เพลงฉ่อยชาววัง

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม เพราะระบอบทักษิณ

กระทู้ผมที่ตั้งเป็นเรื่องจริง  เป็นชีวิตจริงของผู้ชายคนหนึ่งที่กว่าจะมีชีวิตเป็นปกติแบบนี้ได้  ได้ผ่าน  ได้เห็น  ได้สัมผัสอะไรมาเยอะพอสมควรครับ    ผมจึงอยากเล่าเรื่องราวชีวิตของผมทั้งหมดให้เพื่อน ๆ ทุกคน  ทุกสี  ทุกกลุ่มฟัง  ซึ่งมันจะทำให้ท่านแต่ละสี  แต่ละกลุ่ม
อาจจะมีความรู้สึกที่ดีต่อกันก็ได้   หรืออาจจะทำให้ท่านรู้ว่า  ทำไมคนจนเขารักทักษิณ  ทำไมคนชื่อทักษิณตอบโจทย์คนจนได้ขนาดนี้   แล้วถ้าจะทำให้คนจนเปลี่ยนใจจากทักษิณจะต้องทำอย่างไร    โดยท่านเอาชีวิตผมนี่แหละเป็นโจทย์คิด   (ผมมีเรื่องที่เข้าไปเกี่ยวพันกับสิ่งต่าง ๆ  กับผู้คนอื่น ๆ อีกมากมาย  ซึ่งเมื่ออ่านแล้วอาจทำให้ท่านเข้าใจ "คนจน"   เข้าใจคำว่า  "ขาดโอกาส   ด้อยโอกาส"  นั้นมากยิ่งขึ้น)   ตั้งแต่เกิด   เรียนหนังสือ   เข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ   กลับบ้านนอก   ช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว   และชีวิตปัจจุบัน     ซึ่งบางช่วงละครน้ำเน่าก็ไม่ปาน  ผมจะเล่าให้ละเอียดที่สุด    ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตผมบางคนที่อยู่ในกรุงเทพ  ท่านสามารถเดินไปเคาะประตูบ้านได้เลย.   จริง ๆ

      เพื่ออะไรครับก็เพียงเพื่อ   ให้หลาย ๆ ท่านได้รู้ได้เข้าใจคำว่า  "คนจน  คนด้อยโอกาส   ความไม่เป็นธรรม   ค่านิยมของสังคม  วิธีคิดของคนบ้านนอก  การซื้อเสียง (พรรคที่บอกคนอื่นซื้อเสียงนั่นแหละตัวเป้งเจ้าตำรับ)  หน่วยงาน   ราชการ   คุณธรรมจริยธรรมของคนในสังคมบ้านนอกอย่างผม  และอื่น ๆ     แล้วสุดท้ายแล้วแต่ท่านจะนำไปใช้ประโยชน์อะไร"     เพราะท่านจะได้รู้ว่า   ระบอบทักษิณมันได้ซึมลึกในเส้นเลือดและจิตวิญญาณของคนจนแล้ว  โดยไม่มีใครจะลบได้   แม้ฝ่ายตรงกันข้ามจะชนะเลือกตั้งในอนาคต   แต่รูปแบบและวิธีการบริหารจัดการบ้านจะยังเป็นไปในแนวของท่านทักษิณที่ได้วางไว้

แต่ นึกอีกทีหนึ่งก็ไม่อยากเขียนหรอกครับ  เพราะที่นี่มันเป็นพื้นที่ของหลายคน  ครั้นจะเอาแต่เรื่องของตนเองมาใส่ไว้ก็เกรงใจเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ   ผมกลัวคนเพื่อน ๆ หมั่นไส้เอา   ทั้งยังเป็นคนขี้อายครับ   ขี้ใจน้อยด้วย ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่ บางครั้งบางเรื่องไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองครับ (อย่างเรื่องนี้แหละ) ตามประสาคนบ้านนอกไร้ประสบการณ์  

