บทความ "ใบปลิวกู้ชาติ" โดย...สอาด จันทร์ดี (ฉบับที่ ๑)
จาก....สอาด จันทร์ดี
ตอน ................. ชูทักษิณ ชาติจึงจะรอด
สาเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย เกิดจากบุคคล ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑
เป็นกลุ่มต้องการ "ล้มล้าง" สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ไม่กล้าทำเอง จึงหาทาง"ยืมมือ" คนอื่นให้เป็นคนทำ จึงใช้ วิธีการ "ยุยง" ให้คนไทยเกลียดชังกันเอง วิธีการที่ทำได้ผล ได้แก่การดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ ลงมาเป็น "เครื่องมือ"ด้วยการกล่าวหาคนอื่นว่า "ไม่มีความจงรักภักดี" แล้วยกย่องตัวเองว่าเป็นผู้มีแต่ความซื่อสัตย์ต่อสถาบัน เช่น กล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าฝักใฝ่เป็นประธานาธิปบดี แล้ว กล่าวหาเลยไปถึงคนเสื้อแดงทั้งหมด ที่รักทักษิณ ว่าเป็นพวกที่ไม่รักเจ้า
วิธีการเช่นนี้ ได้ก่อความแตกแยกอย่างใหญ่หลวง ทำให้ "คนเสื้อแดง"
ตกเป็นจำเลยของสังคม แล้วคนที่ทำตัวเป็นโจทก์ก็ได้ขึ้นขย่มอย่างเอาเป็นเอาตายคนที่ขย่มอย่างแรง คือ นาย Sensor (เทือก)โดยได้อาศัย "สภาผู้แทนราษฎร"เป็นสถานที่กล่าวหา
กลุ่มที่ ๒ ได้แก่พรรคการเมืองที่ตระหนักดีว่าจะสู้พรรคไทยรักไทยไม่ได้
จึงหาทาง "บ่อนทำลาย" อย่างร้ายแรง ได้ก่อความเดือดร้อนแก่ประเทศชาติแสนสาหัส จนเกิดกรณีพิพาทกันขึ้นในแผ่นดิน มีความสับสนวุ่นวาย ทั้ง ๆ ที่บ้านเมืองกำลังเดินหน้าไปด้วยดี ก็มีอัน "พังครืน" ลงต่อหน้าต่อตา จนป่านนี้ยังไม่อาจฟื้นให้คืนดีขึ้นมาได้
แนวทางแก้ปัญหาเพื่อจะให้ประชาขนเกิดความสมานฉันท์อย่างได้ผลนั้น
ไม่มีแววว่าจะทำทางไหนได้ ยิ่งทำ ประชาชนยิ่งแตกแยกกันมากขึ้น นักการเมืองเองก็ไม่อาจเดินทางเข้าสู่พื้นที่ของกันและกันได้ เช่น นักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ไปภาคอีสานไม่ได้ นักการเมืองของพรรคเพื่อไทย จะไปภาคใต้ก็ไปไม่ได้
ถ้ายังขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ จะทำให้เกิด ไทยเหนือ-ไทยใต้ สุดที่จะห้ามอยู่
แนวทางกู้ชาตินั้นไม่มีทางอื่นที่จะแก้ตก มีอยู่ทางเดียว กล่าวคือต้องเชิดชูทักษิณ
ให้กลับประเทศ ไทยอย่างมีเกียรติ อย่าคิดห้ำหั่นจะเอาตัวมาลงโทษ
บ้านเมืองในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่สายเกินไปที่จะทำให้เกิดความสงบสุข
ขึ้นมาได้ ผิดแต่ว่า จะยอม "รับฟัง" กันหรือไม่ ถ้ายังขืนคิดจะล้างบางทักษิณ ให้พินาศย่อยยับ บ้านเมืองยุ่งแน่ ทั้งนี้ ผมเอง (นายสอาด จันทร์ดี) ไปได้ยินมากับหูจากชาวบ้านในหลายพื้นที่ เขาพูดออกมาด้วยความแค้นว่า ถ้าใครฆ่าทักษิณทิ้งวันนั้น จะมี "มือฆ่า" ไล่ฆ่าตระกูลเผด็จการอย่างไม่เลือก ครอบครัวที่จะตายก่อน คือครอบครัวของ "Sensor มาร์ค " ต่อไป "คือครอบครัวของ Sensor เทือก "นอกจากนี้ ยังจะมีอีกหลายตระกูล ที่จะต้องชดใช้หนี้กรรมให้แก่คนชื่อทักษิณ
พี่น้องประชาชนผู้รักชาติเอ๋ย...ผมเขียนบทความฉบับนี้ ส่งให้แก่ชาติไทย
ทั้งชาติ ถ้าไม่เชื่อ ในข้อเขียนของผมแล้วละก็ มีปัญหาแน่ ผมจึงเสนอให้ "สันติบาล"และหน่วยข่าวกรอง ลงหาข่าวในพื้นที่ จังหวัดภาคเหนือและภาคอีสานจริงไม่จริง เดี๋ยวก็รู้
ดังนั้น ผมจึงสรุปว่า การเอาทักษิณกลับมาประเทศไทยอย่างผู้มีเกียรติ
จะช่วยให้สังคมไทยทั้งประ เทศกลับเข้าสู่ความสงบ ผมเขียนอย่างนี้ หวังว่าคงจะเข้าใจ และขอให้ตระหนักเอาไว้เถิดว่า คนที่คิดจะล้มเจ้านั้นก็คือพวกที่ "ยืมมือ" คนอื่น...เขารู้ทันกันหมดแล้ว หรือว่าไม่จริง ?!
จบบทที่ ๑ : สอาด จันทร์ดี
บทที่ 2 ใครกันแน่ตัวการล้มเจ้า
บทความ "ใบปลิวกู้ชาติ" โดย...สอาด จันทร์ดี
ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๒ ตอน: ใครกันแน่ตัวการล้มเจ้า ?
ผมได้นำเสนอ "ใบปลิวกู้ชาติ" ไปแล้ว ๑ บทด้วยความยาว เอ-๔ จำนวน ๑ หน้า
เรียกว่าสั้นจ๊ดจู๋ แต่ก็ได้เนื้อหาสาระเต็มห้องหัวใจถ้าท่านผู้ใดอ่านให้ละเอียด จะพบว่า"การชักชวนให้ชูทักษิณ เป็นแนวทางแก้ปัญหาประเทศไม่สมานฉันท์"จะดีกว่าตั้งพรรคภูมิใจไทย เอาไปกล่อมหัวใจชาวอีสานบทที่ ๒ ของวันนี้ ผมขอตั้งคำถามว่า
"ใครกันแน่คือตัวการคิดจะล้มสถาบันพระเจ้าแผ่นดิน"? โปรดอ่านบทที่ ๒ ต่อนะครับก่อนอื่นผมขอกล่าวว่าพสกนิกรไทยทั้งแผ่นดิน มีความรักและหวงแหนพระเจ้าแผ่นดินยิ่งนักทั้งนี้ เนื่องจากคนไทยอยู่กับสถาบันกษัตริย์มาตั้งแต่ตั้งประเทศ ย่อมมีความผูกพันอย่างแน่นเหนียว โดยมิต้องอธิบายขยายความ แต่ผมก็มีความเชื่อว่า "มีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง"ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการ ปกครอง ไปสู่ระบอบประธานาธิบดี คนกลุ่มนั้น ได้แก่
(๑) พวกที่มีอำนาจในแผ่นดิน เช่นทหาร หรือพวกอำมาตย์ใหญ่
(๒) พวกตระกูล มั่งคั่งในประเทศไทย ซึ่งสามารถนับได้ว่ามีตระกูลใหนบ้าง
คนเหล่านี้ อยู่ใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ รู้จักหน้าตาว่ามีใครบ้าง ในขณะที่ ชาวไร่ชาวนา ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดแต่อย่างใด คนกลุ่มนี้อยากเปลี่ยนแปลง แต่ไม่กล้าปฏิวัติระบอบ ไม่กล้ากระทำด้วยมือของต้วเอง จึงอาศัยการยืมมือ "คนอื่น"ด้วยการก่อกระแสความขัดแย้ง กล่าวหาคนโน้น-คนนี้ ว่าไม่มีความจงรักภักดี จนในที่สุด คนไทยเกิดแตกแยกกันยกใหญ่ ดังจะเห็นได้ว่า "พวกเสื้อเหลือง"
คือคนที่ได้ชื่อว่ารักเจ้า ส่วนคนเสื้อแดง กลายเป็นคนจะล้มเจ้า มันเป็นไปเช่นนั้นอย่างไม่น่าเชื่อม็อบพันธมิตรได้กลายเป็น "สงครามตัวแทน" โดยคนชื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ร่วมมือกับมหานอกวัด "พลตรี จำลอง ศรีเมือง" ภายใต้เดียรถีย์เถื่อน "นายรัก รักพงษ์"หรือ"โพธิรักษ์" เจ้าสำนักสันติอโศก ที่ห่มผ้าจีวรเหมือนพระ ออกบิณฑบาตรแต่มีจิตใจเหี้ยมโหด นำกองทัพธรรมมาปิดล้อมทำเนียบ และยึดสนามบิน(พระแบบไหน ทำเช่นนี้ได้)?
การกระทำดังกล่าว เรียกว่า "ยุทธการมุมกลับ" กล่าวคือสามารถล้างสมองคนเสื้อเหลืองจนเชื่อว่าคนอื่นว่าเป็นพวกเกลียดเจ้า แล้วยกย่องแต่พวกของตัวว่าเป็นคนรักเจ้าแม้แต่คนเสื้อเหลืองถูกระเบิดของตัวเองตาย ก็ได้รับการยกย่องว่า "เป็นผู้ปกป้องสถาบัน"ดังเช่น "น้องโบว์" ถึงกับได้รับการพระราชเพลิงศพ ซึ่งดำเนินการโดยพวกยืมมือคนอื่นเป็นผู้ปั้นแต่งขึ้นแผนชั่วของพวกมารที่ซ่อนร่างอยู่ในความจงรักภักดีเดินทางมาถึง "ทาง ๒ แพร่ง" คือ
(๑) แพร่งที่จะทำให้เกิดสงครามกลางเมือง และ
(๒) แพร่งที่จะทำให้คนไทยแตกแยกกันอย่างใหญ่
หลวงทางทั้งสองแพร่งดังกล่าว นับแต่จะถูกกระชากลากดึงให้ประเทศไทยถอยหลังเข้าคลองประเทศไทยจะล้าหลัง ตกเป็นประเทศด้อยพัฒนา ประชาชนทั้งแผ่นดินได้รับความทุกข์ยากลำบากทั้งทางกายและทางใจ เมื่อประชาชนลำบากมากมายอย่างรุนแรงก็จะก่อการประท้วงไปทุกหย่อมหญ้า ก่อความเสียหายให้แก่ประเทศ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ถึงจุดนั้นก็จะมี "คำถาม" ถึงระบอบการปกครองว่าเหตุไฉนจึงมีแต่ความเลวร้ายท้ายสุดก็จะเกิดความผิดหวังต่อระบอบ อันจะทำให้พวกที่ต้องการ "การเปลี่ยนแปลง" สามารถใช้เป็นข้ออ้างได้นอกจากนี้ ยังจะอาศัย "ข้อขัดแย้ง" ของประชาชนเอามาเป็นเหตุและปัจจัย อันจะก่อให้เกิดแต่ ความบาดหมางรุนแรงขึ้นเรื่อยๆขณะนี้ คนพวกนั้นกำลังได้เปรียบในสนาม "สงครามตัวแทน" โดยมี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นเหยือ พกไปด้วยมวลชนคนเสื้อแดงอีกหลายล้านคนร่วมเป็นจำเลย อันเป็นการ "โยนดุ้นไฟใส่ประชาชน"ให้เกิดความคับแค้น จนประชาชนพวกนั้นหลงกลตกเป็นจำเลยในข้อหา"หมิ่นเบื้องสูง" นับจำนวนมากขึ้นอย่างน่าใจหาย
ถ้าวิเคราะห์ด้วยหลักปรัชญาเราจะพบว่า เหตุไรเล่าจึงโยนเรื่องเลวร้ายให้แก่คนในชาติว่าไม่รักเจ้า ทั้ง ๆ ที่ประชาชนมิได้มีพฤติกรรมมาก่อนเลย คำตอบก็คือ "นี้คือการใส่ร้ายป้ายสี" นี้คือการจุดไฟเผาเรือนของตัวเอง การกระทำเยี่ยงนี้ เรียกว่า "ยุทธการมุมกลับ" ด้วยการยืมมือคนอื่นล้มเจ้า คนที่ทำ มองเห็นใบหน้าหมดแล้ว ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ และ พันธมิตร และคนสำคัญอีกหลายคน อันประชาชน (คนอ่าน) ย่อมตระหนักดีว่ามีใครบ้าง น่าสังเวชใจ
ใครคิดจะยืมมือคนอื่นก็เห็นอยู่กลับไม่รู้ว่านั้นแหละคือตัวการ !ผมจึงเขียนให้อ่าน...โปรดอ่านแล้วตรองดูให้ลึกๆ ว่าถูกหรือผิด ?!
จบบทที่ ๒ : สอาด จันทร์ดี
บทที่ 3 คนเสื้อแดงขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จุดสุดยอดของการแก้ปัญหาความแตกร้าว
บทที่ ๓ "คนเสื้อแดงขอพระราชอภัยโทษให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร" จุดสุดยอดของการแก้ปัญหาความแตกร้าว
ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติผ่านไปแล้ว ๒ บท วันนี้ ขอขึ้นบทที่ ๓ ดังนี้ครับ ความมีอยู่ว่า "นายหัววีระ มุสิกพงศ์" ได้ประกาศก้องท้องสนามหลวงเมื่อกลางดึกวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ว่าจะดำเนินการรวบรวมรายชื่อ "คนเสื้อแดง" อย่างน้อย ๑ ล้านคน เพื่อกราบบังคมทูลขอพระราชทารอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร หากได้ไม่ครบ ๑ ล้านก็จะไม่นำความกราบบังคมทูล
ทันทีที่ "นายหัววีระ มุสิกพงศ์" ประกาศออกมา ก็ได้เกิดเสียงสะท้อนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เช่นสหาย สุรชัย แซ่ด่าน หรือ "ด่านวัฒนานุสรณ์"(สหายทื่สนิทกับผมมาก) อดีตนักโทษประหาร ได้รับพระราชทานชีวิตรอดพ้นจากความตาย ปัจจุบันคือแกนนำคนสำคัญคนหนึ่งของคนเสื้อแดง นายสุรชัย บอกว่าที่ไม่เห็นด้วยก็เพราะว่าการขอพระราชทานอภัยโทษ เท่ากับเป็นการยอมรับว่าตนเองมีความผิด สหายสุรชัย แซ่ด่าน กระทำเช่นนี้เนื่องจากได้ยืนยันตลอดเวลาว่า นายกฯ ทักษิณ ไม่เคยทำความผิด ท่านผู้นี้เป็นผู้บริสุทธิ์แต่ต้องมีคดีมากมายก็เพราะถูกพวกเผด็จการใส่ความ หาเรื่องเลวร้ายป้ายสี กล่าวหาว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิปบดี
ใช่แล้วครับ แม้จะมีคนคัดค้านอย่างไร นายหัววีระ มุสิกพงศ์ ยังคงเดินหน้าแจกจ่ายแบบฟอร์มถ้อยคำกราบบังคมทูล พร้อมกับได้มีช่อง "กรอก" รายชื่อของพสกนิกร ที่ประสงค์จะกราบบังคมทูลเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร
แบบฟอร์มได้แจกจ่ายไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒ แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายเสื้อเหลือง และพวกพันธมิตรต่างพากันออกมาเล่นงานนายหัววีระอย่างร้ายกาจรุนแรง ด้วยการกล่าวหาว่าเป็นการไม่บังควร การกระทำเยี่ยงนี้จะก่อให้เกิดความแตกแยกมากยิ่งขึ้น คนที่ออกมาคัดค้านอย่างเปิดเผย ได้แก่ "สนธิ ลิ้มทองกุล" น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายแก้วสรร อติโพธิ และนายขวัญสรวง อติโพธิ (คู่แฝด) ?!
ท่านครับ ใครจะคัดค้านอย่างไร ผมไม่ขอออกความเห็น แต่จะขอป่าวประกาศว่า การขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ "พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร"ในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการดับภูเขาไฟทั้งลูกให้มอดดับลง นี้คือจุดสุดยอด
ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาของ "ทักษิณ" เป็นปัญหาที่ถูกพวกเผด็จการใส่ร้ายป้ายสี หาว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิปบดี ทำให้คน "เสื้อแดง" อันหมายถึงราฎร พสกนิกรอีกหลายล้าน กลายเป็นผู้ไม่จงรักภักดีตามข้อกล่าวหาของพวกทรราชย์ (พวกอำมาตย์และพวกเผด็จการ) ?!
ผมอยากยกปัญหาขึ้นมาวางต่อหน้าคนไทยทั้งประเทศว่า สิ่งที่ก่อความขัดแย้งอย่างรุนแรงในขณะนี้เกิดจากมีคนชั่วโยนบาปใส่ประชาชน หาว่าคนเสื้อแดงไม่รักเจ้าหลังจากนั้น พรรคภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ ก็ได้ขึ้นป้ายทั่วภาคอีสานว่า"ปกป้องสถาบัน สงบ สันติ สามัคคี ทำความดีถวายพ่อ" อันเป็นข้อความที่ก่อให้เกิดความบาดหมางขึ้นในหมู่ของประชาชนสุดจะพรรณนา
ดังนั้น ถ้านายหัววีระ มุสิกพงศ์ สามารถรวบรวมรายชื่อได้ครบ ๑ ล้านคนหรือมากกว่า แล้วนำขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ก็จะทำให้เกิด"มิติใหม่" กล่าวคือประชาชนนับเรือนล้าน เขาเห็นว่าทักษิณไม่ผิด ก็จะถูกกราบบังคมทูลความรู้สึกของพสกนิกรให้ทรงทราบ
หากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรหนังสือกราบบังคมทูลมิหรือจะไม่พอพระทัยที่แผ่นดินของประเทศสยามจะได้สงบลง ความขัดแย้งจะได้หมดไป ด้วยพระบารมี
ปัญหาวันนี้เหมือนมีไฟอยู่ในอก
มันเผาหมกดวงใจให้ระอุ
รอแต่ว่าวันไหนจะประทุ
เหมือนเพลิงพลุทะลุปล่องภูเขาไฟ
คนที่จุดอัคคีมีเป้าหมาย
หวังทำลาย "สถาบัน" ให้สั่นไหว
จึงรวมหัว "คั่วพริก" จิกหัวใจ
ปั่นคนไทยให้ยกพวกตีกันเอง
ดังนั้น ผมจึงแสดงความคิดเห็นว่า การขอพระราชทานให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มิใช่กระทำให้ ครอบครัว "ชินวัตร" ได้รับประโยชน์แต่ประโยชน์ที่จะได้ "ได้ทั้งแผ่นดิน" ไฉนจึงไม่เอาด้วย หรือว่าถ้าขืนเอาด้วย จะทำให้แผนการล้มเจ้าพังทะลาย...มิทราบ ใช่ไหมครับ ..?
สอาด จันทร์ดี
บทที่ 4 เผด็จการ ปลอมหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษทักษิณ
บทที่ ๔ ตอน : เผด็จการ "ปลอม" หนังสือขอพระราชทานอภัยทักษิณ ?!
ก่อนอื่น ขอคารวะท่านผู้อ่านทุกท่าน และขอกราบเรียนว่าผมเขียนใบปลิวกู้ชาติไปแล้ว ๓ บทวันนี้ขอเขียนบทที่ ๔ นำเสนอเรื่อง เผด็จการ "ปลอม" หนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ นำแจกจ่ายไปทั่ว อ้างจะล่าให้ได้ครบ ๕ ล้านคน แล้วจะนำขึ้นทูลเกล้า
ท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างแดน คงจะทราบเป็นอย่างดีว่า นายวีระ มุสิกพงศ์แกนนำ นปช. และความจริงวันนี้ ได้ตัดตินใจประกาศในคืนวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒ ณ ท้องสนามหลวง ว่าจะขอพึ่งพระมหากรุณาธิคุณ และพระบุญญาธิการองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร โดยได้ป่าวประกาศว่าจะออกแบบฟอร์ม มอบให้แก่คนเสื้อแดง ทั่วประเทศ เอาไปกรอก แล้วให้ส่งกลับไปที่สำนักงาน "ความจริงวันนี้" เลขทื่ ๒๕๓๙ อาคารอิมพี่เรียลเวิลด์ ชั้น ๖ แขวง/เขต วังทองหลาง กรุงเทพ ๑๐๓๑๐ หลังจากนั้นก็ได้แจกจ่าย วันแรกเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ทันทีที่ต้นฉบับแบบฟอร์มหนังสือขอพระราชทานได้ถูกแจกจ่ายออกไป ก็ได้มีหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษอีกฉบับหนึ่ง ออกตามมาในวันที่ ๔ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำ โดยมีถ้อยคำอ่านแล้วก็เข้าใจว่าเป็นการ "ขอพระราชทานอภัยโทษ" ให้แก่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกัน หนังสือแบบฟอร์มฉบับหลังนี้ มีถ้อยคำในความหมายเหมือนกันทุกประการ แต่แตกต่าง ในวิธี การเรียบเรียงถ้อยคำ และแตกต่างกันในจำนวนพสกนิกร กล่าวคือ ฉบับของ นายหัววีระ มุสิกพงศ์ ขอ ๑ ล้านคน แต่ฉบับปลอมขอ ๕ ล้าน สถานที่ของ นายหัววีระ ให้ส่งกลับไปที่ "ความจริงวันนี้" อาคารอิมพีเรียลเวิลด์ ฉบับปลอม ให้ส่งกลับไปที่ ศูนย์ดำรงธรรม ณ ศาลากลางจังหวัด ทุกจังหวัด
จากสิ่งที่ผมนำมาบอกกล่าวเล่าเรื่องนี้นะครับ คงไม่สำคัญอะไร เพราะว่าคนเสื้อแดงรู้อยู่เต็มอกว่า "เผด็จการ" เขาทำของเขาทุกอย่างเพื่อจะหาทางเตะสกัดต้นขาคนเสื้อแดง เตะสกัดทุกสิ่งทุก อย่างเพื่อจะทำลายขบวนการประชาธิปไตยให้อัปปางลงให้ได้
พฤติกรรมของพวกเผด็จการนั้น มีหลากหลายวิธี เริ่มตั้งแต่การใส่ร้ายป้ายสี หาว่าไม่รักเจ้า แล้ว กล่าวหาว่าคนเสื้อแดงไปต่าง ๆ นานา หาว่าก่อความเสียหาย ให้แก่ประเทศชาติ พวกเผด็จการเล่นเอาเถิด กับคนเสื้อแดงราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่คนไทยคนเสื้อแดงเขารู้เช่นเห็นชาติพวกเผด็จการอย่างชัดแจ้ง จึงได้รวมตัวกันต่อต้านอย่างไม่ลดละ
มูลเหตุหลักที่คนเสื้อแดงเขากล้ากล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ ก็คือ "การทำปฏิวัติรัฐประหาร" ขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ การกระทำในครั้งนั้น ได้ก่อความ เสียหายให้แก่ประเทศไทยของเราอย่างร้ายกาจรุนแรง
คนเสื้อแดงเขาเอาจำนวนปีนับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาพิเคราะห์ดู พบว่า ในรอบ ๗๗ ปี มีทหารกระทำอย่างนี้มากมายเกือบ ๓๐ ครั้ง
คนเสื้อแดงจึงฟันธงว่า "ทหารเผด็จการ" อาจจะลากรถถังออกมาเล่นงาน รัฐบาลในวันข้างหน้าอีกเมื่อใดก็ได้ จึงได้ตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะจัดการกับพวก เผด็จการ ด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกให้คนไทย ทั้งประเทศ จงตื่นจากหลับ พร้อมทีจะต่อตค้านทหาร ที่ใช้กำลังยึดอำนาจรัฐ ในโอกาสเดียวกันนี้ คนเสื้อแดงก็ได้ยกย่อง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นคนของประชาธิปไคยที่แท้จริง
ทั้งนี้เนื่องจากท่านถูกทหารยึดอำนาจทั้ง ๆ ที่กำลังสร้างคุณงามความดีสุดฝีมือ คนดี ๆ อย่างทักษิณ ได้รับเคราะห์กรรม และได้รับภัยหนักอันเกิดจากการใส่ความ โยนความชั่วที่ตัวเองไม่ได้ทำให้ได้รับความเสียหายร้ายแรงอันจะส่งผล ยาวนานตลอดชีวิต อันนั้นได้แก่ กล่าวหาว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิปบดี ข้อหานี้จะ "ปิดกั้น" การเมืองของทักษิณ ตลอดกาล
เมื่อมันเป็นเช่นนี้ คนเสื้อแดงจึงตระหนักแก่ใจว่า คนที่คิดร้ายต่อสถาบันที่แท้จริงก็คือพวกเผด็จการ เช่น พรรคมะแลงสาบ และพรรคที่ไปร่วมกับพวกมะแลงสาบและพวกนายทหารใหญ่ที่นิยมระบอบสาธารณรัฐ คนพวกนั้นไม่กล้ายึดอำนาจจาก พระเจ้าแผ่นดิน จึง "ยืมมือ" ประชาชน ด้วยการหาทางก่อปัญหาให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ ทำกับประเทศชาติอย่างแสนสาหัส ดังที่เห็นอยู่นี้ไง
ครั้นจะมีประชาชนชำระล้างให้ขาวสะอาด ก็มีคนขัดขวาง ด้วยเหตุนี้ จึงมีของจริง และ ของปลอม เล่นเอาเถิดร้ายกาจยิ่งกว่าละครน้ำเน่า ท่านครับ...แนวทางแก้ปัญหาของประเทศไทยของเรานั้น เต็มไปด้วยขวากหนาม ถ้าจะแก้ให้ ได้ผล ต้องสร้างคนไทยให้ "แดงเต็มแผ่นดิน" มีจำนวนมากมายถึงร้อยละ ๙๐ ของจำนวน ๖๓ ล้านคน พวกเผด็จการจึงจะไม่กล้าลากรถถังออกมาอีก
ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าไปเชื่อ พันธมิตรและพรรคมะแลงสาบ เนื่องจากพันธมิตร และพรรคมะแลงสาบ คือเรือนร่างส่วนล่างที่เป็นแข้งขาให้ คมช. ยึดอำนาจในครั้งนั้น และในวันข้างหน้า ถ้าทหารทำอีก พวกนี้ก็จะเข้าข้างทหารเผด็จการเหมือนเดิม ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขามีอุดมการณ์เผด็จการ เหมือนกันทุกอย่าง พันธมิตร และพรรคการเมืองหัวใจเผด็จการ มีบานเบอะในเมืองไทยขอรับ
สอาด จันทร์ดี : เข้าวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ก่อนอื่น ขอคารวะท่านผู้อ่านทุกท่าน และขอกราบเรียนว่าผมเขียนใบปลิวกู้ชาติไปแล้ว ๓ บทวันนี้ขอเขียนบทที่ ๔ นำเสนอเรื่อง เผด็จการ "ปลอม" หนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ นำแจกจ่ายไปทั่ว อ้างจะล่าให้ได้ครบ ๕ ล้านคน แล้วจะนำขึ้นทูลเกล้า
ท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างแดน คงจะทราบเป็นอย่างดีว่า นายวีระ มุสิกพงศ์แกนนำ นปช. และความจริงวันนี้ ได้ตัดตินใจประกาศในคืนวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒ ณ ท้องสนามหลวง ว่าจะขอพึ่งพระมหากรุณาธิคุณ และพระบุญญาธิการองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร โดยได้ป่าวประกาศว่าจะออกแบบฟอร์ม มอบให้แก่คนเสื้อแดง ทั่วประเทศ เอาไปกรอก แล้วให้ส่งกลับไปที่สำนักงาน "ความจริงวันนี้" เลขทื่ ๒๕๓๙ อาคารอิมพี่เรียลเวิลด์ ชั้น ๖ แขวง/เขต วังทองหลาง กรุงเทพ ๑๐๓๑๐ หลังจากนั้นก็ได้แจกจ่าย วันแรกเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ทันทีที่ต้นฉบับแบบฟอร์มหนังสือขอพระราชทานได้ถูกแจกจ่ายออกไป ก็ได้มีหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษอีกฉบับหนึ่ง ออกตามมาในวันที่ ๔ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำ โดยมีถ้อยคำอ่านแล้วก็เข้าใจว่าเป็นการ "ขอพระราชทานอภัยโทษ" ให้แก่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกัน หนังสือแบบฟอร์มฉบับหลังนี้ มีถ้อยคำในความหมายเหมือนกันทุกประการ แต่แตกต่าง ในวิธี การเรียบเรียงถ้อยคำ และแตกต่างกันในจำนวนพสกนิกร กล่าวคือ ฉบับของ นายหัววีระ มุสิกพงศ์ ขอ ๑ ล้านคน แต่ฉบับปลอมขอ ๕ ล้าน สถานที่ของ นายหัววีระ ให้ส่งกลับไปที่ "ความจริงวันนี้" อาคารอิมพีเรียลเวิลด์ ฉบับปลอม ให้ส่งกลับไปที่ ศูนย์ดำรงธรรม ณ ศาลากลางจังหวัด ทุกจังหวัด
จากสิ่งที่ผมนำมาบอกกล่าวเล่าเรื่องนี้นะครับ คงไม่สำคัญอะไร เพราะว่าคนเสื้อแดงรู้อยู่เต็มอกว่า "เผด็จการ" เขาทำของเขาทุกอย่างเพื่อจะหาทางเตะสกัดต้นขาคนเสื้อแดง เตะสกัดทุกสิ่งทุก อย่างเพื่อจะทำลายขบวนการประชาธิปไตยให้อัปปางลงให้ได้
พฤติกรรมของพวกเผด็จการนั้น มีหลากหลายวิธี เริ่มตั้งแต่การใส่ร้ายป้ายสี หาว่าไม่รักเจ้า แล้ว กล่าวหาว่าคนเสื้อแดงไปต่าง ๆ นานา หาว่าก่อความเสียหาย ให้แก่ประเทศชาติ พวกเผด็จการเล่นเอาเถิด กับคนเสื้อแดงราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่คนไทยคนเสื้อแดงเขารู้เช่นเห็นชาติพวกเผด็จการอย่างชัดแจ้ง จึงได้รวมตัวกันต่อต้านอย่างไม่ลดละ
มูลเหตุหลักที่คนเสื้อแดงเขากล้ากล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ ก็คือ "การทำปฏิวัติรัฐประหาร" ขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ การกระทำในครั้งนั้น ได้ก่อความ เสียหายให้แก่ประเทศไทยของเราอย่างร้ายกาจรุนแรง
คนเสื้อแดงเขาเอาจำนวนปีนับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาพิเคราะห์ดู พบว่า ในรอบ ๗๗ ปี มีทหารกระทำอย่างนี้มากมายเกือบ ๓๐ ครั้ง
คนเสื้อแดงจึงฟันธงว่า "ทหารเผด็จการ" อาจจะลากรถถังออกมาเล่นงาน รัฐบาลในวันข้างหน้าอีกเมื่อใดก็ได้ จึงได้ตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะจัดการกับพวก เผด็จการ ด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกให้คนไทย ทั้งประเทศ จงตื่นจากหลับ พร้อมทีจะต่อตค้านทหาร ที่ใช้กำลังยึดอำนาจรัฐ ในโอกาสเดียวกันนี้ คนเสื้อแดงก็ได้ยกย่อง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นคนของประชาธิปไคยที่แท้จริง
ทั้งนี้เนื่องจากท่านถูกทหารยึดอำนาจทั้ง ๆ ที่กำลังสร้างคุณงามความดีสุดฝีมือ คนดี ๆ อย่างทักษิณ ได้รับเคราะห์กรรม และได้รับภัยหนักอันเกิดจากการใส่ความ โยนความชั่วที่ตัวเองไม่ได้ทำให้ได้รับความเสียหายร้ายแรงอันจะส่งผล ยาวนานตลอดชีวิต อันนั้นได้แก่ กล่าวหาว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิปบดี ข้อหานี้จะ "ปิดกั้น" การเมืองของทักษิณ ตลอดกาล
เมื่อมันเป็นเช่นนี้ คนเสื้อแดงจึงตระหนักแก่ใจว่า คนที่คิดร้ายต่อสถาบันที่แท้จริงก็คือพวกเผด็จการ เช่น พรรคมะแลงสาบ และพรรคที่ไปร่วมกับพวกมะแลงสาบและพวกนายทหารใหญ่ที่นิยมระบอบสาธารณรัฐ คนพวกนั้นไม่กล้ายึดอำนาจจาก พระเจ้าแผ่นดิน จึง "ยืมมือ" ประชาชน ด้วยการหาทางก่อปัญหาให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ ทำกับประเทศชาติอย่างแสนสาหัส ดังที่เห็นอยู่นี้ไง
ครั้นจะมีประชาชนชำระล้างให้ขาวสะอาด ก็มีคนขัดขวาง ด้วยเหตุนี้ จึงมีของจริง และ ของปลอม เล่นเอาเถิดร้ายกาจยิ่งกว่าละครน้ำเน่า ท่านครับ...แนวทางแก้ปัญหาของประเทศไทยของเรานั้น เต็มไปด้วยขวากหนาม ถ้าจะแก้ให้ ได้ผล ต้องสร้างคนไทยให้ "แดงเต็มแผ่นดิน" มีจำนวนมากมายถึงร้อยละ ๙๐ ของจำนวน ๖๓ ล้านคน พวกเผด็จการจึงจะไม่กล้าลากรถถังออกมาอีก
ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าไปเชื่อ พันธมิตรและพรรคมะแลงสาบ เนื่องจากพันธมิตร และพรรคมะแลงสาบ คือเรือนร่างส่วนล่างที่เป็นแข้งขาให้ คมช. ยึดอำนาจในครั้งนั้น และในวันข้างหน้า ถ้าทหารทำอีก พวกนี้ก็จะเข้าข้างทหารเผด็จการเหมือนเดิม ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขามีอุดมการณ์เผด็จการ เหมือนกันทุกอย่าง พันธมิตร และพรรคการเมืองหัวใจเผด็จการ มีบานเบอะในเมืองไทยขอรับ
สอาด จันทร์ดี : เข้าวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒
บทที่ 5 วิทยา แก้วภารดัย ถูกเสื้อแดงโห่ไล่ที่จังหวัดเชียงใหม่
บทที่ ๕ ตอน : วิทยา แก้วภราดัย ถูก "คนเสื้อแดง" โห่ไล่ที่จังหวัดเชียงใหม่ !
ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติผ่านไปแล้ว ๔ บท ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะทำให้ท่านอยากอ่านต่อไปหรือไม่ จะอยากอ่านหรือไม่อยากอ่านก็ตาม ผมก็ได้ขันอาสาเขียนแล้วครับ จะขอทำหน้าที่ของผมต่อไป วันนี้เป็นใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๕ ขอรับ
เรื่องมีอยู่ว่า "นายวิทยา แก้วภรดาดัย" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปตรวจราชการที่โรงพยาบาลใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ โดยมีคณะผู้ติดตามหลายคน เรียกว่าไปกันคณะใหญ่
ผมนั่งชมข่าวเรื่องนี้ด้วยความอยากรู้ว่าท่านรัฐมนตรีจะพูดถึงโรคร้ายที่มีชื่อว่า "หวัด ๒๐๐๙" จะเล่นงานมนุษย์ไปถึงไหน แต่ข่าวที่ผมได้ชมกลายเป็นเรื่องของคนเสื้อแดง รวมตัวกันต่อต้าน นับร้อยคน เล่นเอาบรรยากาศเศร้าไปเลย
ภาพข่าวที่ผมได้ชม เป็นภาพของคนเสื้อแดงเชียงใหม่ไม่ต้อนรับรัฐมนตรีของรัฐบาลแบบไม่ยอมให้ยืนหน้าไมค์ แถมประกาศขับไล่จนป่วนไปทั้งโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีภาพตำรวจจังหวัดเชียงใหม่ต้องทำงานหนัก ปะทะกับคนเสื้อแดงรุนแรงพอสมควร แต่ไม่มีข่าวว่า่มีใครบาดเจ็บหรือไม รุ้งเช้าวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ผมตรวจข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ ไม่ปรากฏข่าวให้อ่าน แม้แต่คอลัมน์เดียว นับว่าเป็นการ "ปิดข่าว" ที่ได้ผลมาก
ในข่าวทีวีที่ผมชมนั้นนะ...ข่าวบอกว่านายวิทยา แก้วภราดัยหนีออกไปทางด้านหลังโรงพยาบาล แต่ได้ให้ "รถตู้" วิ่งหลอกออกมาข้างหน้า วิ่งฝ่าคนเสื้อแดงที่รวมตัวอัดแน่นอยู่ที่หน้าประตูทำให้คนเสื้อแดงคิดว่าท่านรัฐมนตรีอยู่ในรถตู้ จึงกรูเข้าไปหา แต่ไม่มีแม้แต่เงา ของท่านรัฐมนตรีจึงปล่อยให้รถวิ่งกลับออกมาอย่างปลอดภัย ท่านครับ...ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้ในเช้าวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เหลืออีก ๔ วันก็จะเป็นคิวของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะไปเยี่ยมประชาชนที่จังหว้ดบุรีรัมย์ผมไม่แน่ใจว่าจะมีคนเสื้อแดงขับไล่ท่านหรือไม่
ผมได้ข่าวว่าจะขนตำรวจและทหารไปรักษาความปลอดภัย ๒๐๐๐ นาย เพื่อป้องกันการขับไล่ จะขับไล่หรือไม่ขับไล่ ไม่ใช่เรื่องแปลกดอกครับ ที่แปลกมากก็คือ "บรรยากาศของประเทศ"มันร้ายแรงถึงเพียงนี้ ทำไมเล่าจึงไม่เข้าใจว่าปัญหามันเกิดมาจากอะไร เมื่อทำเป็นไม่เข้าใจ ในที่สุดมันก็จะส่งผลเสียต่อความมั่นคงของระบอบการปกครองอย่างร้ายแรงที่สุดความร้ายแรงและความเลวร้ายมันเกิดมาจาก "ทหารชั่ว" ที่ลากรถถังออกมายึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ แล้วก็ฉีกรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ ทิ้งทั้งฉบับ แล้วพากันสร้าง "รัฐธรรมนูญเผด็จการฉบับปี ๒๕๕๐" เอาขึ้นมาใช้
พวกเผด็จการมิได้ทำเพียแค่ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเท่านั้น ยังได้กล่าวร้ายป้ายสี นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร หาว่าจะเป็นประธานาธิปบดีแถมกล่าวหาคนเสื้อแดง ไม่รักเจ้าอีกด้วย กล่าวหาเช่นนี้ยังไม่พอ ยังได้เหยียบย่ำคนในชาติเดียวกันด้วยการ "ยกย่อง" คนเสื้อเหลือง พวกสันติอโศก พวกพันธมิตร และ "น้อยโบว์" ว่าเป็นคนรักชาติ เป็นผู้ปกป้องสถาบัน มันเลยกลาย เป็นว่า คนไทยคนใดก็ตาม ที่สวมใส่เสื้อแดง ล้วนแต่เป็นฝ่าย ไม่รักเจ้าทั้งสิ้น
เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้ไล่ด่าราวี ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมไปถึงไล่ตีนายกรัฐมนตรีคนต่อมา คือ ฯพณฯ นายสมัคร สุนทรเวช" และรุนแรงถึงกับเอารองเท้าเควี้ยงใส่ที่กระทรวงไอซีที นายกรัฐมนตรีคนต่อมา คือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกพี่น้องชาว จังหวัดนครศรีธรรมราชเล่นงาน ทั้ง ๆ ที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง
เรื่องไม่จบเพียงแค่นี้ นายสมัคร สุนทรเวช ถูกไล่โห่ที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วยความเลวร้ายมันมีเชื้อมาจาก "พรรคมะแลงสาบ" พันธมิตร และ "คมช."โดยได้ฝังรูปฝังรอยจนกลายเป็น "ความคับแค้น" ให้แก่พี่น้องคนไทยร่วมชาติ ที่มีพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวกัน แต่ถูกกล่าวหาว่าไม่รักเจ้า ไม่มีความจงรักภักดี ว่าเข้าไปโน้น ข้อกล่าวหาอันนี้ ได้ฝังลึกลงไปที่ป้ายขนาดใหญ่ทั่วภาคอีสาน ที่เป็นป้ายของ พรรคภูมิใจไทย เขียนอย่างโก้หรูว่า "ปกป้องสถาบัน สงบ สันติ สามัคคี ทำความดีถวายพ่อ" ซึ่งมีความหมาย ว่า ถ้าประชาชนคนไหน ไม่เป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย หรือไม่เป็นพวกพรรค ประชาธิปัตย์ มันหมายถึงไม่ได้ ทำหน้าที่ "ปกป้องสถาบัน" ซึ่งสรุปโดยย่อว่า มีแต่พวก "ภูมิใจไทยเท่านั้น" ที่ปกป้องสถาบัน
ท่านผู้อ่านครับ...เรื่องแบบนี้ มันเจาะลึกเข้าไปในเส้นเลือดของคนไทย อันหมายถึงหัวใจ มีแต่ความเกลียด โกรธ และชิงชัง...จนแทบว่าไม่อยากอยู่ร่วม ในสังคมเส็งเคร็งแบบนี้ ผมจึง ได้เขียนความเห็นทั้งที่ได้เขียนผ่านมา และยังจะเขียนต่อไปว่า ถ้าจะให้เหตุการณ์สงบ จะต้อง "เชิดชูทักษิณ"
หรืออีกอย่างหนึ่ง ให้เอาทักษิณกลับมาอย่างผู้ยิ่งใหญ่ ให้คน ๒ กลุ่ม หันหน้าเข้าหากัน แล้วประกาศด้วยเสียงอันดังว่า จะพร้อมใจกันปรองดองประชาชน
ถ้าไม่ยอมเช่นข้อเสนอที่ว่านี้ ประเทศไทยไม่มีวันสงบ
สถานการณ์ในปัจจุบัน ได้ส่อให้เห็นอนาคตอันเลวร้ายว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็จะเป็นได้ด้วยความอดสู ไม่อาจไปอีสานได้ จะอยูได้อย่างสนุกที่ภาคใต้เท่านั้น ในเวลาเดียวกันถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ก็จะไปภาคใต้ไม่ได้ มึงมาสิ...กูจะฆ่ามึง คนใต้จะแก้แค้นไม่เลิก
ความเลวร้ายเยี่ยงนี้ ใครเล่าเป็นคนก่อขึ้น ?!!
โปรดอย่าถาม "วิทยา แก้วภราดัย" ท่านต้องถาม พล.อ. คมช. หลายคน ถามพรรคประชาธิปัตย์ ถามพันธมิตร และถามสันติอโศก...ถามให้ครบแล้วจะรู้ว่าอะไรคือตัวปัญหา ! คมช. โปรดอย่ารั้น ถ้าท่านรั้น พวกท่านจะทำให้ชาติไทยล่มสลาย ?!
