค.) เกิดเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาในโลกไซเบอร์ เมื่อดาราสาวทรงโต ตั๊ก บงกช คงมาลัย ได้โพสต์ข้อความสุดแรงผ่านอินสตราแกรมส่วนตัว แสดงความเห็นถึงกรณีที่นายชูพงศ์ ถี่ถ้วน แนวร่วมกลุ่ม นปช. ที่ออกประกาศผ่านสื่อคนเสื้อแดง จะทำทุกวิถีทางเอาระบอบกษัตริย์ออกไปจากประเทศไทย ว่า
***********************************************************************************************************************
ก่อนอื่นต้องขอแนะนำแกนนำเจ้าของเรื่องก่อนคือ
1. “ameriloa” หรือ ริชาร์ด ใสสมมอน เป็นคนลาวเจ้าของเวปไซต์ Internetfreedom.us มีอาชีพบ่อนทำลายประเทศไทย อาศัยความแตกแยกกันเองของคนไทยหาเงินเข้ากระเป๋ามานานแล้ว
2. “เพียงดิน” หรือ เสน่ห์ ถิ่นแสน เป็นอาจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อยู่ดีๆไม่ชอบคิดการใหญ่ หนีใช้หนี้ทุนมหาลัยฯ ไปอยู่รัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา หาเงินใช้จากการรับจ้างวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ มาโดยตลอด
3. “แอนตี้” หรือ พิษณุ พรหมสร หนีหมายจับคดีหมิ่นสถาบันฯไปกบดานในลาว เลยต้องไปเป็นนักจัดรายการวิทยุบนเน็ต รับจ้างบ่อนทำลายสถาบันฯ หากินไปวันๆหนึ่ง
เรื่องทั้งหมดที่แกนนำขบวนการล้มเจ้าต้องกัดกันเองไม่ใช่เรื่องอื่นใด เงินๆทองๆทั้งนั้น และไม่ใช่ครั้งแรกที่คนเหล่านี้ออกมาพาดฟันกันในเรื่องผลประโยชน์ จะเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังสักหน่อยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการจัดงาน 14 ตุลาคม 2554 ทั้ง ดร.ริชาร์ด และ “เพียงดิน” ต่างคนต่างจัดงานเรียกร้องขอรับเงินบริจาคจากสมาชิกคนเสื้อแดง หาเงินเข้ากระเป๋าตนเองจนมีปากเสียงกัน แต่ในที่สุดก็ตกลงกันได้ให้รวมเป็นกองทุนเดียวกันก่อนแล้วค่อยแบ่งกันทีหลัง ไม่เชื่อลองฟัง “เพียงดิน” ถาม ดร.ริชาร์ด ดู “กระทู้ของ Piangdin ใน Internetfreedom เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2554 เรื่อง “ขอน้ำใจและความสามัคคีของพี่น้องไทย” หายไปไหน”
เรื่องนี้ก็แปลก เป็นเรื่องช่วยกันทำมาหากินจากเงินบริจาคของชาวบ้าน ทั้งขอเงินผ่านเน็ตทั้งจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น “จิบน้ำชากับคนรู้ใจ” เมื่อ 11 กันยายน 2554 เพื่อหาเงินช่วยค่ายานายชูพงศ์ ถี่ถ้วน ทั้งๆทีนายชูพงศ์เองก็ป่วยเป็นไข้หวัดเล็กน้อยแต่ช่วยกันประโคมข่าวว่าอาการหนักมากต้องการหาเงินมารักษา ใครพอมีเงินเท่าไหร่ก็ช่วยกันบริจาคเงินค่ายาค่าขนมอาจารย์ชูพงศ์ด้วย พอมีคนเอาข่าวเรื่องบ้านของชูพงศ์ที่หมู่บ้านชวนชื่น โมดัส ย่านปากเกร็ด ว่าใหญ่โตราคาหลายล้านแถมยังมีเงินซื้อรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มให้เมืยไว้ใช้งานอีก เท่านั้นแหละ ดร.ริชาร์ด รีบปิดการรับบริจาคทันทีอ้างว่ากลัวถูกกล่าวหาเรื่องยักยอกเงิน ให้บริจาคที่อาจารย์ชูพงศ์เองดีกว่า ทำไงได้หละชาวบ้านเขาสงสัยแล้ว ชูพงศ์จึงต้องหายตัวไปชั่วคราว กลับมาจัดรายการอีกทีเมื่อ 11 ตุลาคม 2554 บอกว่าไปพบแพทย์มาเป็นสารพัดโรค...