     แต่...ก็อย่างว่าแหละครับ    คนจน  คนด้อยโอกาส    มันหาพื้นที่ให้ตนเองเพื่อจะบอกความจริงให้หลาย ๆ คนได้รับรู้
มันก็ยากอย่างที่เห็น..   (ผมคิดเสมอว่า ผมไม่แน่  ผมไม่เจ๋ง  ผมไม่รวย   ผมไม่มีชนชั้น   เพียงแต่อยากบอกเพื่อน ๆว่า ชีวิตผมเป็นมาแบบนี้  เป็นเพียงคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งในสังคมที่สับสน   เท่านั้นเอง)

     เอาเป็นว่า ถ้าเพื่อน ๆ ต้องการอ่าน  ต้องการให้ผมเขียนก็ขอให้ส่งกำลังใจหรือแสดงความคิดเห็นมาก็แล้วกันนะครับ..
    และยินดีเล่าทุกเรื่อง  หากท่านต้องการทราบประเด็นอะไร   หรือช่วงไหนก็ตั้งคำถามได้    หรือหากท่านได้จะช่วยเสริมประเด็นไหนก็ทำได้
    ผมยินดีรับฟัง  และพร้อมจะปรับปรุงแก้ไข

              คนจน ๆ ที่รักเพื่อน ๆ ทุกคนครับ
                    ทรงสิทธิ์  พุ่มจันทร์
                       081-5935233

ต้องขอออกตัวก่อนครับว่า  ไม่มีเจตนาจะอวด  จะอวย  จะทะเลาะ อะไรกับใครทั้งสิ้น  เพียงแต่อยากเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแค่นั้นครับ

   ผมเป็นคน ตจว. เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ประมาณ 8-9 ปี ผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเมื่อปี 39 กลับไปเปิดร้านถ่ายเอกสารเล็ก ๆ (มากๆ)มีเครื่องถ่ายเก่า ๆ ตัวหนึ่ง  เครื่องคอมฯ  เครื่องเคลือบบัตร อย่างละตัวครับ  เมีย 1  ลูก 1  อายุ 6 เดือน    บ้านเช่า 2000 /เดือน(จ่ายรายปี)
ข้าวไม่ต้องซื้อ   ในช่วง 3 เดือนแรก  มีรายได้วันละ  20-30 บาท  ซื้อไก่ 1 ไม้  10  บาท  กินทั้ง  3  มื้อกับเมีย
ต่อมาเดือนที่ 4 5 6...  มีรายได้วันละ  50  บาท  (ดีใจแทบตาย)   วันไหนที่ได้  100  ดีใจยังกะถูกหวย

      พอปี 40  เศรษฐกิจไทยก็ทรุด  ช่วงนั้นนายชวน เป็นนายกฯ   ซึ่งการแก้ปัญหาขณะนั้น  นายชวนจะออกในแนวประหยัด  มัธยัสถ์     และมีการส่งเสริมทฤษฎีพอเพียง    ช่วงนั้นคนต่างจังหวัดกลับบ้านกันเยอะมาก   เพราะตกงาน  ค้าขายขาดทุน  แทบทุกคนกลับบ้านไปอาศัยพ่อแม่ที่บ้านนอกที่ส่วนมากเป็นเกษตรกร  ทำไร่  ทำสวน   ทำนา  กลับมาช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้าน  ก็ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ลำบากมาก    เพราะมีบ้านอยู่   มีข้าวกิน   อาหารการกินหาได้ตามท้องไร่ท้องนา  จะไม่มีก็แค่เงินเท่านั้น
   
      ช่วงนั้นทั้งสื่อมวลชน  รัฐบาล  นักวิชาการ  วิชาเกิน  ต่างมองเห็นเป็นแนวทางเดียวกันว่า   บ้านและครอบครัวที่ต่างจังหวัดของแต่ละคน  และการเกษตร นั่นแหละคือฐานที่มั่นของชีวิต  ภาคเกษตรคือเบาะรองรับการล้มที่ดีที่สุด   และขอบคุณเกษตรกรคนต่างจังหวัดที่ช่วยดูและและรับภาระช่วงที่เกิดวิกฤต