จบบทที่ ๕ สอาด จันทร์ดี
ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติผ่านไปแล้ว ๔ บท ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะทำให้ท่านอยากอ่านต่อไปหรือไม่ จะอยากอ่านหรือไม่อยากอ่านก็ตาม ผมก็ได้ขันอาสาเขียนแล้วครับ จะขอทำหน้าที่ของผมต่อไป วันนี้เป็นใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๕ ขอรับ
เรื่องมีอยู่ว่า "นายวิทยา แก้วภรดาดัย" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปตรวจราชการที่โรงพยาบาลใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ โดยมีคณะผู้ติดตามหลายคน เรียกว่าไปกันคณะใหญ่
ผมนั่งชมข่าวเรื่องนี้ด้วยความอยากรู้ว่าท่านรัฐมนตรีจะพูดถึงโรคร้ายที่มีชื่อว่า "หวัด ๒๐๐๙" จะเล่นงานมนุษย์ไปถึงไหน แต่ข่าวที่ผมได้ชมกลายเป็นเรื่องของคนเสื้อแดง รวมตัวกันต่อต้าน นับร้อยคน เล่นเอาบรรยากาศเศร้าไปเลย
ภาพข่าวที่ผมได้ชม เป็นภาพของคนเสื้อแดงเชียงใหม่ไม่ต้อนรับรัฐมนตรีของรัฐบาลแบบไม่ยอมให้ยืนหน้าไมค์ แถมประกาศขับไล่จนป่วนไปทั้งโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีภาพตำรวจจังหวัดเชียงใหม่ต้องทำงานหนัก ปะทะกับคนเสื้อแดงรุนแรงพอสมควร แต่ไม่มีข่าวว่า่มีใครบาดเจ็บหรือไม รุ้งเช้าวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ผมตรวจข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ ไม่ปรากฏข่าวให้อ่าน แม้แต่คอลัมน์เดียว นับว่าเป็นการ "ปิดข่าว" ที่ได้ผลมาก
ในข่าวทีวีที่ผมชมนั้นนะ...ข่าวบอกว่านายวิทยา แก้วภราดัยหนีออกไปทางด้านหลังโรงพยาบาล แต่ได้ให้ "รถตู้" วิ่งหลอกออกมาข้างหน้า วิ่งฝ่าคนเสื้อแดงที่รวมตัวอัดแน่นอยู่ที่หน้าประตูทำให้คนเสื้อแดงคิดว่าท่านรัฐมนตรีอยู่ในรถตู้ จึงกรูเข้าไปหา แต่ไม่มีแม้แต่เงา ของท่านรัฐมนตรีจึงปล่อยให้รถวิ่งกลับออกมาอย่างปลอดภัย ท่านครับ...ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้ในเช้าวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เหลืออีก ๔ วันก็จะเป็นคิวของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะไปเยี่ยมประชาชนที่จังหว้ดบุรีรัมย์ผมไม่แน่ใจว่าจะมีคนเสื้อแดงขับไล่ท่านหรือไม่
ผมได้ข่าวว่าจะขนตำรวจและทหารไปรักษาความปลอดภัย ๒๐๐๐ นาย เพื่อป้องกันการขับไล่ จะขับไล่หรือไม่ขับไล่ ไม่ใช่เรื่องแปลกดอกครับ ที่แปลกมากก็คือ "บรรยากาศของประเทศ"มันร้ายแรงถึงเพียงนี้ ทำไมเล่าจึงไม่เข้าใจว่าปัญหามันเกิดมาจากอะไร เมื่อทำเป็นไม่เข้าใจ ในที่สุดมันก็จะส่งผลเสียต่อความมั่นคงของระบอบการปกครองอย่างร้ายแรงที่สุดความร้ายแรงและความเลวร้ายมันเกิดมาจาก "ทหารชั่ว" ที่ลากรถถังออกมายึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ แล้วก็ฉีกรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ ทิ้งทั้งฉบับ แล้วพากันสร้าง "รัฐธรรมนูญเผด็จการฉบับปี ๒๕๕๐" เอาขึ้นมาใช้
พวกเผด็จการมิได้ทำเพียแค่ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเท่านั้น ยังได้กล่าวร้ายป้ายสี นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร หาว่าจะเป็นประธานาธิปบดีแถมกล่าวหาคนเสื้อแดง ไม่รักเจ้าอีกด้วย กล่าวหาเช่นนี้ยังไม่พอ ยังได้เหยียบย่ำคนในชาติเดียวกันด้วยการ "ยกย่อง" คนเสื้อเหลือง พวกสันติอโศก พวกพันธมิตร และ "น้อยโบว์" ว่าเป็นคนรักชาติ เป็นผู้ปกป้องสถาบัน มันเลยกลาย เป็นว่า คนไทยคนใดก็ตาม ที่สวมใส่เสื้อแดง ล้วนแต่เป็นฝ่าย ไม่รักเจ้าทั้งสิ้น
เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้ไล่ด่าราวี ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมไปถึงไล่ตีนายกรัฐมนตรีคนต่อมา คือ ฯพณฯ นายสมัคร สุนทรเวช" และรุนแรงถึงกับเอารองเท้าเควี้ยงใส่ที่กระทรวงไอซีที นายกรัฐมนตรีคนต่อมา คือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกพี่น้องชาว จังหวัดนครศรีธรรมราชเล่นงาน ทั้ง ๆ ที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง
เรื่องไม่จบเพียงแค่นี้ นายสมัคร สุนทรเวช ถูกไล่โห่ที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วยความเลวร้ายมันมีเชื้อมาจาก "พรรคมะแลงสาบ" พันธมิตร และ "คมช."โดยได้ฝังรูปฝังรอยจนกลายเป็น "ความคับแค้น" ให้แก่พี่น้องคนไทยร่วมชาติ ที่มีพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวกัน แต่ถูกกล่าวหาว่าไม่รักเจ้า ไม่มีความจงรักภักดี ว่าเข้าไปโน้น ข้อกล่าวหาอันนี้ ได้ฝังลึกลงไปที่ป้ายขนาดใหญ่ทั่วภาคอีสาน ที่เป็นป้ายของ พรรคภูมิใจไทย เขียนอย่างโก้หรูว่า "ปกป้องสถาบัน สงบ สันติ สามัคคี ทำความดีถวายพ่อ" ซึ่งมีความหมาย ว่า ถ้าประชาชนคนไหน ไม่เป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย หรือไม่เป็นพวกพรรค ประชาธิปัตย์ มันหมายถึงไม่ได้ ทำหน้าที่ "ปกป้องสถาบัน" ซึ่งสรุปโดยย่อว่า มีแต่พวก "ภูมิใจไทยเท่านั้น" ที่ปกป้องสถาบัน
ท่านผู้อ่านครับ...เรื่องแบบนี้ มันเจาะลึกเข้าไปในเส้นเลือดของคนไทย อันหมายถึงหัวใจ มีแต่ความเกลียด โกรธ และชิงชัง...จนแทบว่าไม่อยากอยู่ร่วม ในสังคมเส็งเคร็งแบบนี้ ผมจึง ได้เขียนความเห็นทั้งที่ได้เขียนผ่านมา และยังจะเขียนต่อไปว่า ถ้าจะให้เหตุการณ์สงบ จะต้อง "เชิดชูทักษิณ"
หรืออีกอย่างหนึ่ง ให้เอาทักษิณกลับมาอย่างผู้ยิ่งใหญ่ ให้คน ๒ กลุ่ม หันหน้าเข้าหากัน แล้วประกาศด้วยเสียงอันดังว่า จะพร้อมใจกันปรองดองประชาชน
ถ้าไม่ยอมเช่นข้อเสนอที่ว่านี้ ประเทศไทยไม่มีวันสงบ
สถานการณ์ในปัจจุบัน ได้ส่อให้เห็นอนาคตอันเลวร้ายว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็จะเป็นได้ด้วยความอดสู ไม่อาจไปอีสานได้ จะอยูได้อย่างสนุกที่ภาคใต้เท่านั้น ในเวลาเดียวกันถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ก็จะไปภาคใต้ไม่ได้ มึงมาสิ...กูจะฆ่ามึง คนใต้จะแก้แค้นไม่เลิก
ความเลวร้ายเยี่ยงนี้ ใครเล่าเป็นคนก่อขึ้น ?!!
โปรดอย่าถาม "วิทยา แก้วภราดัย" ท่านต้องถาม พล.อ. คมช. หลายคน ถามพรรคประชาธิปัตย์ ถามพันธมิตร และถามสันติอโศก...ถามให้ครบแล้วจะรู้ว่าอะไรคือตัวปัญหา ! คมช. โปรดอย่ารั้น ถ้าท่านรั้น พวกท่านจะทำให้ชาติไทยล่มสลาย ?!
จบบทที่ ๕ สอาด จันทร์ดี
บทที่ 6 กษิต ภิรมย์ ถูกข้อหาก่อการร้าย ลากอภิสิทธิ์ ลงเหวลึก
บทที่ ๖ ตอน : "กษิต ภิรมย์" ถูกข้อหาก่อการร้าย ลากอภิสิทธิ์ ลงเหวลึก
ประเทศไทย พิสูจน์ ๒ มาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด
มาตรฐานที่ ๑ คือ ความไม่เป็นธรรมยังมีอยู่ในหัวใจเผด็จการเต็มเปี่ยม เรียกร้องให้เลิกอย่างไรก็ไม่ยอมเลิก
มาตรฐานที่ ๒ ได้แก่ ยังคงเดินหน้าร่วมมือกับพรรคภูมิใจไทยทำงานโค่นล้มทักษิณ อย่างไม่ยอมหยุด"
ทั้ง ๒ มาตรฐานดังกล่าวได้ปรากฏชัดต่อสายตาประชาชน โดยมิได้มีอาการสะทกสะท้านแต่ประการใด โปรดดูเรื่องที่ ๑ เรื่องของนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเรื่องนี้เริ่มต้นที่ คนเสื้อแดงเขาเจ็บปวดหัวใจจนไม่อาจหยุดการเคลื่อนไหวได้ เนื่องจากไม่มีความเป็นธรรมหลงเหลืออยู่เลย ดังจะเห็นได้จากกรณีคนทำความผิดกฎหมายบ้านเมืองร้ายแรงหลายคน แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้เห็นว่าไม่มีอะไรร้ายแรง โดยเฉพาะได้แก่ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงตีปีกบอกว่าไม่มีความผิดแม้แต่น้อย
เห็นไหมครับว่ารัฐบาลเผด็จการเขาทำของเขาอย่างไร เรื่องที่ ๒ ผมได้อ่านข่าวพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย กำลัง "เดินหมาก" กดดัน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรอย่างร้ายกาจรุนแรง กะจะเอาให้ตายไปจากโลกกลมๆใบนี้ให้ได้ แต่จะ สามารถกดดันได้แค่ไหนยังไม่ทราบ รู้แต่ว่าพวกเขาไม่ยอมหยุดที่จะหาทางโค่นล้มสุดเหยียด ทราบหรือไม่ทราบ ก็ไม่อาจยับยั้งการกดดันได้เลย ทั้งนี้เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทยได้ประกาศจุดยืนร่วมกัน จะร่วมมือกัน เพื่อจะหาทางโค่นล้ม พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เอาให้หายสาบสูญไปจากภาคอีสานให้ได้
ทั้ง ๒ เรื่องที่ผมยกเอาขึ้นมาเล่าให้ฟัง ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะกล่าวว่าพวกเผด็จการไม่เคยมียางอายในหัวใจ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเคยเล่นงานรัฐมนตรีของรัฐบาลชุด นาย สมัคร สุนทรเวช พูดจาประนาม ให้เขาเสียชื่อเสียง บอกให้เขารับผิดชอบต่อเกียรติยศของประเทศ เป็นที่ตั้ง ด่าให้เขาลาออก ดังเช่นกรณี "นภดล ปัทมะ" และคนอื่นๆ ล้วนแต่เคยถูกพรรคประชาธิปัตย์ด่ามาแล้วทั้งสิ้น คราวนี้ ตัวเองเจอเข้าอย่างจัง กลับทำเงียบ
หัวหน้ารัฐบาลผู้เป็นนายกรัฐมนตรี คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งไปกันใหญ่ เขากลายเป็นคนใบ้ พูดจาวกวน ไม่รับผิดชอบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียงของประเทศ เขามองไม่เห็นความผิดของรัฐมนตรี ที่ไปเชิญเอามาจากพันธมิตร คือนาย กษิต ภิรมย์ เขาคนนี้เป็นผู้มีความผิดเกี่ยวกับการ เป็นโจรก่อการร้าย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์และเจ้าตัวของเขาเองก็ได้รับรู้ทุกอย่าง ตัวของนาย กษิต ภิรมย์ เองก็ได้รับรู้ข้อหาก่อการร้ายจริง แต่ได้แถลงต่อสื่อว่า ข้อหาร้ายแรงที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาต้องรับผิดชอบด้วยลาออกจากรัฐมนตรี
เขาปฏิเสธด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส เขาไม่คิดแม้แต่นิดว่าในโลกกลมๆใบนี้ ทุกประเทศพา กันหวาดกลัวการก่อการร้าย [Terrorist] หากประเทศไหนเป็นตัวการก่อการร้าย เขาจะหาทางปราบ แบบไม่ไว้หน้า
วันนี้ รัฐบาลไทยมีโจรก่อการร้ายนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งจะมีคำถามขึ้นมาว่า ถ้าหากเกิดมีพวกผู้ก่อการร้ายบุกเข้ามาก่อวินาศกรรมทำเนียบรัฐบาลหรือที่ไหนก็ตาม รัฐบาลจะปราบปรามโจรก่อการร้ายได้อย่างไร ในเมื่อตัวเอง คือรังนอน ของโจร ก่อการร้าย
ใบปลิวกู้ชาติของผมฉบับนี้ ผมเขียนด้วยสำนวนที่นอบน้อมถ่อมตน ไม่โหวกเหวกโวยวาย เพราะต้องการให้ "รัฐบาล" รีบดำเนินการ "ปลด นาย กษิต ภิรมย์" โดยด่วน เพื่อเป็นการป้องกันมิให้นานาประเทศกล่าวหาประเทศไทย เป็นแหล่งซ่องสุมโจรก่อการร้าย ในเวลาเดียวกัน
ผมขอบันทึกเอาไว้ในใบปลิวบทที่ ๖ นี้ว่า การกระทำอันชั่วร้าย ที่พรรคทั้ง สอง คือพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย มุ่งหน้าหาหนทางโค่นล้มทักษิณจนแทบไม่หลับไม่นอนนั้น มันจะกลายเป็นภารกิจอันเดียวกับการเป็นโจรก่อการร้าย เชียวนะจะบอกให้
ขอให้สองพรรคจอมเผด็จการ รีบพิจารณาตัวเองเสียให้ดี อย่าเอาประเทศทั้งประเทศไปอยู่ ใต้ ๒ มาตรฐานต่อไปเลย หากยังขืนเอาประเทศไทยเป็นประเทศ ๒ มาตรฐานต่อไปประเทศไทย อันเป็นสมบัติของคนไทยทุกคน จะป่นปี้จนไม่มีอะไรเหลือ..
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โปรดรู้เอาไว้เถิดว่า กษิต ภิรมย์ กำลังพารัฐนาวาดิ่งเหว ?
จบบทที่ ๖ สอาด จันทร์ดี
ประเทศไทย พิสูจน์ ๒ มาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด
มาตรฐานที่ ๑ คือ ความไม่เป็นธรรมยังมีอยู่ในหัวใจเผด็จการเต็มเปี่ยม เรียกร้องให้เลิกอย่างไรก็ไม่ยอมเลิก
มาตรฐานที่ ๒ ได้แก่ ยังคงเดินหน้าร่วมมือกับพรรคภูมิใจไทยทำงานโค่นล้มทักษิณ อย่างไม่ยอมหยุด"
ทั้ง ๒ มาตรฐานดังกล่าวได้ปรากฏชัดต่อสายตาประชาชน โดยมิได้มีอาการสะทกสะท้านแต่ประการใด โปรดดูเรื่องที่ ๑ เรื่องของนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเรื่องนี้เริ่มต้นที่ คนเสื้อแดงเขาเจ็บปวดหัวใจจนไม่อาจหยุดการเคลื่อนไหวได้ เนื่องจากไม่มีความเป็นธรรมหลงเหลืออยู่เลย ดังจะเห็นได้จากกรณีคนทำความผิดกฎหมายบ้านเมืองร้ายแรงหลายคน แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้เห็นว่าไม่มีอะไรร้ายแรง โดยเฉพาะได้แก่ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงตีปีกบอกว่าไม่มีความผิดแม้แต่น้อย
เห็นไหมครับว่ารัฐบาลเผด็จการเขาทำของเขาอย่างไร เรื่องที่ ๒ ผมได้อ่านข่าวพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย กำลัง "เดินหมาก" กดดัน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรอย่างร้ายกาจรุนแรง กะจะเอาให้ตายไปจากโลกกลมๆใบนี้ให้ได้ แต่จะ สามารถกดดันได้แค่ไหนยังไม่ทราบ รู้แต่ว่าพวกเขาไม่ยอมหยุดที่จะหาทางโค่นล้มสุดเหยียด ทราบหรือไม่ทราบ ก็ไม่อาจยับยั้งการกดดันได้เลย ทั้งนี้เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทยได้ประกาศจุดยืนร่วมกัน จะร่วมมือกัน เพื่อจะหาทางโค่นล้ม พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เอาให้หายสาบสูญไปจากภาคอีสานให้ได้
ทั้ง ๒ เรื่องที่ผมยกเอาขึ้นมาเล่าให้ฟัง ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะกล่าวว่าพวกเผด็จการไม่เคยมียางอายในหัวใจ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเคยเล่นงานรัฐมนตรีของรัฐบาลชุด นาย สมัคร สุนทรเวช พูดจาประนาม ให้เขาเสียชื่อเสียง บอกให้เขารับผิดชอบต่อเกียรติยศของประเทศ เป็นที่ตั้ง ด่าให้เขาลาออก ดังเช่นกรณี "นภดล ปัทมะ" และคนอื่นๆ ล้วนแต่เคยถูกพรรคประชาธิปัตย์ด่ามาแล้วทั้งสิ้น คราวนี้ ตัวเองเจอเข้าอย่างจัง กลับทำเงียบ
หัวหน้ารัฐบาลผู้เป็นนายกรัฐมนตรี คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งไปกันใหญ่ เขากลายเป็นคนใบ้ พูดจาวกวน ไม่รับผิดชอบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียงของประเทศ เขามองไม่เห็นความผิดของรัฐมนตรี ที่ไปเชิญเอามาจากพันธมิตร คือนาย กษิต ภิรมย์ เขาคนนี้เป็นผู้มีความผิดเกี่ยวกับการ เป็นโจรก่อการร้าย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์และเจ้าตัวของเขาเองก็ได้รับรู้ทุกอย่าง ตัวของนาย กษิต ภิรมย์ เองก็ได้รับรู้ข้อหาก่อการร้ายจริง แต่ได้แถลงต่อสื่อว่า ข้อหาร้ายแรงที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาต้องรับผิดชอบด้วยลาออกจากรัฐมนตรี
เขาปฏิเสธด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส เขาไม่คิดแม้แต่นิดว่าในโลกกลมๆใบนี้ ทุกประเทศพา กันหวาดกลัวการก่อการร้าย [Terrorist] หากประเทศไหนเป็นตัวการก่อการร้าย เขาจะหาทางปราบ แบบไม่ไว้หน้า
วันนี้ รัฐบาลไทยมีโจรก่อการร้ายนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งจะมีคำถามขึ้นมาว่า ถ้าหากเกิดมีพวกผู้ก่อการร้ายบุกเข้ามาก่อวินาศกรรมทำเนียบรัฐบาลหรือที่ไหนก็ตาม รัฐบาลจะปราบปรามโจรก่อการร้ายได้อย่างไร ในเมื่อตัวเอง คือรังนอน ของโจร ก่อการร้าย
ใบปลิวกู้ชาติของผมฉบับนี้ ผมเขียนด้วยสำนวนที่นอบน้อมถ่อมตน ไม่โหวกเหวกโวยวาย เพราะต้องการให้ "รัฐบาล" รีบดำเนินการ "ปลด นาย กษิต ภิรมย์" โดยด่วน เพื่อเป็นการป้องกันมิให้นานาประเทศกล่าวหาประเทศไทย เป็นแหล่งซ่องสุมโจรก่อการร้าย ในเวลาเดียวกัน
ผมขอบันทึกเอาไว้ในใบปลิวบทที่ ๖ นี้ว่า การกระทำอันชั่วร้าย ที่พรรคทั้ง สอง คือพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย มุ่งหน้าหาหนทางโค่นล้มทักษิณจนแทบไม่หลับไม่นอนนั้น มันจะกลายเป็นภารกิจอันเดียวกับการเป็นโจรก่อการร้าย เชียวนะจะบอกให้
ขอให้สองพรรคจอมเผด็จการ รีบพิจารณาตัวเองเสียให้ดี อย่าเอาประเทศทั้งประเทศไปอยู่ ใต้ ๒ มาตรฐานต่อไปเลย หากยังขืนเอาประเทศไทยเป็นประเทศ ๒ มาตรฐานต่อไปประเทศไทย อันเป็นสมบัติของคนไทยทุกคน จะป่นปี้จนไม่มีอะไรเหลือ..
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โปรดรู้เอาไว้เถิดว่า กษิต ภิรมย์ กำลังพารัฐนาวาดิ่งเหว ?
จบบทที่ ๖ สอาด จันทร์ดี
บทที่ 7 โทรทัศน์ NBT กับ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
บทที่ ๗ ตอน : โทรทัศน์ NBT กับ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ?!
ขอสวัสดีท่านผู้อ่านเหมือนเช่นเคย ขอทักทายว่าท่านคงได้อ่านบทที่ ๖ ผ่านไปแล้ววันนี้ ผมขอส่ง "ใบปลิวกู้ชาติ" บทที่ ๗ มารบกวนสมาธิของท่านผู้อ่านตั้งแต่เช้าตรูเลยครับ
เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากได้ไปเวียนเทียนที่ท้องสนามหลวง และร่วมอภิปรายเนื่องในวันเข้าพรรษา เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ก็รีบกลับเข้าบ้าน แล้วเปิดชมข่าวจากสถานีโทรทัศน์หลายช่อง ทั้งประเภทสถานีโทรทัศน์กระแสหลัก และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทั้งหลาย โดยเฉพาะได้แก่สถานี D Station ซึ่งมาในนาม "เสียงประชาชน" หรือ People Voice[P Voice] เมื่อได้ชมข่าวไปบ้างเล็กน้อย ผมได้หมุนจอไปที่ NBT อันเป็นสถานีโทรทัศน์กระแสหลักที่ฝ่ายรัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาประชาสัมพันธ์ และใช้เป็นเวทีฟาดฟันฝ่ายตรงกันข้ามให้ย่อยยับ อันหมายถึง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ที่กำลังเป็นฝ่ายค้าน
เวลาระหว่าง ๒๑.๐๐ น. ถึง ๒๑.๔๕ น. ผมได้ชมการอภิปรายถล่มทักษิณ ในชื่อราย การว่า "ลงเอยอย่างไร" ว่าด้วยตอน : "ไม่มีแผ่นดินอยู่ ก็ต้อง รู้ทัน" โดยมีพิธีกรชายหน้าตาคมเข้ม ฝีปากจัด ผมจำชื่อไม่ได้ จำได้แต่พวกวิทยากรบางคนที่เข้าร่วมรายการนี้ เช่น ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ น.พ. เกษม ตันติผลาชีวะ และคุณปานเทพ เป็นต้น แต่ก็ยังมีอีก ๒ - ๓ คนที่ผมจดชื่อไม่ทัน
ขอสวัสดีท่านผู้อ่านเหมือนเช่นเคย ขอทักทายว่าท่านคงได้อ่านบทที่ ๖ ผ่านไปแล้ววันนี้ ผมขอส่ง "ใบปลิวกู้ชาติ" บทที่ ๗ มารบกวนสมาธิของท่านผู้อ่านตั้งแต่เช้าตรูเลยครับ
เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากได้ไปเวียนเทียนที่ท้องสนามหลวง และร่วมอภิปรายเนื่องในวันเข้าพรรษา เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ก็รีบกลับเข้าบ้าน แล้วเปิดชมข่าวจากสถานีโทรทัศน์หลายช่อง ทั้งประเภทสถานีโทรทัศน์กระแสหลัก และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทั้งหลาย โดยเฉพาะได้แก่สถานี D Station ซึ่งมาในนาม "เสียงประชาชน" หรือ People Voice[P Voice] เมื่อได้ชมข่าวไปบ้างเล็กน้อย ผมได้หมุนจอไปที่ NBT อันเป็นสถานีโทรทัศน์กระแสหลักที่ฝ่ายรัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาประชาสัมพันธ์ และใช้เป็นเวทีฟาดฟันฝ่ายตรงกันข้ามให้ย่อยยับ อันหมายถึง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ที่กำลังเป็นฝ่ายค้าน
เวลาระหว่าง ๒๑.๐๐ น. ถึง ๒๑.๔๕ น. ผมได้ชมการอภิปรายถล่มทักษิณ ในชื่อราย การว่า "ลงเอยอย่างไร" ว่าด้วยตอน : "ไม่มีแผ่นดินอยู่ ก็ต้อง รู้ทัน" โดยมีพิธีกรชายหน้าตาคมเข้ม ฝีปากจัด ผมจำชื่อไม่ได้ จำได้แต่พวกวิทยากรบางคนที่เข้าร่วมรายการนี้ เช่น ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ น.พ. เกษม ตันติผลาชีวะ และคุณปานเทพ เป็นต้น แต่ก็ยังมีอีก ๒ - ๓ คนที่ผมจดชื่อไม่ทัน
รายการในคืนวันที่ ๘ ก.ค. ๕๒ เป็นรายการถล่มเละทักษิณแบบสุดเหยียดไปเลย คนที่เป็นหัว เรือใหญ่ในการจัดทำรายการนี้ยังไงเสียก็ต้องเป็นฝีมือของ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โดยมีรูปแบบจำลองมาจากรายการ "ตามหาแก่นธรรม" ที่เคยออกอากาศแพร่ภาพเล่นงานวัดพระธรรมกายเมื่อหลายปีก่อน หวังว่าพี่น้องชาวพุทธคงจะจำได้ วันนี้ เขากลับมาอีกแล้ว เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เขากลับมาในรายการถล่มทักษิณ เพื่อไม่ให้เสียเวลาผมขอเข้าเรื่องเสียเลย ดังนี้
พิธีกรชายหน้าตาคมเข้มคนนั้น พูดนำร่องแล้วถามคนชื่อ "ปานเทพ" พอถามปุ๊บก็บรรยายปั๊บ พูดจาใส่ร้ายป้ายปี "พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" แบบไม่มีความดีอะไรเลยแม้แต่น้อย รวมแล้วมีแต่ความเลว...เลวสุดสุด เรียกว่าบรรยายจักกี่ประโยคก็ตามไม่มีความดีเลย
นอกจากไม่มีความดีดังที่ผมเล่ามานี้ ยังตีความได้ว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นอันตรายอย่าง ร้ายแรงต่อประเทศชาติ บ้านเมือง ผมฟังแล้วงง นึกไม่ถึงเลยว่าสถานี NBT ได้ใช้เวทีของชาติ ทำลายคนในชาติเดียวกันร้าย แรงขนาดนี้
ต่อมา ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้ถามขึ้น ผมจำประโยคคำถามไม่ได้ แต่บนคำถามนี้ ได้ทำ ให้ น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ เก็บเอาคำถามมาบรรยายอย่างยืดยาวสรุปได้ความว่า "ตัวของ น.ต. ประ สงค์เอง ได้รู้เรื่องความไม่ดีของทักษิณมาเนิ่นนาน โดยได้เล่าว่าในสมัยนั้น ตัวของเขาเป็นเลขาธิการ ใหญ่ของหน่วยข่าวกรองได้รู้ความลี้ลับมามากแล้วได้พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของแผ่นดิน
เมื่อพูดอย่างนี้แล้วก็ได้พูดถึงมวลชนในภาคเหนือ และ ภาคอีสานว่า ระดับตำบลกับระดับเมือง ทั้งหลายนั้นรู้จักความเลวของทักษิณชัดเจน แต่ในระดับหมู่บ้าน ยังไม่ดีขึ้น อันแสดงให้เข้าใจว่าชาว บ้านยังพากันรักทักษิณอยู่ จึงถือได้ว่ายังไม่ดีขึ้น
นายแพทย์เกษม ตันติผลาชีวะ ได้พูดในเชิงแพทย์วิทยา บอกอาการผิดปกติหลายประโยค สรุปแล้วถือว่าเป็นการ "ใบ้ทำลาย" ทักษิณ ซึ่งเป็นการใช้วิชาแพทย์เข้ามาช่วยเป็นหลักให้ประชาชนผู้ รับชมและรับฟังเกิดความคล้อยตาม จะได้เชื่อว่า "พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" มีต่อมที่เป็นตัวพิษ คอยปล่อยออกมาให้ดำเนินการที่ผิดพลาด
ยังมีชายผู้สุงอายุอีกท่านหนึ่ง พูดถึงการใช้คำว่าการดื่มน้ำพิพัฒน์ฯ ต่อหน้าพระพักตร์ ดื่มแล้วกลับทรยศ ไม่มีความจงรักภักดีอะไรทำนองนั้น
ผมได้ยินคำพูดประโยคสำคัญที่รายการนี้ได้กล่าวตรงกันก็คือ การกล่าวว่า ถ้าไม่มีคนชื่อ ทักษิณ เสียคนเดียว ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ผมได้ฟังแล้วแสนจะตกใจ เพราะคำพูดเช่นนี้หมายถึง การสื่อให้สังคมไทยทั้งสังมคมรู้ทราบกันเอาไว้ว่าอย่าปล่อยให้ทักษิณ ชินวัตร มีลมหายใจอยู่ต่อไป จะต้องช่วยกันหาทางทำลายให้สิ้นไปจากแผ่นดิน
หลังจากได้รับฟังทีวี NBT รายการนี้ผ่านไปประมาณ ๕ นาที ผมนั่งงงอยู่อีกอึดใจหนึ่ง ผมรู้สึกหดหู่ มองไม่เห็นเส้นทางของความสามัคคีว่าเดินทางมาบรรจบพบกันได้อย่างไร ผมว่ารายการที่ ว่านี้ รัฐบาล (พรรคประชาธิปัตย์) ทำไมจึงไม่ห้ามหรือว่าเป็นผู้สร้างพล้อท และสร้างสคริป อยู่เบื้องหลัง
หากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ขัดขวาง ไม่ประกาศห้าม ก็จะทำให้พวกนี้ใช้เวทีโทรทัศน์ของชาติ เอาไปบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ
คน ๒ คนทื่ผมยังจำติดหูติดตาก็คือ น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ กับ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง พากัน คัดค้านขัดขวางไม่ให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนุญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วได้อภิปราย โน้มน้าวจิตใจผู้คนให้เห็นคล้อยถามว่า ถ้าทำอย่างนั้น จะทำให้เกิดความแตกแยก
วันนี้ ชาย ๒ คนทีว่านี้กำลังมาในบทบาทใหม่ ขัดขวางการสร้างความสมานฉันท์ ผมเชื่อว่าอำมาตย์ทั้งหลายเข้าข้างเจิมศักดิ์และเข้าข้างพวกที่ด่าทักษิณ
ถ้ายังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ทำนายล่วงหน้าได้เลยว่า ความเลวร้ายกำลังจะสุกงอม...หากสุก งอมเต็มที่เมื่อใด เมื่อนั้น ประเทศไทยจะนองเลือดสมเจตนาของพวกที่ต้องการล้มเจ้าให้หมดไปจากสยาม ?!
จบบทที่ ๗ สอาด จันทร์ดี
พิธีกรชายหน้าตาคมเข้มคนนั้น พูดนำร่องแล้วถามคนชื่อ "ปานเทพ" พอถามปุ๊บก็บรรยายปั๊บ พูดจาใส่ร้ายป้ายปี "พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" แบบไม่มีความดีอะไรเลยแม้แต่น้อย รวมแล้วมีแต่ความเลว...เลวสุดสุด เรียกว่าบรรยายจักกี่ประโยคก็ตามไม่มีความดีเลย
นอกจากไม่มีความดีดังที่ผมเล่ามานี้ ยังตีความได้ว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นอันตรายอย่าง ร้ายแรงต่อประเทศชาติ บ้านเมือง ผมฟังแล้วงง นึกไม่ถึงเลยว่าสถานี NBT ได้ใช้เวทีของชาติ ทำลายคนในชาติเดียวกันร้าย แรงขนาดนี้
ต่อมา ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้ถามขึ้น ผมจำประโยคคำถามไม่ได้ แต่บนคำถามนี้ ได้ทำ ให้ น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ เก็บเอาคำถามมาบรรยายอย่างยืดยาวสรุปได้ความว่า "ตัวของ น.ต. ประ สงค์เอง ได้รู้เรื่องความไม่ดีของทักษิณมาเนิ่นนาน โดยได้เล่าว่าในสมัยนั้น ตัวของเขาเป็นเลขาธิการ ใหญ่ของหน่วยข่าวกรองได้รู้ความลี้ลับมามากแล้วได้พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของแผ่นดิน
เมื่อพูดอย่างนี้แล้วก็ได้พูดถึงมวลชนในภาคเหนือ และ ภาคอีสานว่า ระดับตำบลกับระดับเมือง ทั้งหลายนั้นรู้จักความเลวของทักษิณชัดเจน แต่ในระดับหมู่บ้าน ยังไม่ดีขึ้น อันแสดงให้เข้าใจว่าชาว บ้านยังพากันรักทักษิณอยู่ จึงถือได้ว่ายังไม่ดีขึ้น
นายแพทย์เกษม ตันติผลาชีวะ ได้พูดในเชิงแพทย์วิทยา บอกอาการผิดปกติหลายประโยค สรุปแล้วถือว่าเป็นการ "ใบ้ทำลาย" ทักษิณ ซึ่งเป็นการใช้วิชาแพทย์เข้ามาช่วยเป็นหลักให้ประชาชนผู้ รับชมและรับฟังเกิดความคล้อยตาม จะได้เชื่อว่า "พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" มีต่อมที่เป็นตัวพิษ คอยปล่อยออกมาให้ดำเนินการที่ผิดพลาด
ยังมีชายผู้สุงอายุอีกท่านหนึ่ง พูดถึงการใช้คำว่าการดื่มน้ำพิพัฒน์ฯ ต่อหน้าพระพักตร์ ดื่มแล้วกลับทรยศ ไม่มีความจงรักภักดีอะไรทำนองนั้น
ผมได้ยินคำพูดประโยคสำคัญที่รายการนี้ได้กล่าวตรงกันก็คือ การกล่าวว่า ถ้าไม่มีคนชื่อ ทักษิณ เสียคนเดียว ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ผมได้ฟังแล้วแสนจะตกใจ เพราะคำพูดเช่นนี้หมายถึง การสื่อให้สังคมไทยทั้งสังมคมรู้ทราบกันเอาไว้ว่าอย่าปล่อยให้ทักษิณ ชินวัตร มีลมหายใจอยู่ต่อไป จะต้องช่วยกันหาทางทำลายให้สิ้นไปจากแผ่นดิน
หลังจากได้รับฟังทีวี NBT รายการนี้ผ่านไปประมาณ ๕ นาที ผมนั่งงงอยู่อีกอึดใจหนึ่ง ผมรู้สึกหดหู่ มองไม่เห็นเส้นทางของความสามัคคีว่าเดินทางมาบรรจบพบกันได้อย่างไร ผมว่ารายการที่ ว่านี้ รัฐบาล (พรรคประชาธิปัตย์) ทำไมจึงไม่ห้ามหรือว่าเป็นผู้สร้างพล้อท และสร้างสคริป อยู่เบื้องหลัง
หากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ขัดขวาง ไม่ประกาศห้าม ก็จะทำให้พวกนี้ใช้เวทีโทรทัศน์ของชาติ เอาไปบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ
คน ๒ คนทื่ผมยังจำติดหูติดตาก็คือ น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ กับ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง พากัน คัดค้านขัดขวางไม่ให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนุญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วได้อภิปราย โน้มน้าวจิตใจผู้คนให้เห็นคล้อยถามว่า ถ้าทำอย่างนั้น จะทำให้เกิดความแตกแยก
วันนี้ ชาย ๒ คนทีว่านี้กำลังมาในบทบาทใหม่ ขัดขวางการสร้างความสมานฉันท์ ผมเชื่อว่าอำมาตย์ทั้งหลายเข้าข้างเจิมศักดิ์และเข้าข้างพวกที่ด่าทักษิณ
ถ้ายังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ทำนายล่วงหน้าได้เลยว่า ความเลวร้ายกำลังจะสุกงอม...หากสุก งอมเต็มที่เมื่อใด เมื่อนั้น ประเทศไทยจะนองเลือดสมเจตนาของพวกที่ต้องการล้มเจ้าให้หมดไปจากสยาม ?!
จบบทที่ ๗ สอาด จันทร์ดี
บทที่ 8 สื่อไทยเซ็งชะตากรรมประเทศ
บทที่ ๘ ตอน : สื่อไทยเซ็งชะตากรรมประเทศ ?!
วันนี้...๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ผมได้รบกวนสมาธิท่านผู้อ่านผ่านไปแล้ว ๗ บท เขียนบทที่ ๗ ผ่านไปไม่ถึง ๑๐ ชั่วโมง ก็ได้อ่าน "บทความ" ในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ แต่ละฉบับต่างพากันโวยวายว่าทำไมประเทศไทยจึงเต็มไปด้วยปัญหาร้อยแปดผมจึงเขียนบทที่ ๘ ส่งตามมา
หนังสือพิมพ์รายวันเหล่านั้น ประกอบด้วย ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน ข่าวสด สยามรัฐ บ้านเมือง บางกอกทูเดย์ และอื่นๆ ผมพลิกอ่าน "ควมเห็น" ของคอลัมนิสต์ที่ผมชื่นชอบด้วยความพิเคราะห์ ถ้าจะเปรียบถึงการใช้สติปัญญาพิเคราะห์ จะมีอาการเหมือน "นกแก้ว-นกขุนทอง"พยายามเอียงคอ ตะแคงหูไปทางต้นเสียงที่ได้ยินจากเจ้าของ เพื่อจะจดจำคำพูดซ้ำซากเอามาพูดเหมือนมนุษย์
- แก้วจ๋า - แก้วจ๋า นกแก้วจำเสียงมนุษย์จนสามารถเลียนแบบได้ผมก็สามารถจดจำ "ลีลา" ของคอลัมนิสต์ได้เป็นรายบุคคลแต่ท่านผู้อ่านไม่ต้องถามดอกครับว่าผมจดจำลีลาของใครบ้าง เพราะไม่อยากให้ผมกับเขามองหน้ากันไม่ติด
ทั้งนี้เนื่องจาก "แนวคิด" ของคอลัมนิสต์เมืองไทยส่วนใหญ่ยังคงติดยึดอยู่กับระบอบเผด็จการ จึงทำให้ "นักเขียนรายวัน" ที่เข้าท่าหลายคน ไม่มีค่าต่อประชาธิปไตย เช่น เขาเขียนว่าบ้านเมืองของประเทศไทยมีชะตากรรมอะไรไม่รู้่เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว เมื่อ ก่อน มีปัญหา ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ไปตรวจงานราชการที่ภาคใต้ไม่ได้ นายกสมัคร สุนทรเวช ถูก ตราหน้าว่าเป็นนอมินี่ นายกสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ต้องเจอกับมือตบที่บ้านเกิดเกิดเหตุการณ์อะไรต่อมิอะไร
ผ่านวันเวลามานานโข นึกว่าเรื่องมันจะจบ ก็ยังไม่จบ เห็นไหมรมว. กระทรวงสาธารณสุข "นายวิทยา แก้วภราดัย" ไปถูกขับไล่ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ ยังไม่รู้ว่าวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ คนเสื้อแดงจะไปขับไล่นายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ จังหวัดบุรีรัมย์หรือไม่
เหตุร้ายทางการเมืองเกิดรายวัน บ้านเมืองไม่สงบสุข แถมยังมีหวัด ๒๐๐๙กระแทกเข้ามาอีก ..ประชาชนแทบจะไม่พื้นที่ยืนเอาชีวิตรอดแล้วครับ
ว่าแล้วก็บ่นเป๋นหมีกินผึ่ง สุดท้ายไปจบลงที่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการกล่าวหาว่าเป็นต้น เหตุของปัญหาทั้งหมด แล้วสรุปว่า ถ้าไม่มีทักษิณ หรือเอาทักษิณ มาลงโทษได้ บ้านเมืองคงจะสูงขึ้นศอกนึง จะทำให้นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ ได้ใช้ฝีไม้ลายมือบริหารประเทศชาติให้รอดพ้นจากภาวะ วิกฤติ ทั้งทางการเมือง การเศรษฐกิจ และการทหาร
ผมอ่านความเห็นของ "คอลัมนิสต์" ด้วยความสมเพชเวทนาว่า จนป่านนี้ยังมองไม่เห็นต้นเหตุของปัญหา พวกเขายังคง "โจมตี" และกล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นต้นเหตุ เมื่อบ้านเมืองมีปัญหามากมาย หาทางออกไม่ได้ ก็มองไปที่การ "กำจัด" ทักษิณให้สิ้นซาก ด้วยการกล่าวว่าถ้าไม่มีทักษิณหรือเอาทักษิณมาลงโทษได้ บ้านเมืองจะดีขึ้น
ผมขอกล่าวว่า ต้นตอของปัญหาไม่ได้เกิดจากทักษิณ แต่มันเกิดมาจาก พวกเผด็จการมหาอำมาตย์ทั้งหลาย เกรงว่า ตัวเองจะหมดอำนาจทางการเมือง จึงหาทางกำจัดทักษิณ ด้วยการยึดอำนาจ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รวมทั้งมีแผนร้าย จะทำลายสถาบัน แล้วได้ใช้อำนาจเผด็จการ ทำให้คน ไทยขัดแย้งกันทางความคิด เมื่อยึดอำนาจได้แล้ว ก็แต่งตั้งรัฐบาลเถื่อน เขียนรัฐธรรมนูญ เขียนกติกาใหม่ เพื่อจะสร้างพวกพ้องของตัวเองให้ได้สิทธิในการ "ควบคุมประเทศ"
เมื่อเขาสร้างสำเร็จ ก็ได้หักดิบ พรรคการเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่เทคะแนนให้ แล้วแห่ไปชูพรรคการเมืองเสียงข้างน้อย อาศัยรัฐบาลที่หักดิบเขามาทำอะไรไม่เป็น นับแต่บริหารประเทศมาเกือบ ๗ เดือน มีแต่เลวลง และแย่ลงประชาชนในประเทศได้รับผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้า แม้แต่คนรวยก็ไม่เว้น
เมื่อประเทศไทยพบกับชะตากรรมเช่นนี้ แทนที่จะตำหนิ รัฐบาลเผด็จการกลับยังคงงมโข่งอยู่กับความเท็จ ยังคง คิดจะไปไล่ล่าจับเอาตัวทักษิณมาลงโทษ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงกล่าวได้เลยว่า สื่อในประเทศไทยมิได้มี วิสัยทัศน์ทางประชาธิปไตย มิได้แยกแยะใน ความชั่ว - ความดี ที่พวกเผด็จการก่อกรรมทำบาปเอาไว้กับประเทศ
การกล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าฝักใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี มันได้ก่อปัญหาทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศเกิดความ ร้าวฉานไปทั้งแผ่นดิน สิ่งเหล่านี้ คือลักษณะไม่มีวิสัยทัศน์ของสื่อไทย
ทำไมสื่อไทยจึงไม่ลงโทษต้นตอของปัญหา ทำไมจึงไปเห็นดีเห็นงามกับเผด็จการ นึกบ้างไหมว่า ๒ - ๓ ปี ยึดอำนาจหนึ่ง / ๔ - ๕ ปี เอาทหารมาทุบรัฐบาลให้พังลง แล้วสร้างหลักการเงื่อนไขขึ้นมาใหม่ พวกเขาทำอยู่อย่างนี้ เนิ่นนานเกือบ ๑๐๐ ปี ยังคงย่ำต๊อกอยู่กับเผด็จการ
เมื่อเผด็จการสร้างประเทศไม่เป็น เผด็จการกลายเป็นคนทำลายชาติ แทนที่จะด่าเผด็จการ กลับโวยวายว่าทักษิณ เป็นต้นเหตุ...
