เพลงฉ่อยชาววัง

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สอาด จันทร์ดี คือใคร

บทที่ 21 สอาด จันทร์ดี คือใคร

บทที่ ๒๑ ตอน : สอาด จันทร์ดี คือใคร ?



ขอแสดงความนับถือ "ท่านผู้อ่าน" ทั้งในไทยและต่างประเทศ ขออนุญาตโฆษณาตัวเองสักหน่อยเถิดครับ ทั้งนี้เนื่องจากมีคนโทรศัพท์ถามมาว่า ความรู้ความสามารถของผมมีขนาดไหน ที่ชอบเสนอแนะจังเลย ถ้าความรู้ไม่มี แล้วมาเสนอหน้าอยู่ทำไม


อีกประการหนึ่ง เท่าที่รู้จักมา ผมก็คือนักเขียน "ต๊อกต๋อย" ที่เอาแต่เขียนคิดอะไรได้ก็เขียน แต่ความจริง หาได้มีประสบ การณ์แต่ประการใดไม่ ?


ผมรับฟังเสียงจากโทรศัพท์ด้วยความขอบคุณ ผมจึงคิดว่าถ้าจะตอบคำถามของท่านผู้นั้นก็ต้องตอบให้ "กระจาย" ไปในวงกว้าง โดยผมเต็มใจที่จะตอบอย่างหมดเปลือกขอรับ แต่การตอบคำถามดังกล่าว ผมต้องแบ่ง "ประวัติของตัวเอง" ออกเป็น ๔ ช่วง


ขอเรี่มต้นช่วงที่ ๑ ดังนี้ครับ (อายุ ๑ ขวบถึง ๑๕ ขวบ) :


ผมเกิดปี ๒๔๗๙ ที่ หมู่บ้าน สวนหอม หมู่ ๑ ต. ห้วยแถลง อ. พิมาย จ. นครราชสีมา จากครอบครัว ชาวนาที่มีที่นาเป็นของตนเองประมาณ ๓๕๐ ไร่ มีวัวมากกว่า ๑๐๐ ตัว และมี ควายอย่างน้อย ๔๐ ตัวแต่ผมโชคไม่ดี ตั้งแต่เกิด จำหน้าคุณพ่อไม่ได้ เพราะว่าท่าน ตายจากผมไปในขณะทีน้องคนเล็กอยู่ในท้อง ใกล้จะคลอด แม่ของผมเป็นคน มีลูกมาก ครอบครัวของผมจึงพากันอยู่รอดเพราะมีพี่สาวพี่ชายเป็นกำลังแรงงานในการทำนา


ผมได้รับการเลี้ยงดูจากพี่ ๆ เป็นอย่างดี แต่ต้องทำงานหนักตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ นั้นก็คือ ต้องดูแลรับผิดชอบ "เลี้ยงวัวควาย" ที่มีมากมาย การไปเลี้ยงวัวควายนั้น เราไม่ได้เลี้ยงมันดอกครับ เพราะมันมากเหลือเกิน เมื่อปล่อยเขาออกจากคอก เขาจะไปของเขาเอง เราเพียงแต่นั่งอยู่บนหลัง (ขี่) อยู่ตรงกลางฝูง ครั้นถึงเวลาตะวันกำลังจะคล้อยตกดิน ฝูงวัวควาย จะกลับเข้าคอกเอง


วัวควายที่มีมากมาย ก่อปัญหาให้แก่ครอบครัวของผมมาก เนื่องจากมันไปทำความเสียหายให้แก่ไร่นาของชาวบ้าน ในที่สุดก็สามารถระงับได้ เนื่องจากครอบครัวของผมถูกศาลฟ้องว่ากู้ยืมเงินมาตั้งนาน ไม่ยอมชำระหนี้ คุณแม่จึงยกวัวควายทั้งหมด ใช้หนี้เขา ขณะผมอายุย่างขึ้น ๑๒ ขวบ


ในวันที่เจ้าหนี้มาไล่ต้อนเอาวัวตวายไปจากบ้าน พี่สาวกับพี่ชายพากันร้องให้น้ำตานองหน้าต่างพากันรำพันด้วยความเสียใจ โดยเฉพาะกับควายตัวหนึ่งชื่อ "อีตู้" ซึ่งเป็นควายแม่พันธุ์ที่รู้ภาษาคนแทบจะพูดกันรู้เรื่อง ตัวผมเองอดกลั้นนำตาเอาไว้ไม่ได้ แต่ในที่สุด ก็ต้องพลักพรากจากวัวควายทั้งฝูงตั้งแต่วันนั้น


ทันทีที่เจ้าหนี้มาไล่ต้อนเอาวัวควายไปจนเกลี้ยง พี่ชาย (นายดาวเรือง จันทร์ดี) หันมาทางผม ร้องออกมาว่า "อ้าว..น้องอาด ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนเลยทำยังไงดีนี่ อีกหน่อยก็เป็นหนุ่มใหญ่ อ่านหนังสือไม่ออก อายเขาตายห่า"

ว่าแล้วก็รีบคว้ามือผม ออกเดินจากหมู่บ้าน ประมาณ ๑ ชั่วโมงก็ไปถึง โรงเรียน "มณีราษฎร์คณาลัย" ตั้งอยู่ในตลาดหัวยแถลง


พี่ชายพาผมไปฝากเข้าเรียนชั้นประถมกับครูใหญ่ ท่านชื่อครูแจ่ม เมธาจารย์ ท่านครับ ผมเรียนได้เพียง ป. ๓ ก็ต้องอกจากโรงเรียน เพราะอายุ ๑๕ แล้วครับผมเล่าให้พี่ชายคนโตชื่อ "นายสุดใจ จันทร์ดี" ได้รับรู้เรื่องราว พี่ชายบอกว่าพี่จะให้น้องบวชเณร ว่าแล้วก็จัดการพาผมไปบวชเณร ที่วัดทัพสวาย กับพระ อุปัชฌาย์แก้ว ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา ผมก็ได้เป็นสามเณรน้อย เริ่มต้นศึกษา เล่าเรียนพระธรรมวินัย


ต่อไปเป็นช่วงที่ ๒ (ตั้งแต่อายุ ๑๕ ถึง ๒๑ ปี) :


ผมขอรวบรัดว่า หลังจากผมบวชได้ไม่นาน พี่ชายของผมก็มาปรึกษาว่าอยากให้คุณแม่มีพ่อใหม่ เพราะจะได้มีคนดูแลท่าน ผมรู้สึกไม่พอใจ อะไรกันยังคิดจะมีผัวอยู่หรือ ในใจยังรู้สึกหวง และคัดค้านอย่างแรง แต่ในที่สุด ผมก็ได้ พบพ่อคนใหม่ พ่อใหม่ท่านมีลูกชายเป็นพระอยู่อำเภอ บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ท่านชื่อพระภิกษุพูล อธิวาโส เมื่อพระพูลรู้ข่าวว่าพ่อมีแม่ใหม่ก็รีบ เดินทางไปขอ ดูหน้าแม่คนใหม่ทันที ท่านได้พบผมเป็นสามเณรน้อย หลวงพี่จึงนำตัวผมเอา ไปฝากพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ ต่อมาพระเดชพระ คุณได้เป็น "สมเด็จพุฒาจารย์" รักษาการ ตำแหน่งพระสังฆราช


ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมได้ศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนบาลีมัธยม แล้วไปสอบ สมทบ ณ วัด บวรนิเวศ - บางลำภู ก็ได้ความรู้มาแค่นั้น หลังจากนั้น เมื่ออายุครบ ๒๐ ก็ได้อุปสมบทอีก ๑ พรรษา เป็นพระ "นวกะ" วัดมหาธาตุรุ่นปี ๒๕๐๐


ผมขอกราบเรียนกับท่านผู้อ่านว่า บวชเณรไม่ลำบาก ยิ่งท่านเจ้าคุณพ่อ พระพิมลธรรมได้มอบให้ผมเป็น "บุตรบุญธรรมของโยมแม่ในวังหลวง" ผมยิ่งไม่ต้องลำบากในการบิณฑบาตร เพราะ "โยมหม่อมแม่ดูแลอย่างดี" ครั้นบวช เป็นพระซีครับ แม้จะไม่มีปัญหาเรื่องบิณฑบาตร แต่ข้อวัตรปฏิบัติ ศีล ๒๒๗ แน่นจนขยับไม่ได้ แถมยังต้องนั่งพับเพียบรับการอบรมพระนวกะ ตลอด ๓ เดือนเต็ม ผมแทบตาย


หลังจากออกพรรษา ใจผมสู้ไม่ได้ จึงคลานเข้าไปขอกราบลาสิกขาท่านเจ้าคุณพ่อมองดูผมหน้าผมด้วยความเป็นห่วง ท่านพูดว่า "ลูกเอ๋ย ความรู้เพียงแค่นี้ จะเอาตัวรอดได้หรือ แต่พ่อก็ห้ามไม่ได้ รักษาตัวให้รอดนะลูกนะ" ผมก้มลงกราบ แล้วกล่าว คำลาสึก เปลื้องผ้าเหลืองออก นุ่งกางเกง แต่งตัวเป็นฆราวาส อยู่ทำความสะอาดวัด ๓ วันแล้วเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความรู้สึกว้าวุ่น บอกไม่ถูก

ผมขอต่อช่วงที่ ๓ (อายุ ๒๑ ถึง ๕๐ ปี) :


ผมขอกราบเรียนว่า นับแต่ออกจากวัดมา ตัวเองไม่เคยมี "แผนการ" อะไรในใจเลย แม้แต่เรื่องที่จะมีครอบครัวก็ไม่ได้เคยไปจีบใครสักคนเดียว การที่จะมีอาชีพอะไรจึงจะมีความเจริญก้าวหน้าหรือไม่ ไม่ได้มีอยู่ในความรู้สึก แต่โชคชะตาได้จับสิ่งที่ดีงามมอบให้ผม ผมได้เข้าราชการในกรมโลหกิจ (ปัจจุบันคือกรมทรัพยากรธรณีวิทยา) แต่อยู่ไม่นานก็ตัดสินใจทิ้งอาชีพราชการเอาตัวเองไปทำงานใหม่กับ "ทหารอเมริกัน" ที่กำลังขับเคี่ยวกับคอมมิวนิสต์ ในสงครามเวียดนาม


จากจุดนี้เอง ผมได้พัฒนาตัวเองอย่างใหญ่หลวง ผมได้รับการ "ปรับปรุง" ้วิชาความรู้ ได้รับการ "มอบหมาย" ให้ทำงานสำคัญมากมายหลายระดับ ที่สำคัญที่สุด เขาส่งผมไปเรียนลับ กับพรรคคอมมิวนิสต์ฟิลิปปินส์ ที่กำลังรุกรบ อยู่ในป่า ชื่อ "ฮุกบาราฮับ" กว่าผมจะจบวิชานี้ ครอบครัวของผมลำบากมาก ผมไม่มีทางออก ต้องส่งเมียและลูกไปอยู่นาที่ห้วยแถลง


จากจุดนี้ ผมได้รับการเลื่อนขั้นเป็น TG-10 และ ประกาศติตยศ เท่ากับนายพันให้ผม ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะมีความจำเป็นอย่างไร


จากภารกิจตรงนี้ ผมต้องทำหน้าที่เป็นนักรบ ต้องควบคุมกองกำลัง (นักรบ รับจ้าง) ผมอยูกับทหารอเมริกันถึงปี ๒๕๑๐ ผมรู้สึกว่า หากขืนอยู่ต่อไป มือสองข้างจักเปื้อนเลือดมนุษย์อย่างไม่มีทางเลี่ยง จึงคิดว่าเมื่อยังไม่มีบาปมหันต์ ต้องรีบหนี


เมื่อคิด ได้ดังนี้ ผมลาออกทันที


ท่านผู้อ่านครับ..การลาออกในสถานการณ์เช่นนั้น มันไม่มีความปลอดภัย แก่ตัวเอง ด้วยประการทั้งปวง ผมพะวงในใจลึก ๆ ว่า ซีไอเอ คงจะไม่ปล่อย ให้ผมลอยนวล ผมจึงรีบมุดเข้าหาที่พึ่ง


ก็ได้รับการฝากฝังให้อยู่ในความดูแลของ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรอาจารย์ประเสริฐ รีบฝากผมต่อกับ "ชาญชัยศรี พลกุล" นักหนังสือพิมพ์ใหญ่ ชาญชัยศรี ฝากต่อกับ "รัตนะ ยาวะประภาศ" รัตนะ ยาวะประภาศ ฝากต่อกับ สาร บรรดาศักดิ์ พี่สาร พาผมไป ฝากกับ พลเอกเนตร เขมะโยธิน พลเอกเนตรฝากต่อให้ "พลเอก ทวนทอง สุวรรณทัตร"


จากจุดต่าง ๆ เหล่านี้ ผมโลดแล่นได้รวดเร็ว โดยเฉพาะนับแต่ผมจบจาก ลัทธิมาร์กซ จากฟิลิปปินส์ ผมจะทำอะไร ผมมี "แผนการ" ล่วงหน้า และได้วางระบบอย่างรัดกุม จึงทำให้ผม ก้าวเดินทั้งในด้าน "มวลชน" และด้าน "การประกอบอาชีพ" ควบคู่ไปด้วยกันด้วยความก้าวหน้า ได้ทั้งเงิน ได้ทั้ง ประสบการณ์มากมาย