        ผมเปิดร้านปี 39   ปี 40 เศรษฐกิจทรุด  ประกอบกับร้านก็เล็ก  เงินทุนหมุนเวียน 4,000  บาท   หลักทรัพย์อะไรก็ไม่มี   ไปกู้เงินออมสินเขาก็ไม่ให้กู้    ไปกู้กรุงไทยเขาก็ไม่ให้กู้   ก็อยู่ไปตามประสารอวันตาย  นึ่งข้าวเหนียวใส่กระติบ   ซื้อไก่ไม้  10  ไม้หนึ่งกินกัน 2 คนผัวเมีย   เลิกเหล้า   เลิกบุรี่   เลิกเที่ยว  ลดรายจ่ายทุกอย่างครับ   ก็พออยู่ได้

        ต่อมาไม่นานมีการเลือกตั้ง   พรรคไทยรักไทย   เอาป้ายมาติดหน้าร้าน พร้อมกับข้อความ  คิดใหม่  ทำใหม่   ผมนึกในใจว่า  ยังงัยก็จะเลือกท่านทักษิณ   ด้วยเหตุผลที่ว่า   อยากลองของใหม่   ชอบเครื่องแบบ   หน้าตาท่านดี   รวย   และกล้าติดสินใจ  บุคลิกดี กล้าพูด  คุยกับฝรั่งเสียงดัง ฟังชัด  ฉะฉาน   ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก   (ก็รู้กันอยู่ว่าในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเลือกตั้งเสร็จก็งั้น ๆ  คล้าย ๆ กับว่าเขาขออำนาจเราไป   เมื่อได้แล้วก็จบกัน  ติดตามไม่ได้  ตรวจสอบไม่ได้   เรียกร้องไม่ได้ ทวงสัญญานโยบายไม่ได้)

    แต่...   จากวันนั้นวันที่  ไทยรักไทยมาแขวนป้ายหน้าร้าน  ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป...
          -  ผมมีงานมากขึ้นเพราะ  สส. เข้ามาถ่ายเอกสาร  หลักฐานต่าง ๆ  เยอะมาก   ตั้ง 8 - 9 เบอร์  แต่ละเบอร์ทำเอกสารไม่ใช้น้อย ๆ ทำให้ได้งานได้เงินมากขึ้น  ราคาดีขึ้น   เมื่อผลปรากฎว่า  ท่านทักษิณ  ชนะเลือกตั้ง  แถลงนโยบายเสร็จสรรพ   ด้วยวลีที่ว่า   "จะเป็นรัฐบาลที่ทำงานเหนื่อยและหนักเพื่อประชาชน"   การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทั้งภาครัฐ   ภาคเอกชน  ต่างสนใจในนโยบาย   (ในขณะที่ประเทศไทยเป็นหนี้ IMF  แต่ท่านทักษิณบอกว่าจะให้เงินชาวบ้านไปบริหาร หมู่บ้านละ 1 ล้าน   ตอนนั้น พรรร ปชป. เอาแต่นั่งหัวเราะ)  ข้าราชการตื่นตัว   มีความกระฉับกระเฉง   โครงการต่าง ๆ พรั่งพรูออกมา   (ซึ่งไม่บอกทุกท่านก็น่าจะรู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน)
   