นี้ไงคืออาการดิบ ของสื่อในประเทศไทย. แล้วยังมีหน้ามาเซ็งกับประเทศไทย...สื่อเอ๋ย ดูต้วเองเสียบ้าง
จบบทที่ ๘ / : สอาด จันทร์ดี
วันนี้...๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ผมได้รบกวนสมาธิท่านผู้อ่านผ่านไปแล้ว ๗ บท เขียนบทที่ ๗ ผ่านไปไม่ถึง ๑๐ ชั่วโมง ก็ได้อ่าน "บทความ" ในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ แต่ละฉบับต่างพากันโวยวายว่าทำไมประเทศไทยจึงเต็มไปด้วยปัญหาร้อยแปดผมจึงเขียนบทที่ ๘ ส่งตามมา
หนังสือพิมพ์รายวันเหล่านั้น ประกอบด้วย ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน ข่าวสด สยามรัฐ บ้านเมือง บางกอกทูเดย์ และอื่นๆ ผมพลิกอ่าน "ควมเห็น" ของคอลัมนิสต์ที่ผมชื่นชอบด้วยความพิเคราะห์ ถ้าจะเปรียบถึงการใช้สติปัญญาพิเคราะห์ จะมีอาการเหมือน "นกแก้ว-นกขุนทอง"พยายามเอียงคอ ตะแคงหูไปทางต้นเสียงที่ได้ยินจากเจ้าของ เพื่อจะจดจำคำพูดซ้ำซากเอามาพูดเหมือนมนุษย์
- แก้วจ๋า - แก้วจ๋า นกแก้วจำเสียงมนุษย์จนสามารถเลียนแบบได้ผมก็สามารถจดจำ "ลีลา" ของคอลัมนิสต์ได้เป็นรายบุคคลแต่ท่านผู้อ่านไม่ต้องถามดอกครับว่าผมจดจำลีลาของใครบ้าง เพราะไม่อยากให้ผมกับเขามองหน้ากันไม่ติด
ทั้งนี้เนื่องจาก "แนวคิด" ของคอลัมนิสต์เมืองไทยส่วนใหญ่ยังคงติดยึดอยู่กับระบอบเผด็จการ จึงทำให้ "นักเขียนรายวัน" ที่เข้าท่าหลายคน ไม่มีค่าต่อประชาธิปไตย เช่น เขาเขียนว่าบ้านเมืองของประเทศไทยมีชะตากรรมอะไรไม่รู้่เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว เมื่อ ก่อน มีปัญหา ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ไปตรวจงานราชการที่ภาคใต้ไม่ได้ นายกสมัคร สุนทรเวช ถูก ตราหน้าว่าเป็นนอมินี่ นายกสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ต้องเจอกับมือตบที่บ้านเกิดเกิดเหตุการณ์อะไรต่อมิอะไร
ผ่านวันเวลามานานโข นึกว่าเรื่องมันจะจบ ก็ยังไม่จบ เห็นไหมรมว. กระทรวงสาธารณสุข "นายวิทยา แก้วภราดัย" ไปถูกขับไล่ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ ยังไม่รู้ว่าวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ คนเสื้อแดงจะไปขับไล่นายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ จังหวัดบุรีรัมย์หรือไม่
เหตุร้ายทางการเมืองเกิดรายวัน บ้านเมืองไม่สงบสุข แถมยังมีหวัด ๒๐๐๙กระแทกเข้ามาอีก ..ประชาชนแทบจะไม่พื้นที่ยืนเอาชีวิตรอดแล้วครับ
ว่าแล้วก็บ่นเป๋นหมีกินผึ่ง สุดท้ายไปจบลงที่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการกล่าวหาว่าเป็นต้น เหตุของปัญหาทั้งหมด แล้วสรุปว่า ถ้าไม่มีทักษิณ หรือเอาทักษิณ มาลงโทษได้ บ้านเมืองคงจะสูงขึ้นศอกนึง จะทำให้นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ ได้ใช้ฝีไม้ลายมือบริหารประเทศชาติให้รอดพ้นจากภาวะ วิกฤติ ทั้งทางการเมือง การเศรษฐกิจ และการทหาร
ผมอ่านความเห็นของ "คอลัมนิสต์" ด้วยความสมเพชเวทนาว่า จนป่านนี้ยังมองไม่เห็นต้นเหตุของปัญหา พวกเขายังคง "โจมตี" และกล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นต้นเหตุ เมื่อบ้านเมืองมีปัญหามากมาย หาทางออกไม่ได้ ก็มองไปที่การ "กำจัด" ทักษิณให้สิ้นซาก ด้วยการกล่าวว่าถ้าไม่มีทักษิณหรือเอาทักษิณมาลงโทษได้ บ้านเมืองจะดีขึ้น
ผมขอกล่าวว่า ต้นตอของปัญหาไม่ได้เกิดจากทักษิณ แต่มันเกิดมาจาก พวกเผด็จการมหาอำมาตย์ทั้งหลาย เกรงว่า ตัวเองจะหมดอำนาจทางการเมือง จึงหาทางกำจัดทักษิณ ด้วยการยึดอำนาจ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รวมทั้งมีแผนร้าย จะทำลายสถาบัน แล้วได้ใช้อำนาจเผด็จการ ทำให้คน ไทยขัดแย้งกันทางความคิด เมื่อยึดอำนาจได้แล้ว ก็แต่งตั้งรัฐบาลเถื่อน เขียนรัฐธรรมนูญ เขียนกติกาใหม่ เพื่อจะสร้างพวกพ้องของตัวเองให้ได้สิทธิในการ "ควบคุมประเทศ"
เมื่อเขาสร้างสำเร็จ ก็ได้หักดิบ พรรคการเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่เทคะแนนให้ แล้วแห่ไปชูพรรคการเมืองเสียงข้างน้อย อาศัยรัฐบาลที่หักดิบเขามาทำอะไรไม่เป็น นับแต่บริหารประเทศมาเกือบ ๗ เดือน มีแต่เลวลง และแย่ลงประชาชนในประเทศได้รับผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้า แม้แต่คนรวยก็ไม่เว้น
เมื่อประเทศไทยพบกับชะตากรรมเช่นนี้ แทนที่จะตำหนิ รัฐบาลเผด็จการกลับยังคงงมโข่งอยู่กับความเท็จ ยังคง คิดจะไปไล่ล่าจับเอาตัวทักษิณมาลงโทษ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงกล่าวได้เลยว่า สื่อในประเทศไทยมิได้มี วิสัยทัศน์ทางประชาธิปไตย มิได้แยกแยะใน ความชั่ว - ความดี ที่พวกเผด็จการก่อกรรมทำบาปเอาไว้กับประเทศ
การกล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าฝักใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี มันได้ก่อปัญหาทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศเกิดความ ร้าวฉานไปทั้งแผ่นดิน สิ่งเหล่านี้ คือลักษณะไม่มีวิสัยทัศน์ของสื่อไทย
ทำไมสื่อไทยจึงไม่ลงโทษต้นตอของปัญหา ทำไมจึงไปเห็นดีเห็นงามกับเผด็จการ นึกบ้างไหมว่า ๒ - ๓ ปี ยึดอำนาจหนึ่ง / ๔ - ๕ ปี เอาทหารมาทุบรัฐบาลให้พังลง แล้วสร้างหลักการเงื่อนไขขึ้นมาใหม่ พวกเขาทำอยู่อย่างนี้ เนิ่นนานเกือบ ๑๐๐ ปี ยังคงย่ำต๊อกอยู่กับเผด็จการ
เมื่อเผด็จการสร้างประเทศไม่เป็น เผด็จการกลายเป็นคนทำลายชาติ แทนที่จะด่าเผด็จการ กลับโวยวายว่าทักษิณ เป็นต้นเหตุ...
นี้ไงคืออาการดิบ ของสื่อในประเทศไทย. แล้วยังมีหน้ามาเซ็งกับประเทศไทย...สื่อเอ๋ย ดูต้วเองเสียบ้าง
จบบทที่ ๘ / : สอาด จันทร์ดี
บทที่ 9 รูปร่างหน้าตาเผด็จการในประเทศไทย
บทที่ ๙ ตอน : รูปร่างหน้าตาเผด็จการในประเทศไทย
ท่านผู้อ่านโปรดทราบ...ผมมีภารกิจ ต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะอยู่หลายวัน ผมจึงเขียนบทที่ ๙ ส่งมาให้อ่าน "ล่วงหน้า" ดังนี้ครับ
ขอเริ่มว่า "ท่านทั้งหลาย" ย่อมจะได้ยินจนเบื่อ เช้าก็เผด็จการ เย็นก็เผด็จการ ทำราวกับว่าประเทศไทยของเรานี้มิได้มี "ประชาธิปไตย" เอาไว้ติดประเทศเลยซึ่งจะสวนกับความรู้สึกของประชาชนในประเทศไทยว่า เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยเต็มเปี่ยม จริงหรือ แต่บนภาพที่ได้พบเห็นนั้นพบว่ายังมีบุคคลบางพวก บางตระกูล จะทำอะไร ก็สามารถทำได้ไม่ต้องเกรงกลัวความผิด ดังเช่นพวกพันธมิตร สันติอโศกพรรคมะแลงสาบ และทหารใหญ่ อำมาตย์ใหญ่ เป็นต้น
แน่นอนที่สุด คนที่มั่งคั่งร่ำรวย มีอำนาจล้นเหลือ ได้รับประโยชน์จากประเทศไทยมากมายมหาศาล ก็จะเห็นว่าประเทศนี้มีประชาธิปไตย แต่สำหรับคนไทยที่ยากจน ชนชั้นกลาง รวมทั้งพวกรากหญ้าทั้งหลายจะพากันคร่ำครวญว่าประเทศไทย ไม่มีประชาธิปไตย มันมีแต่ระบอบเผด็จการ เอารัดเอาเปรียบ กดขี่ขูดรีดชีวิตเต็มไปด้วย ควาแร้นแค้นแสนสาหัส คนที่ยากจน ก็จะพากันกล่าวว่าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย
เรื่องนี้ ผมขออนุญาตแสดงตนเป็นผู้อธิบายความเกี่ยวกับ "ปัญหาประชาธิปไตย"เพื่อเป็นการถ่ายทอด บอกกล่าวเล่าเรื่อง และสาธยายเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของระบอบเผด็จการให้แก่สังคมไทยได้รับเอาไปวางลงต่อหน้า แล้วช่วยกันวิเคระห์ว่าเผด็จการมีอยู่จริงหรือเปล่า ?!
ก่อนที่จะว่าต่อไป ผมขอนำท่านย้อนกลับไปสู่อดีต ก่อนปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ อันเป็นยุคพระเจ้าแผ่นดินทรงอยู่เหนือกฏหมาย เรียกว่าระบอบ "สมบูรณาญาสิทธิราช" อันหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็น "รัฐาธิปัตย์" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "กษัตราธิปไตย" ระบอบกษัตราธิปไตยครองประเทศยาวนานมากกว่า ๒,๐๐๐ ปี จึงได้มีบุคคลคณะหนึ่งเรียกว่าคณะราษฎร มีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้า ตามด้วย นายปรีดี พนมยงค์ พันตรี ป. พิบูลย์สงคราม และคนอื่นๆอีก ๖ - ๗ คน ได้ร่วมกัน"ยึดอำนาจการปกครอง" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แล้วกราบบังคมทูลให้เสด็จลงมาอยู่ใต้กฏหมาย เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยอันมี กษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข ให้ราษฎรทั้งหลายเป็นเจ้าของ "รัฐาธิปัตย์" ซึ่งต่อมาได้ถูกเรียกขานว่าประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
นับแต่นั้นเป็นต้นมา คำว่า "ประชาธิปไตย" ได้กลายเป็นสิ่งงดงาม เป็นที่ปรารถนาของประชาชน แต่เอาเข้าจริง อำนาจ "อธิปไตย" (รัฐาธิปัตย์) ตกไม่ถึงมือประชาชน ผลปรากฏว่าพวกอำมาตย์ทั้งหลาย อันมีทั้งอำมาตย์หลวง และอำมาตย์เอกชน (นายทุน - ขุนศึก) ต่างพากันอิ่มหมีพีมัน อ้วนท้วน สมบูรณ์ มีอำนาจกอบโกย "ประชาธิปไตย" สุดแต่ใจจะปรารถนา
เมื่อกอบโกยโดยวิธีธรรมดาไม่ได้ ก็จะอาศัย "รถถัง" ลากออกมาจากกรมกองแล้วบุกเข้ายึดอำนาจ ทำลายองค์กรจัดตั้งของระบอบประชาธิปไตย เช่น ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเขี่ียนายกรัฐมนตรีที่มา จากการเลือกตั้ง แล้วแต่งตั้งคนของตนเอาขึ้นมาครองอำนาจแทน
การเข้าครอบครองทั้งหลายทั้งปวงดังว่า ประชาชนชาวบานไม่เคยคัดค้านขัดขวางแม้จะทำแล้วทำอีกรวมมากกว่า ๒๗ ครั้งในรอบ ๗๗ ปี ก็ไม่ว่าอะไร เมื่อเอาเครื่องคิดเลขมาจิ้มดูจะพบว่า ๒ ปีกับ ๘ เดือน "เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวไข้" กลายเป็นคนมีโรคออด ๆ แอด ๆ
ในรอบ ๗๗ ปี สิ่งที่เอื้ออำนวยให้ทหารทำปฏิวัติรัฐประหารบ่อยครั้งอย่างไม่กระดากอาย เกิดจากมีพวกพรรคการเมือง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย ต่างพากันเงียบ ไม่กล้าต่อต้าน ตรงกันข้าม เมื่อเขาหยิบยื่นตำแหน่ง "สภานิติบัญญัติ" หรือ "ตำแหน่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง" ก็จะพากันอ้าแขนรับ ทำให้ทหารเกิดความสะดวกโยธินในการใช้ระบอบเผด็จการตักตวงผลประโยชน์อย่างสนุกสนาน
มาถึงวันนี้ เมื่อคนเสื้อแดงไม่ยมอก้มหัวให้ คนเสื้อแดง แดงเต็มแผ่นดินออกมาต่อต้านทหาร เผด็จการ ทำให้ทหารเกิดความโกรธ เกลียด และชิงชังคนเสื้อแดงแล้วได้ใช้งบประมาณมากมาย ลงไปหว่านในหมู่ประชาชนคนรากหญ้า เพื่อจะสอนให้ประชาชนเกิดความรัก ความชื่นชม ในหมู่ของพวกเขา พวกเขาจะทำ สำเร็จหรือไม่ ไม่นานคงได้รู้ว่าหมู่หรือจ่า
ที่ผมอธิบายมานี้ พอจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเผด็จการขึ้นมาบ้างแล้วถ้าจะมองเห็นลึกเข้าไป ถึง "รากเหง้า"เราจะพบว่าพวกเขาได้เสียกันโดยไม่เห็นแก่ ประเทศชาติ และ ไม่เห็นแก่ประชาชน
พวกเขาชื่นชมประเทศไทยว่าเป็นประชาธิปไตยก็เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายได้ได้แล้วได้อีก ได้ตลอด ๗๗ ปี และจะได้ในอีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า
สิ่งที่พวกเผด็จการพากันได้ทั้งหมดนั้น ได้เบียดเบียนความสุขของประชาชนเบียดเบียนประเทศ ขาติ ไม่ให้มีความเจริญก้าวหน้า ไม่มี "รัฐสวัสดิการ" ให้แก่คนรากหญ้าเพราะพวกเขาได้ทุกสิ่งทุก อย่าง ไม่มีอะไรตกหล่น แถมแม้ว่าจะมีฃความผิด ก็ไม่เกรงกลัวความผิด ดังเช่น กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อย่าว่าแต่กษิตเลยแม้แต่ตัวของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรีเองก็เป็นผู้นั่งทับระบอบเผด็จการเอาไว้เต็มก้น อำนาจที่ได้มานั้นได้มาจากวิธีการ "หักดิบ" ภายใต้วิธีการเผด็จการ
รูปร่างหน้าตาของเผด็จการ ดูไม่ยาก แต่ที่พากันดูยาก เนื่องจากสื่อสาร มวลชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะ เป็นวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ล้วนแต่พากันเป็นลูกหาบให้ทหารเผด็จการ
จึงกลายเป็นการเลี้ยงดูระบอบเผด็จการให้เติบโต ดีเหมือนกัน จะได้เห็นรูปร่างหน้าตาชัดเจนขึ้น จริงไหมขอรับ ?!
ท่านผู้อ่านโปรดทราบ...ผมมีภารกิจ ต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะอยู่หลายวัน ผมจึงเขียนบทที่ ๙ ส่งมาให้อ่าน "ล่วงหน้า" ดังนี้ครับ
ขอเริ่มว่า "ท่านทั้งหลาย" ย่อมจะได้ยินจนเบื่อ เช้าก็เผด็จการ เย็นก็เผด็จการ ทำราวกับว่าประเทศไทยของเรานี้มิได้มี "ประชาธิปไตย" เอาไว้ติดประเทศเลยซึ่งจะสวนกับความรู้สึกของประชาชนในประเทศไทยว่า เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยเต็มเปี่ยม จริงหรือ แต่บนภาพที่ได้พบเห็นนั้นพบว่ายังมีบุคคลบางพวก บางตระกูล จะทำอะไร ก็สามารถทำได้ไม่ต้องเกรงกลัวความผิด ดังเช่นพวกพันธมิตร สันติอโศกพรรคมะแลงสาบ และทหารใหญ่ อำมาตย์ใหญ่ เป็นต้น
แน่นอนที่สุด คนที่มั่งคั่งร่ำรวย มีอำนาจล้นเหลือ ได้รับประโยชน์จากประเทศไทยมากมายมหาศาล ก็จะเห็นว่าประเทศนี้มีประชาธิปไตย แต่สำหรับคนไทยที่ยากจน ชนชั้นกลาง รวมทั้งพวกรากหญ้าทั้งหลายจะพากันคร่ำครวญว่าประเทศไทย ไม่มีประชาธิปไตย มันมีแต่ระบอบเผด็จการ เอารัดเอาเปรียบ กดขี่ขูดรีดชีวิตเต็มไปด้วย ควาแร้นแค้นแสนสาหัส คนที่ยากจน ก็จะพากันกล่าวว่าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย
เรื่องนี้ ผมขออนุญาตแสดงตนเป็นผู้อธิบายความเกี่ยวกับ "ปัญหาประชาธิปไตย"เพื่อเป็นการถ่ายทอด บอกกล่าวเล่าเรื่อง และสาธยายเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของระบอบเผด็จการให้แก่สังคมไทยได้รับเอาไปวางลงต่อหน้า แล้วช่วยกันวิเคระห์ว่าเผด็จการมีอยู่จริงหรือเปล่า ?!
ก่อนที่จะว่าต่อไป ผมขอนำท่านย้อนกลับไปสู่อดีต ก่อนปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ อันเป็นยุคพระเจ้าแผ่นดินทรงอยู่เหนือกฏหมาย เรียกว่าระบอบ "สมบูรณาญาสิทธิราช" อันหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็น "รัฐาธิปัตย์" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "กษัตราธิปไตย" ระบอบกษัตราธิปไตยครองประเทศยาวนานมากกว่า ๒,๐๐๐ ปี จึงได้มีบุคคลคณะหนึ่งเรียกว่าคณะราษฎร มีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้า ตามด้วย นายปรีดี พนมยงค์ พันตรี ป. พิบูลย์สงคราม และคนอื่นๆอีก ๖ - ๗ คน ได้ร่วมกัน"ยึดอำนาจการปกครอง" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แล้วกราบบังคมทูลให้เสด็จลงมาอยู่ใต้กฏหมาย เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยอันมี กษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข ให้ราษฎรทั้งหลายเป็นเจ้าของ "รัฐาธิปัตย์" ซึ่งต่อมาได้ถูกเรียกขานว่าประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
นับแต่นั้นเป็นต้นมา คำว่า "ประชาธิปไตย" ได้กลายเป็นสิ่งงดงาม เป็นที่ปรารถนาของประชาชน แต่เอาเข้าจริง อำนาจ "อธิปไตย" (รัฐาธิปัตย์) ตกไม่ถึงมือประชาชน ผลปรากฏว่าพวกอำมาตย์ทั้งหลาย อันมีทั้งอำมาตย์หลวง และอำมาตย์เอกชน (นายทุน - ขุนศึก) ต่างพากันอิ่มหมีพีมัน อ้วนท้วน สมบูรณ์ มีอำนาจกอบโกย "ประชาธิปไตย" สุดแต่ใจจะปรารถนา
เมื่อกอบโกยโดยวิธีธรรมดาไม่ได้ ก็จะอาศัย "รถถัง" ลากออกมาจากกรมกองแล้วบุกเข้ายึดอำนาจ ทำลายองค์กรจัดตั้งของระบอบประชาธิปไตย เช่น ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเขี่ียนายกรัฐมนตรีที่มา จากการเลือกตั้ง แล้วแต่งตั้งคนของตนเอาขึ้นมาครองอำนาจแทน
การเข้าครอบครองทั้งหลายทั้งปวงดังว่า ประชาชนชาวบานไม่เคยคัดค้านขัดขวางแม้จะทำแล้วทำอีกรวมมากกว่า ๒๗ ครั้งในรอบ ๗๗ ปี ก็ไม่ว่าอะไร เมื่อเอาเครื่องคิดเลขมาจิ้มดูจะพบว่า ๒ ปีกับ ๘ เดือน "เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวไข้" กลายเป็นคนมีโรคออด ๆ แอด ๆ
ในรอบ ๗๗ ปี สิ่งที่เอื้ออำนวยให้ทหารทำปฏิวัติรัฐประหารบ่อยครั้งอย่างไม่กระดากอาย เกิดจากมีพวกพรรคการเมือง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย ต่างพากันเงียบ ไม่กล้าต่อต้าน ตรงกันข้าม เมื่อเขาหยิบยื่นตำแหน่ง "สภานิติบัญญัติ" หรือ "ตำแหน่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง" ก็จะพากันอ้าแขนรับ ทำให้ทหารเกิดความสะดวกโยธินในการใช้ระบอบเผด็จการตักตวงผลประโยชน์อย่างสนุกสนาน
มาถึงวันนี้ เมื่อคนเสื้อแดงไม่ยมอก้มหัวให้ คนเสื้อแดง แดงเต็มแผ่นดินออกมาต่อต้านทหาร เผด็จการ ทำให้ทหารเกิดความโกรธ เกลียด และชิงชังคนเสื้อแดงแล้วได้ใช้งบประมาณมากมาย ลงไปหว่านในหมู่ประชาชนคนรากหญ้า เพื่อจะสอนให้ประชาชนเกิดความรัก ความชื่นชม ในหมู่ของพวกเขา พวกเขาจะทำ สำเร็จหรือไม่ ไม่นานคงได้รู้ว่าหมู่หรือจ่า
ที่ผมอธิบายมานี้ พอจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเผด็จการขึ้นมาบ้างแล้วถ้าจะมองเห็นลึกเข้าไป ถึง "รากเหง้า"เราจะพบว่าพวกเขาได้เสียกันโดยไม่เห็นแก่ ประเทศชาติ และ ไม่เห็นแก่ประชาชน
พวกเขาชื่นชมประเทศไทยว่าเป็นประชาธิปไตยก็เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายได้ได้แล้วได้อีก ได้ตลอด ๗๗ ปี และจะได้ในอีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า
สิ่งที่พวกเผด็จการพากันได้ทั้งหมดนั้น ได้เบียดเบียนความสุขของประชาชนเบียดเบียนประเทศ ขาติ ไม่ให้มีความเจริญก้าวหน้า ไม่มี "รัฐสวัสดิการ" ให้แก่คนรากหญ้าเพราะพวกเขาได้ทุกสิ่งทุก อย่าง ไม่มีอะไรตกหล่น แถมแม้ว่าจะมีฃความผิด ก็ไม่เกรงกลัวความผิด ดังเช่น กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อย่าว่าแต่กษิตเลยแม้แต่ตัวของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรีเองก็เป็นผู้นั่งทับระบอบเผด็จการเอาไว้เต็มก้น อำนาจที่ได้มานั้นได้มาจากวิธีการ "หักดิบ" ภายใต้วิธีการเผด็จการ
รูปร่างหน้าตาของเผด็จการ ดูไม่ยาก แต่ที่พากันดูยาก เนื่องจากสื่อสาร มวลชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะ เป็นวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ล้วนแต่พากันเป็นลูกหาบให้ทหารเผด็จการ
จึงกลายเป็นการเลี้ยงดูระบอบเผด็จการให้เติบโต ดีเหมือนกัน จะได้เห็นรูปร่างหน้าตาชัดเจนขึ้น จริงไหมขอรับ ?!
บทที่ 10 โจรก่อการร้ายพูโล เลือกตั้งหัวหน้าใหญ่คนใหม่
บทที่ ๑๐ ตอน : โจรก่อการร้าย พูโล เลือกตั้งหัวหน้าใหญ่คนใหม่ ?!
ดังที่ผมได้เรียนกับท่านผู้อ่านเอาไว้ว่า ผมมีภารกิจเดินทางไปใต้หลายวัน จึงได้เขียนบทที่ ๙ล่วงหน้านั้นแหละครับ ตอนนี้..อยู่เมืองใต้ จึงเขียนบทที่ ๑๐ จากชายแดนไทย ด้านที่ติดกับประเทศมาเลเซีย ระหว่างด่านสะเดา (กะยูฮีตัม)กับหาดใหญ่ต่อกัน
ขอเรียนให้ทราบว่าทันทีที่ออกมาจากสนามบินหาดใหญ่ คุณอนันท์ จันทรัตน์ บก. หนังสือพิมพ์มติไทย กับ "หน. กอง บก." คุณวาสนา แกล้วทนง หรือคุณกบ รับผมจากสนามบิน เดินทางไปกราบหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ณ วัดช้างให้ จังหวัดปัตตานีผมมองสองฝ่งทาง สังเกตุสถานการณ์ว่ามีอะไรแตกต่างจากเดิมบ้าง โดยมิได้ปริปากอะไรออกมา
บก. อนันท์ จันทรัตน์ ขับรถด้วยความเร็วพอประมาณ มีรถวิ่งตามมา ๒ - ๓ คัน ถนนจึงดูว่างและโล่งเตียน รถวิ่งผ่านนาหม่อมผ่านโรงไฟฟ้าจะนะ ประมาณ ๕ กม. แล้วแวะเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานแยกแก๊สจะนะ ที่ผมเคยเป็นผู้จัดการโครงการ [Project Manager] เมื่อครั้งก่อสร้างระหว่างปี ๒๕๔๖ - ๒๕๔๘ ซึ่งรับเหมาโดยบริษัทซัมซุง แล้วแบ่งซอยให้บริษัทเล็ก ๆ รับเหมาช่วงอีกต่อหนึ่ง
ที่โรงงานแยกแก๊สจะนะ ผมได้รู้จักกับเด็กหนุ่มอีสาน ที่เดินทางลงได้ รับจ้างกรีดยางแล้วได้แต่งงานกับ "ลูกสาว" ของอิหม่ามคนดังท่านหนึ่ง ต่อมาผมได้เรียกขานหนุ่มคนนี้ว่า"คีย์แมนโทน" แล้วนำฃื่อเรียกขานชื่อนี้เอาไปใช้กับการเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อหนังสือ กะเทาะเปลือกไฟใต้ ใครบงการ (หากท่านผู้ใดประสงค์จะอ่านหนังสือเล่มนี้ ท่านเปิดอ่านได้จาก Yahoo หรือ Google แล้วเข้าไปที่ "กะเทาะเปลือกไฟใต้ ใครบงการ" หรือเข้าไปที่"สอาด จันทร์ดี" ใน ๒ ชื่อนี้ แล้วคลิกอ่านได้เลยครับ
คีย์แมนโทน มาคอยพบผมที่นั่น ร่วมเดินทางไปปัตตานีด้วยกัน รถวิ่งผ่านสี่แยกเทพา กรือเซะ ผ่านค่ายอิงคยุทธแล้วเลี้ยวขวาไปที่วัดช้างให้ เมื่อเข้าไปถึงวัด รีบเข้าไปกราบหลวงปู่ทวด ทำบุญทำทานกับวัด กราบท่านเจ้าอาวาสตามประเพณีของชาวพุทธท่านเจ้าอาวาสบ่นให้ฟังมากมาย สรุปได้ความว่าญาติโยมไม่กล้ามาวัด การท่องเที่ยวตกต่ำขนาดหนัก ไม่มีคนมากเหมือนเมื่อก่อน ผมไม่แปลกใจกับสถานการณ์ท่องเที่ยวทรุดหนัก แลไม่แปลกใจที่การปราบปรามผู้ ก่อการร้ายไม่อาจสำเร็จลุล่วงไปได้ ผมคิดของผมในใจว่าการแก้ไขภาคใต้คงจะใช้เวลาไม่ น้อยกว่า ๓๐ ปี หรือ ๕๐ จึงจะสามารถทำให้ความเลวร้ายหมดไป
คีย์แมนโทน เริ่มให้ความรู้แก่ผม เขาเล่าเรื่องราวต่างๆมากมาย รวมทั้งได้เล่าว่าพวกโจรก่อการร้ายไปประชุมที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ การประชุมในครั้งนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะเป็นการประชุมเลือกตั้ง "หัวหน้าคนใหม่" ของกระบวนการโจรก่อการ้ายพูโล
พวกโจรพูโลประมาณ ๑๒๐ คน จัดประชุมขึ้นที่ รีสอร์ท บูเกะยือลาตัส ซาบาลันรัฐสลังงอร์ (ห่างจาก กัวลาลัมเปอร์ทางตอนใต้ ประมาณ ๑๐ กม.) เข้าใจว่ามีผู้สังเกตุการณ์มาจากหลายประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้ายใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันเดียวกันนั้น ที่ประชุมได้ลงมติ เลือกนาย กาแม ยูโซ๊ะ หรือ "อาแบ กาแม" หรือในชื่อที่ ๓ ว่า "กาแม ฮีเล" ขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนใหม่ของกระบวนโจรแบ่งแยกดินแดนจังหวัดปัตตานี
คีย์แมนโทน เล่าว่า พวกโจรพูโล เขาจะเรียกพวกเขาในชื่อที่สวยหรู เช่นเรียกว่า "นักรบพระเจ้า" อะไรทำนองนั้น แต่สำหรับผม ได้เรียกขานพวกเขาว่าโจรป่าห้าร้อยตั้งแต่เริ่มเขียนหนังสือมาจนถึงวันนี้
คีย์แมนโทนเล่าต่อไปว่า ที่ประชุมได้เลือก นายอูเซ็ง เป๊าะซูเซ็ง เป็นรองหัวหน้าและได้เลือกนายนายี ยือลอ เป็นเลขาธิการใหญ่ เลือก รุสลัน ฮัสยียูนุ หรือ "นาย รุสลัน ยามู แรแน เป็นผู้บัญชาการนักรบพระเจ้า (แม่ทัพใหญ่) มีอำนาจควบคุมนักรับทั้งหลายใน๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ สุดท้ายได้เลือกนายยาแซร์ ปาตาส เป็นเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ (คงจะเทียบเท่า กษิต ภิรมย์)
ผมรับฟังเรื่องราวด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ นึกไม่ถึงว่าประเทศไทยจะมีปัญหาแบ่งแยกดินแดนร้ายแรงขนาดนี้ ผมนึกของผมในใจว่า "ระบอบเผด็จการ" ได้ทำให้แผ่นดินแตกแยก แบ่งเป็นซ้ายเป็นขวา แบ่งแยกกันขนานใหญ่ และสุดท้ายได้เกิดมีเสื้อเหลือง เสื้อแดง และเสื้อสีน้ำเงิน เสื้อแต่ละสีไม่สามารถรวมกันติด ตรงกันข้าม มีแต่จะเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน
ผมไม่ได้ออกความเห็นอะไรกับคีย์แมนโทน รวมทั้งไม่ได้แสดงความเห็นอะไรกับคุณอนันท์ จันทรัตน์ เนื่องจากมันมีแต่ปัญหาค้ำลูกกระเดือก ทำให้พูดไม่ออก บอกไม่ถูก มันอัดตั้น สุดจะพรรณนาได้ จึงได้แต่พูดว่าเมื่อประเทศไทยเต็มไปด้วยพวกเผด็จการมันจะเข้าไปรุกรานความเจริญก้าวหน้าให้เสื่อมทรุดทั้งในกระบวนการเศรษฐกิจ และกระบวการ ทหาร การเมือง สุดท้าย มันจึงอึมครึม หาทางออกไม่เจอ...
หากไม่สามารถทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยได้ เรื่องร้ายก็จะมีอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
ท่านครับ ผมอยากเล่าให้ฟังสักเล็กน้อยว่า ถ้าเป็นเรื่องความขัดแย้งเกี่ยวกับพระ ศาสนาพุทธ กับศาสนาอิสลามจริงแล้วละก็ แก้ไม่ยากเลย เนื่องจากฝ่ายศาสนาพุทธไม่มีข้อแม้ด้วยประการทั้งปวง
ผมเชื่อว่าหากจะนำเอาเรื่องศาสนาที่ไม่เข้าใจกันมาพูดคุยกันเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะสามารถระงับอธิกรณ์ได้ทันที แต่เรื่องของเรื่อง โจรก่อการร้ายต้องการแบ่งแยกดินแดน ถ้ายังยืนกระต่ายขาเดียวจะแบ่งแยกให้ได้ เรื่องมันจึงสงบไม่ได้
ผมจึงขอทำหน้าที่เพียงเสนอข่าว ในฐานะไปตระเวณดู ๓ จังหวัดมาด้วยตนเอง ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าหงุดหงิดเลยครับ ประเทศเผด็จการมันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ ?!!
จบบทที่ ๑๐ / สอาด จันทร์ดี
ท่านองคามันดีทั้งหลายขอรับ ขอให้ท่านจงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอ่าน "แถลงการณ์" ฉบับนี้ด้วยการให้ความสำคัญ อย่าคิดว่าแถลงการณ์ประเภทนี้ มันคือศัตรูของพวกท่าน
ผมขอกล่าวว่า หน้าที่ของพวกท่าน คือผู้รักษาจารีตประเพณี "ประเทศ และสถาบันพระมหากษัตริย์" ให้มี ความผูกพันเป็นโซ่เงินโซ่ทอง เป็นโซ่แห่งความรัก มิใช่โซ่แห่งความเกลียดชัง
ท่านจะต้องมีคณะทำงาน (สายลับ) คอยสดับรับฟังจากทุกสารทิศ อย่าปล่อย ให้เกิดหนอนบ่อนใส้ ไม่ว่ากรณีใดๆ
พวกท่านจะต้องคำนึงถึงองค์รัชทายาทจากรัชกาลไปสู่รัชกาลโดยไม่มีที่สิ้นสุดจะต้อง "สื่อ" ความผูกพันให้สวยสดงดงามตลอดกาล
ในสิ่งที่ผมได้กล่าวมา พวกท่านได้ "ทำลาย" ความมั่นคงของสถาบันด้วยมือของท่านเอง โดย ฯพณฯ พลเอก Sensor (หงอก) ...... องคามันดี...มิได้แสดงตนอยู่ในความเป็นกลาง เมื่อเกิดกรณีข้อขัดแย้งขึ้นมา (เสื้อเหลืองกับเสื้อแดง)พลเอก พลเอก Sensor (หงอก) ไม่อาจทำหน้าที่แยกคน ๒ ฝ่ายออกจากการทะเลาวิวาทกันได้
ตรงกันข้าม ท่านกลายเป็นฝ่ายเสื้อเหลือง และเห็นเสื้อแดงเป็นศัตรู ทำให้คน ๒ กลุ่ม ฮึ่มฮั่มจะฆ่ากันให้ได้ มิใช่แต่เท่านั้น เมื่อกลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช้เวทีในทำเนียบรัฐบาล ยกย่องพวกเสื้อเหลืองว่าเป็น"ผู้ปกป้องสถาบัน" แล้วกล่าวหา "คนเสื้อแดง" ว่าเป็นภัยต่อสถาบันอย่างร้ายแรง จนกลายเป็นข้อขัดแย้งบานปลาย
ไม่ปรากฏว่า พลเอก Sensor (หงอก) ได้ออกมาห้ามปราม ตรงกันข้าม ดูเหมือนว่ายิ่งเข้าข้างทำให้พวก "เสื้อเหลือง" ฮึกเหิม ได้ใจ แล้วพากันอาละวาด สนั่นเมืองจนกลายอัน "อันธพาลใหญ่" ไล่ทุบตีผู้คนตามใจชอบ
มิใช่แต่เท่านี้ ยังมีอีกเรื่อง กล่าวคือ เมื่อ "นาย Sensor (เทือก) " ในฐานะรอง............. ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ได้ใช้เวที "รัฐสภา" กล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิปบดี ก็ได้มีองคามันดีอีกท่านหนึ่งออกมาขย่มตาม ด้วยการ กล่าวหาในถ้อยคำที่เหมือนกัน อันเป็นปมแห่ง ข้อขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งกว่าศาลพิพากษาให้จำคุก ๒ ปี เสียด้วยซ้ำ
ที่ว่ารุนแรงก็เพราะว่าการกล่าวหาในครั้งนี้ ได้ทำให้คนเสื้อแดงอีก ๑๙ ล้านคน หรืออาจมากกว่านี้ พากันเข้าข้าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ตัวเลขคนเข้าข้าง ท่านนายกทักษิณ ดูได้จากการจัดงานวันคล้ายวันเกิด ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ที่วัด ที่บ้าน ที่โรงเรียน สโมสร และแต่ละครัวเรือน พากัน "ทำพิธีสงฆ์" ยิ่งใหญ่ อย่างไม่เคยมีมาก่อน อันเป็น "ตัวเลข" ที่คาดเดาได้ไม่ยากเลย
สิ่งที่ผมกล่าวมานี้ เมื่อพิเคราะถึง "เนื้อหา" อันแท้จริงแล้ว จะพบว่า สถาบันของประเทศชาติ ระหว่างพระเจ้าแผ่นดินกับประชาชน เกิดความบาดหมางกัน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย สุดจะยับยั้งเอาไว้ได้
ถามว่าเรื่องอันชั่วร้ายนี้เกิดจากใคร ใครเป็นคนก่อขึ้น
ขอถามต่อว่า "พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" ได้กระทำอะไรอันเป็นเครื่องหมายว่าจะเป็นประธานาธิบดี
และถามต่อไปว่า มีหลักฐานหรือไม่ ถ้ามีทำไมไม่ตั้งข้อหาแล้วจับตัว ส่งศาล แต่ถ้าไม่มีหลักฐาน แล้วกล่าวหาออกมาทำไม
คำถามง่ายๆแบบนี้ ผมจึงสรุปเอาเองว่า "องคามันดี ทั้งคณะดำเนินนโยบายผิดพลาด รัฐบาลพรรคมะแลงสาบ กับ องคามันดี เป็นแนวร่วมของกันและกัน"
ทำให้ผมสรุปได้มากไปกว่านี้ องคามันดี ทั้งคณะมิได้มีความ "จงรักภักดี" ดังที่ได้พากันเอ่ยปากออกมา
ถ้าพวกท่าน มีความจงรักภักดี ย่อมจะเอาใจใส่ต่อ "จารีตประเพณี" อย่างทันสมัยที่สุด โดยไม่เอาแนวทางเผด็จการและป่าเถื่อนมาใช้ในการระดมความรักจากประชาชน
เรื่องเดียวกันนี้ ผมมีความเห็นไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย พวกเขาถูกม่านบังตาจนมืดบอด มองไม่เห็นแสงสว่าง แล้วพากัน "ดาหน้า" ออกมาขัดขวางการถวายฎีกา
องคามันดีทำไมไม่รีบ "อุ้มรับ" เอาถวายฎีกาขึ้นไปกราบบังคมทูล พวกท่านออกมาขัดขวางทำไม ถ้าพวกท่านรีบขานรับแล้วพากันกราบบังคมทูลว่าบ้านเมืองจะสงบ แผ่นดินจะร่มเย็น พระบารมีจะแผ่ไพศาล แล้วพากันป่าวประกาศแก่ประชาชน ว่าพระเจ้าแผ่นดินกับประชาชนเปรียบเสมือน "ปลากับน้ำ" ปลาขาดน้ำไม่ได้ แต่ปลานั้น ถ้าไม่มีน้ำ ปลาตายแน่
ผมจึงขอส่ง "แถลงการณ์" นี้ถึง องคามันดี ด้วยความเชื่อว่าพวกท่านยังเป็นคนไทยแท้ที่มี ความจงรักภักดี พวกท่านมีหน้าที่ตามจารีตประเพณี พวกท่านจะพากัน รักษาสถาบันให้มั่นคง หรือว่าจะเป็น "ผู้วางแผน" ทำให้สถาบันผุกร่อนเสียเอง อยู่ที่ตัวของพวกท่านทั้งหมด
ท้ายที่สุดนี้ ผมมีความเชื่อว่าพวกท่านรู้ดีว่าสังคมไทยเป็นเช่นไร รู้ดีว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรู
แต่พวกท่านทำประหนึ่งไม่รู้อะไรเลย ผมจึงอ่านว่า "องคามันดีบางคน" คือตัวการ หวังจะล้มเจ้า จึงโหมให้ประชาชนตีกัน จะได้เกิดเรื่องร้ายแรง
จึงขอส่งแถลงการณ์นี้ผ่านประชาชน ถึงองคามันดีทุกท่าน ! พร้อมกับขอส่งต่อไปยัง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็น กอ. รมน. หรือสภาความมั่นคงใดๆ ก็ตาม ถ้าท่านคือคนรักชาติ รักสถาบัน ท่านต้องรีบอุ้มรับเอาฎีกา ไปกราบบังคมทูล
มิใช่ พากันออกมา "ขัดขวาง" จนคนที่เขาถวายฎีกาเกิดความรู้สึกว่า ประเทศไทยไร้มาตรฐาน ไร้ความเป็นธรรมทุกหย่อมหญ้าฯ !