พื้นฐานการศึกษาจบไม่สูง แต่ภาษาอังกฤษของผม แพรวพราว ทั้งพูดและเขียน ผมมีวิธี การนำเสนอที่ทันสมัย ทำให้ผมได้รับการมอบหมายจาก นายจ้างใหญ ่ๆ หลายคนให้เป็นผู้ควบคุมงาน เช่น การขุดเจาะน่ำมันในอ่าวไทย(ยูโนแคล) เป็น "โปรเจ็คท์ มาเนเจอร์" ในโครงการขนาดใหญ่ ควบคุมงาน มูลค่า๑,๐๐๐ ล้านถึง ๔,๐๐๐ ล้านบาท เคยได้รับเงินเดือน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ได้เป็น ที่ปรึกษาส่วนตัวของ คุณหมอ ชัยยุทธ กรรณสูตร เจ้าของบริษัทอิตาเลี่ยน-ไทย เคยทำหน้าที่ "เป็นตัวแทน" ของบริษัทใหญ่ ๆ ในประเทศไทยหลายบริษัท


ผมท่องเที่ยวทำงานต่างแดนติดต่อกันมากกว่า ๒๐ ปี ผมจึงรู้จักซาอุดิ-อาระเบีย คูเวต โดฮา กาตาร์ ดูไบ อิรัค อิหร่าน ลิเบีย และอีกมากแห่งในหมู่ของ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง


ช่วงที่ ๔ เป็นเรื่องของชีวิต ๒ มุม ๒ ง่าม (อายุ ๕๐ - ๗๓ ปี)



ท่านผู้อ่านได้รับรู้เรื่องราวของผมมาถึงบทสุดท้ายแล้วครับ แต่ท่านยังไม่ได้พบ กับเกล็ดความรู้ที่เป็นแก่นสาร ฟังแล้วมันอาจจะเลื่อนลอย เพราะไม่มียศถา บรรดาศักดิ์รับรองตามประเพณีความเชื่อถือของคนไทย


ผมขอกราบเรียนว่า ผมแตกฉานวิชาปฏิวัติ ผมจึงเกิดความขัดแย้งกับ "พวกหัวโบราณ" อย่างรุนแรง จึงไม่อาจแสวงหาความก้าวหน้าได้ แต่ผมก็มั่นใจว่าสักวันหนึ่ง ผมจะได้ใช้วิชาปฏิวัติที่ผมได้รับการถ่ายทอดมาอย่างเป็นระบบเขียน "คู่มือปฏิวัติ" มอบแก่มหาชนคนไทยรุ่นใหม่ เพื่อเขาจะได้ "ปฏิวัติสังคมไทย"ให้เป็นประชาธิปไตยให้ได้ ปลดปล่อยและปลดแอก ไม่ตกเป็นทาสของเผด็จการอีกต่อไป


แต่การปฏิวัติประเทศไทย มันยังมีภูเขาขนาดยักษ์ ขวางกั้นถึง ๓ ลูก
๑ ภูเขาเผด็จการ

๒ ภูเขาทุนนิยมผูกขาด

๓ ภูเขาการแย่งความเป็นใหญ่ของชนเผ่า


คนไทยจะสามารถฟันฝ่าได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจในวิชาปฏิวัติ ถ้าเข้าใจ ไม่ถูกต้อง ก็จะทำให้การปฏิวัติล้มเหลว แต่ถ้าเข้าใจถูกต้อง ดำเนินการถูกต้อง ต่อให้มีภูเขาสูงอีก ๑๐๐ ลูก ก็จะสามารถ พังทะลายลงได้


ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมเล่าประวัติของผมในบทที่ ๒๑ ด้วยความเต็มใจเปิดเผย แต่เป็นการ เปิดเผยร้อยละ ๔๐ เท่านั้น ยังมี "ความลี้ลับ" อีกมากมายถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่มีเนื้อที่ให้ ผมได้บรรยาย

ผมจึงขอกราบเรียนว่า ความรู้ของ "ผู้ว่าราชการจังหวัด" หรือความรู้ของคน ที่มียศเป็นพลเอก เขามีอย่างไร ผมมีเท่าเขา และอาจมากกว่า


ทั้งนี้เนื่องจากความรู้ของพวกเขาเป็นสายเผด็จการ (สายบ้าน) !!ส่วนความรู้ของผมเป็นสายประชาธิปไตย (สายป่า) !! ขอรับ



จบบทที่ ๒๑ / สอาด จันทร์ดี


บทที่ 22 สอาด จันทร์ดี คือใคร

บทที่ ๒๑ ตอน : สอาด จันทร์ดี คือใคร ?

ขอแสดงความนับถือ "ท่านผู้อ่าน" ทั้งในไทยและต่างประเทศ ขออนุญาตโฆษณาตัวเองสักหน่อยเถิดครับ ทั้งนี้เนื่องจากมีคนโทรศัพท์ถามมาว่า ความรู้ความสามารถของผมมีขนาดไหน ที่ชอบเสนอแนะจังเลย ถ้าความรู้ไม่มี แล้วมาเสนอหน้าอยู่ทำไม

อีกประการหนึ่ง เท่าที่รู้จักมา ผมก็คือนักเขียน "ต๊อกต๋อย" ที่เอาแต่เขียนคิดอะไรได้ก็เขียน แต่ความจริง หาได้มีประสบ การณ์แต่ประการใดไม่ ?

ผมรับฟังเสียงจากโทรศัพท์ด้วยความขอบคุณ ผมจึงคิดว่าถ้าจะตอบคำถามของท่านผู้นั้นก็ต้องตอบให้ "กระจาย" ไปในวงกว้าง โดยผมเต็มใจที่จะตอบอย่างหมดเปลือกขอรับ แต่การตอบคำถามดังกล่าว ผมต้องแบ่ง "ประวัติของตัวเอง" ออกเป็น ๔ ช่วง

ขอเรี่มต้นช่วงที่ ๑ ดังนี้ครับ (อายุ ๑ ขวบถึง ๑๕ ขวบ) :

ผมเกิดปี ๒๔๗๙ ที่ หมู่บ้าน สวนหอม หมู่ ๑ ต. ห้วยแถลง อ. พิมาย จ. นครราชสีมา จากครอบครัว ชาวนาที่มีที่นาเป็นของตนเองประมาณ ๓๕๐ ไร่ มีวัวมากกว่า ๑๐๐ ตัว และมี ควายอย่างน้อย ๔๐ ตัวแต่ผมโชคไม่ดี ตั้งแต่เกิด จำหน้าคุณพ่อไม่ได้ เพราะว่าท่าน ตายจากผมไปในขณะทีน้องคนเล็กอยู่ในท้อง ใกล้จะคลอด แม่ของผมเป็นคน มีลูกมาก ครอบครัวของผมจึงพากันอยู่รอดเพราะมีพี่สาวพี่ชายเป็นกำลังแรงงานในการทำนา