ส่วน “แอนตี้” กะว่าจะฉายเดี่ยวถูก “บรรพต” ถามถึงความโปร่งใสจนต้องรีบหาแนวร่วมมาช่วยเช่น “เพียงดิน”, “อาคมซิดนีย์” และ “โอริเวอร์” มาเป็นยันต์กันผีให้ ล่าสุดไปออกรายการแสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ นปช. กล่าวหานางธิดา ถาวรเศรษฐ ว่าการชูแนวทางการต่อสู้ของคอมมิวนิสต์เป็นแนวทางสิ้นคิด จนดร.ริชาร์ดโทรมาต่อว่าสดๆกลางรายการ “ตื่นเถิดชาวไทย” เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2555 นอกจากนี้ “แอนตี้” ยังได้แบ่งคนเสื้อแดงออกเป็น 2 กลุ่มคือ แดงล้าหลังกับแดงก้าวหน้า โดยมองว่านักเคลื่อนไหนในต่างแดนเช่นพวกตนเป็นแดงก้าวหน้า ส่วนแดง นปช. และแดงรากหญ้าเป็นแดงหล้าหลัง ซึ่งใช้แต่กำลังไร้ความคิด
***************************************************************************************
แดงแห่ศพอากงเพื่ออะไร ทั้งๆที่รู้ว่าป่วยมะเร็งขั้นสุดท้าย
จุดติดเป็นกระแสของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางสำหรับการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับของนายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง นักโทษคดีการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเฉพาะกิจกรรมรดนำศพที่หน้าศาลอาญาวานนี้ และการแห่ขบวนศพไปตามสถานที่ต่างๆ
โดยในวันที่ 10 พฤษภาคม เมื่อเวลา 09.00น. ญาติและกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้เคลื่อนย้ายโลงศพอากงจากบริเวณ หน้าศาลอาญา ไปยังรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล ก่อนเคลื่อนย้ายไปยังวัดด่านสำโรง จ.สมุทรปราการ เพื่อตั้งบำเพ็ญกุศล โดยเส้นทางที่ใช้เคลื่อนศพ เริ่มจากหน้าศาลอาญา เข้า ถ.พหลโยธิน ไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถ.ราชวิถี ถ.พระราม 6 และ ถ.พิษณุโลก ผ่านด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล และเข้า ถ.อู่ทองใน ผ่านหน้ารัฐสภา และย้อนกลับไปทางทำเนียบรัฐบาล ก่อนจะตรงเข้า ถ.เพชรบุรี เข้าแยกอโศก เลี้ยวเข้า ถ.สุขุมวิท มุ่งหน้าไปยังเส้นทางพระโขนง อ่อนนุช บางนา และสำโรง
นางรสมาลิน ตั้งนพคุณ ภรรยาของอากง เปิดเผยว่า จะทำการตั้งศพสวดพระอภิธรรมรวมทั้งหมด 7 คืนและจะทำการเก็บศพไว้ก่อนเนื่องจากมารดาของอากง เพิ่งเสียชีวิตไปยังไม่ครบ 100 วัน ซึ่งตามประเพณีของชาวจีนแล้วจะยังไม่เผา โดยในค่ำคืนนี้ทางกลุ่มนปช.จะเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม โดยมีนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานนปช. นพ.เหวง โตจิราการ และแกนนำคนอื่นๆเดินทางมาร่วมงาน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในเรื่องความเหมาะสมถึงขั้นถูกประณามว่าเป็นการหากินกับศพคนตายเพื่อจุดชนวนการรณรงค์แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112
ล่าสุดก็เป็น "ตั๊ก บงกช คงมาลัย"นักแสดงชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คแสดงความเห็นกรณีการเสียชีวิตของ "อากง" ทำนองที่ไม่เห็นด้วยกับการที่มีกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวและใช้ความตายของอากงเชื่อมโยงไปยังความต้องการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112
โดยเนื้อหาที่โพสต์ระบุว่า เวรกรรมของอากง แต่อากงไม่อยู่ก็ดีนะคะ แผ่นดินจะได้ดีขึ้น ถึงฉันจะเปิดนม เปิดอะไร หรือมีชื่อเสียงไม่ดี หรืออะไรก็ตามที่คุณจะสันหามาด่า แต่ฉันก็ไม่โง่ แล้วทำไมคุณกล้าสู้เพื่ออากง แล้วเมื่อไหร่คุณจะตายค่ะ จะได้ไปช่วยอากงต่อในนรก เพราะอากงคุณตกนรกแน่ จากกรรมที่หมิ่นพ่อของฉัน
ตั๊ก บงกช เปิดใจกับผู้สื่อข่าวเพิ่มเติมว่า การที่โพสต์ข้อความเหล่านั้นเป็นการแสดงถึงคนที่ตนรักและเคารพถูกดูหมิ่น แต่ไม่ขอแสดงความคิดเห็นเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงหรืออะไรก็ตาม
นี่คืออีกแง่มุมหนึ่งของความรู้สึกที่สะท้อนมาจากสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเด็นของความเห็นต่างเรื่องมาตรา 112 พร้อมที่จะจุดชนวนความแตกแยกขึ้นในสังคมไทยได้โดยง่าย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนบางกลุ่มพยายามใช้ชีวิตของอากง แม้ลมหายใจสุดท้าย มาเป็นเงื่อนไขของการแก้ไขมาตรา 112
นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่ม นปช. กล่าวว่ากรณีการเสียชีวิตของอากงกับการแก้ไขมาตรา 112 ว่าคนเสื้อแดงเปรียบเสมือนมหาสมุทร เป้าหมายหลักคือเรียกร้องความยุติธรรมประชาธิปไตย แต่มีบางกลุ่มมีอุดมการณ์แตกแขนง เรียกร้องให้มีการปฏิรูป มาตรา 112 เพราะเห็นว่าถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง โดยมีกลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ ที่รณรงค์มาตลอด ซึ่งเป็รสิทธิที่จะเรียกร้อง แสดงความคิดเห็น และหากมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่กรระบวนการรัฐสภา ตนในฐานะที่เป็นส.ส. ก็พร้อมจะพิจารณาเรื่องนี้
ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขมาตรา 112 ทางคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) ได้นัดทำกิจกรรมก่อนยื่นร่างแก้ไขต่อสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ หลังจากที่ครบกำหนดเวลา 112 วันที่ทำกิจกรรมล่าชื่อผู้สนับสนุนการยื่นร่างกฎหมายและได้รายชื่อครบตามที่กฎหมายกำหนดตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา
สำหรับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ของครก.112 ที่เตรียมเสนอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่พิจารณา