จบบทที่ ๒๖ / สอาด จันทร์ดี
“สำนักราชเลขาธิการทำเว็บไซต์เผยแพร่พระราชกรณียกิจ พระราชินี ท่านผู้หญิงร่ำให้บอกในหลวง – พระราชินีทรงไม่ต้องการ อะไร แต่ทรงอยากเห็นบ้านเมืองอยู่รอด คนไทยสามัคคี อย่าขัดแย้งกัน พล.ต.อ. วสิษฐ์เผย ๒ พระองค์กำลังตกเป็นเป้าถูกโจมตีลบหลู่ของคนบาง พวก ระบุแม้ศัตรูไม่ถืออาวุธแต่ได้ใช้วิธีย้อมหัวใจลูกหลานให้หลงผิด” จบข่าวหน้า ๑ (มีต่อหน้า ๕)
สำหรับข่าวในหน้า ๕ ผมขอคัดเอาบางท่อนของเนื้อข่าว แต่จะ รักษามิให้เกิดความสับสนเริ่มจากท่อนกลาง ดังนี้
“ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ จนบัดนี้ สมเด็จพระนางเจ้าทรงไม่เคยห่างจากพระองค์เลย อะไรที่เป็น พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมีส่วนร่วมรู้เห็นด้วยตลอดเวลา ในสมัยที่ผมรับราชการ เบื้องพระยุคลบาทเป็นสมัยที่บ้านเมืองไม่สงบจากพวกคอมมิวนิสต์ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่เคยหยุด ทรงงาน ไม่ทรงท้อถอยหวั่นเกรง ยังคงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่สีแดงด้วยความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์” พล.ต.อ. วสิษฐ์กล่าว
อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจกล่าวอีกว่า“ขณะนี้พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย การโจมตีอย่างโจ๋งครึ่ม โดยบางคนบางพวกบางประเภท ตนกล้าเรียนให้ทราบ แม้ไม่มีการยืนยันจากรัฐบาล แต่ตนยืนยันจากความรู้ การสังเกตของตนเอง พบว่าสิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น ตอนนี้มีเว็บไซต์ เถื่อนที่กำลังทำอย่างนี้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระนางเจ้าฯ อยู่อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง และขอเตือนให้ทราบว่า ผู้ที่เราเคารพสักการะ ผู้ที่เป็นผู้สืบทอดการปกครองแบบราชาธิปไตย มากกว่า ๗๐๐ ปี กำลังถูกทำลายโดยคนพวกหนึ่ง สิ่งที่คนไทยต้อง ตระหนักและช่วยกันคือปกป้องสถาบันที่อยู่คู่เมืองไทย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ขึ้นย่อหน้า...
“มาวันนี้ ขอวิงวอนท่านทั้งหลายว่า แม้ศัตรูจะยัง ไม่ถืออาวุธ แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด สิ่งที่ทำได้คืออย่าทำให้พี่น้องลูกหลานเข้าใจผิด แต่ต้องทำความเข้าใจ และเผยแพร่สอนผู้อื่นให้รู้ว่าเมืองไทยอยู่ได้เพราะ ๓ สิ่งนี้ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราจะเกิดสงครามที่สาหัสมาก อย่าทำให้เกิด แต่ทำได้ด้วยการถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่า พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า ๖๐ ปี ให้เราทุกคนช่วยกัน” พล.ต.อ. วสิษฐ์กล่าวเอาไว้ในท่อนกลาง
จากนั้น ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ นางสนองพระโอษฐ์ที่ถวายงาน รับใช้สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มาประมาณ ๔๐ ปีกล่าวว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯเสด็จไปเยี่ยมราษฎรตามหมู่บ้านต่าง ๆ ของประเทศ ไทย ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ ไม่ว่าจะทุรกันดารอย่างไร ทั้งสองพระองค์ ทรงเสด็จไปทุกหนทุกแห่ง พระองค์จะสอนเสมอว่าให้คุยกับราษฎร อย่างเคารพนบนอบ คิดว่าเขาเป็นพี่น้อง
ผมขออนุญาต “เว้น” ไป ๑ ท่อน
ขอขึ้นท่อนสำคัญว่า “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์กล่าวพร้อมกับร่ำให้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงทำทุกอย่าง ให้กับคนไทย ทรงทำมาอย่างยาวนาน แต่ทุกคนได้มีความคิด ได้เล่าต่อกัน หรือไม่ ทุกพระราชกรณียกิจ ทุกโครงการของพระองค์ไม่เคยหนีจาก ประชาชน แล้วไม่เคยเอาอะไรมาเป็นของพระองค์เลย ทรงทำให้กับแผ่นดิน ทรงทำให้ประชาชน”
ภาคที่ ๒ ว่าด้วยบทวิพากย์:
ว่าด้วยการร่ำให้ของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ดังที่เป็นข่าว ว่าเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนชาวไทยพากัน “ร่ำให้” นับครั้งไม่ถ้วนเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งในยามสมเด็จย่าทรงจากไป สมเด็จพระพี่นางก็จากไปด้วย และ ยิ่งในคราวองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประชวร อยู่ในความดูแล ของหมอที่โรงพยาบาลศิริราช ก็ปรากฏว่าประชาชนน้ำตานองหน้า เฝ้าโรงพยาบาลหนาแน่น ปรากฏเป็นข่าวติดต่อกันทุกวัน
จึงวิพากย์ วิจารณ์ได้ด้วยความเป็นจริงว่า ภาพของประวัติศาสตร์ ได้สะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันล้ำลึกระหว่างประชาชนกับ พระเจ้าแผ่นดิน แนบแน่นและแสนจะอบอุ่น โดยไม่เคยมีคนไทย “คนไหน” กระทำอันไม่บังควรทั้งต่อหน้าและลับหลัง โดยเฉพาะ คนยากคนจนนั้นพากันกราบไหว้ สักการะพระเจ้าแผ่นดินเป็นของสูง คนที่ทำมาค้าขาย จะติดตั้งรูป ร. ๕ เอาไว้ในร้านให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยสมความปรารถนา
ในส่วนของสมเด็จพระนางเจ้าฯ อันเป็นพระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่างก็เป็นเครื่องหมายของวันแม่ (๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒) ดังที่ประชาชนทั้งหลายทราบดี
การที่ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ร่ำให้ออกมานั้น เป็นเรื่องเดียวกัน กับน้ำตาของประชาชน
สำหรับ “พล.ต.อ. วสิษฐ์ เดชกุญชร” ที่ได้กล่าวออกมาทั้งหมด ก็ไม่ผิดเลยที่ได้นำเอาความจริงมายืนยันว่าขณะนี้ พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย การโจมตีอย่างโจ๋งครึ่ม โดยคนบางพวก บางประเภท
เหตุไรรัฐบาลจึงปล่อยปะละเลย (ด้วยเล่า) ! ผมขอนำข้อเท็จจริงในภาคที่ ๒ ว่าด้วยการวิพากย์ มาเสนอให้ท่าน ทั้งหลายได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่าอะไรคือต้นเหตุของปัญหา และอะไรคือปัจจัยที่จะทำให้ปัญหานี้เกิดความรุนแรงขึ้นมา จนอาจเป็น เหตุให้เกิดสงครามอันสาหัส ?!
ประเด็นที่ ๑ ไม่ว่าจะอ่านข่าวในรูปไหนและวิธีใด ข่าวที่ปรากฏ ออกมาในครั้งนี้ ได้พุ่งเป้ามาที่ “คนเสื้อแดง” ร้อยเต็มร้อย ทั้งนี้เนื่องจาก การใช้คำพูดว่า “แม้ศัตรูไม่ถืออาวุธ แต่ได้ใช้วิธีย้อมหัวใจลูกหลานให้หลง ผิด” ย่อมหมายถึงการต่อสู้แบบอหิงสา ไม่ใช้อาวุธ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ซึ่งมีอยู่เพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มของ นปช. (แนวร่วมประชาชนต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ) หรือรู้จักกันในนามของคนเสื้อแดง – แดงทั้งแผ่นดิน [Red in the Land]
ประเด็นที่ ๒ พล.ต.อ. วสิษฐ์ และท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ไม่ได้ หมายถึงพวกอำมาตย์ / หรือพวกพรรคประชาธิปัตย์ หรือพวกพันธมิตร- สันติอโศก และไม่ได้หมายถึงพวกราชชนิกุล-ไฮโซทั้งหลาย เมื่อไม่ได้ หมายถึงใครเลยนอกจากคนเสื้อแดง
จึงเป็นการมุ่งที่จะพูดให้ สังคมไทยทั้งประเทศเข้าใจอย่างกว้างขวางว่า ให้ระวังคนเสื้อแดงเอาไว้ ?!
ผมอ่านข่าวและวิจารณ์ออกมาเช่นนี้ พบตัวเองตกอยู่ในกลุ่ม ของคนเสื้อแดง ย่อมไม่พ้นที่จะตกเป็นเหยื่อของพวกเผด็จการ ที่คิดแต่ จะปราบปรามเพื่อจะได้รักษาความมั่นคงให้แก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ผมขอกล่าวว่าพวกท่านได้กระทำผิดและดำเนินการผิดพลาด อย่างใหญ่หลวง !
พวกท่านเป็นผู้ก่อปัญหา ทำให้สมเด็จพ่อของเราต้องทรงทุกข์พระทัย ?
ท่านอยากฟังไหมเล่าว่า พวกท่านได้กระทำความผิดอย่างไรบ้าง
ผมขอกล่าวว่า “ถ้าพวกท่านตั้งใจที่จะทำลายทักษิณให้พ้นไปจาก สนามการเมืองในประเทศไทย” ท่านทำได้อยู่แล้วจากคดีทุจริตล้วนๆ ถ้ามีหลักฐานก็เอาเข้าคุกได้
แต่พวกท่านเกิดบ้าดีเดือดขึ้นมา ด้วยการประกาศในสภา ผู้แทนราษฎรว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี ทำให้สถานะของข้อขัดแย้งเปลี่ยนจากคดีทางการเมืองขึ้นไปสู่การ แก่งแย่งอำนาจระหว่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กับองค์ระมหากษัตริย์ ในกรณีดังกล่าวนี้ แม้ว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้แต่งตั้ง นายความฟ้องหมิ่นประหมาท “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” แต่ศาลก็ ไม่รับฟ้อง จึงทำให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ มีข้อหาร้ายกาจติดตัว สุดที่จะ สลัดให้หลุดไปได้
พวกอำมาตย์มิได้หยุดอยู่เพียงการกล่าวหาเท่านั้น พวกท่านได้ ขัดขวางการยื่นถวายฎีกาและกล่าวหาการถวายฎีกาว่าเป็นการก้าวล่วง พระราชอำนาจ (ผมถ่ายภาพแผ่นป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ของรัฐบาล เอาไว้แล้ว) !
การคัดค้านขัดขวางเป็นไปอย่างร้อนแรง มีการระดมให้ นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงการให้ข่าวต่อต้านอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะไม่ให้หนังสือถวายฎีกาขึ้นไปถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การกระทำของพวกอำมาตย์เผด็จการ ได้ก่อให้เกิดความแค้นเคืองแก่ราษฎร ทีรักความเป็นธรรมอย่างยิ่ง คนกลุ่มนั้นคือ “คนเสื้อแดง” แดงทั้งแผ่นดิน
ผมขอเล่าให้ฟังว่า ราษฎรไม่มีใครเลยที่จะแค้นเคืองสมเด็จพ่อ ของเรา เพราะว่าเขาก็รักของเขา เขากราบไหว้อยู่ทุกวัน จะแค้นเคืองได้ อย่างไร
เขาแค้นเคืองพวกคุณต่างหาก ...รู้หรือเปล่า ? สถานการณ์ ณ ห้วงเวลานี้ ที่ว่าประเทศไทจะเกิดสงครามสาหัส นั้น ขอให้รู้เอาไว้ซะด้วยว่ามันจะเกิดจาก “ความชั่ว” ของอำมาตย์ชั้นเลว ที่พยายามก่อสงครามทุกวี่ทุกวัน
ถ้าต้องการให้ประเทศไทยสงบลงในพริบตา ย่อมทำได้ ๒ แนวทางคือ
( ๑ ) ! ให้ “สร้างกฎหมายปรองดองแห่งชาติที่เป็น ประชาธิปไตย” กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน หรือไม่ก็... รีบสนับสนุนให้หนังสือถวายฎีกา ให้ได้รับความสำเร็จกลับมาเถิด แล้วความสงบจะเกิดขึ้น
( ๒ ) ! ประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเถิดครับ แล้วจะได้พบกับทางออกทีสว่างไสวอยู่เบื้องหน้า ผมขอกล่าวว่า “อย่ามามัวกรีดน้ำตาหลอกชาวบ้านอยู่เลย” ถ้ายังมัวแต่กรีดน้ำตา แถมมีความโกรธในข้อเขียนของผมอย่างรุนแรง ไม่มีการ “วิภาค” ก็ย่อมจะ “วิพากย์” ปัญหาไม่ออก (ผมได้เสนอความเห็นเช่นนี้เอาไว้ในบทที่ ๔๑)
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ กับ พล.ต.อ. วสิษฐ์ จะมีโอกาสได้พบข้อเขียนนี้ไหมหนอ
ท่านผู้ใดอยู่ใกล้ชิด กรุณาโหลดเอาไปให้อ่านด้วยครับ ?!
จบบทที่ ๔๒ / สอาด จันทร์ดี
ดังที่ผมได้เรียนกับท่านผู้อ่านเอาไว้ว่า ผมมีภารกิจเดินทางไปใต้หลายวัน จึงได้เขียนบทที่ ๙ล่วงหน้านั้นแหละครับ ตอนนี้..อยู่เมืองใต้ จึงเขียนบทที่ ๑๐ จากชายแดนไทย ด้านที่ติดกับประเทศมาเลเซีย ระหว่างด่านสะเดา (กะยูฮีตัม)กับหาดใหญ่ต่อกัน
ขอเรียนให้ทราบว่าทันทีที่ออกมาจากสนามบินหาดใหญ่ คุณอนันท์ จันทรัตน์ บก. หนังสือพิมพ์มติไทย กับ "หน. กอง บก." คุณวาสนา แกล้วทนง หรือคุณกบ รับผมจากสนามบิน เดินทางไปกราบหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ณ วัดช้างให้ จังหวัดปัตตานีผมมองสองฝ่งทาง สังเกตุสถานการณ์ว่ามีอะไรแตกต่างจากเดิมบ้าง โดยมิได้ปริปากอะไรออกมา
บก. อนันท์ จันทรัตน์ ขับรถด้วยความเร็วพอประมาณ มีรถวิ่งตามมา ๒ - ๓ คัน ถนนจึงดูว่างและโล่งเตียน รถวิ่งผ่านนาหม่อมผ่านโรงไฟฟ้าจะนะ ประมาณ ๕ กม. แล้วแวะเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานแยกแก๊สจะนะ ที่ผมเคยเป็นผู้จัดการโครงการ [Project Manager] เมื่อครั้งก่อสร้างระหว่างปี ๒๕๔๖ - ๒๕๔๘ ซึ่งรับเหมาโดยบริษัทซัมซุง แล้วแบ่งซอยให้บริษัทเล็ก ๆ รับเหมาช่วงอีกต่อหนึ่ง
ที่โรงงานแยกแก๊สจะนะ ผมได้รู้จักกับเด็กหนุ่มอีสาน ที่เดินทางลงได้ รับจ้างกรีดยางแล้วได้แต่งงานกับ "ลูกสาว" ของอิหม่ามคนดังท่านหนึ่ง ต่อมาผมได้เรียกขานหนุ่มคนนี้ว่า"คีย์แมนโทน" แล้วนำฃื่อเรียกขานชื่อนี้เอาไปใช้กับการเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อหนังสือ กะเทาะเปลือกไฟใต้ ใครบงการ (หากท่านผู้ใดประสงค์จะอ่านหนังสือเล่มนี้ ท่านเปิดอ่านได้จาก Yahoo หรือ Google แล้วเข้าไปที่ "กะเทาะเปลือกไฟใต้ ใครบงการ" หรือเข้าไปที่"สอาด จันทร์ดี" ใน ๒ ชื่อนี้ แล้วคลิกอ่านได้เลยครับ
คีย์แมนโทน มาคอยพบผมที่นั่น ร่วมเดินทางไปปัตตานีด้วยกัน รถวิ่งผ่านสี่แยกเทพา กรือเซะ ผ่านค่ายอิงคยุทธแล้วเลี้ยวขวาไปที่วัดช้างให้ เมื่อเข้าไปถึงวัด รีบเข้าไปกราบหลวงปู่ทวด ทำบุญทำทานกับวัด กราบท่านเจ้าอาวาสตามประเพณีของชาวพุทธท่านเจ้าอาวาสบ่นให้ฟังมากมาย สรุปได้ความว่าญาติโยมไม่กล้ามาวัด การท่องเที่ยวตกต่ำขนาดหนัก ไม่มีคนมากเหมือนเมื่อก่อน ผมไม่แปลกใจกับสถานการณ์ท่องเที่ยวทรุดหนัก แลไม่แปลกใจที่การปราบปรามผู้ ก่อการร้ายไม่อาจสำเร็จลุล่วงไปได้ ผมคิดของผมในใจว่าการแก้ไขภาคใต้คงจะใช้เวลาไม่ น้อยกว่า ๓๐ ปี หรือ ๕๐ จึงจะสามารถทำให้ความเลวร้ายหมดไป
คีย์แมนโทน เริ่มให้ความรู้แก่ผม เขาเล่าเรื่องราวต่างๆมากมาย รวมทั้งได้เล่าว่าพวกโจรก่อการร้ายไปประชุมที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ การประชุมในครั้งนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะเป็นการประชุมเลือกตั้ง "หัวหน้าคนใหม่" ของกระบวนการโจรก่อการ้ายพูโล
พวกโจรพูโลประมาณ ๑๒๐ คน จัดประชุมขึ้นที่ รีสอร์ท บูเกะยือลาตัส ซาบาลันรัฐสลังงอร์ (ห่างจาก กัวลาลัมเปอร์ทางตอนใต้ ประมาณ ๑๐ กม.) เข้าใจว่ามีผู้สังเกตุการณ์มาจากหลายประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้ายใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันเดียวกันนั้น ที่ประชุมได้ลงมติ เลือกนาย กาแม ยูโซ๊ะ หรือ "อาแบ กาแม" หรือในชื่อที่ ๓ ว่า "กาแม ฮีเล" ขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนใหม่ของกระบวนโจรแบ่งแยกดินแดนจังหวัดปัตตานี
คีย์แมนโทน เล่าว่า พวกโจรพูโล เขาจะเรียกพวกเขาในชื่อที่สวยหรู เช่นเรียกว่า "นักรบพระเจ้า" อะไรทำนองนั้น แต่สำหรับผม ได้เรียกขานพวกเขาว่าโจรป่าห้าร้อยตั้งแต่เริ่มเขียนหนังสือมาจนถึงวันนี้
คีย์แมนโทนเล่าต่อไปว่า ที่ประชุมได้เลือก นายอูเซ็ง เป๊าะซูเซ็ง เป็นรองหัวหน้าและได้เลือกนายนายี ยือลอ เป็นเลขาธิการใหญ่ เลือก รุสลัน ฮัสยียูนุ หรือ "นาย รุสลัน ยามู แรแน เป็นผู้บัญชาการนักรบพระเจ้า (แม่ทัพใหญ่) มีอำนาจควบคุมนักรับทั้งหลายใน๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ สุดท้ายได้เลือกนายยาแซร์ ปาตาส เป็นเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ (คงจะเทียบเท่า กษิต ภิรมย์)
ผมรับฟังเรื่องราวด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ นึกไม่ถึงว่าประเทศไทยจะมีปัญหาแบ่งแยกดินแดนร้ายแรงขนาดนี้ ผมนึกของผมในใจว่า "ระบอบเผด็จการ" ได้ทำให้แผ่นดินแตกแยก แบ่งเป็นซ้ายเป็นขวา แบ่งแยกกันขนานใหญ่ และสุดท้ายได้เกิดมีเสื้อเหลือง เสื้อแดง และเสื้อสีน้ำเงิน เสื้อแต่ละสีไม่สามารถรวมกันติด ตรงกันข้าม มีแต่จะเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน
ผมไม่ได้ออกความเห็นอะไรกับคีย์แมนโทน รวมทั้งไม่ได้แสดงความเห็นอะไรกับคุณอนันท์ จันทรัตน์ เนื่องจากมันมีแต่ปัญหาค้ำลูกกระเดือก ทำให้พูดไม่ออก บอกไม่ถูก มันอัดตั้น สุดจะพรรณนาได้ จึงได้แต่พูดว่าเมื่อประเทศไทยเต็มไปด้วยพวกเผด็จการมันจะเข้าไปรุกรานความเจริญก้าวหน้าให้เสื่อมทรุดทั้งในกระบวนการเศรษฐกิจ และกระบวการ ทหาร การเมือง สุดท้าย มันจึงอึมครึม หาทางออกไม่เจอ...
หากไม่สามารถทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยได้ เรื่องร้ายก็จะมีอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
ท่านครับ ผมอยากเล่าให้ฟังสักเล็กน้อยว่า ถ้าเป็นเรื่องความขัดแย้งเกี่ยวกับพระ ศาสนาพุทธ กับศาสนาอิสลามจริงแล้วละก็ แก้ไม่ยากเลย เนื่องจากฝ่ายศาสนาพุทธไม่มีข้อแม้ด้วยประการทั้งปวง
ผมเชื่อว่าหากจะนำเอาเรื่องศาสนาที่ไม่เข้าใจกันมาพูดคุยกันเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะสามารถระงับอธิกรณ์ได้ทันที แต่เรื่องของเรื่อง โจรก่อการร้ายต้องการแบ่งแยกดินแดน ถ้ายังยืนกระต่ายขาเดียวจะแบ่งแยกให้ได้ เรื่องมันจึงสงบไม่ได้
ผมจึงขอทำหน้าที่เพียงเสนอข่าว ในฐานะไปตระเวณดู ๓ จังหวัดมาด้วยตนเอง ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าหงุดหงิดเลยครับ ประเทศเผด็จการมันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ ?!!
จบบทที่ ๑๐ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 11 ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
บทที่ ๑๑ ตอน : ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ?!!
บทที่ ๑๑ ที่ผมนำเสนอต่อท่านผู้อ่านในวันนี้ โปรดอย่าคิดว่าเป็นโจ๊กสตอร์รี่ แท้ที่จริงมันเป็นเรื่องจริง ที่คนไทยทุกระดับชั้น จักต้องเอาใจใส่ และพิเคราะห์ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้ จึงจะสามารถมองเห็นปัญหาอันน่ากลัว ที่กำลังกระหน่ำประเทศไทยให้เดินเข้าใกล้บ้านป่าเมืองเถื่อนเข้าไปทุกที
คำว่า "บ้านป่าเมืองเถื่อน" เป็นประโยคของคำพูดของสังคมที่ไม่มีขื่อไม่มีแปใครมีอำนาจจะทำอะไรก็จะทำตามใจอยาก โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง และความยุติธรรมทั้งหลาย ดังจะเห็นได้จากกรณีสังคมไทยกลุ่มหนึ่ง นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ จนได้รับผลกระทบถึงขั้น พรรคไทยรักไทยพังทะลายทั้งพรรค
นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองในค่ายของพรรคไทยรัก ไทยถูกเว้นวรรคทางการเมืองคนละ ๕ ปี รวมแล้ว ๑๑๑ คน มิใช่เพียง ๑๑๑ คนเท่านั้น ยังมีการกระหน่ำซ้ำเติมจากรัฐธรรมนูญเผด็จการ ๒๕๕๐ อีก ๓๙ คน อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงกระบวนการความไม่เป็นธรรมของประเทศที่ไร้ขื่อไร้แปกำลังกำเริบเสิบสานอย่างน่าสะพึงกลัว
เรื่องที่เล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับนักการเมือง และพรรคการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าจะล้ม ล้างสถาบัน (พระเจ้าแผ่นดิน) จนเป็นที่รู้กระฉ่อนไปทั่วโลกว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวหาว่าทักษิณฝักใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี นอกจากตัวของท่านนายกทักษิณ จะถูกกล่าวหาอย่างร้ายแรงไปแล้ว ยังมีการ "พ่วงคนเสื้อแดง" ไม่น้อยกว่า ๑๙ ล้าน คนให้เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังที่ได้กระทำอยู่ในขณะนี้
คนไทยในชาติผู้เป็นพสกนิกร ที่ไม่เคยมีหัวใจเกลียดชังสถาบันมาก่อน ไม่เคยมีการ กระทำอันชั่วร้ายใดๆเลย แต่มาถึงวันนี้ คนไทยในประเทศถูกรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์หยิบ ยื่นความเลวร้ายโยนใส่พวกเขา พวกเขาต้องตกเป็นจำเลยของสังคมสุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ สิ่งเหล่านี้ คือเครื่องหมายของบ้านเมืองไม่มีขื่อ ไม่มีแป พวกเขาไม่พอใจใครก็ตะโกน ด่าออกมาจากปาก มิได้ใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือแทนปาก มิได้ใช้หลักนิติรัฐเป็นเครื่องมือ แก้ปัญหาแทนการระงับการทะเลาะวิวาท
พวกเราได้ตะโกนตอบโต้ว่าการกระทำทั้งหลายของพวกพันธมิตร คมช. และพรรค ประชาธิปัตย์ ไม่ได้ยึดถือความถูกต้องใด ๆ เลย ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพไม่มีหลัก กฏหมายใด ๆ ค้ำประกันความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนประชาชนจึงตกอยู่ในสภาพภาวะจำยอม พูดไม่ได้โต้เถียงไม่สำเร็จ ประชาชนจึงหันหน้าเข้าหา "เสื้อแดง" ด้วยความคับแค้นใจ
ความคับแค้นใจของประชาชนนั้น ได้ถูกกระหน่ำซ้ำเติมให้เจ็บปวดมากขึ้น คับแค้น มากขึ้น ดังกรณี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด่าตำรวจเสียงดังลั่น แล้วถามหา "นายทหารใหญ่" คนไหนที่ต้องการให้เขาลาออก ต่อมานายกษิต ภิรมย์ ได้โวยวายด่ากราดตำรวจ ด้วยการกล่าวหาตำรวจว่า ตั้งข้อหา "ผู้ก่อการร้าย" รุนแรงเกิน ไป โดยอธิบายว่า แค่ยึดสนามบิน ทำไมจะต้องมีโทษถึงขั้นเป็นการก่อการร้ายด้วยเล่า ?
เห็นไหมครับ..นี้ไงคือเครื่องหมายของประเทศไทยที่ผมกล่าวว่าไม่มีขื่อมีแป มันกำลัง จะเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเข้าไปทุกที
ถามว่าอะไรคือเครื่องหมายของบ้านป่าเมืองเถื่อน ? คำตอบก็คือ
(๑) การที่พวกเสื้อเหลือง และพรรคมะแลงสาบ เล่นงานคนอื่นโดยมิพักผ่อน เรียกว่าเล่นงานชนิดกะเอาให้ ตายทั้งเป็น อันนี้ก็นับว่ามันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนขนานแท้และดั้งเดิมอยู่แล้ว
(๒) เท่านั้นยังไม่พอ ครั้นมาถึงวันนี้ ตำรวจไทยซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้รักษากฏหมายได้ใช้หลักการในกฏหมายตั้งข้อแก่พวกที่ยกกระบวนไปยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินอันเป็นการตั้งข้อหาตามตัวบทกฏหมาย มิใช่ตั้งข้อกล่าวหาโดยลำพังความรู้สึกของตนแต่ประการใด
ผลปรากฏว่า ทั้งนายกษิต ภิรมย์ นายสุริยะใส กตะศิลา ฟาดงวงฟาดงา กล่าวหา ตำราวจ และกล่าวหานายภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าตั้งข้อหาพวกเขารุนแรงเกิน ไป หลังจากนั้นก็ได้เปิดฉากวิพากย์วิจารณ์ (ด่ากราด)ผ่านสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV แถมด่าผ่านสื่อกระแสกหลักอีกด้วย
เมื่อเรื่องราวเกิดขึ้นให้เห็นเช่นนี้ จึงตรงกับชื่อของบทที่ ๑๑ ที่ผมได้ตั้งชื่อว่า "ประเทศ ไทยกำลังจะกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน" ทั้งนี้เนื่องจากความป่าเถื่อนได้ทำร้ายคนอื่นโดยมิได้ใช้ตัวบทกฏหมาย ครั้นถึงคราวตัวเองถูกตำรวจใช้กฏหมายเล่นงานก็ออกมาโวยวาย กล่าวหาตำรวจว่าทำรุนแรงเกินไป
ผมจึงขอกล่าวหา บุคคลกลุ่มนี้ อันประกอบด้วยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. กับพรรคมะแลงสาบและ คมช. ได้ขยำประเทศไทยให้กลายเป็นเผด็จการสุดเหยียด และนับวันแต่จะตกเป็นเหยื่อของสังคมไร้ขื่อไร้แปมากขึ้น
การที่ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ คนพวกแรก (พวกเผด็จการ) อาจจะพากันยิ้มย่องที่สามารถ "บงการ" ประเทศไทยได้ แต่ในมุมตรงกันข้ามชาวโลกเขาจ้องมองดูอยู่อย่างใกล้ชิด เขาย่อมจะเห็นอาการ "ผิดปกติ" อย่างชัดแจ้ง โดยหยิบเอาประเด็น พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ถูกเล่นงานเอามาเป็นตัวคลี่ดูปัญหาที่ซ่อนอยู่ในกระดอง หลังจากนั้นก็ได้พบต่อไปอีกจากการกระทำของพวกเขาเอง (กษิต ภิรมย์) ออกปากโหวกเหวกด้วยการด่ากราดตำรวจและกล่าวหาคนที่แจ้งข้อหาเขา หาว่ามีเจตนาร้าย จะเล่นงานเขาให้ได้รับความเสียหาย
ลักษณะของ "ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นประเทศบ้านป่าเมืองเถื่อน" กำลังมุ่งหน้าเข้าหาศัตรูทางการเมืองด้วยอาการของความโหดเหี้ยม ดวงตาแดงกร่ำเต็มไปด้วยความโกรธ เหลืออยู่แต่ว่ายังไม่กระชากปืนออกมาไล่ยิง ถ้าเข้าไล่ยิง ไล่ฆ่า ขึ้นมาเมื่อใด เมื่อนั้นแหละ บ้านป่าเมืองเถื่อน จะกางหราออกมา แล้ววางลงบนตักของพวกเผด็จการ ที่ใช้ความเหี้ยมเกรียมขย่มคนอื่น โดยอ้างว่าทำเพื่อความมั่นคงท่านครับ...ผมเขียนออกมาเช่นนี้ด้วยถ้อยคำที่พออ่านเข้าใจได้ แต่ผมเชื่อว่าพวกเผด็จการจะไม่มีวันรับรู้
ทั้งนี้เนื่องจากหัวใจของพวกเขา ถือว่าตัวเองทำถูกทุกอย่าง ส่วนคนอื่นทำแต่สิ่งที่ผิด เมื่อมันเป็นเช่นนี้ ความเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนยิ่งจะถูกโหมให้ร้อนเหมือนไฟ ลามป่า รอแต่จะลุกไหม้สังคมไทยของพวกเรากันเอง ?!!
จบบทที่ ๑๑ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ ๑๑ ที่ผมนำเสนอต่อท่านผู้อ่านในวันนี้ โปรดอย่าคิดว่าเป็นโจ๊กสตอร์รี่ แท้ที่จริงมันเป็นเรื่องจริง ที่คนไทยทุกระดับชั้น จักต้องเอาใจใส่ และพิเคราะห์ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้ จึงจะสามารถมองเห็นปัญหาอันน่ากลัว ที่กำลังกระหน่ำประเทศไทยให้เดินเข้าใกล้บ้านป่าเมืองเถื่อนเข้าไปทุกที
คำว่า "บ้านป่าเมืองเถื่อน" เป็นประโยคของคำพูดของสังคมที่ไม่มีขื่อไม่มีแปใครมีอำนาจจะทำอะไรก็จะทำตามใจอยาก โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง และความยุติธรรมทั้งหลาย ดังจะเห็นได้จากกรณีสังคมไทยกลุ่มหนึ่ง นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ จนได้รับผลกระทบถึงขั้น พรรคไทยรักไทยพังทะลายทั้งพรรค
นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองในค่ายของพรรคไทยรัก ไทยถูกเว้นวรรคทางการเมืองคนละ ๕ ปี รวมแล้ว ๑๑๑ คน มิใช่เพียง ๑๑๑ คนเท่านั้น ยังมีการกระหน่ำซ้ำเติมจากรัฐธรรมนูญเผด็จการ ๒๕๕๐ อีก ๓๙ คน อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงกระบวนการความไม่เป็นธรรมของประเทศที่ไร้ขื่อไร้แปกำลังกำเริบเสิบสานอย่างน่าสะพึงกลัว
เรื่องที่เล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับนักการเมือง และพรรคการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าจะล้ม ล้างสถาบัน (พระเจ้าแผ่นดิน) จนเป็นที่รู้กระฉ่อนไปทั่วโลกว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวหาว่าทักษิณฝักใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี นอกจากตัวของท่านนายกทักษิณ จะถูกกล่าวหาอย่างร้ายแรงไปแล้ว ยังมีการ "พ่วงคนเสื้อแดง" ไม่น้อยกว่า ๑๙ ล้าน คนให้เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังที่ได้กระทำอยู่ในขณะนี้
คนไทยในชาติผู้เป็นพสกนิกร ที่ไม่เคยมีหัวใจเกลียดชังสถาบันมาก่อน ไม่เคยมีการ กระทำอันชั่วร้ายใดๆเลย แต่มาถึงวันนี้ คนไทยในประเทศถูกรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์หยิบ ยื่นความเลวร้ายโยนใส่พวกเขา พวกเขาต้องตกเป็นจำเลยของสังคมสุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ สิ่งเหล่านี้ คือเครื่องหมายของบ้านเมืองไม่มีขื่อ ไม่มีแป พวกเขาไม่พอใจใครก็ตะโกน ด่าออกมาจากปาก มิได้ใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือแทนปาก มิได้ใช้หลักนิติรัฐเป็นเครื่องมือ แก้ปัญหาแทนการระงับการทะเลาะวิวาท
พวกเราได้ตะโกนตอบโต้ว่าการกระทำทั้งหลายของพวกพันธมิตร คมช. และพรรค ประชาธิปัตย์ ไม่ได้ยึดถือความถูกต้องใด ๆ เลย ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพไม่มีหลัก กฏหมายใด ๆ ค้ำประกันความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนประชาชนจึงตกอยู่ในสภาพภาวะจำยอม พูดไม่ได้โต้เถียงไม่สำเร็จ ประชาชนจึงหันหน้าเข้าหา "เสื้อแดง" ด้วยความคับแค้นใจ
ความคับแค้นใจของประชาชนนั้น ได้ถูกกระหน่ำซ้ำเติมให้เจ็บปวดมากขึ้น คับแค้น มากขึ้น ดังกรณี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด่าตำรวจเสียงดังลั่น แล้วถามหา "นายทหารใหญ่" คนไหนที่ต้องการให้เขาลาออก ต่อมานายกษิต ภิรมย์ ได้โวยวายด่ากราดตำรวจ ด้วยการกล่าวหาตำรวจว่า ตั้งข้อหา "ผู้ก่อการร้าย" รุนแรงเกิน ไป โดยอธิบายว่า แค่ยึดสนามบิน ทำไมจะต้องมีโทษถึงขั้นเป็นการก่อการร้ายด้วยเล่า ?
เห็นไหมครับ..นี้ไงคือเครื่องหมายของประเทศไทยที่ผมกล่าวว่าไม่มีขื่อมีแป มันกำลัง จะเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเข้าไปทุกที
ถามว่าอะไรคือเครื่องหมายของบ้านป่าเมืองเถื่อน ? คำตอบก็คือ
(๑) การที่พวกเสื้อเหลือง และพรรคมะแลงสาบ เล่นงานคนอื่นโดยมิพักผ่อน เรียกว่าเล่นงานชนิดกะเอาให้ ตายทั้งเป็น อันนี้ก็นับว่ามันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนขนานแท้และดั้งเดิมอยู่แล้ว
(๒) เท่านั้นยังไม่พอ ครั้นมาถึงวันนี้ ตำรวจไทยซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้รักษากฏหมายได้ใช้หลักการในกฏหมายตั้งข้อแก่พวกที่ยกกระบวนไปยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินอันเป็นการตั้งข้อหาตามตัวบทกฏหมาย มิใช่ตั้งข้อกล่าวหาโดยลำพังความรู้สึกของตนแต่ประการใด
ผลปรากฏว่า ทั้งนายกษิต ภิรมย์ นายสุริยะใส กตะศิลา ฟาดงวงฟาดงา กล่าวหา ตำราวจ และกล่าวหานายภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าตั้งข้อหาพวกเขารุนแรงเกิน ไป หลังจากนั้นก็ได้เปิดฉากวิพากย์วิจารณ์ (ด่ากราด)ผ่านสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV แถมด่าผ่านสื่อกระแสกหลักอีกด้วย
เมื่อเรื่องราวเกิดขึ้นให้เห็นเช่นนี้ จึงตรงกับชื่อของบทที่ ๑๑ ที่ผมได้ตั้งชื่อว่า "ประเทศ ไทยกำลังจะกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน" ทั้งนี้เนื่องจากความป่าเถื่อนได้ทำร้ายคนอื่นโดยมิได้ใช้ตัวบทกฏหมาย ครั้นถึงคราวตัวเองถูกตำรวจใช้กฏหมายเล่นงานก็ออกมาโวยวาย กล่าวหาตำรวจว่าทำรุนแรงเกินไป
ผมจึงขอกล่าวหา บุคคลกลุ่มนี้ อันประกอบด้วยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. กับพรรคมะแลงสาบและ คมช. ได้ขยำประเทศไทยให้กลายเป็นเผด็จการสุดเหยียด และนับวันแต่จะตกเป็นเหยื่อของสังคมไร้ขื่อไร้แปมากขึ้น
การที่ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ คนพวกแรก (พวกเผด็จการ) อาจจะพากันยิ้มย่องที่สามารถ "บงการ" ประเทศไทยได้ แต่ในมุมตรงกันข้ามชาวโลกเขาจ้องมองดูอยู่อย่างใกล้ชิด เขาย่อมจะเห็นอาการ "ผิดปกติ" อย่างชัดแจ้ง โดยหยิบเอาประเด็น พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ถูกเล่นงานเอามาเป็นตัวคลี่ดูปัญหาที่ซ่อนอยู่ในกระดอง หลังจากนั้นก็ได้พบต่อไปอีกจากการกระทำของพวกเขาเอง (กษิต ภิรมย์) ออกปากโหวกเหวกด้วยการด่ากราดตำรวจและกล่าวหาคนที่แจ้งข้อหาเขา หาว่ามีเจตนาร้าย จะเล่นงานเขาให้ได้รับความเสียหาย
ลักษณะของ "ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นประเทศบ้านป่าเมืองเถื่อน" กำลังมุ่งหน้าเข้าหาศัตรูทางการเมืองด้วยอาการของความโหดเหี้ยม ดวงตาแดงกร่ำเต็มไปด้วยความโกรธ เหลืออยู่แต่ว่ายังไม่กระชากปืนออกมาไล่ยิง ถ้าเข้าไล่ยิง ไล่ฆ่า ขึ้นมาเมื่อใด เมื่อนั้นแหละ บ้านป่าเมืองเถื่อน จะกางหราออกมา แล้ววางลงบนตักของพวกเผด็จการ ที่ใช้ความเหี้ยมเกรียมขย่มคนอื่น โดยอ้างว่าทำเพื่อความมั่นคงท่านครับ...ผมเขียนออกมาเช่นนี้ด้วยถ้อยคำที่พออ่านเข้าใจได้ แต่ผมเชื่อว่าพวกเผด็จการจะไม่มีวันรับรู้
ทั้งนี้เนื่องจากหัวใจของพวกเขา ถือว่าตัวเองทำถูกทุกอย่าง ส่วนคนอื่นทำแต่สิ่งที่ผิด เมื่อมันเป็นเช่นนี้ ความเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนยิ่งจะถูกโหมให้ร้อนเหมือนไฟ ลามป่า รอแต่จะลุกไหม้สังคมไทยของพวกเรากันเอง ?!!
จบบทที่ ๑๑ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 12 กลัวทักษิณจนเยี่ยวราด
บทที่ ๑๒ ตอน : กลัวทักษิณจนเยี่ยวราด ?!!