ผมได้รับการเลี้ยงดูจากพี่ ๆ เป็นอย่างดี แต่ต้องทำงานหนักตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ นั้นก็คือ ต้องดูแลรับผิดชอบ "เลี้ยงวัวควาย" ที่มีมากมาย การไปเลี้ยงวัวควายนั้น เราไม่ได้เลี้ยงมันดอกครับ เพราะมันมากเหลือเกิน เมื่อปล่อยเขาออกจากคอก เขาจะไปของเขาเอง เราเพียงแต่นั่งอยู่บนหลัง (ขี่) อยู่ตรงกลางฝูง ครั้นถึงเวลาตะวันกำลังจะคล้อยตกดิน ฝูงวัวควาย จะกลับเข้าคอกเอง

วัวควายที่มีมากมาย ก่อปัญหาให้แก่ครอบครัวของผมมาก เนื่องจากมันไปทำความเสียหายให้แก่ไร่นาของชาวบ้าน ในที่สุดก็สามารถระงับได้ เนื่องจากครอบครัวของผมถูกศาลฟ้องว่ากู้ยืมเงินมาตั้งนาน ไม่ยอมชำระหนี้ คุณแม่จึงยกวัวควายทั้งหมด ใช้หนี้เขา ขณะผมอายุย่างขึ้น ๑๒ ขวบ

ในวันที่เจ้าหนี้มาไล่ต้อนเอาวัวตวายไปจากบ้าน พี่สาวกับพี่ชายพากันร้องให้น้ำตานองหน้าต่างพากันรำพันด้วยความเสียใจ โดยเฉพาะกับควายตัวหนึ่งชื่อ "อีตู้" ซึ่งเป็นควายแม่พันธุ์ที่รู้ภาษาคนแทบจะพูดกันรู้เรื่อง ตัวผมเองอดกลั้นนำตาเอาไว้ไม่ได้ แต่ในที่สุด ก็ต้องพลักพรากจากวัวควายทั้งฝูงตั้งแต่วันนั้น

ทันทีที่เจ้าหนี้มาไล่ต้อนเอาวัวควายไปจนเกลี้ยง พี่ชาย (นายดาวเรือง จันทร์ดี) หันมาทางผม ร้องออกมาว่า "อ้าว..น้องอาด ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนเลยทำยังไงดีนี่ อีกหน่อยก็เป็นหนุ่มใหญ่ อ่านหนังสือไม่ออก อายเขาตายห่า"

ว่าแล้วก็รีบคว้ามือผม ออกเดินจากหมู่บ้าน ประมาณ ๑ ชั่วโมงก็ไปถึง โรงเรียน "มณีราษฎร์คณาลัย" ตั้งอยู่ในตลาดหัวยแถลง

พี่ชายพาผมไปฝากเข้าเรียนชั้นประถมกับครูใหญ่ ท่านชื่อครูแจ่ม เมธาจารย์ ท่านครับ ผมเรียนได้เพียง ป. ๓ ก็ต้องอกจากโรงเรียน เพราะอายุ ๑๕ แล้วครับผมเล่าให้พี่ชายคนโตชื่อ "นายสุดใจ จันทร์ดี" ได้รับรู้เรื่องราว พี่ชายบอกว่าพี่จะให้น้องบวชเณร ว่าแล้วก็จัดการพาผมไปบวชเณร ที่วัดทัพสวาย กับพระ อุปัชฌาย์แก้ว ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา ผมก็ได้เป็นสามเณรน้อย เริ่มต้นศึกษา เล่าเรียนพระธรรมวินัย

ต่อไปเป็นช่วงที่ ๒ (ตั้งแต่อายุ ๑๕ ถึง ๒๑ ปี) :

ผมขอรวบรัดว่า หลังจากผมบวชได้ไม่นาน พี่ชายของผมก็มาปรึกษาว่าอยากให้คุณแม่มีพ่อใหม่ เพราะจะได้มีคนดูแลท่าน ผมรู้สึกไม่พอใจ อะไรกันยังคิดจะมีผัวอยู่หรือ ในใจยังรู้สึกหวง และคัดค้านอย่างแรง แต่ในที่สุด ผมก็ได้ พบพ่อคนใหม่ พ่อใหม่ท่านมีลูกชายเป็นพระอยู่อำเภอ บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ท่านชื่อพระภิกษุพูล อธิวาโส เมื่อพระพูลรู้ข่าวว่าพ่อมีแม่ใหม่ก็รีบ เดินทางไปขอ ดูหน้าแม่คนใหม่ทันที ท่านได้พบผมเป็นสามเณรน้อย หลวงพี่จึงนำตัวผมเอา ไปฝากพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ ต่อมาพระเดชพระ คุณได้เป็น "สมเด็จพุฒาจารย์" รักษาการ ตำแหน่งพระสังฆราช

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมได้ศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนบาลีมัธยม แล้วไปสอบ สมทบ ณ วัด บวรนิเวศ - บางลำภู ก็ได้ความรู้มาแค่นั้น หลังจากนั้น เมื่ออายุครบ ๒๐ ก็ได้อุปสมบทอีก ๑ พรรษา เป็นพระ "นวกะ" วัดมหาธาตุรุ่นปี ๒๕๐๐

ผมขอกราบเรียนกับท่านผู้อ่านว่า บวชเณรไม่ลำบาก ยิ่งท่านเจ้าคุณพ่อ พระพิมลธรรมได้มอบให้ผมเป็น "บุตรบุญธรรมของโยมแม่ในวังหลวง" ผมยิ่งไม่ต้องลำบากในการบิณฑบาตร เพราะ "โยมหม่อมแม่ดูแลอย่างดี" ครั้นบวช เป็นพระซีครับ แม้จะไม่มีปัญหาเรื่องบิณฑบาตร แต่ข้อวัตรปฏิบัติ ศีล ๒๒๗ แน่นจนขยับไม่ได้ แถมยังต้องนั่งพับเพียบรับการอบรมพระนวกะ ตลอด ๓ เดือนเต็ม ผมแทบตาย

หลังจากออกพรรษา ใจผมสู้ไม่ได้ จึงคลานเข้าไปขอกราบลาสิกขาท่านเจ้าคุณพ่อมองดูผมหน้าผมด้วยความเป็นห่วง ท่านพูดว่า "ลูกเอ๋ย ความรู้เพียงแค่นี้ จะเอาตัวรอดได้หรือ แต่พ่อก็ห้ามไม่ได้ รักษาตัวให้รอดนะลูกนะ" ผมก้มลงกราบ แล้วกล่าว คำลาสึก เปลื้องผ้าเหลืองออก นุ่งกางเกง แต่งตัวเป็นฆราวาส อยู่ทำความสะอาดวัด ๓ วันแล้วเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความรู้สึกว้าวุ่น บอกไม่ถูก

ผมขอต่อช่วงที่ ๓ (อายุ ๒๑ ถึง ๕๐ ปี) :