ระบุถึงหลักการประกอบร่างพระราชบัญญัติเอาไว้ 2 ข้อคือ
ระบุถึงหลักการประกอบร่างพระราชบัญญัติเอาไว้ 2 ข้อคือ
1 ยกเลิกมาตรา 112
2 กำหนดความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ออกจากความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และให้ลดอัตราโทษลง
จากบทบัญญัติและโทษเดิมที่ระบุว่าผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี มาเป็นผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมาหากษัตริย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3ปี หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับกลุ่มนิติราษฎร ให้เหตุผลการแก้ไขว่า บทลงโทษเดิมมีความรุนแรงเกินไป ส่วนการแยกพระมหากษัตริย์ ออกจากพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถือเป็นการจัดความสำคัญ
แม้กลุ่มครก.112 พยายามเสนอให้มีการจัดแบ่งและกำหนดชั้นความสำคัญของประมวลกฎหมายอาญา แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว การกำหนดอัตราโทษและจัดลำดับกลุ่มกฎหมายหมิ่นประมาทของไทย ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะตามรัฐธรรมนูญก็ได้มีการจัดอันดับความสำคัญเอาไว้แล้วดังนี้
1.การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1.1.หมิ่นประมาท มาตรา 326 โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
1.2.หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา มาตรา 328 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
1.3. หมิ่นประมาทซึ่งหน้า มาตรา 393 ซึ่งอยู่ในหมวดลหุโทษ เป็น "การดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา" มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. การหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน มาตรา 136 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.การหมิ่นประมาท ศาล มาตรา 198ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
พิจารณาตามหลักการดังกล่าว ก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนว่า ไม่เฉพาะการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ถูกกำหนดอัตราโทษเอาไว้สูงกว่าการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่การหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน และศาล ก็เช่นกัน ซึ่งถูกกำหนดอัตราโทษเอาไว้สูงกว่า ทั้งนี้ก็เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในการจัดลำดับความสำคัญของการหมิ่นประมาทนั่นเอง
และโดยสามัญสำนักแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่าทำไมถึงต้องกำหนดอัตราโทษของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเอาไว้มากกว่าการหมิ่นประมาทธรรมดาทั่วไป ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าความสำคัญของพระมหากษัตริย์ ราชินี องค์รัชทายาท ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย และไม่เพียงเท่านั้นหากลงลึกในรัฐธรรมนูญ ยิ่งทำให้ทราบถึงข้อเท็จจริงว่าทำไมรัฐธรรมนูญถึงให้ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2550
มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งเดียว จะแบ่งแยกมิได้
มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มาตรา 8 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
มาตรา 10 ที่ระบุว่าพระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย
พิสูจน์กันต่อว่า ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ให้เพิ่มร่างพระราชบัญญัติในลักษณะของการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์โดยไม่ผิดกฎหมายนั้น ถือเป็นการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่
1.ผู้ใดติชม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงข้อความใด โดยสุจริตเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญเพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ทางวิชาการ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้นั้นไม่มีความผิด
2.ความผิดต่างๆในลักษณะนี้ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดพิสูจน์ได้ว่าข้อความนั้นเป็นความจริงผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ถ้าข้อที่กล่าวหาว่าเป็นความผิดนั้นเป็นเรื่องความเป็นอยู่ส่วนพระองค์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวแล้วแต่กรณี และการพิสูจน์นั้นไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ห้ามมิให้พิสูจน์
3.ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้กล่าวโทษว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ทั้งหมดนี้กลุ่มนิติราษฎร์อธิบายเหตุผลว่า มาตรา 112 ในปัจจุบัน เปิดช่องให้บุคคลนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือนำไปใช้โดยไม่สุจริตและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
เหตุผลที่พูดถึงสิทธิการประกันตัวผู้ต้องหา การต่อสู้คดี และขั้นตอนการฟ้องร้องดำเนินคดีก็ดีนั้น ต้องแยกแยะให้ออกว่าเป็นส่วนของการบังคับใช้กฎหมายหรือวิธีการพิจารณาคดีโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ที่สามารถเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ ไม่เฉพาะกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่านั้น แต่กับคดีทั่วไปก็เหมือนกัน ซึ่งเป็นคนละส่วนกับบทบัญญัติของกฎหมาย
การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ย่อมสามารถกระทำได้อยู่แล้ว เพราะเนื้อหาตามบทบัญญัติของมาตรา 112 ก็ระบุเอาไว้ภายใต้ขอบเขตของการกระทำความผิดว่าจะต้องหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการหมิ่นประมาททั่วไป แต่ที่สำคัญกลุ่มนักวิชาการ ได้ไปดูรายละเอียดพฤติกรรม ของนักโทษและผู้ต้องหาเหล่านี้หรือไม่ว่า เป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตหรือเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย กันแน่
1.นายสุชาติ นาคบางไทร ปราศรัยใส่ความเท็จสถาบัน
2.นายณัฐ สัตยาภรณ์พิสุทธิ์ เผยแพร่คลิปหมิ่นทางอีเมล์
3.นายวันชัย แซ่ตัน แจกจ่ายเอกสารเข้าข่ายหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
4.นายเสถียร รัตนวงศ์ ขายซีดีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นฯ
5.นายเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โพสต์ลิงค์โฆษณาให้ผู้คนเชื่อมต่อไปอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาให้ร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
6.นาย ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล นำข้อความในลักษณะหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เผยแพร่ในรายการ “ทางออกประเทศไทย”เว็บไซต์ norporchorusa ซึ่งจัดรายการโดยนายชูพงศ์ ถี่ถ้วน
7.นาย สุริยันต์ กกเปือย โทรศัพท์ไปยัง 191 ข่มขู่วางระเบิดโรงพยาบาลศิริราช
9.นางดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล ปราศรัยด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย บนเวทีเสียงประชาชน ท้องสนามหลวง
2.นายณัฐ สัตยาภรณ์พิสุทธิ์ เผยแพร่คลิปหมิ่นทางอีเมล์
3.นายวันชัย แซ่ตัน แจกจ่ายเอกสารเข้าข่ายหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
4.นายเสถียร รัตนวงศ์ ขายซีดีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นฯ
5.นายเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โพสต์ลิงค์โฆษณาให้ผู้คนเชื่อมต่อไปอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาให้ร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
6.นาย ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล นำข้อความในลักษณะหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เผยแพร่ในรายการ “ทางออกประเทศไทย”เว็บไซต์ norporchorusa ซึ่งจัดรายการโดยนายชูพงศ์ ถี่ถ้วน
7.นาย สุริยันต์ กกเปือย โทรศัพท์ไปยัง 191 ข่มขู่วางระเบิดโรงพยาบาลศิริราช
9.นางดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล ปราศรัยด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย บนเวทีเสียงประชาชน ท้องสนามหลวง
นอกจากนี้พฤติการณ์ของผู้ต้องหาระดับแกนนำอย่างนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข หรือนายจตุพร พรหมพันธ์ ก็จะต้องพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลางว่า ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตเจตนาหรือเป็นการกล่าวหา แสดงความอาฆาตมาดร้ายกันแน่
รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของนักวิชาการกลุ่มต่างๆ ที่อ้างถึงสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย แต่กลับเคลือบแฝงเอาไว้ด้วยเจตนาบางอย่าง โดยเฉพาะ 8 เสนอข้อของนายสมศักดิ์ เจียมธีสกุล ดังนี้
1. ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8
2. ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
3. ยกเลิกองคมนตรี
4. ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491
5. ยกเลิกการประชาสัมพันธ์ การให้การศึกษาเกี่ยวกับสถาบันทั้งหมด
6. ยกเลิกพระราชอำนาจ ในการแสดงความเห็นทางการเมืองทั้งหมด
7. ยกเลิกพระราชอำนาจในเรื่องโครงการหลวงทั้งหมด
8. ยกเลิกการบริจาค รับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด
2. ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
3. ยกเลิกองคมนตรี
4. ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491
5. ยกเลิกการประชาสัมพันธ์ การให้การศึกษาเกี่ยวกับสถาบันทั้งหมด
6. ยกเลิกพระราชอำนาจ ในการแสดงความเห็นทางการเมืองทั้งหมด
7. ยกเลิกพระราชอำนาจในเรื่องโครงการหลวงทั้งหมด
8. ยกเลิกการบริจาค รับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด
และที่ชัดเจนที่สุด กับเป้าหมายของขบวนการล้มเจ้า ที่ยังคงเดินหน้าโจมตีสถาบันอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรา 112นักวิชาการ นักเขียน หรือกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ จะรับรู้ข้อเท็จจริงหรือไม่ก็ตาม ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันมีกลุ่มที่จ้องโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่จริง ขณะที่การทำหน้าที่เพื่อปกป้องและพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ถือเป็นหน้าที่ของคนไทย ที่ถูกระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
รัฐธรรมนูญมาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้
รัฐธรรมนูญมาตรา 77 รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ
และถึงไม่มีรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 77กำหนดให้คนไทยพิทักษ์รักษา พระมหากษัตริย์ แต่ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ คนไทยส่วนใหญ่ก็ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวด้วยความเต็มใจ ....