นับว่าเป็นกรรมเป็นเวรของประเทศไทย ที่ชนชั้นผู้ปกครอง มองปัญหาของชาติไม่ออก ไม่รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร จึงเที่ยวไปก่นด่าคนอื่น เช่นก่นด่า ตำหนิ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และกล่าวหา "คนเสื้อแดง" ว่าไม่รักพระเจ้าแผ่นดิน พวกเขาน่าจะตระหนัก แก่ใจว่า การกล่าวหาเช่นนั้น รังแต่จะก่อความเสียหายให้แก่พระราชอาณาจักรไทยและประชาชนชาวไทย ดังจะเห็นได้จากกรณี "นายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ไปจังหวัดบุรีรัมย์ ต้อง ขนทหาร ตำรวจไปอารักขาหลายพันคน
การกระทำดังกล่าวมันหมายถึงนายกรัฐมนตรีของ ประเทศไทยกับประชาชน เป็นศัตรูของกันและกัน เป็นคนละพวก คนละเผ่าพันธุ์ ใช่ไหม ? ประเทศไทยมันเป็นถึงเพียงนี้ ย่อมหมายถึงสติปัญญาของนายกรัฐมนตรีและขนชั้นผู้ปกครองทั้งหลาย อ่านปัญหาไม่ออก เมื่ออ่านปัญหาไม่ออก มันจึงเท่ากับตีโจทย์ไม่แตก - แยกปัญหาไม่เป็น ในที่สุดก็ทึกทักว่าประชาชนล้วนแต่เป็นตัวอันตรายของชาติ เหตุนี้แล ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงลุกเป็นไฟ
ต่อไป แผ่นดินไทยทั้งประเทศก็จะเหมือน ๓ จังหวัดภาคใต้ เช่นนั้น กระมัง ?ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติผ่านมาแล้ว ๑๑ บท วันนี้กำลังเขียนบทที่ ๑๒ ซึ่งเป็นบทว่าด้วย "พวกเขากลัว พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จนเยี่ยวราด" ซึ่งเป็นชื่อ ที่ผมอยากนำเอาภาษาพูดแบบชาวบ้านมาเขียน จะได้เข้าใจง่าย
คำว่าเยี่ยวราด ตรงกับภาษาที่สวยหน่อย ก็คือ "ฉี่ราด" อันหมายถึงคนที่กลัวอะไรจนคุมสติไม่อยู่ ฉี่แตกออกมา หน้าตาเลิ่กลั่ก หน้าซีดเป็นไก่ต้ม เหมือนคนกลัวตาย เปรียบเรื่องนี้ให้เหมือนกันครับ พวกเผด็จการ "กลัวทักษิณ" ชนิดขี้หดตดหายเพียงแค่เงาของทักษิณแว่บเดียว จะพากัน "ตาเหลือก" ไปทั้งวง ถ้าเห็นตัวตนคนชื่อทักษิณ ชินวัตร เหยียบแผ่นดินเมื่อใด เมื่อนั้นจะมีคน "หัวใจวายตาย" ลงต่อหน้า หรือไม่ก็อาจฉี่แตก กางเกงเปียกไปทั้งตัว
ทุกวันนี้นะ ทักษิณ โฟนอินเข้ามาถี่ยิบ ทำให้คนที่กลัวทักษิณถึงกับมีอาการประสาท จะกินตาย ยิ่งมาพบเข้ากับปฏิบัติการของคนเสื้อแดงที่พากันลงชื่อเพื่อกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษ พวกเขาถึงกับมีอาการช๊อก จะใจขาดตายเอาให้ได้ คนที่ช๊อคก่อน เพื่อน ได้แก่คู่แฝด "แก้วสรร อติโพธิ" กับ ขวัญสรวง อติโพธิ สองคนนี้ช๊อคแบบไหน ผมจะไม่ขยายความ สรุปว่าช๊อคก็แล้วกัน
คนต่อมาได้แก่ ส.ว. อโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ รองประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการบังคับ ใช้กฏหมายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้แสดงออกด้วยการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่า การยื่นขอพระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้ เป็นอันตรายต่อความมั่นคง เมื่อ ส.ว. อโณทัย กล่าวเช่นนี้ไปแล้วยังมีข้อความใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย ผมจึงขอคัดเอามาเต็มประโยค ดังนี้
"คาดว่าต่อไป จะมีฉากให้ชาวบ้านชุมนุมถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์แล้วคลานเป็นทิวแถวเข้าไปลงนามถวายฎีกาด้วยน้ำตานองหน้า เรียกความสะเทือนใจไปทั่วประเทศ ฉากนี้จะเกิดขึ้นไล่ไปทั่วถิ่นฐาน"
ผมอ่านข้อความอันเป็นคำพูดของ "ส.ว. อโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์" จบ...ผมก็เข้าใจว่าหมายถึง การขอพระราชทานอภัยโทษ ที่สามเกลอหัวขวดพากันล่ารายชื่อ ๑ ล้านคนอยู่ในขณะนี้ แม้จะพากันถวายฎีกาอย่างไร ในหลวงก็จะไม่ทรงพระราชทานให้ อันจะเป็นเหตุให้ "พสกนิกร" ที่รักทักษิณจะแห่คลานเข้าไปกราบรูปในหลวง แล้วคร่ำครวญด้วยน้ำตานองหน้า อันเป็นการกล่าวหาด้วยการ "คาดเดา" ไปตามประสาของ ส.ว. อโณทัย ที่ไม่เข้าใจได้เลยว่าเอาอะไรมาคิดและเอาหลักการอะไรมาวินิจฉัย ว่าจะเกิดเหตุพลิกผัน ไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แล้วเอาหลักการอะไรมา "คาดเดา" ว่าคนเสื้อแดงจะพากันหมอบคลานด้วยน้ำตานองหน้า
ผมมีคำถามว่า บ้าหรือเปล่า ที่เดาอย่างนี้?!
อย่างไรก็ตาม จะบ้าหรือไม่บ้าก็ตามแต่ สิ่งที่ผมอ่านไต๋ออกมาได้ ได้แก่ ความหวาดกลัว พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีอานุภาพรุนแรง และร้ายแรงมาก จนไม่อยากเห็นคนชื่อทักษิณได้เดินทางกลับประเทศไทย พวกเขาจึง "รวมหัวกัน" ต่อต้านชนิดเอาเป็นเอาตายด้วยการงัดเอายุทธการ และ ยุทธวีธี มากมายหลายชนิดเอามาใช้ในการขัดขวาง ไม่ให้มนุษย์คนไหนสามารถยื่นมือไปให้ความช่วยเหลือท่านนายกทักษิณได้
การกระทำแบบนี้ อ่านได้ชัดว่าพวกเขากลัวทักษิณมาก กลัวจนฉี่แตก หรือกลัวจนเยี่ยวราด
ความกลัวนระดับนี้ เป็นอันตรายต่อความมั่นคงยิ่งนัก เพราะพวกเขาจะอ้างทุก สิ่งทุกอย่าง เพื่อจะกำจัดทักษิณให้พ้นทาง แล้วจะใช้กำลังทหาร "ยึดอำนาจรัฐ" อีกครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็...อาจจะวางแผนฆ่าทักษิณ ชินวัตร เอาให้จบเกมไปเลย ท่านผู้อ่าน ผมไม่อยากคาดเดาเหมือนคนบ้า ๒ - ๓ คนที่ผมเอ่ยนามเอวไว้ในบท ที่ ๑๒ ของใบปลิวกู้ชาติเรื่องนี้
ผมขอสรุปว่า ถ้าบ้านเมืองนี้มันจะมีอันเป็นไปก็ต้องเป็นไป คงไม่มีใครขัดขวางได้ดอกครับ... ทั้งนี้เนื่องจากยุคนี้ เป็นยุคคนใจเหี้ยมโหดครองเมือง
ผมขอจบบทที่ ๑๒ / สอาด จันทร์ดี
นับว่าเป็นกรรมเป็นเวรของประเทศไทย ที่ชนชั้นผู้ปกครอง มองปัญหาของชาติไม่ออก ไม่รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร จึงเที่ยวไปก่นด่าคนอื่น เช่นก่นด่า ตำหนิ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และกล่าวหา "คนเสื้อแดง" ว่าไม่รักพระเจ้าแผ่นดิน พวกเขาน่าจะตระหนัก แก่ใจว่า การกล่าวหาเช่นนั้น รังแต่จะก่อความเสียหายให้แก่พระราชอาณาจักรไทยและประชาชนชาวไทย ดังจะเห็นได้จากกรณี "นายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ไปจังหวัดบุรีรัมย์ ต้อง ขนทหาร ตำรวจไปอารักขาหลายพันคน
การกระทำดังกล่าวมันหมายถึงนายกรัฐมนตรีของ ประเทศไทยกับประชาชน เป็นศัตรูของกันและกัน เป็นคนละพวก คนละเผ่าพันธุ์ ใช่ไหม ? ประเทศไทยมันเป็นถึงเพียงนี้ ย่อมหมายถึงสติปัญญาของนายกรัฐมนตรีและขนชั้นผู้ปกครองทั้งหลาย อ่านปัญหาไม่ออก เมื่ออ่านปัญหาไม่ออก มันจึงเท่ากับตีโจทย์ไม่แตก - แยกปัญหาไม่เป็น ในที่สุดก็ทึกทักว่าประชาชนล้วนแต่เป็นตัวอันตรายของชาติ เหตุนี้แล ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงลุกเป็นไฟ
ต่อไป แผ่นดินไทยทั้งประเทศก็จะเหมือน ๓ จังหวัดภาคใต้ เช่นนั้น กระมัง ?ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติผ่านมาแล้ว ๑๑ บท วันนี้กำลังเขียนบทที่ ๑๒ ซึ่งเป็นบทว่าด้วย "พวกเขากลัว พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จนเยี่ยวราด" ซึ่งเป็นชื่อ ที่ผมอยากนำเอาภาษาพูดแบบชาวบ้านมาเขียน จะได้เข้าใจง่าย
คำว่าเยี่ยวราด ตรงกับภาษาที่สวยหน่อย ก็คือ "ฉี่ราด" อันหมายถึงคนที่กลัวอะไรจนคุมสติไม่อยู่ ฉี่แตกออกมา หน้าตาเลิ่กลั่ก หน้าซีดเป็นไก่ต้ม เหมือนคนกลัวตาย เปรียบเรื่องนี้ให้เหมือนกันครับ พวกเผด็จการ "กลัวทักษิณ" ชนิดขี้หดตดหายเพียงแค่เงาของทักษิณแว่บเดียว จะพากัน "ตาเหลือก" ไปทั้งวง ถ้าเห็นตัวตนคนชื่อทักษิณ ชินวัตร เหยียบแผ่นดินเมื่อใด เมื่อนั้นจะมีคน "หัวใจวายตาย" ลงต่อหน้า หรือไม่ก็อาจฉี่แตก กางเกงเปียกไปทั้งตัว
ทุกวันนี้นะ ทักษิณ โฟนอินเข้ามาถี่ยิบ ทำให้คนที่กลัวทักษิณถึงกับมีอาการประสาท จะกินตาย ยิ่งมาพบเข้ากับปฏิบัติการของคนเสื้อแดงที่พากันลงชื่อเพื่อกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษ พวกเขาถึงกับมีอาการช๊อก จะใจขาดตายเอาให้ได้ คนที่ช๊อคก่อน เพื่อน ได้แก่คู่แฝด "แก้วสรร อติโพธิ" กับ ขวัญสรวง อติโพธิ สองคนนี้ช๊อคแบบไหน ผมจะไม่ขยายความ สรุปว่าช๊อคก็แล้วกัน
คนต่อมาได้แก่ ส.ว. อโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ รองประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการบังคับ ใช้กฏหมายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้แสดงออกด้วยการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่า การยื่นขอพระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้ เป็นอันตรายต่อความมั่นคง เมื่อ ส.ว. อโณทัย กล่าวเช่นนี้ไปแล้วยังมีข้อความใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย ผมจึงขอคัดเอามาเต็มประโยค ดังนี้
"คาดว่าต่อไป จะมีฉากให้ชาวบ้านชุมนุมถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์แล้วคลานเป็นทิวแถวเข้าไปลงนามถวายฎีกาด้วยน้ำตานองหน้า เรียกความสะเทือนใจไปทั่วประเทศ ฉากนี้จะเกิดขึ้นไล่ไปทั่วถิ่นฐาน"
ผมอ่านข้อความอันเป็นคำพูดของ "ส.ว. อโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์" จบ...ผมก็เข้าใจว่าหมายถึง การขอพระราชทานอภัยโทษ ที่สามเกลอหัวขวดพากันล่ารายชื่อ ๑ ล้านคนอยู่ในขณะนี้ แม้จะพากันถวายฎีกาอย่างไร ในหลวงก็จะไม่ทรงพระราชทานให้ อันจะเป็นเหตุให้ "พสกนิกร" ที่รักทักษิณจะแห่คลานเข้าไปกราบรูปในหลวง แล้วคร่ำครวญด้วยน้ำตานองหน้า อันเป็นการกล่าวหาด้วยการ "คาดเดา" ไปตามประสาของ ส.ว. อโณทัย ที่ไม่เข้าใจได้เลยว่าเอาอะไรมาคิดและเอาหลักการอะไรมาวินิจฉัย ว่าจะเกิดเหตุพลิกผัน ไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แล้วเอาหลักการอะไรมา "คาดเดา" ว่าคนเสื้อแดงจะพากันหมอบคลานด้วยน้ำตานองหน้า
ผมมีคำถามว่า บ้าหรือเปล่า ที่เดาอย่างนี้?!
อย่างไรก็ตาม จะบ้าหรือไม่บ้าก็ตามแต่ สิ่งที่ผมอ่านไต๋ออกมาได้ ได้แก่ ความหวาดกลัว พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีอานุภาพรุนแรง และร้ายแรงมาก จนไม่อยากเห็นคนชื่อทักษิณได้เดินทางกลับประเทศไทย พวกเขาจึง "รวมหัวกัน" ต่อต้านชนิดเอาเป็นเอาตายด้วยการงัดเอายุทธการ และ ยุทธวีธี มากมายหลายชนิดเอามาใช้ในการขัดขวาง ไม่ให้มนุษย์คนไหนสามารถยื่นมือไปให้ความช่วยเหลือท่านนายกทักษิณได้
การกระทำแบบนี้ อ่านได้ชัดว่าพวกเขากลัวทักษิณมาก กลัวจนฉี่แตก หรือกลัวจนเยี่ยวราด
ความกลัวนระดับนี้ เป็นอันตรายต่อความมั่นคงยิ่งนัก เพราะพวกเขาจะอ้างทุก สิ่งทุกอย่าง เพื่อจะกำจัดทักษิณให้พ้นทาง แล้วจะใช้กำลังทหาร "ยึดอำนาจรัฐ" อีกครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็...อาจจะวางแผนฆ่าทักษิณ ชินวัตร เอาให้จบเกมไปเลย ท่านผู้อ่าน ผมไม่อยากคาดเดาเหมือนคนบ้า ๒ - ๓ คนที่ผมเอ่ยนามเอวไว้ในบท ที่ ๑๒ ของใบปลิวกู้ชาติเรื่องนี้
ผมขอสรุปว่า ถ้าบ้านเมืองนี้มันจะมีอันเป็นไปก็ต้องเป็นไป คงไม่มีใครขัดขวางได้ดอกครับ... ทั้งนี้เนื่องจากยุคนี้ เป็นยุคคนใจเหี้ยมโหดครองเมือง
ผมขอจบบทที่ ๑๒ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 13 กรรมการสมานฉันท์..ฉันท์อะไรกันแน่
บทที่ ๑๓ ตอน : กก. สมานฉันท์ ..ฉันท์อะไรกันแน่ ?!
ท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างประเทศ คงจะรู้สึกเชื่อมั่นว่าคณะกรรมการสมานฉันท์ จะทำให้ ประเทศไทยกลับฟื้นคืนความสงบให้แก่ประเทศชาติได้ แล้วจะพากันเชื่อต่อไปว่าคณะกรรมการ สมานฉันท์ คือความหวังที่จะได้รับรู้ รูปแบบ และแนวทางทีจะทำให้คนไทยสมานฉันท์กันได้
ผมขอกราบเรียนว่า ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๑๓ ที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ เป็นอีกความเชื่อหนึ่ง ที่แตกต่างจากท่านผู้อื่น กล่าวคือ "ผมไม่เชื่อ" ว่าคณะกรรมการสมานฉันท์ จะสามารถ ทำให้คนไทยสมานฉันท์กันได้
ทั้งนี้เนื่องจากข้อสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์ ไม่รู้ว่า มันเป็น"ฉันท์แบบไหนกันแน่?"
เพราะยิ่งติดตามอ่านดู ยิ่งเต็มไปด้วยความสับสน ค่อนข้าง จะเพ้อเจ้อ และวกวน ประการสำคัญ ความจริงไม่พูดถึง ไปพูดถึงเรื่องที่ไกลจากความเป็นจริงเรื่องอย่างนี้นะครับ อาจารย์ของผม "ท่านอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร" ได้บอกแล้ว บอกอีกว่า ปัญหาของชาติถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของแผ่นดิน การอ่านปัญหาของชาติต้อง อ่านให้ถูกต้อง และตรงประเด็นที่สุด อย่าอ่านผิด
ถ้าอ่านผิดเมื่อใด เมื่อนั้นจะทำให้การแก้ ปัญหาของชาติผิดพลาดไปทั้งกระบวน เรื่องนี้แลครับ ที่ผมจับเอามาเขียนถึง "คณะกรรมการสมานฉันท์" ที่กำลังทำรายงานสรุปความรู้ความเข้าใจเพื่อจะนำเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร แล้วให้ประธานสภารับลูกต่อ เพื่อจะทำให้บทสรุปดังกล่าวสามารถนำเอามาปฏิบัติให้เกิดผลได้
ผมจะไม่ขอวิพากย์วิจารณ์ว่าบทสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์จะดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะจะทำให้เสียเวลา ผมจึงคิดของผมว่า ผมจะนำเสนอ "ตัวปัญหา" ที่เป็นต้นเหตุทำให้ ประเทศเกิดเรื่องวุ่นวายไปทั้งแผ่นดิน เกิดมาจากปัญหา ๒ ปัญหา ดังนี้
ปัญหาแรก เกิดจากพรรคมะแลงสาบเกิดความเชื่อว่าพรรคไทยรักไทยจะครองความ ยิ่งใหญ่ในสนามการเมืองแบบผูกขาดไปหลายปี เนื่องจากนโยบาย "ประชานิยม" ที่พรรค ไทยรักไทยปฏิบัติการลงไป ประชาชนระดับล่างให้ความศรัทธาเลื่อมใส เกิดความรักความ ผูกพันยากที่จะแกะให้หลุดออกมาได้ อันจะเป็นเหตุให้พรรคมะแลงสาบต้องเผชิญชะตากรรม ถึงกับจะเป็นฝ่ายค้านยาวนานกี่เดือนกี่ปี ก็ไม่อาจรู้ได้
พรรคมะแลงสาบ จึงวางแผนบ่อนทำลายพรรคไทยรักไทย ด้วยความเหี้ยมโหดไร้ความเป็นธรรม และได้ลงมือบ่อนทำลายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนบ้านเมืองป่นปี้
ปัญหาต่อมา เกิดจากพวก "ต้องการล้มสถาบันพระมหากษัตริย์" ที่รอคอยโอกาสว่าจะ ปฏิบัติการอย่างไร จึงจะทำให้พระมหากษัตริย์ง่อนแง่นได้ คนพวกนี้ได้ถือโอกาสเข้าร่วม เป็น "กระบวนการเดียวกัน" กับพรรคมะแลงสาบ ด้วยวิธีการตีป่าให้สั่นไหวไปทั้งแผ่นดิน พร้อมกับได้ "จุดไฟเผา" ด้วยวิธีการโน้มดึงเอาสถาบันเบื้องสูงลงมาเป็นข้ออ้าง นั้นก็คือ อ้างว่า "คนโน้นจะล้มเจ้า คนนี้จะเป็นประธานาธิบดี" อันเป็นผลให้คนที่รักเจ้า อันได้แก่ประชาชนทั้งหลายเกิดความเกลียดชัง มีอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ต้องการแห่ม็อบไปเหยียบ อกพวกที่เป็นภัยต่อเจ้า
เมื่อเหยียบเขาไม่ได้ ก็พากัน "ยึดถนนมัฆวาน บุกเข้าทำลายสถานี โทรทัศน์ เอ็นบีที (ช่อง ๑๑ เก่า) แล้วเลยไปยึดทำเนียบรัฐบาล ประกาศขับไล่รัฐบาล ที่พวกเข้าใจว่า เป็นภัยร้ายแรงของสถาบันเจ้า ตามความเข้าใจของพวกเขา
เท่านั้นยังไม่พอ ยังเลยเถิดไปถึงการยึดสนามบินทั้ง ๒ แห่ง จนกลายเป็นการก่อการร้าย คนที่คิดจะล้มเจ้า ผมตั้งข้อสังเกตุที่เกิดมาจากความเชื่อโดยสนิทใจ เอาไว้ว่ามีหลายเคน เช่น "สันติอโศก" นายโพธิรักษ์ พลตรี จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวก อีกหลายคน ซึ่งอาจรวมทั้งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศเข้าไปด้วย แต่ละ ในจำนวนนี้ ย่อมมีคนชื่อ"สุเทพ เทือกสุบรรณ" และ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ติดบัญชีรายชื่อพวกอยากล้มเจ้า เนื่องจาก ผมเชื่อโดยสนิทใจจริง ๆ ว่า ๒ คนนี้ เป็นทั้งหัวหอก ทำลายทักษิณ และเป็นทั้ง ตัวการปล่อยข่าวกล่าวหาทักษิณ ว่าใฝ่เป็นประธานาธิบดี ซึ่งก็ได้พ่วง "คนเสื้อแดง"เข้าไปด้วย
การกระทำของ คน ๒ คนนี้ ได้ก่อปัญหาขึ้นในสถาบัน จนปรากฏชัดว่าพวกเขา พากันดึงเอาเจ้าลงมาเป็นเครื่องมือทำลายคนอื่น ทำให้ประชาชนในประเทศแตกเป็น ๒ เสี่ยง สุดที่จะ ยับยั้งเอาไว้ได้
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าประชาชนแตกเป็นเสี่ยงได้แก่ "คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" กำลังระบาดไปอย่างน่าตกใจยิ่ง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขอกราบเรียนเอาไว้ในบทที่ ๑๓ นี้ว่า ด้วยเหตุแห่งปัญหามันเป็น เช่นนี้ การนำเสนอแนวทางสมานฉันท์ ดังที่กำลังนำเสนออยู่นั้น หลักใหญ่ใจความต้องเน้น ไปที่มูลเหตุอันแท้จริงก่อน อย่าได้วกวนจับหาปมเงื่อนไม่เจอ เมื่อจับปมเงื่อนไม่เจอ แล้ว จะจับเอาประชาชน "สองฝ่าย" ให้มาปรองดองกันได้อย่างไร
ณ โอกาสนี้ ผมขอนำเสนอแนวทางสมานฉันท์ที่จะได้ผลนั้น ต้องประกาศหลักการ เบื้องต้น ๓ ประการ แล้วประกาศหลักการสนับสนุนอีก ๑๑ ประการ
หลักการเมืองเบื้องต้น ต้องประกาศว่า
(๑) ข้อกล่าวหาใด ที่ได้กล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดีนั้น เป็นข้อกล่าวหาเท็จ จึงให้ออกกฎหมายพิเศษ ให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับมาร่วมกระบวนการทางการเมือง ในฐานะผู้บริสุทธิ์ และให้ออกกฏหมายพิเศษ เพิกถอนการสั่งเว้นวรรคทางการเมือง แก่นักการเมือง ทุกพรรค ทุกคน ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๒ นี้
(๒) ให้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมแบบ ปัญจภาคี คือข้าราชการ ทหารตำรวจ นักการเมือง นักวิชาการ พ่อค้า ประชาชน เข้ามาเป็นผู้ควบคุมกติกา ห้ามมิให้บิดพลิ้วต่อแนวทางสมานฉันท์
(๓) ประกาศกฏหมายพิเศษว่าในรัฐบาลต่อไป จะต้องเลิกรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ด้วยการนำเอารัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ มาแก้ไขในบางมาตรา แล้วประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน จัดให้มีการเลือกตั้งใหญ่ภายใน ๙๐ วัน
สำหรับหลักการสนับสนุน ๑๑ ประการนั้น ให้เอาแนวคิดของคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่ได้สรุปเอาไว้มาแยกเป็นหัวข้อรวม ๑๑ หัวข้อ ก็จะได้ความสมบูรณ์ทุกประการ
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมอยากนำเสนอความเห็นนี้แก่คณะกรรมการสมานฉันท์ให้พวกเขา กล้านำเอาไปใช้ จะสามารถแก้ปัญหาของชาติได้ ผมไม่เชื่อว่าแนวทางที่คณะกรรมการฯ ชุดนี้กำลังทำเสนอต่อสภา จะแก้ปัญหาได้ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนและพรรคการเมืองแบ่งเป็น สองฝ่าย และเป็นศัตรูแก่กัน(ต้นเหตุเกิดมาจากข้อกล่าวหาและความไม่เป็นธรรม) ซึ่งจะส่งผลให้พรรคมะแลงสาบ ไม่สามารถเดินทางเข้าสู่พื้นที่อีสาน และภาคเหนือได้ เช่นเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็ไม่อาจเดินทางเข้าพื้นที่ภาคใต้ได
คนไทยจะแบ่งเป็นภาคใครภาคมัน อันจะส่งผลให้เกิดข้อขัดแย้งอย่างใหญ่หลวง เป็นภัยต่อสถาบันของชาติอย่างร้ายแรง ซึ่งพวก "ต้องการล้มเจ้า"ปรารถนาร้อนแรงอยู่ในจิตใจ ก็จะถือโอกาสขย่มให้ประเทศชาติปั่นป่วนร้ายแรงมากยิ่งขึ้น คนพวกนี้ "บ้าอำนาจ" ปรารถนาที่จะเป็นใหญ่ แต่ไม่กล้าทำเอง พวกเขา "ยืมมือ" คนอื่นในลักษณะแนวร่วมมุมกลับ เพื่อจะทำลายสถาบันให้ย่อยยับโดย ตัวเองไม่มัวหมอง
ผมจึงอยากให้ "ราชนิกูล" และประดาไฮโซทั้งหลาย รีบโหลดเอาใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๑๓ เรื่องเอาไปอ่านเสียให้จบ แล้วจงรีบคิดแก้ไข ก่อนจะสายเกินไป.ทั้งนี้อย่าคาดหวังว่าพรรคภูมิใจไทยจะกู้ชาติได้
จึงขอให้คณะกรรมการสมานฉันท์ โปรดถามตัวเองว่า ...ฉันท์อะไรกันแน่ มิทราบ ? !
จบบทที่ ๑๓ / สอาด จันทร์ดี
ท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างประเทศ คงจะรู้สึกเชื่อมั่นว่าคณะกรรมการสมานฉันท์ จะทำให้ ประเทศไทยกลับฟื้นคืนความสงบให้แก่ประเทศชาติได้ แล้วจะพากันเชื่อต่อไปว่าคณะกรรมการ สมานฉันท์ คือความหวังที่จะได้รับรู้ รูปแบบ และแนวทางทีจะทำให้คนไทยสมานฉันท์กันได้
ผมขอกราบเรียนว่า ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๑๓ ที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ เป็นอีกความเชื่อหนึ่ง ที่แตกต่างจากท่านผู้อื่น กล่าวคือ "ผมไม่เชื่อ" ว่าคณะกรรมการสมานฉันท์ จะสามารถ ทำให้คนไทยสมานฉันท์กันได้
ทั้งนี้เนื่องจากข้อสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์ ไม่รู้ว่า มันเป็น"ฉันท์แบบไหนกันแน่?"
เพราะยิ่งติดตามอ่านดู ยิ่งเต็มไปด้วยความสับสน ค่อนข้าง จะเพ้อเจ้อ และวกวน ประการสำคัญ ความจริงไม่พูดถึง ไปพูดถึงเรื่องที่ไกลจากความเป็นจริงเรื่องอย่างนี้นะครับ อาจารย์ของผม "ท่านอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร" ได้บอกแล้ว บอกอีกว่า ปัญหาของชาติถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของแผ่นดิน การอ่านปัญหาของชาติต้อง อ่านให้ถูกต้อง และตรงประเด็นที่สุด อย่าอ่านผิด
ถ้าอ่านผิดเมื่อใด เมื่อนั้นจะทำให้การแก้ ปัญหาของชาติผิดพลาดไปทั้งกระบวน เรื่องนี้แลครับ ที่ผมจับเอามาเขียนถึง "คณะกรรมการสมานฉันท์" ที่กำลังทำรายงานสรุปความรู้ความเข้าใจเพื่อจะนำเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร แล้วให้ประธานสภารับลูกต่อ เพื่อจะทำให้บทสรุปดังกล่าวสามารถนำเอามาปฏิบัติให้เกิดผลได้
ผมจะไม่ขอวิพากย์วิจารณ์ว่าบทสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์จะดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะจะทำให้เสียเวลา ผมจึงคิดของผมว่า ผมจะนำเสนอ "ตัวปัญหา" ที่เป็นต้นเหตุทำให้ ประเทศเกิดเรื่องวุ่นวายไปทั้งแผ่นดิน เกิดมาจากปัญหา ๒ ปัญหา ดังนี้
ปัญหาแรก เกิดจากพรรคมะแลงสาบเกิดความเชื่อว่าพรรคไทยรักไทยจะครองความ ยิ่งใหญ่ในสนามการเมืองแบบผูกขาดไปหลายปี เนื่องจากนโยบาย "ประชานิยม" ที่พรรค ไทยรักไทยปฏิบัติการลงไป ประชาชนระดับล่างให้ความศรัทธาเลื่อมใส เกิดความรักความ ผูกพันยากที่จะแกะให้หลุดออกมาได้ อันจะเป็นเหตุให้พรรคมะแลงสาบต้องเผชิญชะตากรรม ถึงกับจะเป็นฝ่ายค้านยาวนานกี่เดือนกี่ปี ก็ไม่อาจรู้ได้
พรรคมะแลงสาบ จึงวางแผนบ่อนทำลายพรรคไทยรักไทย ด้วยความเหี้ยมโหดไร้ความเป็นธรรม และได้ลงมือบ่อนทำลายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนบ้านเมืองป่นปี้
ปัญหาต่อมา เกิดจากพวก "ต้องการล้มสถาบันพระมหากษัตริย์" ที่รอคอยโอกาสว่าจะ ปฏิบัติการอย่างไร จึงจะทำให้พระมหากษัตริย์ง่อนแง่นได้ คนพวกนี้ได้ถือโอกาสเข้าร่วม เป็น "กระบวนการเดียวกัน" กับพรรคมะแลงสาบ ด้วยวิธีการตีป่าให้สั่นไหวไปทั้งแผ่นดิน พร้อมกับได้ "จุดไฟเผา" ด้วยวิธีการโน้มดึงเอาสถาบันเบื้องสูงลงมาเป็นข้ออ้าง นั้นก็คือ อ้างว่า "คนโน้นจะล้มเจ้า คนนี้จะเป็นประธานาธิบดี" อันเป็นผลให้คนที่รักเจ้า อันได้แก่ประชาชนทั้งหลายเกิดความเกลียดชัง มีอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ต้องการแห่ม็อบไปเหยียบ อกพวกที่เป็นภัยต่อเจ้า
เมื่อเหยียบเขาไม่ได้ ก็พากัน "ยึดถนนมัฆวาน บุกเข้าทำลายสถานี โทรทัศน์ เอ็นบีที (ช่อง ๑๑ เก่า) แล้วเลยไปยึดทำเนียบรัฐบาล ประกาศขับไล่รัฐบาล ที่พวกเข้าใจว่า เป็นภัยร้ายแรงของสถาบันเจ้า ตามความเข้าใจของพวกเขา
เท่านั้นยังไม่พอ ยังเลยเถิดไปถึงการยึดสนามบินทั้ง ๒ แห่ง จนกลายเป็นการก่อการร้าย คนที่คิดจะล้มเจ้า ผมตั้งข้อสังเกตุที่เกิดมาจากความเชื่อโดยสนิทใจ เอาไว้ว่ามีหลายเคน เช่น "สันติอโศก" นายโพธิรักษ์ พลตรี จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับพวก อีกหลายคน ซึ่งอาจรวมทั้งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศเข้าไปด้วย แต่ละ ในจำนวนนี้ ย่อมมีคนชื่อ"สุเทพ เทือกสุบรรณ" และ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ติดบัญชีรายชื่อพวกอยากล้มเจ้า เนื่องจาก ผมเชื่อโดยสนิทใจจริง ๆ ว่า ๒ คนนี้ เป็นทั้งหัวหอก ทำลายทักษิณ และเป็นทั้ง ตัวการปล่อยข่าวกล่าวหาทักษิณ ว่าใฝ่เป็นประธานาธิบดี ซึ่งก็ได้พ่วง "คนเสื้อแดง"เข้าไปด้วย
การกระทำของ คน ๒ คนนี้ ได้ก่อปัญหาขึ้นในสถาบัน จนปรากฏชัดว่าพวกเขา พากันดึงเอาเจ้าลงมาเป็นเครื่องมือทำลายคนอื่น ทำให้ประชาชนในประเทศแตกเป็น ๒ เสี่ยง สุดที่จะ ยับยั้งเอาไว้ได้
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าประชาชนแตกเป็นเสี่ยงได้แก่ "คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" กำลังระบาดไปอย่างน่าตกใจยิ่ง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขอกราบเรียนเอาไว้ในบทที่ ๑๓ นี้ว่า ด้วยเหตุแห่งปัญหามันเป็น เช่นนี้ การนำเสนอแนวทางสมานฉันท์ ดังที่กำลังนำเสนออยู่นั้น หลักใหญ่ใจความต้องเน้น ไปที่มูลเหตุอันแท้จริงก่อน อย่าได้วกวนจับหาปมเงื่อนไม่เจอ เมื่อจับปมเงื่อนไม่เจอ แล้ว จะจับเอาประชาชน "สองฝ่าย" ให้มาปรองดองกันได้อย่างไร
ณ โอกาสนี้ ผมขอนำเสนอแนวทางสมานฉันท์ที่จะได้ผลนั้น ต้องประกาศหลักการ เบื้องต้น ๓ ประการ แล้วประกาศหลักการสนับสนุนอีก ๑๑ ประการ
หลักการเมืองเบื้องต้น ต้องประกาศว่า
(๑) ข้อกล่าวหาใด ที่ได้กล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดีนั้น เป็นข้อกล่าวหาเท็จ จึงให้ออกกฎหมายพิเศษ ให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับมาร่วมกระบวนการทางการเมือง ในฐานะผู้บริสุทธิ์ และให้ออกกฏหมายพิเศษ เพิกถอนการสั่งเว้นวรรคทางการเมือง แก่นักการเมือง ทุกพรรค ทุกคน ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๒ นี้
(๒) ให้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมแบบ ปัญจภาคี คือข้าราชการ ทหารตำรวจ นักการเมือง นักวิชาการ พ่อค้า ประชาชน เข้ามาเป็นผู้ควบคุมกติกา ห้ามมิให้บิดพลิ้วต่อแนวทางสมานฉันท์
(๓) ประกาศกฏหมายพิเศษว่าในรัฐบาลต่อไป จะต้องเลิกรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ด้วยการนำเอารัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ มาแก้ไขในบางมาตรา แล้วประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน จัดให้มีการเลือกตั้งใหญ่ภายใน ๙๐ วัน
สำหรับหลักการสนับสนุน ๑๑ ประการนั้น ให้เอาแนวคิดของคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่ได้สรุปเอาไว้มาแยกเป็นหัวข้อรวม ๑๑ หัวข้อ ก็จะได้ความสมบูรณ์ทุกประการ
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมอยากนำเสนอความเห็นนี้แก่คณะกรรมการสมานฉันท์ให้พวกเขา กล้านำเอาไปใช้ จะสามารถแก้ปัญหาของชาติได้ ผมไม่เชื่อว่าแนวทางที่คณะกรรมการฯ ชุดนี้กำลังทำเสนอต่อสภา จะแก้ปัญหาได้ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนและพรรคการเมืองแบ่งเป็น สองฝ่าย และเป็นศัตรูแก่กัน(ต้นเหตุเกิดมาจากข้อกล่าวหาและความไม่เป็นธรรม) ซึ่งจะส่งผลให้พรรคมะแลงสาบ ไม่สามารถเดินทางเข้าสู่พื้นที่อีสาน และภาคเหนือได้ เช่นเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็ไม่อาจเดินทางเข้าพื้นที่ภาคใต้ได
คนไทยจะแบ่งเป็นภาคใครภาคมัน อันจะส่งผลให้เกิดข้อขัดแย้งอย่างใหญ่หลวง เป็นภัยต่อสถาบันของชาติอย่างร้ายแรง ซึ่งพวก "ต้องการล้มเจ้า"ปรารถนาร้อนแรงอยู่ในจิตใจ ก็จะถือโอกาสขย่มให้ประเทศชาติปั่นป่วนร้ายแรงมากยิ่งขึ้น คนพวกนี้ "บ้าอำนาจ" ปรารถนาที่จะเป็นใหญ่ แต่ไม่กล้าทำเอง พวกเขา "ยืมมือ" คนอื่นในลักษณะแนวร่วมมุมกลับ เพื่อจะทำลายสถาบันให้ย่อยยับโดย ตัวเองไม่มัวหมอง
ผมจึงอยากให้ "ราชนิกูล" และประดาไฮโซทั้งหลาย รีบโหลดเอาใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๑๓ เรื่องเอาไปอ่านเสียให้จบ แล้วจงรีบคิดแก้ไข ก่อนจะสายเกินไป.ทั้งนี้อย่าคาดหวังว่าพรรคภูมิใจไทยจะกู้ชาติได้
จึงขอให้คณะกรรมการสมานฉันท์ โปรดถามตัวเองว่า ...ฉันท์อะไรกันแน่ มิทราบ ? !
จบบทที่ ๑๓ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 14 สนธิ ลิ้มทองกุล ยังโง่ไม่เลิก
บทที่ ๑๔ ตอน :สนธิ ลิ้มทองกุล ยังโง่ไม่เลิก ?!!
ขอกราบเรียนว่า "คดีลอบฆ่าสนธิ ลิ้มทองกุล" ไม่ได้เกี่ยวกับกงการอะไรของเราที่จะต้องเข้าไปวิพากย์วิจารณ์ แต่ด้วยเหตุว่า กรณี "สนธิ ลิ้มทองกุล" ถูกคำสั่งฆ่า ก็ย่อมจะเกิดขึ้นได้กับ "แกนนำ" ของพวกเสื้อแดง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เช่นพวก "สามเกลอหัวขวด" อาจถูกเด็ดชีพให้ด่าวดิ้นกลายเป็นผีเฝ้าป่าช้าทั้งนี้ เนื่องจากระบอบเผด็จการไม่มีวิธีอื่นที่จะทำได้ประทับใจโก๋ เท่ากับการ "สั่งฆ่า"ดังที่ได้กระทำกับสนธิ ลิ้มทองกุล
บัดนี้ "แป๊ะลิ้ม" สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้เอาตัวเองและบริวาร ทำสงครามตัวแทน ช่วยเหลือเผด็จเสมอด้วยชีวิต ย่อมได้เห็น "ของจริง" ยิ่งกว่าใครคนอื่นโดยมีศรีษะของตัวเองเป็นเป้าสังหาร หากแต่เดชะบุญ ดวงยังแข็ง จึงรอดตายมาได้หวุดหวิด
ผมจึงอยากนำเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยส่วนรวมขึ้นมาเขียนนั้นก็คือ ตัวของ "แป๊ะลิ้ม" น่าจะรู้ดีกว่าใครว่า ตัวเองเดินทางผิด หรือว่าเดินทางถูกแล้ว ที่ได้เอาตัวเข้าไปเป็น "แกนนำ" ทำสงครามตัวแทนให้แก่พวกอำมาตย์เผด็จการใหญ่ทั้งหลาย
สิ่งหนึ่งที่อยากส่งคำพูดให้เข้าหูของ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ก็คือ การกระทำของพันธมิตรที่มีตัวของสนธิเองเป็นหัวหน้า ผลของการกระทำในครั้งกระโน้น ที่กำลังออกดอกออกผลในวันนี้ มันได้ "กระทำ" ให้เกิดความ "แตกแยก" ในหมู่ประชาชนมากน้อยเพียงใด
คนไทย แบ่งเป็นไทยเหนือ-ไทยใต้ ใครเป็นคนก่อ สนธิ ลิ้มทองกุล รู้แล้วใช่ไหม ฝีมือของใคร มีคนเขาวิเคราะห์ว่า พวกอำมาตย์ใหญ่ มีแผนการณ์ที่จะ "ล้มระบอบการปกครอง" จึง หาวิธีการ "ล้มล้าง"ด้วยกระบวนการอันโฉดฃั่ว กล่าวคือ "กล่าวหาคนอื่น" แล้วโยนความชั่วให้คนเสื้อแดงว่าเป็นฝ่ายที่ไม่มีความจงรักภักดี ผลของการกระทำในครั้งนั้นลูกน้องของแป๊ะ ลิ้มเอง เป็นกระบอกเสียงโห่ออกมา เธอเป็ผู้หญิง คือ "อัญชลี ไพรีรัก" ชาวบ้านเรียก "อีนังปอง" อีนางคนนี้ได้ตะโกนเข้าไปในเครื่องส่ง ASTV ดังกระหึ่มไปทั่วโลก อันเป็นการเปิดฉาก แยกประชาชน ออกเป็นสองพวก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ ชาติไทย
แล้วก็สามารถแยกได้สำเร็จซะด้วย เหตุการณ์ในครั้งนี้ ย่อมหนีไม่พ้นกับคนชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนจุดประเด็นขึ้น แล้วเอามาขยายความในม็อบ พธม. ยังไงล่ะ คนเขาจึงจับภาพได้ว่า คนที่วางแผนล้มเจ้าตัวจริง ซึ่งมีอยู่หลายคนนั้น มีคนชื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล" รวมอยู่ด้วย จริงไม่จริง มันอยู่ที่สติปัญญาของคุณสนธิ จะอ่านตัวเองออกว่ากำลังทำอะไรอยู่ หากยังอ่านไม่ออก ให้นั่งลงต่อหน้า "นายโพธิรักษ์" หรือเดียรถีย์สันติอโศก แล้วยิงคำถามว่า การเอาคนไทยที่รักกันเป็นพันปีให้ทะเลาะกันได้ในหนนี้จัดอยู่ใน "กลเกม" ประเภทไหน ..ผมอยากให้สนธิ ถามประโยคดังกล่าวนี้
คุณสนธิครับ ผมชื่อ "สอาด จันทร์ดี" ผมอยากเขียนจดหมายถึงคุณสั้น ๆ ว่า การกระ ทำของคุณ มันโง่เกินกว่าจะให้อภัย คุณทำให้คนในชาติ"แตกเป็นเสี่ยง" แล้วคุณยังมีหน้า มาแสดงตนว่าเป็นคนรักชาติ
โธ่..สนธิ คนรักชาติ เขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอก ถ้าอยากจะรู้ ว่าคนที่เขารักชาติเขาทำกันอย่างไร คำตอบก็คือ
(๑) ไม่ยึดอำนาจด้วยปลายกระบอกปืน
(๒) ไม่ดึงเอาสถาบันเบื้องสูงลงมาเป็นเครื่องมือของตัวเอง
(๓) ต้องปฏิเสธระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ
(๔) พัฒนาการเลือกตั้งโดยประชาชนให้ก้าวถึงที่หมาย
(๕) พร้อมใจกันทั่วประเทศ ใช้แนวทาง ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เกิดการพัฒนาตามรูปแบบของระบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ในข้อที่ (๕) ดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็น "หัวใจ" ของระบอบประชาธิปไตย นั้นก็คือการพัฒนา สังคมตามระบอบประชาธิปไตยในยุคปัจจุบัน มิได้อาศัยแนวทางประชาธิปไตยแต่อย่างใด การกระทำทั้งหมด มันเป็น "เผด็จการทั้งดุ้น" อันเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
ผิดพลาดแบบไหน อย่างไร ดูได้จากสถานการณ์วันต่อวัน ที่เห็นอยู่เต็มตา เช่น...ทหารยึดอำนาจ...ก็พากันเอาด้วย แต่งตั้งนายกโดยเผด็จการ ก็เอาด้วย ตั้งสภานิติบัญญัติจากมือเผด็จการแท้ ๆ ก็พากันเอาด้วย พวกเผด็จการสร้างรัฐธรรมนูญเถื่อน.(๒๕๕๐)..ก็เอาด้วย
เรียกว่า "เอาด้วย" กับระบอบเผด็จการแบบไม่ลืมหูลืมตา ยิ่งไปกว่านี้ พวกคุณเอง ทำความผิด ไม่ยอมรับผิด แต่จะเอาความผิดกับพวกเสื้อแดงในทุกเรื่อง ไล่ทุบ ไล่ตี เอาตามใจชอบ...และสุดท้าย ตัวเองถูกลอบฆ่า ขณะดวงตะวันกำลังจะโผล่ขอบฟ้า คล้ายกับจะสั่งให้ตายก่อนพระอาทิตย์จะส่องแสง (ทำไมไม่เอาด้วย) สนธิ ลิ้มทองกุลเอ๋ย...