ผมขอกราบเรียนว่า นับแต่ออกจากวัดมา ตัวเองไม่เคยมี "แผนการ" อะไรในใจเลย แม้แต่เรื่องที่จะมีครอบครัวก็ไม่ได้เคยไปจีบใครสักคนเดียว การที่จะมีอาชีพอะไรจึงจะมีความเจริญก้าวหน้าหรือไม่ ไม่ได้มีอยู่ในความรู้สึก แต่โชคชะตาได้จับสิ่งที่ดีงามมอบให้ผม ผมได้เข้าราชการในกรมโลหกิจ (ปัจจุบันคือกรมทรัพยากรธรณีวิทยา) แต่อยู่ไม่นานก็ตัดสินใจทิ้งอาชีพราชการเอาตัวเองไปทำงานใหม่กับ "ทหารอเมริกัน" ที่กำลังขับเคี่ยวกับคอมมิวนิสต์ ในสงครามเวียดนาม

จากจุดนี้เอง ผมได้พัฒนาตัวเองอย่างใหญ่หลวง ผมได้รับการ "ปรับปรุง" ้วิชาความรู้ ได้รับการ "มอบหมาย" ให้ทำงานสำคัญมากมายหลายระดับ ที่สำคัญที่สุด เขาส่งผมไปเรียนลับ กับพรรคคอมมิวนิสต์ฟิลิปปินส์ ที่กำลังรุกรบ อยู่ในป่า ชื่อ "ฮุกบาราฮับ" กว่าผมจะจบวิชานี้ ครอบครัวของผมลำบากมาก ผมไม่มีทางออก ต้องส่งเมียและลูกไปอยู่นาที่ห้วยแถลง

จากจุดนี้ ผมได้รับการเลื่อนขั้นเป็น TG-10 และ ประกาศติตยศ เท่ากับนายพันให้ผม ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะมีความจำเป็นอย่างไร

จากภารกิจตรงนี้ ผมต้องทำหน้าที่เป็นนักรบ ต้องควบคุมกองกำลัง (นักรบ รับจ้าง) ผมอยูกับทหารอเมริกันถึงปี ๒๕๑๐ ผมรู้สึกว่า หากขืนอยู่ต่อไป มือสองข้างจักเปื้อนเลือดมนุษย์อย่างไม่มีทางเลี่ยง จึงคิดว่าเมื่อยังไม่มีบาปมหันต์ ต้องรีบหนี

เมื่อคิด ได้ดังนี้ ผมลาออกทันที

ท่านผู้อ่านครับ..การลาออกในสถานการณ์เช่นนั้น มันไม่มีความปลอดภัย แก่ตัวเอง ด้วยประการทั้งปวง ผมพะวงในใจลึก ๆ ว่า ซีไอเอ คงจะไม่ปล่อย ให้ผมลอยนวล ผมจึงรีบมุดเข้าหาที่พึ่ง

ก็ได้รับการฝากฝังให้อยู่ในความดูแลของ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรอาจารย์ประเสริฐ รีบฝากผมต่อกับ "ชาญชัยศรี พลกุล" นักหนังสือพิมพ์ใหญ่ ชาญชัยศรี ฝากต่อกับ "รัตนะ ยาวะประภาศ" รัตนะ ยาวะประภาศ ฝากต่อกับ สาร บรรดาศักดิ์ พี่สาร พาผมไป ฝากกับ พลเอกเนตร เขมะโยธิน พลเอกเนตรฝากต่อให้ "พลเอก ทวนทอง สุวรรณทัตร"

จากจุดต่าง ๆ เหล่านี้ ผมโลดแล่นได้รวดเร็ว โดยเฉพาะนับแต่ผมจบจาก ลัทธิมาร์กซ จากฟิลิปปินส์ ผมจะทำอะไร ผมมี "แผนการ" ล่วงหน้า และได้วางระบบอย่างรัดกุม จึงทำให้ผม ก้าวเดินทั้งในด้าน "มวลชน" และด้าน "การประกอบอาชีพ" ควบคู่ไปด้วยกันด้วยความก้าวหน้า ได้ทั้งเงิน ได้ทั้ง ประสบการณ์มากมาย

พื้นฐานการศึกษาจบไม่สูง แต่ภาษาอังกฤษของผม แพรวพราว ทั้งพูดและเขียน ผมมีวิธี การนำเสนอที่ทันสมัย ทำให้ผมได้รับการมอบหมายจาก นายจ้างใหญ ่ๆ หลายคนให้เป็นผู้ควบคุมงาน เช่น การขุดเจาะน่ำมันในอ่าวไทย(ยูโนแคล) เป็น "โปรเจ็คท์ มาเนเจอร์" ในโครงการขนาดใหญ่ ควบคุมงาน มูลค่า๑,๐๐๐ ล้านถึง ๔,๐๐๐ ล้านบาท เคยได้รับเงินเดือน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ได้เป็น ที่ปรึกษาส่วนตัวของ คุณหมอ ชัยยุทธ กรรณสูตร เจ้าของบริษัทอิตาเลี่ยน-ไทย เคยทำหน้าที่ "เป็นตัวแทน" ของบริษัทใหญ่ ๆ ในประเทศไทยหลายบริษัท

ผมท่องเที่ยวทำงานต่างแดนติดต่อกันมากกว่า ๒๐ ปี ผมจึงรู้จักซาอุดิ-อาระเบีย คูเวต โดฮา กาตาร์ ดูไบ อิรัค อิหร่าน ลิเบีย และอีกมากแห่งในหมู่ของ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง

ช่วงที่ ๔ เป็นเรื่องของชีวิต ๒ มุม ๒ ง่าม (อายุ ๕๐ - ๗๓ ปี)

ท่านผู้อ่านได้รับรู้เรื่องราวของผมมาถึงบทสุดท้ายแล้วครับ แต่ท่านยังไม่ได้พบ กับเกล็ดความรู้ที่เป็นแก่นสาร ฟังแล้วมันอาจจะเลื่อนลอย เพราะไม่มียศถา บรรดาศักดิ์รับรองตามประเพณีความเชื่อถือของคนไทย

ผมขอกราบเรียนว่า ผมแตกฉานวิชาปฏิวัติ ผมจึงเกิดความขัดแย้งกับ "พวกหัวโบราณ" อย่างรุนแรง จึงไม่อาจแสวงหาความก้าวหน้าได้ แต่ผมก็มั่นใจว่าสักวันหนึ่ง ผมจะได้ใช้วิชาปฏิวัติที่ผมได้รับการถ่ายทอดมาอย่างเป็นระบบเขียน "คู่มือปฏิวัติ" มอบแก่มหาชนคนไทยรุ่นใหม่ เพื่อเขาจะได้ "ปฏิวัติสังคมไทย"ให้เป็นประชาธิปไตยให้ได้ ปลดปล่อยและปลดแอก ไม่ตกเป็นทาสของเผด็จการอีกต่อไป

แต่การปฏิวัติประเทศไทย มันยังมีภูเขาขนาดยักษ์ ขวางกั้นถึง ๓ ลูก
๑ ภูเขาเผด็จการ
๒ ภูเขาทุนนิยมผูกขาด
๓ ภูเขาการแย่งความเป็นใหญ่ของชนเผ่า