จากข้อมูลข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งที่สำนักข่าวที-นิวส์น้ำมาย้ำเตือนให้กับผู้ที่มีแนวความคิดต้องการให้แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 นำกลับไปพิจารณา ด้วยใจที่เปิดกว้าง แต่ถ้าหากว่าท้ายที่สุดแล้วทางครก.112และผู้สนับสนุนดึงดันเพื่อที่จะเสนอให้ร่างแก้ไขมาตรา 112 เข้าสู่การพิจารณาของสภา ซึ่งเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้นั้น ก็ต้องถามเสียงข้างมากในสภา โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่าจะยังคงเจตนารมณ์เดิมว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 ตามที่เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
"คือดิฉันมองว่าวันนี้เราทุกคนต้องไม่เอาสถาบันเข้ามายุ่งเกี่ยว แล้วที่สำคัญในฐานะคนไทยด้วยกันเราต้องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ดิฉันมองตรงนี้นะคะที่จะไม่เอาไปใช้ในทางอื่นนะคะ เราคงต้องร่วมกันในการปกป้องสถาบัน ซึ่งในเรื่องมาตรา112 เป็นการแก้ไขในเรื่องของกฎหมายอาญาซึ่งวันนี้ภารกิจสำคัญของรัฐบาลคือการมุ่งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม" น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
"จะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 คุณเอาอำนาจอะไรไปแก้ คุณไม่มีสิทธิ์ คุณพูดได้ และพรรคเพื่อไทยไม่แก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเด็ดขาด ใครแก้ผมค้าน และการแก้ไขโดยประชาชนเสนอเนี่ย 1 แก้รัฐธรรมนูญได้ แก้กฎหมายสิทธิพื้นฐานได้ แก้กฎหมายที่ริดลอนสิทธิเสรีภาพได้ แก้กฎหมายอย่างอื่นไม่ได้" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ก็เป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะไม่สนับสนุนให้เกิดการแก้ไขมาตรา 112 อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้วก็คงต้องถามกลับไปที่ครก.112 และคนเสื้อแดงบางกลุ่มว่าจะแก้เกี่ยวรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยอย่างไร
***********************************************************************
ตำนาน “วันมหาวิปโยค”
ย่างเข้าสู่เดือนตุลาคมคราใด สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของเดือนนี้ที่ใคร ๆ ต่างไม่ลืมที่จะนึกถึงก็คือ เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519
วันเวลาที่มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์การเมืองไทย !!!14 ตุลาคม 2516 “วันมหาวิปโยค” นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมทั้งประชาชนกว่าครึ่งล้าน รวมตัวประท้วงเรียกร้องรัฐธรรมนูญโดยมีนักศึกษาเป็นแนวร่วมสำคัญ เพราะช่วงนั้นเกิดการใช้อำนาจเผด็จการ โดยจอมพลถนอม กิตติขจร ปฏิวัติยึดอำนาจตัวเองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกา ยน 2514 ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี 2511 จัดตั้งรัฐบาลคณะปฏิวัติขึ้นปกครองประเทศ
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2516
ธีรยุทธ บุญมี อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย บัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยสมาชิกประมาณ 10 คน เปิดแถลงข่าวที่บริเวณสนามหญ้าท้องสนามหลวง ด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสา โดยมีวัตถุประสงค์ คือ
1. เรียกร้องให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว
2. จัดหลักสูตรสอนอบรมรัฐธรรมนูญสำหรับประชาชน
3. กระตุ้นประชาชนให้สำนึก และหวงแหนในสิทธิเสรีภาพ
วันเวลาที่มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์การเมืองไทย !!!14 ตุลาคม 2516 “วันมหาวิปโยค” นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมทั้งประชาชนกว่าครึ่งล้าน รวมตัวประท้วงเรียกร้องรัฐธรรมนูญโดยมีนักศึกษาเป็นแนวร่วมสำคัญ เพราะช่วงนั้นเกิดการใช้อำนาจเผด็จการ โดยจอมพลถนอม กิตติขจร ปฏิวัติยึดอำนาจตัวเองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกา ยน 2514 ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี 2511 จัดตั้งรัฐบาลคณะปฏิวัติขึ้นปกครองประเทศ