ที่เขียนมานี้ เป็นเพียงประโยคคำพูดสั้นจู๋ อ่านแล้วอาจจะไม่ เข้าใจ เพราะพวก "เผด็จการ" และ "พันธมิตร" รวมทั้งพรรคมะแลงสาบ อาจจะหลงทางอยู่กลางป่า คิดว่าจะสั่งประชาชนให้หันซ้าย หันขวา อย่างไรก็ได้ มันสายไปเสียแล้ว สนธิเฮ๋ย สายเพราะ
(๑) ขึ้นภาษีไปแล้ว
(๒) กู้ไปแล้ว แปดแสนล้าน
(๓) ออกพันธบัตร แลกเงินประชาชนอย่างสนุกสนาน นี้ก็คือการกู้
(๔) บริษัทห้างร้านเจ๊งรายวัน
(๕) รัฐบาลทำอะไรไม่เป็น โง่ดักดานเฟอะฟะ...ซ้ำซาก
(๖) ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ขายสินค้าเกษตร ได้ต่ำกว่าราคาทุน มันหมายถึง "ขาดทุน" ร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ ...เรียกว่าเจ๊ง...เจ๊ง...เจ๊ง เจ็กจนหมดตัว
เมื่อเป็นเช่นนี้...แป๊ะลิ้ม จะทำประการใดจึงจะให้ประเทศไทย หายจากโรควิกฤติใน ครั้งนี้ได้ ? คุณช่วยตอบผมด้วย
ขอให้ตอบก็เพราะตัวคุณเป็นผู้กระโดดเข้าไปทำลายการ พัฒนาประเทศในขณะที่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กำลังพาชาติเดินหน้าอย่างได้ผล
หมายเหตุ : ผมอยากสะกิดเตือนสติว่า อย่าได้กล่าวเท็จออกมาว่า ทักษิณ ขนเงิน ออกจากกระทรวงการคลังเอาไปต่างประเทศจนหมด จึงทำให้เงินคงคลังไม่มีเหลือ คำพูด แบบนี้สามารถทำให้ประชาชนหลงเชื่อได้ แต่ถ้าเอาคุณหญิงพรทิพย์ไปตรวจสอบลายมือ จะไม่พบ "รอยนิ้วมือของใครเข้าไปขน"
ทั้งนี้เนื่องจากไม่เคยมีใครเข้าไปขโมยเงินในท้องพระคลัง เงินมันหายไปเอง เนื่องจากมีแต่ใช้จ่ายออกไป ไม่มีปัญหาหาเข้ามา เงินมันเลยหมดไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงรีบหาทางกู้ และหาทางออกพันธมิตร เพื่อจะขน เงินเข้ามากองเอาไว้ให้ใช้จ่ายได้อย่างสะดวก ยังไงล่ะ ถามหน่อย...แป๊ะลิ้ม สนธิ ลิ้มทองกุล ยังโง่ไม่เลิก...ใช่ไหม ?!
จบบทที่ ๑๔ / สอาด จันทร์ดี
ขอกราบเรียนว่า "คดีลอบฆ่าสนธิ ลิ้มทองกุล" ไม่ได้เกี่ยวกับกงการอะไรของเราที่จะต้องเข้าไปวิพากย์วิจารณ์ แต่ด้วยเหตุว่า กรณี "สนธิ ลิ้มทองกุล" ถูกคำสั่งฆ่า ก็ย่อมจะเกิดขึ้นได้กับ "แกนนำ" ของพวกเสื้อแดง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เช่นพวก "สามเกลอหัวขวด" อาจถูกเด็ดชีพให้ด่าวดิ้นกลายเป็นผีเฝ้าป่าช้าทั้งนี้ เนื่องจากระบอบเผด็จการไม่มีวิธีอื่นที่จะทำได้ประทับใจโก๋ เท่ากับการ "สั่งฆ่า"ดังที่ได้กระทำกับสนธิ ลิ้มทองกุล
บัดนี้ "แป๊ะลิ้ม" สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้เอาตัวเองและบริวาร ทำสงครามตัวแทน ช่วยเหลือเผด็จเสมอด้วยชีวิต ย่อมได้เห็น "ของจริง" ยิ่งกว่าใครคนอื่นโดยมีศรีษะของตัวเองเป็นเป้าสังหาร หากแต่เดชะบุญ ดวงยังแข็ง จึงรอดตายมาได้หวุดหวิด
ผมจึงอยากนำเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยส่วนรวมขึ้นมาเขียนนั้นก็คือ ตัวของ "แป๊ะลิ้ม" น่าจะรู้ดีกว่าใครว่า ตัวเองเดินทางผิด หรือว่าเดินทางถูกแล้ว ที่ได้เอาตัวเข้าไปเป็น "แกนนำ" ทำสงครามตัวแทนให้แก่พวกอำมาตย์เผด็จการใหญ่ทั้งหลาย
สิ่งหนึ่งที่อยากส่งคำพูดให้เข้าหูของ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ก็คือ การกระทำของพันธมิตรที่มีตัวของสนธิเองเป็นหัวหน้า ผลของการกระทำในครั้งกระโน้น ที่กำลังออกดอกออกผลในวันนี้ มันได้ "กระทำ" ให้เกิดความ "แตกแยก" ในหมู่ประชาชนมากน้อยเพียงใด
คนไทย แบ่งเป็นไทยเหนือ-ไทยใต้ ใครเป็นคนก่อ สนธิ ลิ้มทองกุล รู้แล้วใช่ไหม ฝีมือของใคร มีคนเขาวิเคราะห์ว่า พวกอำมาตย์ใหญ่ มีแผนการณ์ที่จะ "ล้มระบอบการปกครอง" จึง หาวิธีการ "ล้มล้าง"ด้วยกระบวนการอันโฉดฃั่ว กล่าวคือ "กล่าวหาคนอื่น" แล้วโยนความชั่วให้คนเสื้อแดงว่าเป็นฝ่ายที่ไม่มีความจงรักภักดี ผลของการกระทำในครั้งนั้นลูกน้องของแป๊ะ ลิ้มเอง เป็นกระบอกเสียงโห่ออกมา เธอเป็ผู้หญิง คือ "อัญชลี ไพรีรัก" ชาวบ้านเรียก "อีนังปอง" อีนางคนนี้ได้ตะโกนเข้าไปในเครื่องส่ง ASTV ดังกระหึ่มไปทั่วโลก อันเป็นการเปิดฉาก แยกประชาชน ออกเป็นสองพวก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ ชาติไทย
แล้วก็สามารถแยกได้สำเร็จซะด้วย เหตุการณ์ในครั้งนี้ ย่อมหนีไม่พ้นกับคนชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนจุดประเด็นขึ้น แล้วเอามาขยายความในม็อบ พธม. ยังไงล่ะ คนเขาจึงจับภาพได้ว่า คนที่วางแผนล้มเจ้าตัวจริง ซึ่งมีอยู่หลายคนนั้น มีคนชื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล" รวมอยู่ด้วย จริงไม่จริง มันอยู่ที่สติปัญญาของคุณสนธิ จะอ่านตัวเองออกว่ากำลังทำอะไรอยู่ หากยังอ่านไม่ออก ให้นั่งลงต่อหน้า "นายโพธิรักษ์" หรือเดียรถีย์สันติอโศก แล้วยิงคำถามว่า การเอาคนไทยที่รักกันเป็นพันปีให้ทะเลาะกันได้ในหนนี้จัดอยู่ใน "กลเกม" ประเภทไหน ..ผมอยากให้สนธิ ถามประโยคดังกล่าวนี้
คุณสนธิครับ ผมชื่อ "สอาด จันทร์ดี" ผมอยากเขียนจดหมายถึงคุณสั้น ๆ ว่า การกระ ทำของคุณ มันโง่เกินกว่าจะให้อภัย คุณทำให้คนในชาติ"แตกเป็นเสี่ยง" แล้วคุณยังมีหน้า มาแสดงตนว่าเป็นคนรักชาติ
โธ่..สนธิ คนรักชาติ เขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอก ถ้าอยากจะรู้ ว่าคนที่เขารักชาติเขาทำกันอย่างไร คำตอบก็คือ
(๑) ไม่ยึดอำนาจด้วยปลายกระบอกปืน
(๒) ไม่ดึงเอาสถาบันเบื้องสูงลงมาเป็นเครื่องมือของตัวเอง
(๓) ต้องปฏิเสธระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ
(๔) พัฒนาการเลือกตั้งโดยประชาชนให้ก้าวถึงที่หมาย
(๕) พร้อมใจกันทั่วประเทศ ใช้แนวทาง ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เกิดการพัฒนาตามรูปแบบของระบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ในข้อที่ (๕) ดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็น "หัวใจ" ของระบอบประชาธิปไตย นั้นก็คือการพัฒนา สังคมตามระบอบประชาธิปไตยในยุคปัจจุบัน มิได้อาศัยแนวทางประชาธิปไตยแต่อย่างใด การกระทำทั้งหมด มันเป็น "เผด็จการทั้งดุ้น" อันเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
ผิดพลาดแบบไหน อย่างไร ดูได้จากสถานการณ์วันต่อวัน ที่เห็นอยู่เต็มตา เช่น...ทหารยึดอำนาจ...ก็พากันเอาด้วย แต่งตั้งนายกโดยเผด็จการ ก็เอาด้วย ตั้งสภานิติบัญญัติจากมือเผด็จการแท้ ๆ ก็พากันเอาด้วย พวกเผด็จการสร้างรัฐธรรมนูญเถื่อน.(๒๕๕๐)..ก็เอาด้วย
เรียกว่า "เอาด้วย" กับระบอบเผด็จการแบบไม่ลืมหูลืมตา ยิ่งไปกว่านี้ พวกคุณเอง ทำความผิด ไม่ยอมรับผิด แต่จะเอาความผิดกับพวกเสื้อแดงในทุกเรื่อง ไล่ทุบ ไล่ตี เอาตามใจชอบ...และสุดท้าย ตัวเองถูกลอบฆ่า ขณะดวงตะวันกำลังจะโผล่ขอบฟ้า คล้ายกับจะสั่งให้ตายก่อนพระอาทิตย์จะส่องแสง (ทำไมไม่เอาด้วย) สนธิ ลิ้มทองกุลเอ๋ย...
ที่เขียนมานี้ เป็นเพียงประโยคคำพูดสั้นจู๋ อ่านแล้วอาจจะไม่ เข้าใจ เพราะพวก "เผด็จการ" และ "พันธมิตร" รวมทั้งพรรคมะแลงสาบ อาจจะหลงทางอยู่กลางป่า คิดว่าจะสั่งประชาชนให้หันซ้าย หันขวา อย่างไรก็ได้ มันสายไปเสียแล้ว สนธิเฮ๋ย สายเพราะ
(๑) ขึ้นภาษีไปแล้ว
(๒) กู้ไปแล้ว แปดแสนล้าน
(๓) ออกพันธบัตร แลกเงินประชาชนอย่างสนุกสนาน นี้ก็คือการกู้
(๔) บริษัทห้างร้านเจ๊งรายวัน
(๕) รัฐบาลทำอะไรไม่เป็น โง่ดักดานเฟอะฟะ...ซ้ำซาก
(๖) ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ขายสินค้าเกษตร ได้ต่ำกว่าราคาทุน มันหมายถึง "ขาดทุน" ร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ ...เรียกว่าเจ๊ง...เจ๊ง...เจ๊ง เจ็กจนหมดตัว
เมื่อเป็นเช่นนี้...แป๊ะลิ้ม จะทำประการใดจึงจะให้ประเทศไทย หายจากโรควิกฤติใน ครั้งนี้ได้ ? คุณช่วยตอบผมด้วย
ขอให้ตอบก็เพราะตัวคุณเป็นผู้กระโดดเข้าไปทำลายการ พัฒนาประเทศในขณะที่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กำลังพาชาติเดินหน้าอย่างได้ผล
หมายเหตุ : ผมอยากสะกิดเตือนสติว่า อย่าได้กล่าวเท็จออกมาว่า ทักษิณ ขนเงิน ออกจากกระทรวงการคลังเอาไปต่างประเทศจนหมด จึงทำให้เงินคงคลังไม่มีเหลือ คำพูด แบบนี้สามารถทำให้ประชาชนหลงเชื่อได้ แต่ถ้าเอาคุณหญิงพรทิพย์ไปตรวจสอบลายมือ จะไม่พบ "รอยนิ้วมือของใครเข้าไปขน"
ทั้งนี้เนื่องจากไม่เคยมีใครเข้าไปขโมยเงินในท้องพระคลัง เงินมันหายไปเอง เนื่องจากมีแต่ใช้จ่ายออกไป ไม่มีปัญหาหาเข้ามา เงินมันเลยหมดไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงรีบหาทางกู้ และหาทางออกพันธมิตร เพื่อจะขน เงินเข้ามากองเอาไว้ให้ใช้จ่ายได้อย่างสะดวก ยังไงล่ะ ถามหน่อย...แป๊ะลิ้ม สนธิ ลิ้มทองกุล ยังโง่ไม่เลิก...ใช่ไหม ?!
จบบทที่ ๑๔ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 15 นิติรัฐ..ไปกันใหญ่แล้วประเทศไทย
บทที่ ๑๕ ตอน : นิติรัฐ ..ไปกันใหญ่แล้วประเทศไทย ?!!
นึกไม่ถึงว่าสถานการณ์ด้าน "นิติรัฐ" ของประเทศไทยจะไปกันใหญ่ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศ "ไร้กฎหมาย" ไปเสียแล้ว ดังจะเห็นได้จากกรณี กกต. ชี้มูลความผิด ส.ส. ว่าทั้งตัวเอง และ ภรรยาพากันไปถือหุ้น ในระดับที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มีโทษร้ายแรงถึงขั้นต้องขาดจากการเป็น ส.ส. แต่กลับปรากฎว่าพรรคประชาธิปัตย์สวนออกมาทันทีว่า เรื่องนี้ยังไม่ร้ายแรง เพราะต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญ "ชี้ความผิด" ก่อน แล้วจึงมาว่ากัน
เห็นไหม มันทำไมจึงแตกต่างจากกรณีชี้ความผิดของ นาย สมัคร สุนทรเวช แตกต่างจากการชี้ความผิดรัฐมนตรี ที่ใช้นามสกุล "สะสมทรัพย์" และแตกต่างอย่างยิ่ง ที่ได้พิพากษายุบพรรคพลังประชาชน และพ่วงพรรคอื่นอีก ๒ พรรคโดยใช้กระบวน "ศาลเดียว" เอามาสร้างประวัติศาสตร์การพิพากษาคดีพรรคการเมืองจบสิ้นลงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ดังที่ ประฃาชนชาวไทยได้เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านไปแล้ว
ครั้นมาถึงวันนี้ เมื่อ กกต. ประกาศออกมาชัดขนาดนี้ แต่เหตุใดเล่าพรรคประชาธิปัตย์ จึงพากันถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่กระทบกระเทือนต่อฐานะของรัฐบาล แถมมีการออกข่าวประคับประคองพวกเดียวกัน โดยมิได้ตระหนักต่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมาย เรียกว่า ไม่ใส่ใจต่อกระบวนการนิติรัฐใด ๆ ทั้งสิ้น
ความจริง คนเสื้อแดงก็คงมิได้แปลกใจต่อการกระทำของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ดอกครับ เนื่องจากพวกเราตระหนักดีว่า ประเทศนี้ได้ใช้มาตรฐานไร้ขื่อไร้แป เป็นเครื่องมือรักษา อำนาจอย่างหน้าด้านมาแล้ว สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่และได้ทำมาแล้ว รวมทั้งจะทำต่อไป ล้วนแต่เป็นระบบ "สองมาตรฐาน" ตรงตามตำราของเผด็จการ
อย่าว่าแต่รัฐบาลเลยครับ แม้แต่พวกเสื้อเหลือง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สันติอโศก และม็อบพันธมารทั้งหลาย ก็พากัน "ทุบความเป็นธรรมทิ้ง" ด้วยวิธีการขนผู้คนจำนวนมากไปที่สโมสรตำรวจเมื่อ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เอารถบรรทุก ๑๐ ล้อขนเครื่องไฟ เครื่องขยายเสียงไปด้วยหลังจากนั้น พลตรี จำลอง ศรีเมือง ก็ได้ขึ้นไปบนเวที แล้วประกาศว่าพวกเขาเป็น"ผู้ก่อการดี" ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ตามหมายเรียกตัว ที่กองบัญชาการตำรวจแห่งชาติื ตั้งข้อหาให้แก่พวกเขา ตำรวจทำแบบนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นคนผิด ทั้ง ๆ ที่ ทำแต่คุณงามความดี ว่าเข้าไปโน้น ดูเขาพูดซีครับ...มันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก นึกไม่ถึงเลย ว่าจะกล้าพูดออกมาอย่างนี้ มิใช่แต่เท่านี้ ยังมีนายพลตำรวจโท (พล.ต.ท.) ตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูเหมือนว่าชื่อ "วุฒิ" แต่งตัวใส่สูท ขึ้นไปบนเวที แล้วจับไมค์ ส่งเสียงออกมาว่า ตัวเขาเองตามดูมาโดยตลอด ตั้งแต่วันวันโน้น มาจนถึงวันนี้ ก็เห็นกับตาว่า "เป็นการก่อการดี" มิใช่ การก่อการร้าย...?!!
นายตำรวจใหญ่ท่านนั้นพูดออกมาทั้งๆที่เป็นผู้รักษากฏหมาย เอาเข้าให้ไหมล่ะ...ลัทธิเผด็จการมันออกฤทธิ์แล้วไหมล่ะ
ผมนั่งตัวแข็ง สงสารประเทศไทยของเราเหลือเกิน ดูซิ กฏหมายไม่มีความหมายแล้ว พระคุณท่าน ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไปตามใจชอบ เห็นไหม นายสุริยะใส กตะศิลา และ พลตรี จำลอง ศรีเมือง ขึ้นมาร่ายยาว ล้วนแต่อ้างว่าเป็นการทำคุณงามความดีทั้งสิ้น
ผมคิดของผมในใจว่า ปัญหาของประเทศไทยในวันนี้ คงจะไม่ส่ง "ผลเสีย"เฉพาะด้าน กฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น มันจะก่อความเสียหายร้ายแรงต่อระบบองค์รวมของสังคมไทย อย่างไม่มีทางเลี่ยง มันจะทำให้ "ประเทศไทย" ไร้ขื่อไร้แปมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
มีคำถามว่าแล้วเราจะทำอย่างไรดี ?
คำถามนี้กำลังร้อนระอุอยู่ในหัวใจของคนที่รักชาติ รักประชาธิปไตย โดยเฉพาะคือ "คนเสื้อแดง" อันมี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นความ หวังของพวกเราว่าท่านผู้นี้จะเป็นผู้นำพาคนไทยทั้งประเทศ "กอบกู้"ประเทศชาติให้รอดพ้นจากเงื้อมมีอมาร และหวังจะได้กอบกู้นิติรัฐกลับคืนมา
ใช่...มันไม่ง่าย แต่มันไม่มีทางอื่น มันมีอยู่ทางเดียวคือต้องสู้เพื่อจะกอบกู้ประเทศชาติ อันเป็นที่รักยิ่งมิให้ตกไปอยู่ในมือของพวกเผด็จการแบบไร้ขื่อไร้แปแบบนี้ การประกาศสู้คง จะไม่ง่าย เพราะพวกเผด็จการจะหาทางเล่นงานคนเสื้อแดงอย่างไม่ปราณีเป็นแน่แท้
ผมอยากนำนิทานสาทกมาเล่าให้ฟังว่า ประเทศชาติเป็นของคนส่วนใหญ่มิใช่สมบัติให้ คนหยิบมือหนึ่งเชยชม สิ่งที่กล่าวมานี้เคยเกิดในฝรั่งเศส จีน เกาหลี เวียดนาม ลาว และ อีกหลายประเทศ และสุดท้ายคงจะพ่วงประเทศไทยเข้าไปด้วย
ถ้าประเทศไทยถูกพ่วงเมื่อไร เมื่อนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คนไทยคิดไม่ถึง มันจะร้อน หรือหนาว ยังไม่รู้ รู้แต่ว่า "ไม่มีความอบอุ่น" ไม่มีความแจ่มใส แต่มันจะเต็มไปด้วยเลือดและ น้ำตา ทั้งนี้โดยเก็บเอาเกล็ดประวัติศาสตร์ในประเทศที่ผมออกชื่อมา เอามาคลี่ตัวอย่างหรือ ถือเป็นแซมเปิ้ลทางประวัติศาตร์อันไม่อาจปลอมแปลงได้
ในชิ้นส่วนของประวัติศาสตร์เหล่านั้น ชนชั้นผู้ปกครองเป็นคนบีบคั้น ประเทศของตัวเอง ให้กลายเป็น "หมากรุกเข้าตาจน" โดยที่ประชาชนมิได้ก่อขึ้น ตรงกันข้าม ประชาชนต่าง หากคือเหยื่อของเผด็จการ ถูกพวกเผด็จการเล่นงานงอมพระราม จนในที่สุดเขาต้องลุกขึ้น ต่อสู้ จนกลายเป็นการกวาดล้างไปนั้นแล
วันนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศไร้นิติรัฐไปได้ถึงขั้นนี้ ซึ่งเป็นบันไดไต่เข้าหาความเลวร้าย โดยพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของเผด็จการคอยกำกับเวทีผมเชื่อว่าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจาก "เจตน์จำนง" ต้องการให้นองเลือดเพื่อจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการทำยุทธหัตถี ไปสู่การล้มล้างระบอบการปกครอง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ...หากท่านผู้ใดรักเจ้าจริง มีหัวใจเทิดทูลสถาบันจริง โปรดเก็บเอา บทความของผมไปศึกษา แล้วค้นหาความจริงโดยพลัน อย่าโอ้เอ้วิหารราย...หากพวกท่านยัง คงงมมะหราอยู่กับการกล่าวหา "คนเสื้อแดง" อยู่เช่นนี้ ท่านระวังให้ดี คนที่ต้องการให้ประเทศ "เกิดการจราจล" กำลังปั่นหัวคนไทยอย่างสนุกมือ
ท่านจะแก้ไขไม่ทัน การปฏิเสธนิติรัฐ เป็นอีกกลยุทธหนึ่งในจำนวนหลายกลวิธีที่พวกต้องการล้มเจ้ากำลัง ร่วมมือกัน "เล่นละครฉากใหญ่" โดยมีหัวหน้าใหญ่ ยืนกำกับเวทีไม่ห่าง..ซึ่งมีทั้งพวกเส้นใหญ่ และมือที่มองไม่เห็นไว...เห็นแต่เงา ไม่รู้ว่าเป็นใคร ?!!
จบบทที่ ๑๕ / สอาด จันทร์ดี
นึกไม่ถึงว่าสถานการณ์ด้าน "นิติรัฐ" ของประเทศไทยจะไปกันใหญ่ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศ "ไร้กฎหมาย" ไปเสียแล้ว ดังจะเห็นได้จากกรณี กกต. ชี้มูลความผิด ส.ส. ว่าทั้งตัวเอง และ ภรรยาพากันไปถือหุ้น ในระดับที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มีโทษร้ายแรงถึงขั้นต้องขาดจากการเป็น ส.ส. แต่กลับปรากฎว่าพรรคประชาธิปัตย์สวนออกมาทันทีว่า เรื่องนี้ยังไม่ร้ายแรง เพราะต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญ "ชี้ความผิด" ก่อน แล้วจึงมาว่ากัน
เห็นไหม มันทำไมจึงแตกต่างจากกรณีชี้ความผิดของ นาย สมัคร สุนทรเวช แตกต่างจากการชี้ความผิดรัฐมนตรี ที่ใช้นามสกุล "สะสมทรัพย์" และแตกต่างอย่างยิ่ง ที่ได้พิพากษายุบพรรคพลังประชาชน และพ่วงพรรคอื่นอีก ๒ พรรคโดยใช้กระบวน "ศาลเดียว" เอามาสร้างประวัติศาสตร์การพิพากษาคดีพรรคการเมืองจบสิ้นลงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ดังที่ ประฃาชนชาวไทยได้เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านไปแล้ว
ครั้นมาถึงวันนี้ เมื่อ กกต. ประกาศออกมาชัดขนาดนี้ แต่เหตุใดเล่าพรรคประชาธิปัตย์ จึงพากันถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่กระทบกระเทือนต่อฐานะของรัฐบาล แถมมีการออกข่าวประคับประคองพวกเดียวกัน โดยมิได้ตระหนักต่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมาย เรียกว่า ไม่ใส่ใจต่อกระบวนการนิติรัฐใด ๆ ทั้งสิ้น
ความจริง คนเสื้อแดงก็คงมิได้แปลกใจต่อการกระทำของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ดอกครับ เนื่องจากพวกเราตระหนักดีว่า ประเทศนี้ได้ใช้มาตรฐานไร้ขื่อไร้แป เป็นเครื่องมือรักษา อำนาจอย่างหน้าด้านมาแล้ว สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่และได้ทำมาแล้ว รวมทั้งจะทำต่อไป ล้วนแต่เป็นระบบ "สองมาตรฐาน" ตรงตามตำราของเผด็จการ
อย่าว่าแต่รัฐบาลเลยครับ แม้แต่พวกเสื้อเหลือง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สันติอโศก และม็อบพันธมารทั้งหลาย ก็พากัน "ทุบความเป็นธรรมทิ้ง" ด้วยวิธีการขนผู้คนจำนวนมากไปที่สโมสรตำรวจเมื่อ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เอารถบรรทุก ๑๐ ล้อขนเครื่องไฟ เครื่องขยายเสียงไปด้วยหลังจากนั้น พลตรี จำลอง ศรีเมือง ก็ได้ขึ้นไปบนเวที แล้วประกาศว่าพวกเขาเป็น"ผู้ก่อการดี" ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ตามหมายเรียกตัว ที่กองบัญชาการตำรวจแห่งชาติื ตั้งข้อหาให้แก่พวกเขา ตำรวจทำแบบนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นคนผิด ทั้ง ๆ ที่ ทำแต่คุณงามความดี ว่าเข้าไปโน้น ดูเขาพูดซีครับ...มันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก นึกไม่ถึงเลย ว่าจะกล้าพูดออกมาอย่างนี้ มิใช่แต่เท่านี้ ยังมีนายพลตำรวจโท (พล.ต.ท.) ตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูเหมือนว่าชื่อ "วุฒิ" แต่งตัวใส่สูท ขึ้นไปบนเวที แล้วจับไมค์ ส่งเสียงออกมาว่า ตัวเขาเองตามดูมาโดยตลอด ตั้งแต่วันวันโน้น มาจนถึงวันนี้ ก็เห็นกับตาว่า "เป็นการก่อการดี" มิใช่ การก่อการร้าย...?!!
นายตำรวจใหญ่ท่านนั้นพูดออกมาทั้งๆที่เป็นผู้รักษากฏหมาย เอาเข้าให้ไหมล่ะ...ลัทธิเผด็จการมันออกฤทธิ์แล้วไหมล่ะ
ผมนั่งตัวแข็ง สงสารประเทศไทยของเราเหลือเกิน ดูซิ กฏหมายไม่มีความหมายแล้ว พระคุณท่าน ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไปตามใจชอบ เห็นไหม นายสุริยะใส กตะศิลา และ พลตรี จำลอง ศรีเมือง ขึ้นมาร่ายยาว ล้วนแต่อ้างว่าเป็นการทำคุณงามความดีทั้งสิ้น
ผมคิดของผมในใจว่า ปัญหาของประเทศไทยในวันนี้ คงจะไม่ส่ง "ผลเสีย"เฉพาะด้าน กฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น มันจะก่อความเสียหายร้ายแรงต่อระบบองค์รวมของสังคมไทย อย่างไม่มีทางเลี่ยง มันจะทำให้ "ประเทศไทย" ไร้ขื่อไร้แปมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
มีคำถามว่าแล้วเราจะทำอย่างไรดี ?
คำถามนี้กำลังร้อนระอุอยู่ในหัวใจของคนที่รักชาติ รักประชาธิปไตย โดยเฉพาะคือ "คนเสื้อแดง" อันมี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นความ หวังของพวกเราว่าท่านผู้นี้จะเป็นผู้นำพาคนไทยทั้งประเทศ "กอบกู้"ประเทศชาติให้รอดพ้นจากเงื้อมมีอมาร และหวังจะได้กอบกู้นิติรัฐกลับคืนมา
ใช่...มันไม่ง่าย แต่มันไม่มีทางอื่น มันมีอยู่ทางเดียวคือต้องสู้เพื่อจะกอบกู้ประเทศชาติ อันเป็นที่รักยิ่งมิให้ตกไปอยู่ในมือของพวกเผด็จการแบบไร้ขื่อไร้แปแบบนี้ การประกาศสู้คง จะไม่ง่าย เพราะพวกเผด็จการจะหาทางเล่นงานคนเสื้อแดงอย่างไม่ปราณีเป็นแน่แท้
ผมอยากนำนิทานสาทกมาเล่าให้ฟังว่า ประเทศชาติเป็นของคนส่วนใหญ่มิใช่สมบัติให้ คนหยิบมือหนึ่งเชยชม สิ่งที่กล่าวมานี้เคยเกิดในฝรั่งเศส จีน เกาหลี เวียดนาม ลาว และ อีกหลายประเทศ และสุดท้ายคงจะพ่วงประเทศไทยเข้าไปด้วย
ถ้าประเทศไทยถูกพ่วงเมื่อไร เมื่อนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คนไทยคิดไม่ถึง มันจะร้อน หรือหนาว ยังไม่รู้ รู้แต่ว่า "ไม่มีความอบอุ่น" ไม่มีความแจ่มใส แต่มันจะเต็มไปด้วยเลือดและ น้ำตา ทั้งนี้โดยเก็บเอาเกล็ดประวัติศาสตร์ในประเทศที่ผมออกชื่อมา เอามาคลี่ตัวอย่างหรือ ถือเป็นแซมเปิ้ลทางประวัติศาตร์อันไม่อาจปลอมแปลงได้
ในชิ้นส่วนของประวัติศาสตร์เหล่านั้น ชนชั้นผู้ปกครองเป็นคนบีบคั้น ประเทศของตัวเอง ให้กลายเป็น "หมากรุกเข้าตาจน" โดยที่ประชาชนมิได้ก่อขึ้น ตรงกันข้าม ประชาชนต่าง หากคือเหยื่อของเผด็จการ ถูกพวกเผด็จการเล่นงานงอมพระราม จนในที่สุดเขาต้องลุกขึ้น ต่อสู้ จนกลายเป็นการกวาดล้างไปนั้นแล
วันนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศไร้นิติรัฐไปได้ถึงขั้นนี้ ซึ่งเป็นบันไดไต่เข้าหาความเลวร้าย โดยพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของเผด็จการคอยกำกับเวทีผมเชื่อว่าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจาก "เจตน์จำนง" ต้องการให้นองเลือดเพื่อจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการทำยุทธหัตถี ไปสู่การล้มล้างระบอบการปกครอง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ...หากท่านผู้ใดรักเจ้าจริง มีหัวใจเทิดทูลสถาบันจริง โปรดเก็บเอา บทความของผมไปศึกษา แล้วค้นหาความจริงโดยพลัน อย่าโอ้เอ้วิหารราย...หากพวกท่านยัง คงงมมะหราอยู่กับการกล่าวหา "คนเสื้อแดง" อยู่เช่นนี้ ท่านระวังให้ดี คนที่ต้องการให้ประเทศ "เกิดการจราจล" กำลังปั่นหัวคนไทยอย่างสนุกมือ
ท่านจะแก้ไขไม่ทัน การปฏิเสธนิติรัฐ เป็นอีกกลยุทธหนึ่งในจำนวนหลายกลวิธีที่พวกต้องการล้มเจ้ากำลัง ร่วมมือกัน "เล่นละครฉากใหญ่" โดยมีหัวหน้าใหญ่ ยืนกำกับเวทีไม่ห่าง..ซึ่งมีทั้งพวกเส้นใหญ่ และมือที่มองไม่เห็นไว...เห็นแต่เงา ไม่รู้ว่าเป็นใคร ?!!
จบบทที่ ๑๕ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 16 รัฐบาลอภิสิทธิ์ กอดศพนักการเมื่องเน่า
บทที่ ๑๖ ตอน : รัฐบาล "อภิสิทธิ์" กอดศพนักการเมืองเน่า ?!
ท่านผู้อ่านที่ได้อ่านใบปลิวกู้ชาติของผมไปแล้ว ๑๕ บท ไม่ทราบว่าผลจะเป็นเช่นไร ชอบหรือไม่ชอบ ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ผมก็ต้องรบกวนให้ท่านอ่านต่อไป ดังเช่นในบทที่ ๑๖ นี้...ก็ต้องเขียนรบกวนสมาธิ ของท่านอีกแล้วครับ
เรื่องมีอยู่ว่า ผมกำลังพูดจาไม่ดี อาจจะทำให้รัฐบาลได้รับความเสียหายแต่มันเป็นเรื่องจริงขอรับ ที่ผมได้กล่าวขึ้นมาว่า "รัฐบาลมะแลงสาบกอดศพนักการเมืองเน่า"ซึ่งก็เห็นกันอยู่ ว่านักการเมืองที่เป็นศพเน่ามีใครบ้าง
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นศพเน่ารายแรกที่รัฐบาล เอาเข้ามาร่วมทำงานให้เป็นถึงรัฐมนตรี ต่อมาก็ได้มี "ศพเน่า" อีกหลายศพที่เพิ่งจะส่งกลิ่นเหม็น อันเนื่องแต่ กกต. เพิ่งจะแงะฝาโลงออกมา
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้จัดการรัฐบาล เป็นเสมือน "นายกตัวจริง" ในขณะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลายเป็นนายกหุ่นเชิดไปเสียฉิบ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูก กกต.ชี้มูลควมผิดขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงสิ้นสภาพจากการเป็น ส.ส.ตามเหตุผลที่ กกต. ชี้ความผิด
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รีบลาออกจากการเป็น ส.ส. ทันทีแต่ยังคงอยู่ ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้เพื่อจะได้ประกาศตัวแก่สังคมว่าตัวเองเป็นนัการเมืองชั้นดี เพียงแต่ กกต.ชี้ปุ๊บก็ออกปั๊บ ทำให้ดูโก้หรูไปเลย ทว่าแม้จะทำเช่นนั้นก็ตาม แต่ในความเข้าใจของผมนั้น ท่านต้องลาออก จากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วย จึงจะมีคุณค่าจริงตามเจตนารมณ์
ถ้ายังกอดเก้าอี้อยู่เช่นนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเป็นนักการเมืองไม่แตกต่างอะไรกับคนที่ขาดจากจิตสำนึกประชาธิปไตย เมื่อเขาขาดจิตสำนึก ประชาธิปไตย เขาก็จะมีเรือนร่างคล้ายศพผีเน่า มีความน่าเกลียดน่าชังอย่างยิ่ง
เรื่อ่งนี้ต้องคุยกันยาวหน่อยว่า "จิตสำนึกของนักการเมือง" มันแตกต่าง จากจิตสำนึกของประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ เนี่องจากนักการเมืองมีภารกิจ นำพาประชาชนไปสู่สิ่งที่ถูกต้องและดีงาม เปรียบเสมือนพระภิกษุที่บวชอยู่ในวัดท่านมีหน้าที่ตามพุทธประสงค์ คือเทศน์สอนสั่งประชาชน พระทุกองค์จะต้องบริสุทธิ์และงดงาม ถ้าพระองค์ไหนต้องปาราชิกแล้วละก็เป็นขาดจาพระทันที เมื่อขาดจากความเป็นพระแล้ว อย่ามานั่งให้ญาติโยมกราบไหว้อยู่
นี้ก็เช่นเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นนักการเมืองในระดับนำพาประชาชน ซึ่งตัวเองจะต้องเป็นคนที่ตั้งมั่นในคุณงามความดี แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วท่านกลับมีรูปร่างเหมือนคนไม่เอาไหน ไม่ได้รักษาคุณงามความดีอะไรเลย ตรงกันข้ามกลับมีเรือนร่างเป็นผีเน่าทางการเมืองเข้าให้อีกด้วย มันจึงไม่ เหมาะสม ด้วยประการทั้งปวง ที่จะมานั่งเป็นผู้บริหารประเทศชาติ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นี้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี อันหมายถึงหัวหน้าที่แท้จริง คือ นายอภิสิทธิ์
นายอภิสิทธิ์ มีสิทธิ์ตามกฏหมายที่จะให้ใครเป็นอะไร จะเอาไว้ หรือเอาออก อยู่ที่นายอภิสิทธิ์ ตัวของนาย อภิสิทธิ์เองก็คือนักการเมืองใหญ่ เปรียบเสมือนท่านเจ้าคุณ ที่จะต้องมีศีลบริสุทธิ์ และมีความฉลาดหลักแหลม ไม่เลี้ยงพระนักเลง ไม่เลี้ยงพระปาราชิก เพื่อจะทำให้วัดของท่านเจ้าคุณให้สง่างาม
แต่ถ้าท่านเจ้าคุณเองก็ไม่ดีพอ แถมเลี้ยงพระปาราชิกอีกต่างหากท่านเจ้าคุณก็ไม่พ้นที่จะถูกญาติโยมขับไล่
ในกรณีเดียวกันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้ถือธงรับผิดชอบต่อประเทศ ซึ่งประกอบด้วย สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จักไม่เป็นทั้งคนชั่วเสียเอง และไม่เลี้ยงนักการเมืองที่ไม่ดี ยิ่งนักการเมืองผู้นั้น ขาดความชอบธรรม ก็ต้องให้ออกและไม่ควรยึดถือเอาไว้ โดยมิได้เห็นความสำคัญของประชาชน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อุ้มสม "กษิต ภิรมย์" นับว่าแย่แสนแย่ ยังยอมให้คนที่ไม่มีความชอบธรรม นั่งอยู่ในตำแหน่ง "รองนายกรัฐมนตรี" อีกคนหนึ่งมันก็เท่ากับท่านเลือกเข้าข้างศพเน่า โดยมิได้คำนึงความงดงามทางการเมืองเลยยิ่งไปกว่านี้ ยังจะมีผู้แทนราษฎรอีก ๑๓ คน ที่อยู่ในข่ายผิดรัฐธรรมนูญ ท่านเหล่านี้เป็น ส.ส. อยูในสภา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะสะท้อนให้เห็น "หัวใจ" ของคนชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ชัดแจ้งมาก ขึ้นว่ายืนอยู่ข้างเผด็จการอย่างบ้าบิ่น จองหอง เพียงใด
แม้ กกต. ชี้ขาดแล้วก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในสถานการณ์ปัจจุบัน (๑๐ - ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒) ถือว่าได้ทำให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของคนรูปหล่อแล้วว่า สุดท้ายแห่งสุดท้าย ข้างในก็ไม่แตกต่างจากไอ้เสือเอาวา ปล้นตั้งแต่วัดขึ้นไปถึงปล้นธนาคาร
ประการสำคัญ ปล้นแม้กระทั่งผู้คนในครอบครัวของตัวเอง อันได้แก่การขึ้นภาษีต่างๆ เท่ากับเป็นการปล้นรายได้ของประชาชน
ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมขอกราบเรียนว่า ใบปลิวกู้ชาติของผมที่เขียนในวันนี้ ผมมีเจตนาให้คนชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้พบกับแสงสว่าง ไม่ตกเป็นทาสของพวกเผด็จการ ไม่ตกเป็นเหยื่อของอำมาตย์ และไม่หลงเชื่อมนุษย์หมาบ้า (พวกพันธมิตร) ที่ยุแหย่ว่าคนเสื้อแดงจะล้มล้างสถาบัน พูดให้ชัด คือไม่หลงเชื่อในข่าวที่ไม่มีมูลความจริง
ผมจึงอยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้อ่านใบปลิวกู้ชาติ ตั้งแต่บทที่ ๑ มาจนถึงบทที่ ๑๖ คือ ฉบับนี้ เพื่อจะได้รู้ความจริงที่ถูกต้องว่า คนที่ถูกสงสัยว่าจะเป็นตัวการ "ล้มกษัตริย์" ก็คือพรรคมะแลงสาบ อันประกอบด้วยตัวของ นาย sensor (เทือก) และตัวของนาย Sensor (มาร์ค) เอง
ทั้งนี้ยังมีคน อื่นอีกหลานสิบคน ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มดังกล่าวนี้ เมื่ออ่านแล้ว ดังที่ได้บอกเอาไว้ มาร์ค จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแต่ แต่จะเรียนให้ทราบไว้ว่าเมื่อพวกท่าน "กอดศพนักการเมือง" ที่มีกลิ่นเหม็น บางศพเน่าข้ามปี บางศพ กำลังจะเน่า ดังที่เป็นอยู่ใน ขณะนี้ ท่านไม่อายหรือ ที่ด่าพรรคพลังประชาชน (ด่าจักรภพ เพ็ญแข และด่านพดล ปัทมะ) อย่างไม่มีชิ้นดี
คราวนี้ เหตุเกิดกับตัวเอง กลับพากันกอดแต่ศพนักการเมืองเน่า แล้วท่านจะพา ชาติรอดได้อย่างไร มิทราบของรับ...?!