คนไทยจะสามารถฟันฝ่าได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจในวิชาปฏิวัติ ถ้าเข้าใจ ไม่ถูกต้อง ก็จะทำให้การปฏิวัติล้มเหลว แต่ถ้าเข้าใจถูกต้อง ดำเนินการถูกต้อง ต่อให้มีภูเขาสูงอีก ๑๐๐ ลูก ก็จะสามารถ พังทะลายลงได้

ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมเล่าประวัติของผมในบทที่ ๒๑ ด้วยความเต็มใจเปิดเผย แต่เป็นการ เปิดเผยร้อยละ ๔๐ เท่านั้น ยังมี "ความลี้ลับ" อีกมากมายถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่มีเนื้อที่ให้ ผมได้บรรยาย

ผมจึงขอกราบเรียนว่า ความรู้ของ "ผู้ว่าราชการจังหวัด" หรือความรู้ของคน ที่มียศเป็นพลเอก เขามีอย่างไร ผมมีเท่าเขา และอาจมากกว่า

ทั้งนี้เนื่องจากความรู้ของพวกเขาเป็นสายเผด็จการ (สายบ้าน) !!ส่วนความรู้ของผมเป็นสายประชาธิปไตย (สายป่า) !! ขอรับ

จบบทที่ ๒๑ / สอาด จันทร์ดี


บทที่ 22 สอาด จันทร์ดี เป็นใคร (ต่อ)

บทที่ ๒๒ ตอน : สอาด จันทร์ดี เป็นใคร (ต่อ) ?

ผมอยากกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านทั้งในและต่างประเทศว่า แท้ที่จริงผมไม่อยากโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง แต่เนื่องด้วยโทรศัพท์ที่โทรพูดคุยกับผมนั้น ค่อนข้างจะเหยียบหยามด้วยการพูดจาสบปรามาสในทำนองว่า "เอาแต่เขียน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองหาได้มีค่าอะไรไม่"
เมื่อผมได้รับฟังเช่นนั้น ผมเกิดสงสัยต่อไปว่า อย่าว่าแต่คนที่โทรศัพท์พูดคุยด้วยเลย อาจจะมีอีกหลายท่านที่มีความรู้สึกเช่นนั้น ผมจึงควรแสดงตนออกมา ให้ปรากฏดีกว่าจะทำให้ความสงสัยของท่านทั้งหลายหมดไป จะได้ช่วยกันตีฝ่า วงล้อมเผด็จการได้สำเร็จ

ผมขอเรียนว่าประวัติของผม สืบสานและเกาะกันเป็นพวง สามารถ เจาะถามเอากับตัวบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ตลอดเวลา ท่านเหล่านั้น เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ในทุกรณี เช่นนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี นายประสิทธิ์ ไชยทองพันธุ์ อดีตอธิบดีกรมการจัดหางาน พล.อ.ต.วิชาคม อำนรรฆมณี นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปก/นปช. (รู้จักกันปี ๒๕๑๔) นายประจวบ ไชยสาส์นนักการเมืองใหญ่แห่งที่ราบสูง นายอดิศร เพียงเกษ นักปฏิวัติแห่งภูพาน สหาย คำจันทร์ สหายสายธาร (ลูกสะไภ้นักปฎิวัติใหญ่ - ขุนพล พคท.) พันเอก (พิเศษ)ชวัติ วิสุทธิพันธ์ - พันเอก (พิเศษ) มานะ เกษรศิริ เป็นต้น

ตัวผมนั้น เป็นคนสูงอายุไปเสียแล้ว ไม่นานคงจะลาโลกไปสู่ภพชาติ ข้างหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเกิดบนโลกใบนี้ หรือไปเกิดบนโลกใบอื่นอันเป็นดวงดาวเฉกเช่นโลกของเรา ที่มี "โลก" อีกมากมายในมหาจักรวาลน้อยใหญ่ (คิดตามพุทธทฤษฎี) !

ด้วยเหตุแห่งอายุขัย ที่กำลังนับวันถอยหลัง ที่ไม่มีสิ่งใดจะยับยั้งเอาไว้ได้ คือ ความตาย ผมจึงมีความปรารถนาเฮือดสุดท้ายว่า ขออุทิศชีวิต ความรู้ความสามารถ มอบให้แก่ ประเทศชาติและ "มหาชนประชาชน" ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้

บังเอิญมีคนโทรศัพท์ในเชิง "เหยียดหยาม" ทำให้คิดอีกด้วย ผมจึงมีจิตใจที่หนักแน่นที่จะเผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตย โดยมีจุดม่งหมายจะทำความ เข้าใจกับสังคม ให้รับลูกต่อ ท่านเหล่านั้นจะได้กระโดดลงสู่สนามรบ ทำการ "รบ" กับพวกอำมาตย์น้อยใหญ่ พวกเผด็จการบ้าอำนาจ รบกับพรรคการเมืองที่เป็น ทาสของอนุรักษ์นิยม และรบกับ "ความไม่เป็นธรรม" ?! ทำให้ประเทศไทยมีแต่มาตรฐานเลวแสนเลวปกครองประเทศ

ท่านผู้อ่านขอรับ ในบทที่ ๒๑ ที่อภินันทนาการท่านผ่านไปด้วยประวัติ ของผม จบลงด้วยถ้อยคำสุดท้ายว่า ชีวิตในช่วง ๕๐ ถึง ๗๓ ปี (คือปีนี้ ๒๕๕๒) ซึ่งมีข้อความบางประโยคที่ เขียนเอาไว้ว่า "ชีวิต ๒ มุม ๒ ง่าม" นับว่าเป็นเรื่องราว ที่มีพื้นที่ยาวเหยียด จึงจะสามารถจดจารึก ให้มีความสมบูรณ์ได้ กล่าวให้ชัดก็คือ เรื่องราวของผมไม่น้อยกว่า ๖๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องราวของการเผชิญโชค การผจญภัย อันเกิดจากการไปทำมาหากินปนกับการได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ "เป็นสายลับ" ทั้งจากฝ่ายซ้าย และจากฝ่ายขวา

ผมจึงเรียกขานตัวเองว่า ชีวิต ๒ ง่าม ๒ มุม "หรือ ๒ มุม ๒ ง่าม" ?! นั้นแล ผมขอกล่าวว่าในช่วงที่ผมเข้าร่วมกับ พคท. ผ่านอาจารย์ประเสริฐ ภายใต้การนำ ของ นาย วีระ ถนอมเลี้ยง และ นาย บุญเที่ยง เจริญพิทักษ์ หรือรู้กันในนาม "สหายวี" กับสหาย "มักกะสัน" งานที่ได้รับมอบหมาย คือ การให้ความรู้แก่กรรมกรชนชั้นกรรมาชีพ ผมจับงานนี้เป็นงานทดสอบความ สามารถ ด้วยการเปิดอบรมขึ้นทั่วสมุทรปราการ อ้อมน้อย อ้อมใหญ่ และเขต ปริมณฑล

สามารถรวบรวมกรรมกรเอาไว้เป็นกลุ่มก้อนประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คนเมื่อได้มวลชนแน่นอน จึงได้จัดการประชุมสมัชชาขึ้นในซอยศาสนา มีแกนนำเข้าประชุม ๒๓ คน (ขอสงวนนาม) ที่ประชุมลงมติ ให้ใช้แนวทาง "ปฎิวัติสันติ"ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับแนวทาง "โค่นล้ม" ด้วยอาวุธ ของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย (พคท.) !