          -  ต่อมามีนโยบาย  ธนาคารคนจน  ของธนาคารออมสิน  ให้กู้รายละ  15,000  -  30,000  บาท  ให้กับคนทั่วไปและพ่อค้าแม่ค้า  โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์     ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน   ผมก็เอาด้วยครับ   ก็เอามาซื้อของเข้าร้านเพิ่ม  ใช้หนี้เขาสัก 2-3 เดือน  ก็ผ่อนเกือบหมด   ต่อมาก็มีโครงการสินเชื่อห้องแถว  ผมก็เอาด้วยครับ  เอามาซื้อเครื่องตัด   ซื้อเครื่องถ่ายเพิ่ม  ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ    ต่อมาผมก็ไปขอสินเชื่อประเภทซื้อที่อยู่อาศัย    ธ.ออมสินเห็นว่าผมส่งเงินเขาดี  ไม่ขาดตกบกพร่องเขาก็ให้กู้ซื้อบ้านราคา  400,000  บาท (ร้านที่เช่าอยู่ทุกวันนี้)  ก็ผ่อนมาเรื่อยครับ ตอนนี้เหลือแสนกว่าบาท  ซึ่งเงินผ่อนกับเงินค่าเช่ามันก็พอๆกัน
        -   ต่อมาก็มีโครงการต่าง ๆ ออกมาจากรัฐอีกมากมาย ฯ  ซึ่งทุกโครงการล้วนแต่กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย กระจายเงิน  กระจายโอกาส    เช่น   ป.บัณฑิต   อาจารย์ 3   ผอ.กันดาร (ผอ.3.4)  เพิ่มเงิน ป.  ของตำรวจ   หวยบนดิน  เขียนจดหมายขอทุน   1 อำเภอ 1โรงเรียน
โอท๊อป  แก้ปัญหาความยากจน  30 บาท  พักหนี้  ฯลฯ   ทุกโครงการ...ร้านค้าเล็ก ๆ อย่างผมก็จะได้งานเพิ่มขึ้น  แน่นอนว่ารายได้ก็ตามมา     ซึ่งเป็นคนละอย่างกันกับ  ท่านชวน   หลีกภัย   แห่ง ปชป.  ที่มุ่งเน้นการประหยัด  เก็บหอมรอบริบ  พอเพียง   (และหลายคนก็ได้รับโอกาสเหมือนผมนี่แหละ)

          จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้    จากที่ผมเป็นร้านเล็ก ๆ ในอดีต  ปัจจุบันก็ถือว่ามีความพร้อมในการให้บริการลูกค้ามากขึ้น
      มีเครื่องถ่าย  5  ตัว     เครื่องพิมพ์  2  ตัว    เครื่องปริ้น  7  ตัว   เครื่องคอม 2 ชุด   เครื่องตัด  อุปกรณ์อื่น ๆ อีก   มากมาย
      สั่งกระดาษเข้าครั้งละประมาณ  100-200  รีม(เอ4)  ก็เป็นเรื่องปกติ   ซื้อที่ในตัวอำเภอ 3 แปลง   มีรถคันละล้านขับ  จากร้านที่เช่าก็ซื้อเขาซะจะได้ไม่ต้องกลัวเขาไล่ที่    ส่งลูกเรียนพิเศษได้   ไปเที่ยวทะเลในวันหยุดได้   วันไหนว่าง ๆ ก็พาลูกเมียไปกินพิซซ่าได้  กินสุกี้ได้  ดูหนัง ตามห้าง ฯ ได้   มีโน๊ตบุ๊คให้ลูกใช้  มีโทรศัพท์มือถือดี ๆ เครื่องละหมื่นกว่า ๆ ใช้  มีทีวีจอ  40  นิ้วไว้ดู   มีคาราโอเกะไว้ร้อง  มีชุดโฮมเธียร์เตอร์  ชำระค่าเน็ตเดือนละ  700  ได้   และก็เป็นหนี้ได้สัก  2-300,000 บาท    คือ สรุปว่าชีวิตมันเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น  แม้มันจะไม่มากก็ตาม    อาจเป็นหนี้เป็นสินบ้าง  แต่ก็อยู่ในภาวะที่จะชำระได้    หักลบกลบหนี้แล้วก็พอมีกำไร   (มันก็ดีกว่าตอนทั้งวัน  ไก่ 1 ไม้  10  บาท กินทั้งผัวเมีย  จนชาวบ้านเขาต่างดูถูกว่า  สงสัยจะเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวไม่ไหว)
     
         ที่เล่ามานี้   ผมไม่ได้ว่าจะอวด  จะอวย  จะทะเลาะอย่างที่ว่าไว้   เพียงแต่จะสะท้อนให้เห็นว่า