จบบทที่ ๑๖ / สอาด จันทร์ดี
ท่านผู้อ่านที่ได้อ่านใบปลิวกู้ชาติของผมไปแล้ว ๑๕ บท ไม่ทราบว่าผลจะเป็นเช่นไร ชอบหรือไม่ชอบ ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ผมก็ต้องรบกวนให้ท่านอ่านต่อไป ดังเช่นในบทที่ ๑๖ นี้...ก็ต้องเขียนรบกวนสมาธิ ของท่านอีกแล้วครับ
เรื่องมีอยู่ว่า ผมกำลังพูดจาไม่ดี อาจจะทำให้รัฐบาลได้รับความเสียหายแต่มันเป็นเรื่องจริงขอรับ ที่ผมได้กล่าวขึ้นมาว่า "รัฐบาลมะแลงสาบกอดศพนักการเมืองเน่า"ซึ่งก็เห็นกันอยู่ ว่านักการเมืองที่เป็นศพเน่ามีใครบ้าง
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นศพเน่ารายแรกที่รัฐบาล เอาเข้ามาร่วมทำงานให้เป็นถึงรัฐมนตรี ต่อมาก็ได้มี "ศพเน่า" อีกหลายศพที่เพิ่งจะส่งกลิ่นเหม็น อันเนื่องแต่ กกต. เพิ่งจะแงะฝาโลงออกมา
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้จัดการรัฐบาล เป็นเสมือน "นายกตัวจริง" ในขณะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลายเป็นนายกหุ่นเชิดไปเสียฉิบ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูก กกต.ชี้มูลควมผิดขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงสิ้นสภาพจากการเป็น ส.ส.ตามเหตุผลที่ กกต. ชี้ความผิด
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รีบลาออกจากการเป็น ส.ส. ทันทีแต่ยังคงอยู่ ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้เพื่อจะได้ประกาศตัวแก่สังคมว่าตัวเองเป็นนัการเมืองชั้นดี เพียงแต่ กกต.ชี้ปุ๊บก็ออกปั๊บ ทำให้ดูโก้หรูไปเลย ทว่าแม้จะทำเช่นนั้นก็ตาม แต่ในความเข้าใจของผมนั้น ท่านต้องลาออก จากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วย จึงจะมีคุณค่าจริงตามเจตนารมณ์
ถ้ายังกอดเก้าอี้อยู่เช่นนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเป็นนักการเมืองไม่แตกต่างอะไรกับคนที่ขาดจากจิตสำนึกประชาธิปไตย เมื่อเขาขาดจิตสำนึก ประชาธิปไตย เขาก็จะมีเรือนร่างคล้ายศพผีเน่า มีความน่าเกลียดน่าชังอย่างยิ่ง
เรื่อ่งนี้ต้องคุยกันยาวหน่อยว่า "จิตสำนึกของนักการเมือง" มันแตกต่าง จากจิตสำนึกของประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ เนี่องจากนักการเมืองมีภารกิจ นำพาประชาชนไปสู่สิ่งที่ถูกต้องและดีงาม เปรียบเสมือนพระภิกษุที่บวชอยู่ในวัดท่านมีหน้าที่ตามพุทธประสงค์ คือเทศน์สอนสั่งประชาชน พระทุกองค์จะต้องบริสุทธิ์และงดงาม ถ้าพระองค์ไหนต้องปาราชิกแล้วละก็เป็นขาดจาพระทันที เมื่อขาดจากความเป็นพระแล้ว อย่ามานั่งให้ญาติโยมกราบไหว้อยู่
นี้ก็เช่นเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นนักการเมืองในระดับนำพาประชาชน ซึ่งตัวเองจะต้องเป็นคนที่ตั้งมั่นในคุณงามความดี แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วท่านกลับมีรูปร่างเหมือนคนไม่เอาไหน ไม่ได้รักษาคุณงามความดีอะไรเลย ตรงกันข้ามกลับมีเรือนร่างเป็นผีเน่าทางการเมืองเข้าให้อีกด้วย มันจึงไม่ เหมาะสม ด้วยประการทั้งปวง ที่จะมานั่งเป็นผู้บริหารประเทศชาติ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นี้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี อันหมายถึงหัวหน้าที่แท้จริง คือ นายอภิสิทธิ์
นายอภิสิทธิ์ มีสิทธิ์ตามกฏหมายที่จะให้ใครเป็นอะไร จะเอาไว้ หรือเอาออก อยู่ที่นายอภิสิทธิ์ ตัวของนาย อภิสิทธิ์เองก็คือนักการเมืองใหญ่ เปรียบเสมือนท่านเจ้าคุณ ที่จะต้องมีศีลบริสุทธิ์ และมีความฉลาดหลักแหลม ไม่เลี้ยงพระนักเลง ไม่เลี้ยงพระปาราชิก เพื่อจะทำให้วัดของท่านเจ้าคุณให้สง่างาม
แต่ถ้าท่านเจ้าคุณเองก็ไม่ดีพอ แถมเลี้ยงพระปาราชิกอีกต่างหากท่านเจ้าคุณก็ไม่พ้นที่จะถูกญาติโยมขับไล่
ในกรณีเดียวกันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้ถือธงรับผิดชอบต่อประเทศ ซึ่งประกอบด้วย สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จักไม่เป็นทั้งคนชั่วเสียเอง และไม่เลี้ยงนักการเมืองที่ไม่ดี ยิ่งนักการเมืองผู้นั้น ขาดความชอบธรรม ก็ต้องให้ออกและไม่ควรยึดถือเอาไว้ โดยมิได้เห็นความสำคัญของประชาชน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อุ้มสม "กษิต ภิรมย์" นับว่าแย่แสนแย่ ยังยอมให้คนที่ไม่มีความชอบธรรม นั่งอยู่ในตำแหน่ง "รองนายกรัฐมนตรี" อีกคนหนึ่งมันก็เท่ากับท่านเลือกเข้าข้างศพเน่า โดยมิได้คำนึงความงดงามทางการเมืองเลยยิ่งไปกว่านี้ ยังจะมีผู้แทนราษฎรอีก ๑๓ คน ที่อยู่ในข่ายผิดรัฐธรรมนูญ ท่านเหล่านี้เป็น ส.ส. อยูในสภา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะสะท้อนให้เห็น "หัวใจ" ของคนชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ชัดแจ้งมาก ขึ้นว่ายืนอยู่ข้างเผด็จการอย่างบ้าบิ่น จองหอง เพียงใด
แม้ กกต. ชี้ขาดแล้วก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในสถานการณ์ปัจจุบัน (๑๐ - ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒) ถือว่าได้ทำให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของคนรูปหล่อแล้วว่า สุดท้ายแห่งสุดท้าย ข้างในก็ไม่แตกต่างจากไอ้เสือเอาวา ปล้นตั้งแต่วัดขึ้นไปถึงปล้นธนาคาร
ประการสำคัญ ปล้นแม้กระทั่งผู้คนในครอบครัวของตัวเอง อันได้แก่การขึ้นภาษีต่างๆ เท่ากับเป็นการปล้นรายได้ของประชาชน
ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมขอกราบเรียนว่า ใบปลิวกู้ชาติของผมที่เขียนในวันนี้ ผมมีเจตนาให้คนชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้พบกับแสงสว่าง ไม่ตกเป็นทาสของพวกเผด็จการ ไม่ตกเป็นเหยื่อของอำมาตย์ และไม่หลงเชื่อมนุษย์หมาบ้า (พวกพันธมิตร) ที่ยุแหย่ว่าคนเสื้อแดงจะล้มล้างสถาบัน พูดให้ชัด คือไม่หลงเชื่อในข่าวที่ไม่มีมูลความจริง
ผมจึงอยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้อ่านใบปลิวกู้ชาติ ตั้งแต่บทที่ ๑ มาจนถึงบทที่ ๑๖ คือ ฉบับนี้ เพื่อจะได้รู้ความจริงที่ถูกต้องว่า คนที่ถูกสงสัยว่าจะเป็นตัวการ "ล้มกษัตริย์" ก็คือพรรคมะแลงสาบ อันประกอบด้วยตัวของ นาย sensor (เทือก) และตัวของนาย Sensor (มาร์ค) เอง
ทั้งนี้ยังมีคน อื่นอีกหลานสิบคน ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มดังกล่าวนี้ เมื่ออ่านแล้ว ดังที่ได้บอกเอาไว้ มาร์ค จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแต่ แต่จะเรียนให้ทราบไว้ว่าเมื่อพวกท่าน "กอดศพนักการเมือง" ที่มีกลิ่นเหม็น บางศพเน่าข้ามปี บางศพ กำลังจะเน่า ดังที่เป็นอยู่ใน ขณะนี้ ท่านไม่อายหรือ ที่ด่าพรรคพลังประชาชน (ด่าจักรภพ เพ็ญแข และด่านพดล ปัทมะ) อย่างไม่มีชิ้นดี
คราวนี้ เหตุเกิดกับตัวเอง กลับพากันกอดแต่ศพนักการเมืองเน่า แล้วท่านจะพา ชาติรอดได้อย่างไร มิทราบของรับ...?!
จบบทที่ ๑๖ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 17 แก้ปัญหาไทยแค่คืบ ทำไม่ได้
บทที่ ๑๗ ตอน : แก้ปัญหาไทย แค่คืบ ทำไม่ได้ ?!
ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติมาหลายบทแล้วก็จริง แต่ผลที่หวังจะให้เกิดแก่ประเทศชาติ คงไม่ง่าย เพราะผู้อ่านไม่ใช่ผู้แก้ปัญหา แต่คนที่จะแก้ปัญหา เขาคงไม่สนใจอ่าน
อีกอย่างหนึ่ง ก็เชื่อว่าไม่มีคณะทำงานคณะใดจะหยิบยกเอาความเห็นในใบปลิวกู้ชาติเอาไปเป็นแนวคิด เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวังที่จะได้เห็น "การตอบรับ" จึงเลือนลางเต็มทน
ถึงจะเลือนลางเพียงไรก็จะไม่หยุดเขียนใบปลิวกู้ชาติ ผมจะเขียนให้สมกับที่ได้ชื่อว่า "ใบปลิว"เพราะคำว่า "ใบปลิว" มาจากปรากฏการณ์กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีคน (มือบอน) เขียนด่าสังคมด้วยความเจ็บใจ แล้วโยนให้ลมมันพัดไปตามยะถากรรม กระดาษแผ่นนั้น "ปลิว" ไปตามลม ไปตกถึงมือ "ผู้ใหญ่บ้าน" คนหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นหยิบเอาขึ้นมาอ่าน จึงได้รู้ว่ามันเป็นข้อความอันแหลมคม เขียนด่าสังคมที่แสนจะเน่าเละเฟะฟอน อ่านจบเกิดความประทับใจ จึงเอาไปขยายความต่อด้วยการ "ทำสำเนา" เพิ่มขึ้น แจกจ่ายแก่ประชาชน
เรื่องมันไม่จบอยู่แค่นั้น เพราะใบปลิวแผ่นนั้นระบาดไปในหมู่ประชาชน มีผู้คนอยากอ่านมากขึ้น จึงทำสำเนาต่ออีกมากมาย และเกิดอิทธิพลแก่สังคม (ในบริเวณนั้น)เป็นอย่างมาก ผู้หลักผู้ใหญ่ในพื้นที่ของหลายตำบลจึงถามหาต้นตอว่าใครเป็นคนเอามา ใครเป็นคนทำ มีคนตอบขึ้นมาว่า "ผู้ใหญ่บ้าน" คนหนึ่งคว้ามาจากถนน ขณะกระดาษแผ่นนี้กำลังถูกลมพัดปลิวเหมือนเศษกระดาษ ตั้งแต่นั้น คำว่า "ใบปลิว" ได้กลายเป็นเครื่องหมายของการ ทำแถลงการณ์ ทำบัตรสนเท่ห์ ทำจดหมายลับ รวมทั้งการทำบันทึกสาธารณะ แจกจ่ายไป ตามหมู่บ้าน และกลุ่มชนที่ชุมนุมเรียกร้องขอความเป็นธรรม
ใบปลิวส่วนใหญ่ จะมีความยาวไม่เกิน ๑ แผ่น หรือว่าถ้าข้อความไม่จบเนื้อหาสาระ ก็จะพิมพ์ทั้งสองหน้า เอาไว้ในแผ่นเดียวกัน นี้คือที่มาของใบปลิว
ท่านครับ ผมทำใบปลิวกู้ชาติจิ๊บจ็อยครั้งนี้ โปรดอย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะว่าสังคมไทย ยังเป็นสังคมที่รอคอยโอกาส ถ้าหากวันใด "ใบปลิว" ของผมมันถูกกับกาละเทศะ และมี ความกระจ่างในเนื้อหาสาระอย่างแท้จริง วันนั้นแล...ใบปลิวเพียงแผ่นเดียวจะกู้ชาติได้
ผมขอ "ทดสอบ" ดูจากการนำเสนอของบทที่ ๑๗ ว่าจะช่วยกู้ชาติได้หรื้อไม ดังนี้ :
ผมขอกราบเรียนว่า ปัญหาของชาติ อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง อยู่ไกลไม่ถึงคืบ แต่แก้ไม่ได้ เกิดจากความโฉดชั่วของอำมาตย์ใหญ่ ๒ - ๓ คน ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้ง "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย -(พธม.)" ขึ้นมาทำสงครามตัว แทน เล่นงานสังคมการเมือง และสังคมเศรษฐกิจที่กำลังเดินหน้าไปด้วยดี ให้เกิดอาการชงักงัน โดยหวังว่าเมื่อล้มเขาได้เมื่อใด เมื่อนั้น "เขาคนนั้น" ก็จะสูญหายไปจากระบบการเมืองไทย แต่บนความเป็นจริง มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาคนนั้น แทนที่จะล้มและหายสาบสูญไปอย่างไม่มีวันกลับ
ผลกลับเป็นตรงกันข้าม กล่าวคือเขาคนนั้น ยังคงผงาดผาดโผน แถม มีคนเสื้อแดง นับล้านเลื่อมใสศรัทธา จนปรากฏชัดว่าไม่มีทางที่จะล้มเขาคนนั้นได้ เขาคนนั้น คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร !
คนที่ทำหน้าที่ล้มเขา คือ พล.อ. สนธิ บุณยรัตกลิน และ คมช. ที่ทำการยึดอำนาจการปกครองจากพรรคไทยรักไทย โดยมีพรรคมะแลงสาบ และพันธมิตร คอยเป็นหัวหอกและลูกหาบไปพร้อม ๆ กันด้วย
ความจริง การล้มล้างนักการเมืองในอดีต เคยมีมาแล้วหลายหน และก็...สามารถล้มได สำเร็จและได้ผลสมปรารถนาจนนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งนี้ทั้งนั้น เกิดจาก "ข้อหา" แต่ละข้อนั้นเป็น ข้อหาปัจเจกคดี อันเป็นข้อหาเกี่ยวกับความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ของนักการเมืองคนนั้น ๆ ส่วนข้อหาที่โยนใส่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรได้แก่ "ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี" อันแตกต่างจากข้อหาที่เคยโยนใส่นักการเมืองในอดีตคนละเรื่องไปเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงหมายถึง การกล่าวหา "ทักษิณ" ในครั้งนี้ มันท้าทายอำนาจสถาบันอย่างไม่เคยมีมาก่อน ข้อกล่าวหา แบบนี้ เข้าข่ายทราชย์ ทำให้เข้าใจได้เลยว่า ทักษิณจะเป็นประธานาธิบดี หรืออาจหมาย ถึงจะเป็น "กษัตริย์" เสียเอง
ทานผู้อ่านที่เคารพ ข้อหานี้ข้อหาเดียว ได้ทำให้ประเทศไทยสั่นสะเทือนอย่างไม่เคยมี มาก่อน ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนอีกมากมาย แทบครึ่งค่อนประเทศแทนที่จะเกลียดทักษิณ กลับยิ่งเห็นอกเห็นใจ ดังจะเห็นได้จาก "เสื้อแดง -แดงเต็มแผ่นดิน" !
แดงเต็มแผ่นดินก็คงไม่แปลก แต่ที่มันแปลกก็เพราะแดงเต็มแผ่นดิน ได้ก่นด่าพวกเผด็จการ และพวกอำมาตย์ด้วยความโกรธแค้นชิงชัง ทำให้คนไทยแบ่งเป็น "สองขั้ว" และได้ แสดงความเกลียดชังให้ปรากฏด้วยการแสดงออกว่าไม่ต้อนรับนักการเมืองจากเครือข่ายทักษิณ ในขณะเดียวกัน ก็มีคนไม่ต้อนรับนักการเมืองจากเครือข่ายรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ถามว่าปัญหาทั้งหมดเกิดมาจากใคร
ตอบได้เลยว่าเกิดมาจากพวกเผด็จการ ทหาร คมช. พันธมิตร และมะแลงสาบ !
ผลของมันคืออะไร บวกหรือลบ
คำตอบก็คือ เกิดผลเสีย คนไทยทะเลาะวิวาทกันเอง มันมีแต่ลบสถานเดียว
ดังนั้น เมื่อกล่าวเช่นนั้น เราย่อมตระหนักดีว่า "ตัวปัญหา" มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ไม่ไกลเลยครับ มันอยู่แค่คืบ หรือแค่ปลายจมูก เมื่อมันอยู่แค่คืบ หรีอแค่ปลายจมูก ก็น่าจะแก้ได้อย่างทันอกทันใจ ไม่น่าจะมีปัญหาจน หาทางออกไม่พบ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ผมจึงได้เสนอมาหลายครั้งแล้วว่าให้นำความ บริสุทธิ์ส่งคืนให้ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร และทุกคนที่มีปัญหาเกี่ยวข้อง เสียเถิด จะได้ยุติข้อขัดแย้งทั้งปวงโดยไว
เมื่อพ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และทุกคน ที่เกี่ยวข้องได้รับการแก้ไข ต่อไปก็จะ "หันหน้าเข้าหากัน" ช่วยกันแก้ปัญหาเผด็จการ ให้หมดจากประเทศไทย แล้วนำประชาธิปไตยที่แท้จริงมาสู่ประเทศไทยให้ได้ ประชาธิปไตยของไทยประกอบด้วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ์ จะยั่งยืนอย่างแท้จริง ภายในความปรองดองของคนในชาติ
แต่หากแม้ "คนในชาติ" ทะเลาะกันอยู่เช่นนี้ จะไม่มี วันแก้ปัญหาได้ ตรงกันข้ามมันจะลามเลียไปถึงสถาบันชาติ ดังที่เคยขึ้นในประเทศฝร่งเศส เวียดนาม เนปาลอิหร่าน เป็นต้น
ปัญหาอยู่แค่คืบ แต่ไม่ยอมรับ กลับยังคงยืนยันแบบยืนกระต่ายขาเดียวว่าทักษิณจะล้มเจ้า ดังที่พรรคมะแลงสาบแข็งขืนอยู่ในขณะนี้ ผมเลยอ่านไปอีกช็อทหนึ่งด้วยการอ่านว่า "หรือว่าพวกต้องการล้มเจ้ากำลังยืมมือคนอื่น" ให้เป็นคนพิฆาตสถาบัน ?
ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้ ขอฝากให้ ประดาองค์มนตรี (บางคน) และประดา"ราชนิกูล" ที่ดี๋ด๋า เสนอหน้าพิทักษ์สถาบัน ก็ขอให้พวกท่านจงออกมา "ใช้เครื่องมือและแนวทาง"ที่จะปกป้องสถาบัน ได้อย่างแท้จริง
ถ้าใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้ไม่มีใครสนใจ วันข้างหน้า ผมจะ "กระชากหน้ากาก ?คนที่เป็นภัยต่อระบอบการปก ครอง" เรียกว่าถอนหงอก ถอนหนวด และถอนเกียรติยศ เอาให้รู้ไปทั้งประเทศว่าคนผู้นั้น มันคือใครกันแน่ ?!"
สวัสดีครับจบบทที่ ๑๗ / สอาด จันทร์ดี
ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติมาหลายบทแล้วก็จริง แต่ผลที่หวังจะให้เกิดแก่ประเทศชาติ คงไม่ง่าย เพราะผู้อ่านไม่ใช่ผู้แก้ปัญหา แต่คนที่จะแก้ปัญหา เขาคงไม่สนใจอ่าน
อีกอย่างหนึ่ง ก็เชื่อว่าไม่มีคณะทำงานคณะใดจะหยิบยกเอาความเห็นในใบปลิวกู้ชาติเอาไปเป็นแนวคิด เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวังที่จะได้เห็น "การตอบรับ" จึงเลือนลางเต็มทน
ถึงจะเลือนลางเพียงไรก็จะไม่หยุดเขียนใบปลิวกู้ชาติ ผมจะเขียนให้สมกับที่ได้ชื่อว่า "ใบปลิว"เพราะคำว่า "ใบปลิว" มาจากปรากฏการณ์กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีคน (มือบอน) เขียนด่าสังคมด้วยความเจ็บใจ แล้วโยนให้ลมมันพัดไปตามยะถากรรม กระดาษแผ่นนั้น "ปลิว" ไปตามลม ไปตกถึงมือ "ผู้ใหญ่บ้าน" คนหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นหยิบเอาขึ้นมาอ่าน จึงได้รู้ว่ามันเป็นข้อความอันแหลมคม เขียนด่าสังคมที่แสนจะเน่าเละเฟะฟอน อ่านจบเกิดความประทับใจ จึงเอาไปขยายความต่อด้วยการ "ทำสำเนา" เพิ่มขึ้น แจกจ่ายแก่ประชาชน
เรื่องมันไม่จบอยู่แค่นั้น เพราะใบปลิวแผ่นนั้นระบาดไปในหมู่ประชาชน มีผู้คนอยากอ่านมากขึ้น จึงทำสำเนาต่ออีกมากมาย และเกิดอิทธิพลแก่สังคม (ในบริเวณนั้น)เป็นอย่างมาก ผู้หลักผู้ใหญ่ในพื้นที่ของหลายตำบลจึงถามหาต้นตอว่าใครเป็นคนเอามา ใครเป็นคนทำ มีคนตอบขึ้นมาว่า "ผู้ใหญ่บ้าน" คนหนึ่งคว้ามาจากถนน ขณะกระดาษแผ่นนี้กำลังถูกลมพัดปลิวเหมือนเศษกระดาษ ตั้งแต่นั้น คำว่า "ใบปลิว" ได้กลายเป็นเครื่องหมายของการ ทำแถลงการณ์ ทำบัตรสนเท่ห์ ทำจดหมายลับ รวมทั้งการทำบันทึกสาธารณะ แจกจ่ายไป ตามหมู่บ้าน และกลุ่มชนที่ชุมนุมเรียกร้องขอความเป็นธรรม
ใบปลิวส่วนใหญ่ จะมีความยาวไม่เกิน ๑ แผ่น หรือว่าถ้าข้อความไม่จบเนื้อหาสาระ ก็จะพิมพ์ทั้งสองหน้า เอาไว้ในแผ่นเดียวกัน นี้คือที่มาของใบปลิว
ท่านครับ ผมทำใบปลิวกู้ชาติจิ๊บจ็อยครั้งนี้ โปรดอย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะว่าสังคมไทย ยังเป็นสังคมที่รอคอยโอกาส ถ้าหากวันใด "ใบปลิว" ของผมมันถูกกับกาละเทศะ และมี ความกระจ่างในเนื้อหาสาระอย่างแท้จริง วันนั้นแล...ใบปลิวเพียงแผ่นเดียวจะกู้ชาติได้
ผมขอ "ทดสอบ" ดูจากการนำเสนอของบทที่ ๑๗ ว่าจะช่วยกู้ชาติได้หรื้อไม ดังนี้ :
ผมขอกราบเรียนว่า ปัญหาของชาติ อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง อยู่ไกลไม่ถึงคืบ แต่แก้ไม่ได้ เกิดจากความโฉดชั่วของอำมาตย์ใหญ่ ๒ - ๓ คน ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้ง "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย -(พธม.)" ขึ้นมาทำสงครามตัว แทน เล่นงานสังคมการเมือง และสังคมเศรษฐกิจที่กำลังเดินหน้าไปด้วยดี ให้เกิดอาการชงักงัน โดยหวังว่าเมื่อล้มเขาได้เมื่อใด เมื่อนั้น "เขาคนนั้น" ก็จะสูญหายไปจากระบบการเมืองไทย แต่บนความเป็นจริง มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาคนนั้น แทนที่จะล้มและหายสาบสูญไปอย่างไม่มีวันกลับ
ผลกลับเป็นตรงกันข้าม กล่าวคือเขาคนนั้น ยังคงผงาดผาดโผน แถม มีคนเสื้อแดง นับล้านเลื่อมใสศรัทธา จนปรากฏชัดว่าไม่มีทางที่จะล้มเขาคนนั้นได้ เขาคนนั้น คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร !
คนที่ทำหน้าที่ล้มเขา คือ พล.อ. สนธิ บุณยรัตกลิน และ คมช. ที่ทำการยึดอำนาจการปกครองจากพรรคไทยรักไทย โดยมีพรรคมะแลงสาบ และพันธมิตร คอยเป็นหัวหอกและลูกหาบไปพร้อม ๆ กันด้วย
ความจริง การล้มล้างนักการเมืองในอดีต เคยมีมาแล้วหลายหน และก็...สามารถล้มได สำเร็จและได้ผลสมปรารถนาจนนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งนี้ทั้งนั้น เกิดจาก "ข้อหา" แต่ละข้อนั้นเป็น ข้อหาปัจเจกคดี อันเป็นข้อหาเกี่ยวกับความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ของนักการเมืองคนนั้น ๆ ส่วนข้อหาที่โยนใส่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรได้แก่ "ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี" อันแตกต่างจากข้อหาที่เคยโยนใส่นักการเมืองในอดีตคนละเรื่องไปเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงหมายถึง การกล่าวหา "ทักษิณ" ในครั้งนี้ มันท้าทายอำนาจสถาบันอย่างไม่เคยมีมาก่อน ข้อกล่าวหา แบบนี้ เข้าข่ายทราชย์ ทำให้เข้าใจได้เลยว่า ทักษิณจะเป็นประธานาธิบดี หรืออาจหมาย ถึงจะเป็น "กษัตริย์" เสียเอง
ทานผู้อ่านที่เคารพ ข้อหานี้ข้อหาเดียว ได้ทำให้ประเทศไทยสั่นสะเทือนอย่างไม่เคยมี มาก่อน ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนอีกมากมาย แทบครึ่งค่อนประเทศแทนที่จะเกลียดทักษิณ กลับยิ่งเห็นอกเห็นใจ ดังจะเห็นได้จาก "เสื้อแดง -แดงเต็มแผ่นดิน" !
แดงเต็มแผ่นดินก็คงไม่แปลก แต่ที่มันแปลกก็เพราะแดงเต็มแผ่นดิน ได้ก่นด่าพวกเผด็จการ และพวกอำมาตย์ด้วยความโกรธแค้นชิงชัง ทำให้คนไทยแบ่งเป็น "สองขั้ว" และได้ แสดงความเกลียดชังให้ปรากฏด้วยการแสดงออกว่าไม่ต้อนรับนักการเมืองจากเครือข่ายทักษิณ ในขณะเดียวกัน ก็มีคนไม่ต้อนรับนักการเมืองจากเครือข่ายรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ถามว่าปัญหาทั้งหมดเกิดมาจากใคร
ตอบได้เลยว่าเกิดมาจากพวกเผด็จการ ทหาร คมช. พันธมิตร และมะแลงสาบ !
ผลของมันคืออะไร บวกหรือลบ
คำตอบก็คือ เกิดผลเสีย คนไทยทะเลาะวิวาทกันเอง มันมีแต่ลบสถานเดียว
ดังนั้น เมื่อกล่าวเช่นนั้น เราย่อมตระหนักดีว่า "ตัวปัญหา" มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ไม่ไกลเลยครับ มันอยู่แค่คืบ หรือแค่ปลายจมูก เมื่อมันอยู่แค่คืบ หรีอแค่ปลายจมูก ก็น่าจะแก้ได้อย่างทันอกทันใจ ไม่น่าจะมีปัญหาจน หาทางออกไม่พบ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ผมจึงได้เสนอมาหลายครั้งแล้วว่าให้นำความ บริสุทธิ์ส่งคืนให้ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร และทุกคนที่มีปัญหาเกี่ยวข้อง เสียเถิด จะได้ยุติข้อขัดแย้งทั้งปวงโดยไว
เมื่อพ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และทุกคน ที่เกี่ยวข้องได้รับการแก้ไข ต่อไปก็จะ "หันหน้าเข้าหากัน" ช่วยกันแก้ปัญหาเผด็จการ ให้หมดจากประเทศไทย แล้วนำประชาธิปไตยที่แท้จริงมาสู่ประเทศไทยให้ได้ ประชาธิปไตยของไทยประกอบด้วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ์ จะยั่งยืนอย่างแท้จริง ภายในความปรองดองของคนในชาติ
แต่หากแม้ "คนในชาติ" ทะเลาะกันอยู่เช่นนี้ จะไม่มี วันแก้ปัญหาได้ ตรงกันข้ามมันจะลามเลียไปถึงสถาบันชาติ ดังที่เคยขึ้นในประเทศฝร่งเศส เวียดนาม เนปาลอิหร่าน เป็นต้น
ปัญหาอยู่แค่คืบ แต่ไม่ยอมรับ กลับยังคงยืนยันแบบยืนกระต่ายขาเดียวว่าทักษิณจะล้มเจ้า ดังที่พรรคมะแลงสาบแข็งขืนอยู่ในขณะนี้ ผมเลยอ่านไปอีกช็อทหนึ่งด้วยการอ่านว่า "หรือว่าพวกต้องการล้มเจ้ากำลังยืมมือคนอื่น" ให้เป็นคนพิฆาตสถาบัน ?
ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้ ขอฝากให้ ประดาองค์มนตรี (บางคน) และประดา"ราชนิกูล" ที่ดี๋ด๋า เสนอหน้าพิทักษ์สถาบัน ก็ขอให้พวกท่านจงออกมา "ใช้เครื่องมือและแนวทาง"ที่จะปกป้องสถาบัน ได้อย่างแท้จริง
ถ้าใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้ไม่มีใครสนใจ วันข้างหน้า ผมจะ "กระชากหน้ากาก ?คนที่เป็นภัยต่อระบอบการปก ครอง" เรียกว่าถอนหงอก ถอนหนวด และถอนเกียรติยศ เอาให้รู้ไปทั้งประเทศว่าคนผู้นั้น มันคือใครกันแน่ ?!"
สวัสดีครับจบบทที่ ๑๗ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 18 พรรคมะแลงสาบกับสถาบันพระมหากษัตริย์
บทที่ ๑๘ ตอน : พรรค มะแลงสาบ กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ?!!
เรียนท่านผู้อ่านทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่เคารพ ผมรู้สึกสมหวังอยู่ลึก ๆ ที่ได้เขียน "ใบปลิวกู้ชาติ" ส่งทางโลกสมัยใหม่ ผ่านเครือข่าย อินเตอร์เน็ท ให้แก่เพื่อนรวมชาติ ทั้งใกล้ และไกลได้อ่านกันเล่นบ้าง อ่านจริง ๆ บ้าง สุดแต่จิตใจจะคิดไป
ผมเขียนผ่านมาแล้ว ๑๗ บท บทนี้เป็นบทที่ ๑๘ เมื่อเขียนเสร็จก็รีบส่งให้คุณ ปิยะณัฐ ภัทรพล เอาไปแก้คำผิดอีกทีหนึ่ง หลังจากนั้น ใบปลิวน้อย ๆ ชิ้นนี้ ก็ปลิวว่อนออกสู่โลกกว้าง
ผมขอกราบเรียนว่าผมเป็นนักเขียนอิสระ เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์รายวันมาเนิ่นนาน นับถึงวันนี้ ผมผ่านงานเขียนมากกว่า ๓๕ ปี แต่ในโลกการเขียนของผมนั้นเน้นหนักไป ในทางบทความการเมืองและการศาสนา นอกจากจะเขียนหนังสือดังกล่าว ผมยังไปช่วยจัดรายการ เป็น ดีเจ วิทยุชุมชนคนแท๊กซี่ ชื่อรายการ "เสาร์-อาทิตย์ คิดเพื่อชาติ" โดยจัดร่วม กับ "มหากมล ศรีนอก" นอกจากนี้ ผมยังรับภาระเป็น "พิธีกรหลัก" ให้แก่รายการเสียงประ ชาชน ของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม "People Channel" หรือ "P-Channel" ซึ่งเป็นสถานีเก่าของ ดีสเตชั่น ที่ถูกรัฐบาลยึดอุปกรณ์ ในเหตุการณ์ สงกรานต์เลือด ปี ๒๕๕๒
งานที่ "เสียงประชาชน" เป็นงานนำเหล่าแกนนำคนเสื้อแดง ที่มีอยู่ ทั่วประเทศมาออกอากาศ ช่วยกันเติมเต็มบรรยากาศเข้มข้น ต่อสู้กับระบอบเผด็จการ พร้อมกับได้เผยแพร่ แนวทางประชาธิปไตยไปสู่มหาชนคนไทยทุกระดับชั้น อันเป็นงานที่เปิดให้เห็น "หน้าตา" คนที่เป็นแกนนำเป็นผู้มาพูดเอง ผมเป็นจึงเป็นผู้ประสานงานให้ท่านเหล่านั้นได้พากันมาแสดงออก รายการนี้เพิ่งจะออกอากาศได้ไม่นานนัก แต่ก็พอเพียงที่จะทำให้ผม ได้รับรู้ปัญหาจากแกนนำ และได้รับรู้เรื่องราวมากมายจากประชาชนชาวรากหญ้า อันเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ประชาชนชาวไทยทั้งหลายพากันยึดถือ เป็นเสมือนกล่องดวงใจ มีความ รักและหวงแหนประหนึ่งชีวิตของตนเอง ซึ่งไม่เคยมี "คนไทย-คนใด" จะบังอาจกล้าล่วงเกิน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
แต่วันนี้ มีคดีหมิ่นเบื้องสูงเกิดให้เห็นแล้วใช่ไหม ?
แกนนำและชาวรากหญ้า "คนเสื้อแดง" ได้พากันแสดงความรู้สึกวิตก กังวลต่อปัญหา ของสถาบัน ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยได้เล่าให้ผมฟังอย่าง เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งตอนแรก ๆ ผมก็ไม่ค่อยใส่ใจ ครั้นหลายครั้งเข้า เรื่องที่เล่า มันได้ขยับถี่ขึ้นไปสู่ความขัดแย้ง มีการวิพากย์วิจารณ์เชิงลบกันมากขึ้น การวิพากย์ วิจารณ์ส่วนใหญ่ ค่อนข้างจะก่อความเสี่ยหาย ให้เกิดขึ้นกับความมั่นคง ต่อสถาบันของชาติอย่างยิ่ง
ผมถามแกนนำและชาวรากหญ้าดูว่า คิดอย่างไรที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ?
ต่อคำถามนี้ มีคำตอบไม่ยาวนัก โดยตอบเกือบจะเหมือนกันว่า "พวกที่ปล่อยข่าวว่าคนเสื้อแดงไม่รัก เจ้า คงจะมีเจตนาร้ายแอบแฝง โดยเฉพาะคนที่กล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี อันเป็นการประกาศ ให้ชาวโลกรู้ คนชื่อทักษิณ คิดจะล้มล้างระบอบการปกครอง"
...นี้คือการปล่อยข่าวที่น่ากลัวมาก แกนนำเล่าให้ฟังแบบนี้
ผมถามอีกว่า ปล่อยก็ปล่อย เราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า จะกลัวอะไรเล่า?
มีคำอธิบายตรงนี้ว่า "เราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า แต่เขาเอาเราถึงตาย แล้วจะให้เราอยู่ ในประเทศไทยได้อย่างไร ประเทศไทยกลายเป็นแผ่นดินร้อน มีแต่คนเสื้อเหลืองและพรรคมะแลงสาบเท่านั้น ที่รักเจ้า ส่วนคนเสื้อแดงถูกตราหน้า ว่าไม่รักเจ้าไปหมดแล้ว
เห็นไหม มีแผ่นป้าย ปกป้องสถาบันเกลื่อนเมือง ใครไม่เข้าข้างพรรค มะแลงสาบ ใครไม่สนับสนุนพรรคภูมิใจไทย จะกลายเป็นพวกไม่รักเจ้า ทั้งหมด..."อย่างนี้อยู่เมืองไทยลำบากแล้วครับ แกนนำว่าอย่างนั้น
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมได้รับฟังด้วยหูของผมเอง ได้ยินหลายครั้ง จากถ้อยคำที่ไม่แตกต่างกันเลย ผมจับประเด็นได้ว่า พรรคมะแลงสาบกับพวก เสื้อเหลืองพันธมิตร สันติอโศก และคนสำคัญอีกหลายคนพากันถือเอา "สถาบันกษัตริย์"มาเป็นชนวนสงคราม ด้วยการนำเสนอว่า หากใครยึดถือคนชื่อ"ทักษิณ ชินวัตร" เหนียวแน่นอยู่ แสดงว่าคนผู้นั้นไม่รักเจ้า
ท่านผู้อ่านที่เคารพ การเอาพระเจ้าแผ่นดินมาเป็นชวนสงคราม ได้เดินทาง มาถึงจุดนี้ อันเป็นจุดอันตรายอย่างใหญ่หลวง ที่คนในชาติระดับผู้นำของประเทศ รวมทั้งพรรคการเมือง เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย คือพรรคมะแลงสาบ (xxx.) เป็นผู้ลงมือกระทำด้วยตนเอง คนที่กระทำเปิดเผยมากที่สุด คือ นาย Sensor (เทือก) เลขาธิการพรรคมะแลงสาบ
สิ่งหนึ่งที่วิ่งลิ่วผ่านระบอบประสาทของผมก็คือ "เขาเป็นนักการเมืองประเภทไหน คนเขาไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวหาเขา คนเขาไม่ได้ชั่วอย่างที่ไปว่าเขา แล้วเล่นงานเขาทำไม" ยิ่งไป กว่านั้น ยังมีข้อน่าสงสัยว่า สติปัญญาของพรรค การเมืองใหญ่ คิดยังไงว่า "เอาเจ้า" มาต่อรองกับปัญหาสังคมแล้วจะเกิดผลดี
ผมสงสัยต่อไปว่า หรือว่าคนที่เอาเจ้า "มาต่อรอง" มีความ ต้องการ "ที่จะทำให้สถาบันเจ้าเกิดปัญหาขึ้นมา" จะได้ถึงเวลากำจัด อย่างนั้นกระมัง ?
ผมได้ฟังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พูดออกมาว่าเขามีความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ ผมก็พูดกับตนเองบ้างว่า ผมสงสัยด้วยความบริสุทธิ์ใจ เช่นกัน ?ผมเชื่อว่า "พรรคมะแลงสาบ พันธมิตร สันติอโศก และคนสำคัญบางคน" มีความต้องการทำลายสถาบัน แต่ได้ใช้กลยุทธเชิงซ้อนด้วยการทำ "แนวร่วมมุมกลับ"
กล่าวคือตัวเองเป็นผู้เกลียดชังเอง แต่แสแสร้งว่ามีความรัก แล้วจัดการ ก่อกระแสต่าง ๆ ให้เกิดสภาวะสงครามขึ้นมา อันเป็นการ "จุดชนวนความขัดแย้ง ในระดับประชาชาติ" ด้วยทำให้คนในชาติเป็นศัตรูของกันและกัน ดังเช่น เหลืองกับแดงไปด้วยกันไม่ได้ แถมมีน้ำเงินโผล่ขึ้นมาอีก มันยิ่งเพิ่มความเลวร้าย ขยายวงออกไป
ท่านครับ ผมต้องการ "ยุติข้อขัดแย้งในชาติ ต้องการให้คนในชาติ รักสามัคคีกัน ต้องการให้สถาบันทั้ง ๓ มั่นคง ผมจึงคิดไปตามสติปัญญาของผม ในฐานะพสกนิกร ที่มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นองค์พระประมุข มิใช่มี "ประธานาธิปบดี"เป็นประธานแผ่นดิน ผมจึงอยากมีส่วน ร่วมเข้ามาออกความเห็นในการแก้ปัญหา
ผมวิตกกังวลอย่างยิ่งว่า ผลงานที่พรรคมะแลงสาบ ได้กระทำผ่านไป มันกลายเป็นมะเร็งร้ายไปเสียแล้วกระมัง มันจะรักษาได้หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ ผมรู้แต่ว่าทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน และปีนี้ (๒๕๕๒) ตลอดทั้งปี และจะเลยไปถึงปี ๒๕๕๓ ทั้งพรรคมะแลงสาบและ พรรคเพื่อไทย จะตกลงกันด้วยดีได้หรือไม่ มองไม่เห็นแสงสว่างเลย
ผมอยากบอกกับพรรคมะแลงสาบว่า "การวางแผนล้มพรรคการเมืองอื่น โดยเชื่อว่า หลังจากพรรคนั้น ๆ ถูกล้มไปแล้ว องค์กรทางการเมืองของพวกที่ถูกล้ม จะล้มตาม เช่น คิดว่าล้มพรรคไทยรักไทยแล้ว มันจะเป๋ไม่เป็นกระบวน แล้วพากันเชื่อ ว่าประชาชนจะพากันแห่ไปพึ่งพรรคมะแลงสาบ หรือพรรคภูมิใจตาย" อะไรทำนองนั้น นั้นคือความคิดเบื้องต้น สุดท้ายมันผิดทั้งเพ ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง
สิ่งที่พรรคมะแลงสาบคิดและได้ทำลงไป โดยเชื่อว่า "เมื่อได้ยกเอาสถาบันเจ้ามาเป็นชนวนสงคราม" ย่อมจะทำให้ราษฎรพากัน "ทิ้งทักษิณ" ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง สุดท้ายเขาไม่ยอมทิ้ง ตรงกันข้าม มีแต่ความเลวร้ายเกิดขึ้นทั่วอีสาน และภาคเหนือ และระบาดไปอีกหลายแห่ง ทั้งใน กทม. พัทยา พรรคมะแลงสาบ น่าจะเป็นฝ่ายหาข่าวดังกล่าวนี้
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมอยากมีส่วนร่วมทำให้บ้านเมืองสงบ อยากให้ พลังมหาชนได้เข้ามาแก้ปัญหา ทำให้คนไทยเกิดความปรองดองกัน แล้วร่วมกันสร้าง ประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เจริญงอกงามดุจเดียวกับนานาอารยะประเทศทั้งหลาย
ผมเสนอวิธีแก้แก่พรรคมะแลงสาบ ให้รีบกลับลำเสียโดยไว ให้หยุดใช้ สถาบันเป็นชนวนสงคราม ให้เอาคนไทยทั้งประเทศช่วยกันปกป้องสถาบัน ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะกลายเป็นว่าพรรคมะแลงสาบ คือพรรคล้มเจ้าในที่สุด ?!!
ผมไม่ทราบว่าผมเชื่ออย่างนี้ พรรคมะแลงสาบจะเล่นงานผมหรือไม่ ?
