January
5, 2014
เห็นภาพ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
เดินเยี่ยมราษฎรคล้ายเจ้านายเสด็จพระราชดำเนินเมื่อสักครู่นี้แล้ว
ทำให้นึกขึ้นได้ว่า นี่คือมิจฉาทิฐิที่สำคัญของม็อบระลอกล่าสุดนี้
ซึ่งพวกเอาเปรียบสังคมไทยจนได้ดีแซ่ซ้องว่าเป็นม็อบดีเลิศประเสริฐศรีของพวกเขา
เพียงเพราะม็อบนี้เขาเชื่อว่า
เขาสามารถจะหยุดการสร้างความเป็นธรรมในทางเศรษฐกิจและสังคมตามแนวคิดของนโยบายพรรคไทยรักไทยที่เริ่มต้นมาตั้งแต่
พ.ศ.๒๕๕๔ ได้ ทั้งที่ความจริงรัฐนาวาเก่าของเขากำลังใกล้จะอับปางลง เรี่ยวแรงต่างๆ
ในขณะนี้แท้ที่จริงคือ เฮือกสุดท้ายก่อนร่างกายจะหมดสภาพลง
ขบวนอภิสิทธิ์ชนที่กำลังพยายามยึดเมืองไทยอยู่นี้
ไม่รู้ว่าพลังทางสังคมของฝ่ายประชาธิปไตยยังไม่แสดงตัว ตนจึงโงหัวอยู่ได้
และฝ่ายที่เขาดูคึกคักอยู่ ในเวลานี้ก็เพียงเพราะฤทธิ์ยาโด๊บคุณภาพสูงที่ถูกส่งมาจากที่สูง
ไม่ใช่เรี่ยวแรงอันแท้จริงของมวลชนกลุ่มน้อยผู้ไม่รู้จักการทำมาหากิน
ได้แต่ทำนาบนหลังคนอย่างหยิ่งผยองว่าเหนือกว่า
แต่อำนาจเหนือสังคมที่สนุกเพลิดเพลินกันมาชั่วชีวิต
และถ่ายทอดอย่างเอาเปรียบกันมาหลายรุ่นนั้น กำลังกลายเป็นภาพลวงตาของปัจจุบัน
และความว่างเปล่าของอนาคต
ผมจึงยินดีที่ฝ่ายเขามี “สามล้อถูกหวย” อย่างนายสุเทพฯ มานำทัพ
เพราะคนสายพันธุ์นี้ มักขาดความละเอียดอ่อน หยาบกร้าน
และมีธรรมชาติคุยโวโอ้อวดเป็นเจ้าเรือน
คนแบบนี้เก็บความในใจไม่ค่อยอยู่และมักช่วยแฉเบื้องหลังตัวเองออกมาโดยที่เรายังไม่ได้ขอหรือขุดคุ้ยให้มันเปื้อนมือ
ทุกวันนี้เหิมได้ถึงขนาดนี้เพราะทำงานให้กับเจ้านายที่วิปลาส
จึงเชียร์ให้ลูกน้องออกลูกบ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
ทั้งตัวนายและบ่าวไพร่จึงขาดทั้งสติและปัญญา
ช่วยให้แนวทางของเราใกล้สู่ความจริงมากยิ่งขึ้น ใครจะนึกว่าขบวนประชาธิปไตยของเราจะโชคดีถึงขนาดนี้
ขอขยายความเรื่องมิจฉาทิฐิของ
กปปส. คปท. และเครือข่ายเหลือบไทย อีกสักเล็กน้อยครับ
สีหน้าท่าทางของผู้คนในม็อบนี้สื่อให้เรารู้ว่า
เขาเอาของสองอย่างมาบวกกันและเผลอคิดว่าเป็นสิ่งเดียวกันไปเสียแล้ว
ของสองอย่างนั้นคือ ๑. เส้นสายระดับ “เจ้าของประเทศ”๒. พลังประชาชนตัวจริง
เมื่อเขาใช้เส้นสายของ “เจ้าของประเทศ” จนไม่มีใครกล้าทัดทาน
ด้วยความครั่นคร้ามในอำนาจที่เคยกลัวกันมาแต่อ้อนแต่ออก จึงปรากฏภาพลวงขึ้นว่า “พหุสังคม”