นับแต่นั้นก็ได้เร่งรีบขยายผล แนวทางปฏิวัติสันติ อันเป็นที่มาของการ หาทางใช้คำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ ที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้กล่าวเสมอว่าเป็นผู้ นำความสงบกลับมาสู่ประเทศไทย แท้ที่จริง ปฏิวัติสันติไม่อาจเกิดขึ้นมาได้ เนื่องจาก "ฝ่ายขวา" กำลังฮึกเหิมในการปราบปราม ผกค. ชนิดเมามัน และ มันมือกับความตาย

ผมขอเรียนว่า ขณะนั้นผมเป็นนักเขียนน้อย ๆ คนหนึ่ง รู้จักกับนักเขียนใหญ่ ของ นสพ. สยามรัฐ ของท่านหม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช ชื่อ "ประสก" ผมเลยถือโอกาสให้ท่าน ประสก พาผมเข้าพบท่านหม่อมคึกฤทธิ์ เพื่อจะเล่าเรื่องลี้ลับ"ปฏิวัติสันติ" ให้ฟัง ท่านหม่อม ฟังผมเข้าใจโดยไม่ยาก ท่านยอมให้ผมเป็นวิทยากรลัทธิสังคมนิยมกับแนวทาง "ปฏิวัติสันติ" ให้ความเข้าใจแก่ท่าน ท่านหม่อมอยู่กับผม ๕ ชั่วโมงเต็ม

เมื่อผมสามารถชี้แจง จุดดีจุดเด่นของปฏิวัติสันติได้สำเร็จในระดับหนึ่ง ผมรีบรายงานให้หัวหน้าของผมทราบ แล้วก็รอคอยดูผลว่าการ "จัดตั้ง" ของผมที่ทำขึ้นในหมู่ชนชั้นสูงสำเร็จในระดับไหน ผมรอฟังผลมาประมาณ ๑๘ วัน ท่านหม่อม บอกผ่านท่านประสกว่า "ใช่...ปฏิวัติสันติ คือแนวทางยุติสงครามกลางเมือง แล้วได้สั่งว่า อย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ใครนะ ให้เก็บเป็นความลับ จนกว่าจะตาย

ในขณะรอคอยปฏิบัติการปฏิวัติสันติ ผมรีบกลับสู่มวลฃนระดับล่างแต่ก็มีอุปสรรค เพราะ "เทิดภูมิ ใจดี" กับ "อารมณ์ พงษ์พงัน" แนบแน่นอยู่กับสายป่า พากันขนอาวุธเข้ามากักตุนไว้ที่หมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง

ทั้งสองคนนี้ ขัดขวางผมไม่ให้ประกบมวลชน โดยเฉพาะ คุณอารมณ์ พงษ์พงัน กับพวกพากันรุมทำร้ายผม จับผมโยนบก ที่หน้าตึกกรมจัดหางาน กระทรวงมหาดไทย โชคดีกระดูกไม่หัก

ในช่วงนั้น แม่ทัพใหญ่ "แม่ทัพจำเนียร" ป้วนเปี้ยนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ กับคุณวีระ ถนอมเลี้ยง ออกความเห็นว่า จะต้องผนึกกำลังทั้งกรรมกร ชาวนา ชาวไร่ ขยายวงตีโอบทุนนิยม

แต่เอาเข้าจริง กรรมกรล้วนแต่เป็นลูกจ้างอยู่ในโรงงาน ชาวนาชาวไร่ ก็กระจัดกระจาย ไม่อาจจับเอามารวมกลุ่มกันได้

ครั้นมองเข้าไปในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แม้จะมี ทปท. (กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย) ก็จริง แต่จำนวนนักรบที่ถืออาวุธมีไม่ถึง ๔,๐๐๐ คน ส่วนกองกำลังจรยุทธ และพวกแนวร่วมแม้จะมีมากมายถึง ๖๐,๐๐๐ คน ก็ไม่อาจเทียบกับกองทัพแห่งชาติ (กองทัพเรือ ทัพบก ทัพอากาศ และตำรวจ ตะเวณชายแดน) ซึ่งมีขนาดมหึมา ถ้ามีการรบขั้นแตกหัก จะมีแต่แพ้กับแพ้

แต่ถึงกระนั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทยยังคงตั้งหน้าตั้งตาจะ "รบขั้นแตกหัก" เพราะได้ยึดถือแนวทางโค่นล้มด้วยอาวุธอย่างเด็ดเดี่ยว โดยปฏิเสธแนวทางสันติอย่างสิ้นเชิง

ในสถานการณ์ตรงนั้น เป็นที่แน่ชัดว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแบ่งเป็น ๒ ขั้ว ทางด้านอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ยังคงยืนยันแนวทางสันติ ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ยืนยันแนวทางอาวุธ

พวกแนวทางอาวุธได้ประชุมกันที่ซอยหมอเหล็ง (ผมจะไม่เอ่ยนาม บุคคลที่เข้าร่วมประชุม) ท่านเหล่านั้นได้แก้ไขปัญหากำลังรบไม่เพียงพอด้วยการหันหน้าไปพึ่งประเทศมหาอำนาจสังคมนิยม คือประเทศจีน จึงเจรจาขอยืม "กองทัพจากจีน ๕ ถึง ๙ กองพล พร้อมรถถัง เครื่องบินรบ และหน่วย ปฏิบัติการเพื่อการปฏิวัติ ขนาดใหญ่โตที่จะสามารถยึดประเทศไทยได้

โดยคาดหมาย เอาไว้ว่า วันใด พคท. ยึดกรุงเทพฯ จะมี "ทหารป่าใต้ดิน" ที่ซ่อนตัวอยู่เยาวราช ออกมาช่วยยึด แล้วทำการรวบอำนาจให้แล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน ๓ วัน หรืออย่างมากไม่เกิน ๙ วัน

ผมรู้ความลับ รีบจูงท่าน ประสก ไปกราบท่านหม่อมคึกฤทธิ์ อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ได้ผลครับ ท่านหม่อนคึกฤทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี
เดินทางไปขอพบท่าน ประทานเหมา เจ๋อ ตุง พร้อมกับนำ "ข้อสนทนาระดับ เอาเชื้อชาติเป็นเดิมพัน" โดยกล่าวว่า ถ้าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยชนะสงคราม คนจีน (นายทุนน้อย-นายทุนใหญ่) ไม่น้อยกว่า ๖ ล้านคน จะไม่มี แผ่นดินอยู่ เช่นเดียวกับคนจีนในลาว เขมร และเวียดนาม หากท่านประธานฟังเข้าใจ ก็ขอให้มีคำส่ง "ยุติการสนับสนุน พคท." ส่วนการยุติสงครามนั้น คนไทยจะดำเนินการเอง ไม่ต้องอาศัยกองกำลังจากประเทศจีนแม้แต่คนเดียว