            1.  วันหนึ่งเมื่อคนกรุงเทพฯ หรือภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม เดือดร้อนเพราะเศรษฐกิจ  พวกคุณก็เอาคนที่ตกงาน  เอาภาระของสังคม
ไปฝากไว้กับ  ภาคการเกษตร   ที่มีแต่คนแก่  คนเฒ่าเป็นผู้บริหาร   พวกเขาขาดทั้งเงินทุน  ขาดทั้งองค์ความรู้  การคมนาคม  อำนาจต่อรอง  ฯลฯ   แต่เขาก็ทำหน้าที่เลี้ยงดูคนทั้งประเทศได้  จนประเทศฟื้นคืนสู่ปกติ
            แล้ววันหนึ่ง   วันที่พวกเขาทำการเกษตรแล้วพอจะมีกำไรบ้าง   พอที่จะปลดเปลื้องหนี้สินได้บ้าง    ภาคธุรกิจ-อุตสหกรรม    ก็ต่อต้านตั้งแง่กับเขาว่าได้มากไป  จะทำให้ประเทศชาติทรุด ทั้ง ๆ ที่วันที่ประเทศชาติทรุด พวกเขาเป็นคนดูแล  อย่างนี้ยุติธรรมสำหรับเขาแล้วหรือ  (ส่วนนักการเมืองบางฝ่ายก็ไล่ล่า  ไล่ล้มกัน   หาใช่การตรวจสอบเพื่อให้ภาคเกษตรกรได้ประโยชน์สูงสุดอย่างที่กล่าวอ้าง)
       
            2.    แล้วที่ผมบอกว่า  ผมสิ่งของต่าง ๆ นานา หลาย ๆ อย่าง  ก็ใช่ว่าผมจะอวด  เพียงแต่อยากจะสะท้อนให้เห็นว่า
ของที่ผมซื้อหามาได้นั้น   ส่วนมาก  ชาวไร่ชาวนา เขาไม่ได้ผลิต   มีแต่คนรวย  พ่อค้า  นายทุน  เจ้าของโรงงาน   นายธนาคร  และคนชั้นกลาง-ชั้นสูง  เท่านั้นที่ร่วมกันผลิต     นั้นแสดงว่า   แม้ผมจะทำมาหาได้  แต่สุดท้ายแล้วเงินก็กลับไปสู่พวกคุณที่เป็นพ่อค้านายทุน คนชั้นกลาง-ชั้นสูงอย่างพวกคุณ  ใช่หรือไม่   (แล้วพวกคุณจะบอกว่า   ท่านทักษิณฯ  เอาเงินมาแจกคนจนได้อย่างไร)

       ก็ใช่ว่าผมจะลุ่มหลงในโลกของทุนนิยมไปเสียทั้งหมด   เพราะในที่ทางที่ผมมี  ผมก็ทำตามที่พ่อท่านบอก (แต่ไม่ทำอย่างพ่อท่านทำ)   คือ  ปลูกทุกอย่างที่กิน  ปลูกข้าว (3 ไร่)  พริก  มะนาว  ข่า ตะไคร้  ใบมะกรูด  แมงลัก มะละกอ กะท้อน   มีบ่อปลาเล็ก ๆ 2 บ่อครับ  แต่จับปลากินได้ทั้งปี  มีกระถิน  ตำลึง  มะรุม  ผักพื้นบ้านก็เก็บกินได้ทั้งปีครับ ปลอดจากสารเคมีทุกชนิดครับ  ใช้ขี้วัว  ขี้ควาย เป็นปุ๋ย
(มะม่วงที่สวนผมลูกใหญ่ที่สุดในอำเภอครับ) ไก่ป่า..ก็เยอะสุดครับ   เป็นเถียงนาเล็ก ๆ ครับ   แต่อยู่ง่าย ๆ สบาย ๆ  

  "ต้องยอมรับว่า   ผมมีชีวิตแบบปกติสุขอย่างทุกวันนี้ได้เพราะนโยบายของท่านทักษิณ  ชินวัตร จริง ๆ แล้วแบบนี้
ไม่ให้ผมรัก  ไม่ให้ผมเลือกท่าน     ก็ช่วยตอบผมหน่อยเถอะว่า  จะให้เลือกหมาที่ไหน"