ของสังคมไทยคงจะให้การสนับสนุนกับตน เพราะไม่เห็นมีใครกล้ามาคัดค้านทัดทาน ไม่ว่าจะเป็นกองทัพแห่งชาติ
ระบบราชการ เครือข่ายปัญญาชนในสถาบันของรัฐ นักธุรกิจ ฯลฯ
ทั้งที่เขาทำท่าสงบเงียบอยู่เพราะกำลังอ่านท่าทีว่า “เจ้าของประเทศ” เขาจะเอาอย่างไรต่อไป
คนพวกนี้เขารู้ดีทีเดียวว่าอำนาจแท้จริงอยู่ที่ไหนและกับใคร
เพียงแต่เขาต้องการดูให้แน่ใจว่านายสุเทพฯ ได้รับอำนาจนั้นมาจริงหรือไม่และได้รับ “งาน” ขนาดไหนมาทำในช่วงนี้ พูดง่ายๆ
ก็คือว่า เครือข่ายเหล่านี้พร้อมเข้าช่วยทำร้ายและทำลายฝ่ายประชาชน
ในทันทีที่ได้รับสัญญาณจากเจ้าประเทศ ไม่ว่าจะเอานายสุเทพฯ
หรือนายทองดำที่ไหนมานำขบวนก็ตาม แต่ทว่า นายสุเทพฯ และพวกกำลังเผลอคิดว่าอำนาจนี้เป็นของเขาเอง
หรืออย่างน้อยก็เป็นของเขาส่วนหนึ่ง
ทำให้มีทีท่าขยายบทบาทของตนเองเพื่อความยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์อยู่ตลอดเวลา
มิฉะนั้นคำว่า “ระบอบกษัตริย์สมบูรณ์”
คงหลุดออกมาเพื่อรองรับอัตตาอันใหญ่ล้นของคนเหล่านี้ไม่ได้
แต่ความสงบเงียบนี้
ยังเป็นเด็กเล็กนักเมื่อเปรียบเทียบกับพลังเงียบของมวลชนประชาธิปไตยผู้เชื่อมั่นในหลักการแห่งความเท่าเทียมกันของมนุษยชาติ
ต่อให้เขารับสัญญาณและออกมาป่วนเมืองร่วมกันให้เต็มกำลัง
เขาก็จะถูกถมทับโดยพลังที่เหนือกว่าของฝ่ายประชาชนในภายหลัง การปฏิวัติฝรั่งเศส ที่เริ่มต้นด้วยการปลงพระชนม์กษัตริย์และพระราชวงศ์ระดับสูง
ต้องใช้เวลาเกือบทั้งชั่วอายุคน ในการปฏิวัติซ้ำจนทุกอย่างเข้าที่
ใช่ว่าประชาชนจะได้รับอำนาจสูงสุดในทันที ก็หามิได้
การปฏิวัติจึงไม่ใช่ยิงกระสุนนัดเดียวเข้าเป้า
แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนเกิดรูปแบบที่มองเห็นและเกิดความเสถียรจนกลายเป็นระบบทางสังคมขึ้นมา
หรือการปฏิวัติกัมพูชา ที่ผลาญชีวิตผู้คนไปถึงหนึ่งในสามของรัฐ
ก็ผ่านระบบกษัตริย์สมบูรณ์ มาสู่ระบบสาธารณรัฐ จากระบบสาธารณรัฐ
กลับมาสู่ระบบรัฐแบบคอมมิวนิสต์ จนสุดท้ายก็มาลงตัว ที่ระบบรัฐสภาและกษัตริย์ผู้มีอำนาจในทางสัญลักษณ์เท่านั้น
ความสงบเงียบของสังคมไทย
จึงเป็นการรอคอยให้ความเอะอะมะเทิ่งของเครือข่ายเหลือบประเทศ พุ่งสูงสุดจนปรอทแตก
ก็ถ้าปรอทไม่แตก
สูเจ้าจะไปเอาอะไรมาเป็นเงื่อนไขในการปฏิวัติเล่า?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น