ท่าน ประสก กระซิบบอกกับผมว่า "น้องอาด...น้องแน่มาก ท่านหม่อม ทำสำเร็จ ท่านประ ธานเหมา สั่งให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน เลิกให้ความช่วยเหลือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทยแบบเบ็ดเสร็จ ไม่มีเงื่อนไขใดๆทั่งสิ้น..."ในที่สุด สถานีวิทยุเสียงประชาชนจากปักกิ่งก็มีอันปิดตัวลง

ท่านครับ..ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ผมกระโดดคว้าปัญหาการว่าจ้างไม่เป็นธรรม เอามาเป็นประเด็น โดยถือเอาตัวเลขค่าจ้าง ของพี่น้องกรรมกรที่มีรายได้วันละ ๕ ไม่เกิน ๘ บาท แม้จะเป็นช่างชั้นดี ก็ไม่ถึง ๑๐ บาทเอามามาคิดหาทางช่วยเหลือ

ผมจึงขอนัดพบกับผู้นำแรงงาน คุณ ไพศาล ธวัชไชยนันท์ คุณ ขันติ์ ตรีเกษม คุณ ทนง เหล่าวานิช แล้วเราก็ลงมติกันว่าจะชุมนุมประท้วงใหญ่เรียกร้อง ค่าแรงขั้นต่ำให้แก่พี่น้องกรรกร

ในที่สุดเราก็สามารถ บีบบังคับให้ระบอบเผด็จการประกาศจัดตั้งค่าแรงขั้นต่ำวันละ ๑๒ บาท ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ซึ่งการปฏิบัติการครั้งนั้นเป็นการทดสอบ ปฏิวัติสันติ

ขอกล่าวเพิ่มเติม ขยายความก้าวหน้าของปฏิบัติการทดสอบปฏิวัติสันติต่อไปว่า ต่อมาได้เรียกร้องให้ "ตั้งกระทรวงแรงงาน" แยกตัวออกมาจากระทรวง มหาดไทย และได้เรียกร้องให้มีการ "ประกันสังคม" โดยยกตัวอย่างมาจากประเทศ อุตสาหกรรมหลายประเทศ แต่เรื่องนี้ ตกค้างมาตั้งแต่ "จอมพลประภาส จารุเสถียร" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นาย เชาว์วัส สุดลาภา เป็นเลขานุการ จอมพล ประภาส ปฏิเสธที่จะสนับสนุน แต่เมื่อได้โอกาส ผมเริ่มทำงานต่อทันที กว่าจะได้ผลสมความมุ่งมาตรปรารถนา ก็เล่นเอานายวีระ ถนอมเลี้ยง นายบุญเที่ยงเจริญพิทักษ์ ต้นแบบความคิดแบกสังขารคอยไม่ไหวท่านทั้งสอง พากัน "อำลาโลก" อย่างไม่มีวันกลับ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ...ผมเขียน "สอาด จันทร์ดี" เป็นใครเอาไว้ในบทที่ ๒๑ แล้วก็มาเขียน ต่อในบทที่ ๒๒ คือบทที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ผมถือว่า "ใบปลิวกู้ชาติบททนี้" เป็นยอดบันทึกแห่งความทรงจำ ที่ทรงอานุภาพเพราะสามารถทำให้ "ประเทศไทยรอดพ้นจากการปฏิวัตินองเลือดได้สำเร็จ

แม้ประวัติศาสตร์จะไม่ได้บันทึกชื่อผมไว้ ผมก็ไม่เป็นไร แต่ทว่า..หลังจากประเทศไทยรอดพ้นจากการปฏิวัตินองเลือด แทนที่ประเทศไทยจะได้รับกลิ่นไอ ของประชาธิปไตย เนื่องจากพวกเผด็จการขุนนาง พวกพรรคการเมืองใหญ่ เช่นพรรคมะแลงสาบ เขาไม่รู้จักที่ไปที่มา แทนที่พวกเขาจะรีบทำการ "ปฏิวัติสังคม" ให้เกิดความเป็นธรรม พวกเขากลับพากันเป็น "ร่างทรง" เผด็จการ เฉกเช่น พระยา มโนปกรณ์นิติธาดา เป็นร่างทรงของเผด็จการกึ่งทุน-กึ่งศักดินา (ปี ๒๔๗๖)ทำให้ประชาธิปไตยของประเทศไทยไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิดจนกระทั่งบัดนี้

ผมขอกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า แท้ที่จริงแล้วผมเหนื่อยอ่อนและ เมื่อยล้าเต็มทน นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้มีโอกาสสู้ฟัดกับพวกเผด็จการอีก แต่ด้วยเหตุ แห่งฟ้าดินไม่ละทิ้งโอกาส อันงามของประชาชน ทำให้ "สันติอโศก-โพธิรักษ์" พลตรี จำลอง ศรีเมือง สนธิ ลิ้มทองกุล พรรคมะแลงสาบ พากันขยำประเทศ จนเละไปกับมือ ทำให้ทหารอ้างเป็นปัญหา ก่อการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! แล้วขับไล่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ออกจากอำนาจอันชอบธรรม แล้วพากันสร้าง "กรอบเผด็จการขึ้น" ดังที่เห็น

จากสถานการณ์ที่เกิดจากความชั่วดลบันดาน ทำให้ผมได้เห็น "คนเสื้อแดง" แดงทั้งแผ่นดิน ทำให้ผมอ่านขาดว่า ทาง ๒ แพร่งมาถึงแล้วนั้นก็คือ การปฎิวัติสังคมจักมาถึงไม่นานเกินรอ อันจะเป็นได้ทั้ง "แบบนองเลือด"หรืออาจเป็นได้ทั้งแบบ "สันติ" ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพวกอำมาตย์จะเลือกเอาทางไหน

ผมขอกล่าวว่า รบหนนี้... เป็นทั้งฉากเริ่มต้นและฉากสุดท้ายของระบอบการเมืองที่เส็งเคร็ง จริงหรือไม่จริง

ไม่นานเกินรออย่างแน่นอน !

ขอกราบเรียนว่า "สอาด จันทร์ดี" เป็นใคร ? อาจจะมีต่อ ขึ้นอยู่ที่ ความจำเป็นว่าควรหรีอไม่ควร ถ้าควรก็จะเขียนอีก ถ้าไม่ควรก็จะหยุด คนที่โทรมา ตำหนิผม กรุณาอ่านให้จบนะครับ.

จบบทที่ ๒๒ / สอาด จันทร์ดี


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น