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2516
ธีรยุทธ บุญมี อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย บัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยสมาชิกประมาณ 10 คน เปิดแถลงข่าวที่บริเวณสนามหญ้าท้องสนามหลวง ด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสา โดยมีวัตถุประสงค์ คือ
1. เรียกร้องให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว
2. จัดหลักสูตรสอนอบรมรัฐธรรมนูญสำหรับประชาชน
3. กระตุ้นประชาชนให้สำนึก และหวงแหนในสิทธิเสรีภาพ
ว่าด้วยระบอบอำมาตย์....ระบอบทักษิณ
โดย คุณ กาเหว่า
ที่มา เวบไซต์ สยามรัฐ
4 มีนาคม 2552
การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทย ณ วันนี้ ได้กระโดดข้ามพรมแดนของคำว่า ประธิปไตยแบบไทยๆ และกระโดดข้ามพรมแดนของการปฏิวัติยึดอำนาจแบบไทยๆ ขึ้นสู่ระดับการเผชิญหน้า เพื่อล้มล้างซึ่งกันและกันอย่างโจ่งครึ้ม ระหว่าง ระบอบอำมาตย์ ซึ่งนำหัวขบวนโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กับ ระบอบทักษิณ ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวขบวน หลังจากแอบเล่นซ่อนหาและปริศนาอักษรไขว้กันมาหลายปี
การปกครองในระบบอำมาตย์ หรือระบอบอำมาตยาธิปไตยสำหรับคนรุ่นหลัง เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย เนื่องจากมีบัญญัติไว้ในตำราเรียนวิชารัฐศาสตร์ และวิชาการเมืองการปกครองไทย สำหรับชั้นปริญญาตรีทุกสาขามานานแล้ว และทราบว่า ตอนหลังมีการบรรจุไว้ในตำราเรียนของเด็กนักเรียนชั้นมัธยมกันแล้วด้วย ถ้าจะตอบเพียงให้ทำข้อสอบได้ ก็ต้องตอบว่า เป็นระบอบการปกครอง ที่อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ เป็นของพวกขุนนางข้าราชการเพียงฝ่ายเดียว ส่วนประชาชน ถือว่าเป็นผู้ถูกปกครอง และผู้รับการสงเคราะห์ ย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าตอบด้วยประวัติศาสตร์แล้ว ระบอบอำมาตยาธิปไตย พัฒนามาจากพวกเหล่าขุนนางข้าราชการ ที่ได้รับพระราชทานอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ต่างพระเนตรพระกัณณ์แทนพระมหากษัตริย์ แล้วก็เหลิงแก่อำนาจ ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ได้รับพระราชทาน ข่มเหงรังแกรีดนาทาเร้นเอากับประชาชน จนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ประวัติศาสตร์สอนเรามานับพันปี แม้ว่าคนพวกนี้ จะถวายสัตย์สาบานต่อคมหอกคมดาบครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พ่ายแพ้ต่อลาภยศสรรเสริญ ผลประโยชน์โพดโพย และแม้แต่อีหนูที่อยู่ตรงเฉพาะหน้า คนที่จะเติบโตขึ้นได้ในระบอบนี้ได้ ก็ด้วยการอุปถัมภ์ค้ำจุนของผู้มีอำนาจที่เหนือกว่า ซึ่งนั่นก็ต้องแลกมาด้วยการส่งส่วยทรัพย์สินเงินทองและผู้หญิง ในยามที่ผลประโยชน์ของเหล่าขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายลงตัวกัน บ้านเมืองก็จะดูเหมือนมีแต่ความสงบเรียบร้อย ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข แต่เมื่อใดที่ผลประโยชน์ภายในของพวกเขาไม่ลงตัว เกิดการช่วงชิงอำนาจซึ่งกันและกัน คนที่เดือดร้อนก็คือ พระมหากษัตริย์และประชาชน เพราะจะถูกบีบบังคับและกวาดต้อนให้มาขึ้นกับฝ่ายตนเอง และเมื่อขุนนางกลุ่มหนึ่งสามัคคีกันมาก มีกำลังเข้มแข็ง ก็มักจะยึดอำนาจนั้นจากพระมหากษัตริย์ มาเป็นของตนเสียเอง
ถ้าเป็นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ก็จะบริหารราชการในนามพระมหากษัตริย์ พวกเขาจำเป็นจำต้องอำพราง เพราะเห็นว่า ประชาชนยังเคารพศรัทธาพระมหากษัตริย์อยู่มาก แต่แท้จริงแล้ว อำนาจการตัดสินใจ และดำเนินการต่างๆ เป็นของพวกขุนนางอำมาตย์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ต่อมาในระยะหลังที่เริ่มมีคำว่าประชาธิปไตย คนพวกนี้ก็มักจะยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์กันซึ่งๆ หน้า โดยอ้างว่า เป็นความต้องการของประชาชน และอัญเชิญให้เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทรงอยู่เหนือการเมืองการปกครองใดๆ แยกพระมหากษัตริย์ออกจากประชาชน เพื่อขุนนางอำมาตย์พวกนี้จะได้อำนาจปกครองนั้นเป็นของตัวเอง อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เพราะฉะนั้นคำว่า “ประชาธิปไตย” ซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ตามปรัชญาประชาธิปไตยที่แท้จริง จึงไม่มีวันเกิดขึ้นในระบอบที่ปกครองโดยพวกขุนนางอำมาตย์ เพราะแม้แต่อำนาจที่เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่เดิม และประชาชนให้ความเชื่อมั่นศรัทธามายาวนานนับพันปี ยังถูกคนพวกนี้ปล้นจี้เอาไปได้ ประสาอะไรกับประชาชนตาดำๆ ซึ่งไม่มีทางต่อสู้ พวกนี้จะไม่คิดฉกชิงวิ่งราวเอาซึ่งๆ หน้า
ส่วนการปกครองในระบอบทักษิณ เพิ่งมีบัญญัติขึ้นใหม่ โดยขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก่อนการปฏิวัติยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้ไม่นาน และข้อเท็จจริงได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วยว่า บัญญัติขึ้นมาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย ซึ่งนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงยังไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในตำราเรียน เหมือนอย่างระบอบอำมาตยาธิปไตย จึงยากที่จะเข้าใจได้ว่าระบอบทักษิณนั้นเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเรียกระบอบอะไรก็ตาม ประชาชนคนรากหญ้าในหมู่บ้านตามชนบท และคนขับรถแท็กซี่หาเช้ากินค่ำตามสลัมในเมือง ต่างซาบซึ้งดี ก็คือสิทธิและผลประโยชน์ที่เขาได้รับ จากการเสียเวลาออกไปหย่อนบัตรเลือกตั้งนั้น มันมีค่ามหาศาล มีผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ สุขภาพอนามัย การประกอบอาชีพ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความปลอดภัยจากยาเสพติด และมีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เขาเคยเลือกตั้งมา ไม่รวมนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาชั่วชีวิต อย่างกลุ่มคนเดือนตุลา กลุ่มปัญญาชนนักคิดนักเขียน กลุ่มกวีและนักประพันธ์ ตลอดจนพ่อค้าแม่ขาย และคนชั้นกลางในกรุเทพฯ ที่ตัดสินใจขึ้นเวทีคนเสื้อแดงมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนี้
จนถึงวันนี้ คนชื่อทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นเพียงทางผ่านทางหนึ่งของการต่อสู้ฝ่ายประชาธิปไตย เท่านั้นเอง และเช่นเดียวกันกับคนชื่อ เปรม ติณสูลานนท์ ก็เป็นเพียงทางผ่านทางหนึ่ง ของการต่อสู้ฝ่ายอมาตยาธิปไตยเท่านั้นเอง
การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทย ณ วันนี้ ได้กระโดดข้ามพรมแดนของคำว่า ประธิปไตยแบบไทยๆ และกระโดดข้ามพรมแดนของการปฏิวัติยึดอำนาจแบบไทยๆ ขึ้นสู่ระดับการเผชิญหน้า เพื่อล้มล้างซึ่งกันและกันอย่างโจ่งครึ้ม ระหว่าง ระบอบอำมาตย์ ซึ่งนำหัวขบวนโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กับ ระบอบทักษิณ ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวขบวน หลังจากแอบเล่นซ่อนหาและปริศนาอักษรไขว้กันมาหลายปี
การปกครองในระบบอำมาตย์ หรือระบอบอำมาตยาธิปไตยสำหรับคนรุ่นหลัง เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย เนื่องจากมีบัญญัติไว้ในตำราเรียนวิชารัฐศาสตร์ และวิชาการเมืองการปกครองไทย สำหรับชั้นปริญญาตรีทุกสาขามานานแล้ว และทราบว่า ตอนหลังมีการบรรจุไว้ในตำราเรียนของเด็กนักเรียนชั้นมัธยมกันแล้วด้วย ถ้าจะตอบเพียงให้ทำข้อสอบได้ ก็ต้องตอบว่า เป็นระบอบการปกครอง ที่อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ เป็นของพวกขุนนางข้าราชการเพียงฝ่ายเดียว ส่วนประชาชน ถือว่าเป็นผู้ถูกปกครอง และผู้รับการสงเคราะห์ ย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าตอบด้วยประวัติศาสตร์แล้ว ระบอบอำมาตยาธิปไตย พัฒนามาจากพวกเหล่าขุนนางข้าราชการ ที่ได้รับพระราชทานอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ต่างพระเนตรพระกัณณ์แทนพระมหากษัตริย์ แล้วก็เหลิงแก่อำนาจ ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ได้รับพระราชทาน ข่มเหงรังแกรีดนาทาเร้นเอากับประชาชน จนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ประวัติศาสตร์สอนเรามานับพันปี แม้ว่าคนพวกนี้ จะถวายสัตย์สาบานต่อคมหอกคมดาบครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พ่ายแพ้ต่อลาภยศสรรเสริญ ผลประโยชน์โพดโพย และแม้แต่อีหนูที่อยู่ตรงเฉพาะหน้า คนที่จะเติบโตขึ้นได้ในระบอบนี้ได้ ก็ด้วยการอุปถัมภ์ค้ำจุนของผู้มีอำนาจที่เหนือกว่า ซึ่งนั่นก็ต้องแลกมาด้วยการส่งส่วยทรัพย์สินเงินทองและผู้หญิง ในยามที่ผลประโยชน์ของเหล่าขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายลงตัวกัน บ้านเมืองก็จะดูเหมือนมีแต่ความสงบเรียบร้อย ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข แต่เมื่อใดที่ผลประโยชน์ภายในของพวกเขาไม่ลงตัว เกิดการช่วงชิงอำนาจซึ่งกันและกัน คนที่เดือดร้อนก็คือ พระมหากษัตริย์และประชาชน เพราะจะถูกบีบบังคับและกวาดต้อนให้มาขึ้นกับฝ่ายตนเอง และเมื่อขุนนางกลุ่มหนึ่งสามัคคีกันมาก มีกำลังเข้มแข็ง ก็มักจะยึดอำนาจนั้นจากพระมหากษัตริย์ มาเป็นของตนเสียเอง
ถ้าเป็นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ก็จะบริหารราชการในนามพระมหากษัตริย์ พวกเขาจำเป็นจำต้องอำพราง เพราะเห็นว่า ประชาชนยังเคารพศรัทธาพระมหากษัตริย์อยู่มาก แต่แท้จริงแล้ว อำนาจการตัดสินใจ และดำเนินการต่างๆ เป็นของพวกขุนนางอำมาตย์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ต่อมาในระยะหลังที่เริ่มมีคำว่าประชาธิปไตย คนพวกนี้ก็มักจะยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์กันซึ่งๆ หน้า โดยอ้างว่า เป็นความต้องการของประชาชน และอัญเชิญให้เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทรงอยู่เหนือการเมืองการปกครองใดๆ แยกพระมหากษัตริย์ออกจากประชาชน เพื่อขุนนางอำมาตย์พวกนี้จะได้อำนาจปกครองนั้นเป็นของตัวเอง อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เพราะฉะนั้นคำว่า “ประชาธิปไตย” ซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ตามปรัชญาประชาธิปไตยที่แท้จริง จึงไม่มีวันเกิดขึ้นในระบอบที่ปกครองโดยพวกขุนนางอำมาตย์ เพราะแม้แต่อำนาจที่เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่เดิม และประชาชนให้ความเชื่อมั่นศรัทธามายาวนานนับพันปี ยังถูกคนพวกนี้ปล้นจี้เอาไปได้ ประสาอะไรกับประชาชนตาดำๆ ซึ่งไม่มีทางต่อสู้ พวกนี้จะไม่คิดฉกชิงวิ่งราวเอาซึ่งๆ หน้า
ส่วนการปกครองในระบอบทักษิณ เพิ่งมีบัญญัติขึ้นใหม่ โดยขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก่อนการปฏิวัติยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้ไม่นาน และข้อเท็จจริงได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วยว่า บัญญัติขึ้นมาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย ซึ่งนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงยังไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในตำราเรียน เหมือนอย่างระบอบอำมาตยาธิปไตย จึงยากที่จะเข้าใจได้ว่าระบอบทักษิณนั้นเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเรียกระบอบอะไรก็ตาม ประชาชนคนรากหญ้าในหมู่บ้านตามชนบท และคนขับรถแท็กซี่หาเช้ากินค่ำตามสลัมในเมือง ต่างซาบซึ้งดี ก็คือสิทธิและผลประโยชน์ที่เขาได้รับ จากการเสียเวลาออกไปหย่อนบัตรเลือกตั้งนั้น มันมีค่ามหาศาล มีผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ สุขภาพอนามัย การประกอบอาชีพ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความปลอดภัยจากยาเสพติด และมีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เขาเคยเลือกตั้งมา ไม่รวมนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาชั่วชีวิต อย่างกลุ่มคนเดือนตุลา กลุ่มปัญญาชนนักคิดนักเขียน กลุ่มกวีและนักประพันธ์ ตลอดจนพ่อค้าแม่ขาย และคนชั้นกลางในกรุเทพฯ ที่ตัดสินใจขึ้นเวทีคนเสื้อแดงมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนี้
จนถึงวันนี้ คนชื่อทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นเพียงทางผ่านทางหนึ่งของการต่อสู้ฝ่ายประชาธิปไตย เท่านั้นเอง และเช่นเดียวกันกับคนชื่อ เปรม ติณสูลานนท์ ก็เป็นเพียงทางผ่านทางหนึ่ง ของการต่อสู้ฝ่ายอมาตยาธิปไตยเท่านั้นเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)