จบบทที่ ๑๘ / สอาด จันทร์ดี
เรียนท่านผู้อ่านทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่เคารพ ผมรู้สึกสมหวังอยู่ลึก ๆ ที่ได้เขียน "ใบปลิวกู้ชาติ" ส่งทางโลกสมัยใหม่ ผ่านเครือข่าย อินเตอร์เน็ท ให้แก่เพื่อนรวมชาติ ทั้งใกล้ และไกลได้อ่านกันเล่นบ้าง อ่านจริง ๆ บ้าง สุดแต่จิตใจจะคิดไป
ผมเขียนผ่านมาแล้ว ๑๗ บท บทนี้เป็นบทที่ ๑๘ เมื่อเขียนเสร็จก็รีบส่งให้คุณ ปิยะณัฐ ภัทรพล เอาไปแก้คำผิดอีกทีหนึ่ง หลังจากนั้น ใบปลิวน้อย ๆ ชิ้นนี้ ก็ปลิวว่อนออกสู่โลกกว้าง
ผมขอกราบเรียนว่าผมเป็นนักเขียนอิสระ เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์รายวันมาเนิ่นนาน นับถึงวันนี้ ผมผ่านงานเขียนมากกว่า ๓๕ ปี แต่ในโลกการเขียนของผมนั้นเน้นหนักไป ในทางบทความการเมืองและการศาสนา นอกจากจะเขียนหนังสือดังกล่าว ผมยังไปช่วยจัดรายการ เป็น ดีเจ วิทยุชุมชนคนแท๊กซี่ ชื่อรายการ "เสาร์-อาทิตย์ คิดเพื่อชาติ" โดยจัดร่วม กับ "มหากมล ศรีนอก" นอกจากนี้ ผมยังรับภาระเป็น "พิธีกรหลัก" ให้แก่รายการเสียงประ ชาชน ของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม "People Channel" หรือ "P-Channel" ซึ่งเป็นสถานีเก่าของ ดีสเตชั่น ที่ถูกรัฐบาลยึดอุปกรณ์ ในเหตุการณ์ สงกรานต์เลือด ปี ๒๕๕๒
งานที่ "เสียงประชาชน" เป็นงานนำเหล่าแกนนำคนเสื้อแดง ที่มีอยู่ ทั่วประเทศมาออกอากาศ ช่วยกันเติมเต็มบรรยากาศเข้มข้น ต่อสู้กับระบอบเผด็จการ พร้อมกับได้เผยแพร่ แนวทางประชาธิปไตยไปสู่มหาชนคนไทยทุกระดับชั้น อันเป็นงานที่เปิดให้เห็น "หน้าตา" คนที่เป็นแกนนำเป็นผู้มาพูดเอง ผมเป็นจึงเป็นผู้ประสานงานให้ท่านเหล่านั้นได้พากันมาแสดงออก รายการนี้เพิ่งจะออกอากาศได้ไม่นานนัก แต่ก็พอเพียงที่จะทำให้ผม ได้รับรู้ปัญหาจากแกนนำ และได้รับรู้เรื่องราวมากมายจากประชาชนชาวรากหญ้า อันเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ประชาชนชาวไทยทั้งหลายพากันยึดถือ เป็นเสมือนกล่องดวงใจ มีความ รักและหวงแหนประหนึ่งชีวิตของตนเอง ซึ่งไม่เคยมี "คนไทย-คนใด" จะบังอาจกล้าล่วงเกิน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
แต่วันนี้ มีคดีหมิ่นเบื้องสูงเกิดให้เห็นแล้วใช่ไหม ?
แกนนำและชาวรากหญ้า "คนเสื้อแดง" ได้พากันแสดงความรู้สึกวิตก กังวลต่อปัญหา ของสถาบัน ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยได้เล่าให้ผมฟังอย่าง เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งตอนแรก ๆ ผมก็ไม่ค่อยใส่ใจ ครั้นหลายครั้งเข้า เรื่องที่เล่า มันได้ขยับถี่ขึ้นไปสู่ความขัดแย้ง มีการวิพากย์วิจารณ์เชิงลบกันมากขึ้น การวิพากย์ วิจารณ์ส่วนใหญ่ ค่อนข้างจะก่อความเสี่ยหาย ให้เกิดขึ้นกับความมั่นคง ต่อสถาบันของชาติอย่างยิ่ง
ผมถามแกนนำและชาวรากหญ้าดูว่า คิดอย่างไรที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ?
ต่อคำถามนี้ มีคำตอบไม่ยาวนัก โดยตอบเกือบจะเหมือนกันว่า "พวกที่ปล่อยข่าวว่าคนเสื้อแดงไม่รัก เจ้า คงจะมีเจตนาร้ายแอบแฝง โดยเฉพาะคนที่กล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี อันเป็นการประกาศ ให้ชาวโลกรู้ คนชื่อทักษิณ คิดจะล้มล้างระบอบการปกครอง"
...นี้คือการปล่อยข่าวที่น่ากลัวมาก แกนนำเล่าให้ฟังแบบนี้
ผมถามอีกว่า ปล่อยก็ปล่อย เราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า จะกลัวอะไรเล่า?
มีคำอธิบายตรงนี้ว่า "เราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า แต่เขาเอาเราถึงตาย แล้วจะให้เราอยู่ ในประเทศไทยได้อย่างไร ประเทศไทยกลายเป็นแผ่นดินร้อน มีแต่คนเสื้อเหลืองและพรรคมะแลงสาบเท่านั้น ที่รักเจ้า ส่วนคนเสื้อแดงถูกตราหน้า ว่าไม่รักเจ้าไปหมดแล้ว
เห็นไหม มีแผ่นป้าย ปกป้องสถาบันเกลื่อนเมือง ใครไม่เข้าข้างพรรค มะแลงสาบ ใครไม่สนับสนุนพรรคภูมิใจไทย จะกลายเป็นพวกไม่รักเจ้า ทั้งหมด..."อย่างนี้อยู่เมืองไทยลำบากแล้วครับ แกนนำว่าอย่างนั้น
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมได้รับฟังด้วยหูของผมเอง ได้ยินหลายครั้ง จากถ้อยคำที่ไม่แตกต่างกันเลย ผมจับประเด็นได้ว่า พรรคมะแลงสาบกับพวก เสื้อเหลืองพันธมิตร สันติอโศก และคนสำคัญอีกหลายคนพากันถือเอา "สถาบันกษัตริย์"มาเป็นชนวนสงคราม ด้วยการนำเสนอว่า หากใครยึดถือคนชื่อ"ทักษิณ ชินวัตร" เหนียวแน่นอยู่ แสดงว่าคนผู้นั้นไม่รักเจ้า
ท่านผู้อ่านที่เคารพ การเอาพระเจ้าแผ่นดินมาเป็นชวนสงคราม ได้เดินทาง มาถึงจุดนี้ อันเป็นจุดอันตรายอย่างใหญ่หลวง ที่คนในชาติระดับผู้นำของประเทศ รวมทั้งพรรคการเมือง เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย คือพรรคมะแลงสาบ (xxx.) เป็นผู้ลงมือกระทำด้วยตนเอง คนที่กระทำเปิดเผยมากที่สุด คือ นาย Sensor (เทือก) เลขาธิการพรรคมะแลงสาบ
สิ่งหนึ่งที่วิ่งลิ่วผ่านระบอบประสาทของผมก็คือ "เขาเป็นนักการเมืองประเภทไหน คนเขาไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวหาเขา คนเขาไม่ได้ชั่วอย่างที่ไปว่าเขา แล้วเล่นงานเขาทำไม" ยิ่งไป กว่านั้น ยังมีข้อน่าสงสัยว่า สติปัญญาของพรรค การเมืองใหญ่ คิดยังไงว่า "เอาเจ้า" มาต่อรองกับปัญหาสังคมแล้วจะเกิดผลดี
ผมสงสัยต่อไปว่า หรือว่าคนที่เอาเจ้า "มาต่อรอง" มีความ ต้องการ "ที่จะทำให้สถาบันเจ้าเกิดปัญหาขึ้นมา" จะได้ถึงเวลากำจัด อย่างนั้นกระมัง ?
ผมได้ฟังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พูดออกมาว่าเขามีความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ ผมก็พูดกับตนเองบ้างว่า ผมสงสัยด้วยความบริสุทธิ์ใจ เช่นกัน ?ผมเชื่อว่า "พรรคมะแลงสาบ พันธมิตร สันติอโศก และคนสำคัญบางคน" มีความต้องการทำลายสถาบัน แต่ได้ใช้กลยุทธเชิงซ้อนด้วยการทำ "แนวร่วมมุมกลับ"
กล่าวคือตัวเองเป็นผู้เกลียดชังเอง แต่แสแสร้งว่ามีความรัก แล้วจัดการ ก่อกระแสต่าง ๆ ให้เกิดสภาวะสงครามขึ้นมา อันเป็นการ "จุดชนวนความขัดแย้ง ในระดับประชาชาติ" ด้วยทำให้คนในชาติเป็นศัตรูของกันและกัน ดังเช่น เหลืองกับแดงไปด้วยกันไม่ได้ แถมมีน้ำเงินโผล่ขึ้นมาอีก มันยิ่งเพิ่มความเลวร้าย ขยายวงออกไป
ท่านครับ ผมต้องการ "ยุติข้อขัดแย้งในชาติ ต้องการให้คนในชาติ รักสามัคคีกัน ต้องการให้สถาบันทั้ง ๓ มั่นคง ผมจึงคิดไปตามสติปัญญาของผม ในฐานะพสกนิกร ที่มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นองค์พระประมุข มิใช่มี "ประธานาธิปบดี"เป็นประธานแผ่นดิน ผมจึงอยากมีส่วน ร่วมเข้ามาออกความเห็นในการแก้ปัญหา
ผมวิตกกังวลอย่างยิ่งว่า ผลงานที่พรรคมะแลงสาบ ได้กระทำผ่านไป มันกลายเป็นมะเร็งร้ายไปเสียแล้วกระมัง มันจะรักษาได้หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ ผมรู้แต่ว่าทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน และปีนี้ (๒๕๕๒) ตลอดทั้งปี และจะเลยไปถึงปี ๒๕๕๓ ทั้งพรรคมะแลงสาบและ พรรคเพื่อไทย จะตกลงกันด้วยดีได้หรือไม่ มองไม่เห็นแสงสว่างเลย
ผมอยากบอกกับพรรคมะแลงสาบว่า "การวางแผนล้มพรรคการเมืองอื่น โดยเชื่อว่า หลังจากพรรคนั้น ๆ ถูกล้มไปแล้ว องค์กรทางการเมืองของพวกที่ถูกล้ม จะล้มตาม เช่น คิดว่าล้มพรรคไทยรักไทยแล้ว มันจะเป๋ไม่เป็นกระบวน แล้วพากันเชื่อ ว่าประชาชนจะพากันแห่ไปพึ่งพรรคมะแลงสาบ หรือพรรคภูมิใจตาย" อะไรทำนองนั้น นั้นคือความคิดเบื้องต้น สุดท้ายมันผิดทั้งเพ ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง
สิ่งที่พรรคมะแลงสาบคิดและได้ทำลงไป โดยเชื่อว่า "เมื่อได้ยกเอาสถาบันเจ้ามาเป็นชนวนสงคราม" ย่อมจะทำให้ราษฎรพากัน "ทิ้งทักษิณ" ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง สุดท้ายเขาไม่ยอมทิ้ง ตรงกันข้าม มีแต่ความเลวร้ายเกิดขึ้นทั่วอีสาน และภาคเหนือ และระบาดไปอีกหลายแห่ง ทั้งใน กทม. พัทยา พรรคมะแลงสาบ น่าจะเป็นฝ่ายหาข่าวดังกล่าวนี้
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมอยากมีส่วนร่วมทำให้บ้านเมืองสงบ อยากให้ พลังมหาชนได้เข้ามาแก้ปัญหา ทำให้คนไทยเกิดความปรองดองกัน แล้วร่วมกันสร้าง ประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เจริญงอกงามดุจเดียวกับนานาอารยะประเทศทั้งหลาย
ผมเสนอวิธีแก้แก่พรรคมะแลงสาบ ให้รีบกลับลำเสียโดยไว ให้หยุดใช้ สถาบันเป็นชนวนสงคราม ให้เอาคนไทยทั้งประเทศช่วยกันปกป้องสถาบัน ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะกลายเป็นว่าพรรคมะแลงสาบ คือพรรคล้มเจ้าในที่สุด ?!!
ผมไม่ทราบว่าผมเชื่ออย่างนี้ พรรคมะแลงสาบจะเล่นงานผมหรือไม่ ?
จบบทที่ ๑๘ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 19 ทางออกของประเทศไทย
บทที่ ๑๙ ตอน : ทางออกของประเทศไทย ?!
ท่านผู้อ่าน ได้อ่านความเห็นในใบปลิวกู้ชาติไปแล้ว ๑๘ บท ผมก็ได้แต่เขียน - เขียน และเขียนจนเหนื่อยอ่อน ไม่รู้ว่าในที่สุด จะมีท่านผู้ใดถือเป็นธุระ ให้หรือไม่
ผมเขียนมาแล้วมากเรื่อง ล้วนแต่น่ารำคาญ เพราะเป็นปัญหาของประเทศไทยทั้งขึ้นทั้งล่อง นึกไม่ถึงว่าประเทศที่มีอู่ข้าว อู่น้ำ เหลือเฟือ แต่กำลังจะกลายเป็นประเทศยากจน จะทำอย่างไรได้ เมื่อเราได้รัฐบาลที่เอาแต่เล่นการเมือง (แก่งแย่งอำนาจ) จนทำให้ เสียเวลาและเสียโอกาสมากมายก่ายกอง มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าได้รัฐบาลที่เก่ง และมีฝีมือ แก้ปัญหาด้วยความรวดเร็ว บ้านเมืองจะไม่เป็นอย่างนี้อย่างแน่นอน
ขอเรียนว่าเมื่อมีความเห็นเขียนใบปลิวตำหนิ ต่อว่าต่อขานมาหลายบทแล้วก็อยากจะเขียนให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ข้อเสนอแนะและแนวทางที่จะสามารถแก้ปัญหาได้บ้าง จะได้ไม่เครียดในข้อเขียนที่ผมส่งมาให้อ่าน ผมจึงเขียนข้อเสนอ "ทางออกของประเทศไทย" !
ไม่อยากให้เสียเวลา ผมเสนอเสียเลยว่า ทางออกของประเทศไทยที่ดีที่สุดได้แก่การสร้างระบบและแนวทางที่เป็นประชาธิปไตยให้คนในชาติมี "ความสามัคคี" กันอย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศ ถ้าสามารถสร้างระบบและแนวทางประชาธิปไตยได้สำเร็จ ก็จะทำให้คนในชาติรักใคร่ปรองดองกันด้วยความอิ่มเอิบและเต็มใจ
ปัญหาของประเทศไทยของเราในวันนี้ มีความผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายเกิดจากพรรคการเมือง นักวิชาการ นักการทหาร พ่อค้าใหญ่ อำมาตย์ใหญ่ นายธนาคาร และเจ้าพ่อ "มาเฟีย" ทั้งหลาย เมื่อมีความผิดพลาดแล้วแทนที่จะแก้ไข กลับปล่อยไว้ให้เป็นปัญหาหมักหมมแก่สังคม คนส่วนใหญ่ได้ถือเอาปัญหา (วิกฤติ) เป็นโอกาส
กล่าวคือแทนที่จะช่วยกันชำระล้างปัญหาให้หมดไป กลับพากันถือโอกาส เป็นแนวทางหาเงินไปเสียฉิบ ปัญหาก็ยิ่งบานปลาย ปัญหาเล็กน้อยกลายเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาที่ใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งมีความยุ่งยากและใหญ่โตมากยิ่งขึ้น ทำให้คนที่ได้ประโยชน์ จากวิกฤติอยู่แล้วยิ่งถือเป็นแนวทางหาเงินหนักข้อต่อไปด้วยความสดชื่น สมหวัง พึงพอใจ ในความร่ำรวย จนไม่อยากให้ความสงบเกิดขึ้นในประเทศ
ผมเคยได้ยินด้วยหู นักการเมืองเผด็จการพูดว่า "ถ้าไม่ทำให้ประเทศไทยมีสงคราม เราก็ไม่ได้ออกรบ เห็นไหม ทักษิณ ทำให้บ้านเมืองสงบ อะไรก็ดูดีไปจนหมด มันทำให้พวกเราหากินลำบากขึ้น ตอนนี้บ้านเมืองมีปัญหา สนามรบเปิด เราได้เข้าสู่สงคราม"
ผมแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง ที่ได้ยินเช่นนั้น เมื่อได้ยินแล้วจึงถึงบางอ้อว่าคนที่อยากให้ประเทศไทยมีปัญหามันมีหลายกลุ่ม หลายคณะ เช่น พวกทหาร คมช.ก็ต้องการอำนาจให้ตัวเองผาดโผนในยุทธจักร พรรคการเมืองใหญ่ก็จะได้ทำงานการเมืองเข้มข้นขึงขัง มีการเจรจาหาแหล่งทุน วางแผนต่อสู้กับคู่แข่ง เรียกว่าแต่ละกลุ่มแต่ละคณะต่างมีผลประโยชน์ของตนเองเป็นเป้าหมายหลัก
แต่สำหรับประชาชนคนรากหญ้านั้น ไม่มีโอกาสจะต่อรองกับใคร เกิดเป็นวันขึ้นมา มีแต่คนจะมา "ตกเขียว" หวังจะเอาข้าวในนา เอาปลาในบ่อ และหลอก ให้เลี้ยงไก่ด้วยการให้ทั้งทุน ให้ทั้งปุ๋ย แล้วปากหวานว่าจะรับชื้อไม่อั้น ครั้นถึงเวลาขายเจ้านายเอารถมาขน เลือกเอาแต่ตัวที่แข็งแรง ตัวไหน ผ่ายผอม อ่อนแอ จะถูกจับโยนทิ้งหลังจากนั้นก็คิดเงินตามจำนวนไก่ที่สามารถรับซื้อได้ ตรงนี้แล..คนเลี้ยงไก่เหลือแต่ตัวล่อนจ้อน สุดท้ายก็ต้องรื้อเล้าไก่ทิ้ง หรือไม่ก็เซ้งให้คนที่ยังแข็งแรงกว่ารับเอาไปดำเนินการต่อ ภายใต้หลักการเดิม จากนายทุนคนเดิม...กติกาเดิมๆ อย่างไรก็อย่างนั้น ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมร่ายยาวให้ท่านได้อ่านเช่นนี้ ก็เพื่อจะทำให้เห็นภาพปัญหาของประเทศไทย ทั้งที่พรรคการเมืองใหญ่กระโดดลงมาทุบ มันสอดคล้องกับพวกนายทุน ที่รอโอกาสใช้แรงงาน "จำยอม" พวกนั้น
แรงงานที่จำยอม คือเหยื่อของระบบเผด็จการที่ครอบครองมายาวนานวันนี้ มีความขัดแย้งจาก ๓ สาเหตุ
(๑) สาเหตุที่ ๑ เป็นความขัดแย้งพื้นฐานจากระบอบเผด็จการครองเมือง คนพวกนี้ ต้องการให้ประเทศชาติมีปัญหา จะได้ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส ยิ่งรัฐบาลอ่อนแอ พวกเขายิ่ง จะมีอำนาจต่อรองกับนักการเมืองมากขึ้น
(๒) สาเหตุต่อมา เกิดจากพวกที่ต้องการล้มล้างระบอบการปกครอง จึงได้หาหนทาง วางแผนให้คนไทยทำสงครามแก่กัน ถ้าคนไทยเข่นฆ่ากันเองเมื่อใด เมื่อนั้นก็จะเข้าทางปืน ของพวกเขา ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะล้มล้างระบอบการปกครอง ให้สูญสลายไปจากแผ่นดินสยามได้ โดยที่พวกเขาไม่ถูกตำหนิติเตียน แต่คนที่เขาชี้ หน้าด่ากราด จะเป็นฝ่ายได้รับ การด่าทอแทน คนกลุ่มนั้น คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดง ทั้งหลาย
(๓) สาเหตุสุดท้ายเกิดจากพรรคการเมืองใหญ่ หวั่นวิตกว่าพรรคของตนจะไม่มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล เพราะมองไม่เห็น "ช่องทาง" ที่จะเอาชนะพรรคไทยรักไทยได้ จึงวางแผน บ่อนทำลายอย่างเหี้ยมโหด ทารุณ มิได้คิดสักนิดว่าจะเป็นผลเสียแก่ประเทศชาติ
ทั้ง ๓ ประเด็นดังกล่าวมา ล้วนแต่เป็นปัญหาที่แก้ได้ นั้นก็คือ...ทุกคน ทุกพรรค ยอมหันหน้าเข้าหากัน สารภาพผิดต่อกัน แล้วประกาศ "ความปรองดอง"เป็นวาระเร่งด่วนต้องทำให้สำเร็จภายในอันสั้น เมื่อตกลงกันได้ ให้รีบ "คืนอำนาจแก่ประชาชน" ประกาศยุบสภาทันที แล้วจัดการเลือกตั้งใหญ่ พรรคไหนชนะ ให้พรรคนั้นดำเนินการบริหารประเทศด้วยความราบรื่น ห้ามมิให้ "ม็อบผีบ้า-ม็อบผีบุญ" ยกกองทัพธรรมมายึดทำเนียบรัฐบาล ดังที่เคยทำ
ผมขอกราบเรียนว่า ถ้าเราสามารถแก้ระบบที่จะทำให้คนไทยได้รับ ประชาธิปไตย ก็ย่อมจะเป็นแนวทางทำให้เราสามารถมีทางออกให้แก่ประเทศของเรา ดังนั้น ผมจึงอยากเสนอ เรื่องนี้ถึงคณะกรรมาธิการ ทหาร ตำรวจ นักการเมืองใหญ่ และ พวกมือที่มองไม่เห็น ขอให้สนับสนุนให้คนไทยได้ประชาธิปไตย เพื่อจะเป็นเครื่องมือ ให้คนไทยรักกันได้ด้วยใบหน้าสดชื่น แจ่มใส ไม่เป็นศัตรูของกันและกันอีกต่อไป
เผด็จการเอ๋ย คนไทยทะเลาะกันร้ายแรงขนาดนี้ ยังคิดว่าเป็นเรื่องเล็กอยู่กระนั้นหรือ หรือว่าจะรอให้ "ฆ่ากันเละตุ้มเป๊ะ" เสียก่อน จึงจะยอมรับความจริง
อำนาจของใครไม่ทราบ ปิดกั้นเอาไว้ จึงแก้ปัญหาไม่ได้
ทางออกที่ผมเสนอ ได้แก่ "ขอให้สร้างระบบที่เป็นประชาธิปไตยเพื่อจะทำให้คนในชาติรักใคร่ปรองดอง - สามัคคีกันได้อย่างแท้จริง" อย่าดื้อรั้นต่อไปเลย มันจะเกิดเหตุร้าย !
จบบทที่ ๑๙/ สอาด จันทร์ดี
ท่านผู้อ่าน ได้อ่านความเห็นในใบปลิวกู้ชาติไปแล้ว ๑๘ บท ผมก็ได้แต่เขียน - เขียน และเขียนจนเหนื่อยอ่อน ไม่รู้ว่าในที่สุด จะมีท่านผู้ใดถือเป็นธุระ ให้หรือไม่
ผมเขียนมาแล้วมากเรื่อง ล้วนแต่น่ารำคาญ เพราะเป็นปัญหาของประเทศไทยทั้งขึ้นทั้งล่อง นึกไม่ถึงว่าประเทศที่มีอู่ข้าว อู่น้ำ เหลือเฟือ แต่กำลังจะกลายเป็นประเทศยากจน จะทำอย่างไรได้ เมื่อเราได้รัฐบาลที่เอาแต่เล่นการเมือง (แก่งแย่งอำนาจ) จนทำให้ เสียเวลาและเสียโอกาสมากมายก่ายกอง มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าได้รัฐบาลที่เก่ง และมีฝีมือ แก้ปัญหาด้วยความรวดเร็ว บ้านเมืองจะไม่เป็นอย่างนี้อย่างแน่นอน
ขอเรียนว่าเมื่อมีความเห็นเขียนใบปลิวตำหนิ ต่อว่าต่อขานมาหลายบทแล้วก็อยากจะเขียนให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ข้อเสนอแนะและแนวทางที่จะสามารถแก้ปัญหาได้บ้าง จะได้ไม่เครียดในข้อเขียนที่ผมส่งมาให้อ่าน ผมจึงเขียนข้อเสนอ "ทางออกของประเทศไทย" !
ไม่อยากให้เสียเวลา ผมเสนอเสียเลยว่า ทางออกของประเทศไทยที่ดีที่สุดได้แก่การสร้างระบบและแนวทางที่เป็นประชาธิปไตยให้คนในชาติมี "ความสามัคคี" กันอย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศ ถ้าสามารถสร้างระบบและแนวทางประชาธิปไตยได้สำเร็จ ก็จะทำให้คนในชาติรักใคร่ปรองดองกันด้วยความอิ่มเอิบและเต็มใจ
ปัญหาของประเทศไทยของเราในวันนี้ มีความผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายเกิดจากพรรคการเมือง นักวิชาการ นักการทหาร พ่อค้าใหญ่ อำมาตย์ใหญ่ นายธนาคาร และเจ้าพ่อ "มาเฟีย" ทั้งหลาย เมื่อมีความผิดพลาดแล้วแทนที่จะแก้ไข กลับปล่อยไว้ให้เป็นปัญหาหมักหมมแก่สังคม คนส่วนใหญ่ได้ถือเอาปัญหา (วิกฤติ) เป็นโอกาส
กล่าวคือแทนที่จะช่วยกันชำระล้างปัญหาให้หมดไป กลับพากันถือโอกาส เป็นแนวทางหาเงินไปเสียฉิบ ปัญหาก็ยิ่งบานปลาย ปัญหาเล็กน้อยกลายเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาที่ใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งมีความยุ่งยากและใหญ่โตมากยิ่งขึ้น ทำให้คนที่ได้ประโยชน์ จากวิกฤติอยู่แล้วยิ่งถือเป็นแนวทางหาเงินหนักข้อต่อไปด้วยความสดชื่น สมหวัง พึงพอใจ ในความร่ำรวย จนไม่อยากให้ความสงบเกิดขึ้นในประเทศ
ผมเคยได้ยินด้วยหู นักการเมืองเผด็จการพูดว่า "ถ้าไม่ทำให้ประเทศไทยมีสงคราม เราก็ไม่ได้ออกรบ เห็นไหม ทักษิณ ทำให้บ้านเมืองสงบ อะไรก็ดูดีไปจนหมด มันทำให้พวกเราหากินลำบากขึ้น ตอนนี้บ้านเมืองมีปัญหา สนามรบเปิด เราได้เข้าสู่สงคราม"
ผมแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง ที่ได้ยินเช่นนั้น เมื่อได้ยินแล้วจึงถึงบางอ้อว่าคนที่อยากให้ประเทศไทยมีปัญหามันมีหลายกลุ่ม หลายคณะ เช่น พวกทหาร คมช.ก็ต้องการอำนาจให้ตัวเองผาดโผนในยุทธจักร พรรคการเมืองใหญ่ก็จะได้ทำงานการเมืองเข้มข้นขึงขัง มีการเจรจาหาแหล่งทุน วางแผนต่อสู้กับคู่แข่ง เรียกว่าแต่ละกลุ่มแต่ละคณะต่างมีผลประโยชน์ของตนเองเป็นเป้าหมายหลัก
แต่สำหรับประชาชนคนรากหญ้านั้น ไม่มีโอกาสจะต่อรองกับใคร เกิดเป็นวันขึ้นมา มีแต่คนจะมา "ตกเขียว" หวังจะเอาข้าวในนา เอาปลาในบ่อ และหลอก ให้เลี้ยงไก่ด้วยการให้ทั้งทุน ให้ทั้งปุ๋ย แล้วปากหวานว่าจะรับชื้อไม่อั้น ครั้นถึงเวลาขายเจ้านายเอารถมาขน เลือกเอาแต่ตัวที่แข็งแรง ตัวไหน ผ่ายผอม อ่อนแอ จะถูกจับโยนทิ้งหลังจากนั้นก็คิดเงินตามจำนวนไก่ที่สามารถรับซื้อได้ ตรงนี้แล..คนเลี้ยงไก่เหลือแต่ตัวล่อนจ้อน สุดท้ายก็ต้องรื้อเล้าไก่ทิ้ง หรือไม่ก็เซ้งให้คนที่ยังแข็งแรงกว่ารับเอาไปดำเนินการต่อ ภายใต้หลักการเดิม จากนายทุนคนเดิม...กติกาเดิมๆ อย่างไรก็อย่างนั้น ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมร่ายยาวให้ท่านได้อ่านเช่นนี้ ก็เพื่อจะทำให้เห็นภาพปัญหาของประเทศไทย ทั้งที่พรรคการเมืองใหญ่กระโดดลงมาทุบ มันสอดคล้องกับพวกนายทุน ที่รอโอกาสใช้แรงงาน "จำยอม" พวกนั้น
แรงงานที่จำยอม คือเหยื่อของระบบเผด็จการที่ครอบครองมายาวนานวันนี้ มีความขัดแย้งจาก ๓ สาเหตุ
(๑) สาเหตุที่ ๑ เป็นความขัดแย้งพื้นฐานจากระบอบเผด็จการครองเมือง คนพวกนี้ ต้องการให้ประเทศชาติมีปัญหา จะได้ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส ยิ่งรัฐบาลอ่อนแอ พวกเขายิ่ง จะมีอำนาจต่อรองกับนักการเมืองมากขึ้น
(๒) สาเหตุต่อมา เกิดจากพวกที่ต้องการล้มล้างระบอบการปกครอง จึงได้หาหนทาง วางแผนให้คนไทยทำสงครามแก่กัน ถ้าคนไทยเข่นฆ่ากันเองเมื่อใด เมื่อนั้นก็จะเข้าทางปืน ของพวกเขา ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะล้มล้างระบอบการปกครอง ให้สูญสลายไปจากแผ่นดินสยามได้ โดยที่พวกเขาไม่ถูกตำหนิติเตียน แต่คนที่เขาชี้ หน้าด่ากราด จะเป็นฝ่ายได้รับ การด่าทอแทน คนกลุ่มนั้น คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดง ทั้งหลาย
(๓) สาเหตุสุดท้ายเกิดจากพรรคการเมืองใหญ่ หวั่นวิตกว่าพรรคของตนจะไม่มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล เพราะมองไม่เห็น "ช่องทาง" ที่จะเอาชนะพรรคไทยรักไทยได้ จึงวางแผน บ่อนทำลายอย่างเหี้ยมโหด ทารุณ มิได้คิดสักนิดว่าจะเป็นผลเสียแก่ประเทศชาติ
ทั้ง ๓ ประเด็นดังกล่าวมา ล้วนแต่เป็นปัญหาที่แก้ได้ นั้นก็คือ...ทุกคน ทุกพรรค ยอมหันหน้าเข้าหากัน สารภาพผิดต่อกัน แล้วประกาศ "ความปรองดอง"เป็นวาระเร่งด่วนต้องทำให้สำเร็จภายในอันสั้น เมื่อตกลงกันได้ ให้รีบ "คืนอำนาจแก่ประชาชน" ประกาศยุบสภาทันที แล้วจัดการเลือกตั้งใหญ่ พรรคไหนชนะ ให้พรรคนั้นดำเนินการบริหารประเทศด้วยความราบรื่น ห้ามมิให้ "ม็อบผีบ้า-ม็อบผีบุญ" ยกกองทัพธรรมมายึดทำเนียบรัฐบาล ดังที่เคยทำ
ผมขอกราบเรียนว่า ถ้าเราสามารถแก้ระบบที่จะทำให้คนไทยได้รับ ประชาธิปไตย ก็ย่อมจะเป็นแนวทางทำให้เราสามารถมีทางออกให้แก่ประเทศของเรา ดังนั้น ผมจึงอยากเสนอ เรื่องนี้ถึงคณะกรรมาธิการ ทหาร ตำรวจ นักการเมืองใหญ่ และ พวกมือที่มองไม่เห็น ขอให้สนับสนุนให้คนไทยได้ประชาธิปไตย เพื่อจะเป็นเครื่องมือ ให้คนไทยรักกันได้ด้วยใบหน้าสดชื่น แจ่มใส ไม่เป็นศัตรูของกันและกันอีกต่อไป
เผด็จการเอ๋ย คนไทยทะเลาะกันร้ายแรงขนาดนี้ ยังคิดว่าเป็นเรื่องเล็กอยู่กระนั้นหรือ หรือว่าจะรอให้ "ฆ่ากันเละตุ้มเป๊ะ" เสียก่อน จึงจะยอมรับความจริง
อำนาจของใครไม่ทราบ ปิดกั้นเอาไว้ จึงแก้ปัญหาไม่ได้
ทางออกที่ผมเสนอ ได้แก่ "ขอให้สร้างระบบที่เป็นประชาธิปไตยเพื่อจะทำให้คนในชาติรักใคร่ปรองดอง - สามัคคีกันได้อย่างแท้จริง" อย่าดื้อรั้นต่อไปเลย มันจะเกิดเหตุร้าย !
จบบทที่ ๑๙/ สอาด จันทร์ดี
บทที่ 20 ทำไมทักษิณ ต้องขอพระราชทานอภัยโทษ
บทที่ ๒๐ ตอน : ทำไมทักษิณ ต้องขอพระราชทานอภัยโทษ!
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ท่านอ่าน "ใบปลิวกู้ชาติ" ผ่านตาไปกี่บทแล้วครับ ช่วยแจ้งให้ผมรู้ด้วยว่าเนื่อหาสาระ สมกับที่ได้ตั้งชื่อว่า "ใบปลิวกู้ชาติ" หรือไม่ใบปลิวกู้ชาติบทนี้ เป็นเรื่องที่คนเสื้อแดงกำลังพากันชักชวนพี่น้องประชาชนให้พากันลงชื่อ ขอพระราชทานอภัยโทษ นำโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ ซึ่งได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่า อย่างน้อย ๑ ล้านคน ผมได้รับฟังข่าวจากสื่อทราบว่าครบล้านแล้วจ้าตั้งแต่สัปดาห์ก่อน
ท่านผู้อ่านครับ ก่อนจะอ่านต่อไป ผมขอรำพันถึงปัญหาของประเทศชาตินำร่องเพื่อจะได้ เป็นน้ำยาผสมขนมจีน อ่านแล้วจะได้เนื้อหาสาระมากขึ้น ดังนี้
นับแต่พรรคมะแลงสาบกับพันธมิตร เล่นงานรัฐบาลทักษิณ จนเกิดความปั่นป่วน เตะตาทหาร ทำให้ทหารใช้เป็นข้ออ้าง "ทำการยึดอำนาจรับบาล" ที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
นับแต่นั้นเป็นต้นมา สถานการณ์ของประเทศก็เลวลง...และเลวลงทำให้บ้านเมืองสับสน ปั่นป่วน การค้า การขาย และการผลิตประสบชะตากรรม ตั้งแต่เหนือ จรดใต้ โดยเฉพาะได้แก่ โรงงานน้อยใหญ่ที่เคยมีคนงาน จำนวนมาก ต่างพากันลดจำนวนคนงานลง อันหมายถึงการเลิกจ้าง ใครที่ถูก "เลิกจ้าง" แม้จะได้เงินเป็นค่าชดเชยตามกฎหมายก็ตาม มันไม่อาจทำให้ชีวิตดีขึ้นได้
สภาพจิตใจเสื่อมทรุดอย่างหนัก เพราะว่าทันทีที่ถูกให้ออกจากงาน นับแต่วันนั้น ชะตากรรมเหมือนคนไร้ที่พึ่ง เมื่อคนตกงานมากขึ้น ร้านค้าก็พากัน "ถังแตก" ตามขึ้นมา เนื่องจากร้านค้าขายของไม่ออก ร้านอาหารที่เคยมีคนนั่งดื่ม ก็มีอันต้องปิดร้าน หรือไม่ก็ยุบลงมาเหลือเป็นแค่ร้านส้มตำ ยำแซ่บ เพื่อเป็นการประคับประคองมิให้พากันเจ็งทั้งครอบครัว
มิใช่แต่เท่านี้ โรงงานขนาดยักษ์ก็ยังต้องล้มเลิกกิจการ ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ เกิดจากอะไร คนไทยน่าจะจำกันได้ดีว่า ทักษิณเขาบริหารประเทศ อยู่ดี ๆ พลันมีคนมาตะโกนด่า หาว่า "เฮ้ย...ไอ้ขี้โกง เฮ้ย...เผด็จการรัฐสภา แล้วด่ากราดไปอีกหลายเรื่อง เช่นด่าว่า ทำตัวเสมอเจ้า...เล่นเอาเถิด สุดแต่อยากจะทำ"... ท่านคงจำได้ใช่ ไหมว่าคนที่ทำ ก็คือพรรคมะแลงสาบ นี้แล
วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ ทักษิณพลาดท่าเซ็นหนังสือในใบยินยอมให้คุณหญิงซื้อที่ดิน กลายเป็นการทำความผิดร้ายแรงถึงขั้นถูกศาลสั่งจำคุก ๒ ปี ทักษิณเลยระเห็ดไปอยู่ต่างประเทศ เรื่องอะไรจะอยู่ให้จับเข้าคุก จากสาเหตุทักษิณย้ายที่อยู่ของตนเองไปยังต่างแดน ประดา "อำมาตย์" และหุ่นยนต์มะแลงสาบต่างพากันขย่ม ด้วยการตั้งชื่อเรียกทักษิณเสียใหม่ว่า "นักโทษชาย" หลังจากนั้น ก็ตั้งหน้าตั้งตาตามล่าตัว จะเอามาเข้าคุกให้ได้
ทักษิณไม่ใช่คนโง่นี่ครับ จะยอมให้ถูกจับง่ายๆ ก็ต้องใช้บารมีของตัว ขออาศัยอยู่ในประเทศ "สหรับอาหรับอะมีเรตส์" หรือ "ยูเออี" โดยไปพำนักอยู่เมืองดูไบ อันเป็นเมืองท่าอันดับ สองรองลงมาจากเมืองอะบูดาบี้ ทักษิณท่านก็อยู่ ของท่านอย่างปลอดภัย มีเครื่องบินเป็น พาหนะท่องเที่ยวไปทั่วโลก พร้อมกับถือโอกาส "โฟนอิน" พูดจาประสาการเมืองกับพี่น้อง คนไทยอย่างเป็นระบบ และถือเป็นการต่อสู้กับพวกเผด็จการ
ผมได้ฟังความเห็นของนักการเมืองฟากรัฐบาล เขานินทาทักษิณอย่างสนุกสนานด้วยการ เย้ยหยันว่า ชะตากรรมไม่แตกต่างจากถูกจับส่งเกาะตะรุเตา กว่าจะได้กลับบ้าน มีหวังเหลือ แต่กระดูก แล้วนินทาต่อไปว่า โง่ตายห่ะ แทนที่จะหาทางมาติดคุกซะ แค่ ๒ ปีเท่านั้นก็ออก มาบินปร๋อ รออีกนิดก็กลับมาเป็นนายกได้แล้ว
ผมได้ยินนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลพูดอย่างนั้นจึงเพิ่งรู้ว่านักการเมืองพวกนั้น โง่หงำเหงือก หรืออีกนัยหนึ่ง คือโง่ดักดาน ท่านอยากรู้ไหมครับว่าทำไมผมจึงว่าโง่ดักดาน คำตอบก็คือ ไอ้รัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ มันเขียนเอาไว้ คนที่ลงสนามการเมือง จะต้องไม่เคยต้องโทษ หรือ หากเคยต้องโทษ ก็จะต้องผ่าน ๕ ปีไป จึงจะมีสิทธิ์ เข้าสู่สนามการเมืองอีก เห็นม๊ะ...ท่านทักษิณ ท่านรู้นี่ครับว่า ขืนเอาตัวมาเสี่ยงภัยในคุก นอกจากจะไม่ปลอดภัย เพราะอาจถูกพวกอำมาตย์แอบเอายาพิษใส่อาหาร หรือไม่ก็อาจถูกลอบสังหารอะไรทำนองนั้น
หรือว่า แม้จะปลอดภัย ได้รับอิสรภาพออกมาจากคุกแล้วก็ตาม คราวนี้ต้องรอ ๕ ปี...จึงจะมีสิทธิ์ในสนามการเมือง เห็นพิษสงของ รธน. ๕๐ แล้วหรือยัง
และ...ในระหว่าง ๕ ปี ไม่แน่ว่าจะถูกอำมาตย ์และ พรรคมะแลงสาบ จะหาเรื่องให้ได้รับเคราะห์กรรมเพิ่มขึ้นอีกนับอย่างไม่ถ้วน
ทั้งนี้ก็เพราะมีข้อกล่าวหาที่ยังไม่ได้ขึ้นสู่กระบวนศาลเหลืออยู่บานเบอะไม่น้อยกว่า ๑๕ คดี เช่นนี้เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้แล แนวทางแก้จึงต้องคลานเข้าไปหาการขอพระราฃทาอภัยโทษอันเป็นที่พึ่งสูงสุด ของพสกนิกรทั้งหลาย แต่ก็ไม่ทราบว่า เหตุไรจึงมีคนออกมา โวยวายว่าเป็นการกระทำที่ไม่ เหมาะสม จะทำให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
นอกจากนี้ การกราบบังคมทูล ขอพระราชอภัยโทษ ณ โอกาสนี้ ยังเป็น "นัย" แห่งความ จงรักภักดี ที่ถูก "คนชั่ว" ใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหาว่าจะเป็นใหญ่เสียเอง จะยื้อแย่งพระราชอำ นาจถึงขั้นจะตั้งตนเป็นประธานาธิบดี อันนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวในท่ามกลางที่ ประชุมของสภาผู้แทนราษฎร สร้างความพิศวงงงงวยไปทั่วแผ่นดิน พร้อมกับได้ก่อปัญหาให้พวกเสื้อเหลือง ที่ถูก "พันธมาร"ล้างสมองจนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง เกิดความเกลียดชัง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แทบจะเรียกได้ว่า เกลียดเข้ากระดูกดำ เห็นไหม...นี้คือปัญหาที่ซ่อนอยู่ในหลืบของคดีศาลสั่งขังคุก ๒ ปี
ดังนั้น เมื่อการขอพระราชทานอภัยโทษ จากพสกนิกร ๑ ล้านคนเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นแล ย่อมจะส่งผลกระทบต่อพวกอำมาตย์ และพรรคมะแลงสาบ ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่ง และหาก แม้นว่า เมื่อใด พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ทรงพระราชทานพระเมตตา ให้รอดพ้นจากปัญหา ย่อมจะเป็นการ "กอบกู้" ให้ประเทศชาติกลับคืนสู่ความสงบ ดีกว่าจะปล่อยให้พรรคมะแลงสาบ หาทาง "สมานฉันท์" ด้วยการสร้างเครือข่ายนานาประ การ เพื่อจะเอาขึ้นมา "ล่อใจ" ประชาชนให้รักใคร่ชอบพอแนวทางของพรรคมะแลงสาบ
ผมขอกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ในใบปลิวบทที่ ๒๐ ชิ้นนี้ เขียนไม่ให้ยาวนัก แต่ก็มีความหมายแก่ความปรารถนาอยากเห็นความสงบสุขจักเกิดขึ้นในแผ่นดิน ทั้งนี้โดยจะอาศัย พลังของมหาชน ๑ ล้าน (เป็นอย่างต่ำ) เข้าชื่อกราบบังคมทูล ขอพระราชอภัยโทษ ดังที่กำลัง ดำเนินการอยู่ทั่วประเทศในขณะนี้
พรรคมะแลงสาบ คมช. และ พันธมิตร น่าจะพากัน "ลงชื่อร่วมต่างหากล่ะ" จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปรารถนาอยากให้ชาติยุติความขัดแย้ง ใช่หรือไม่ใช่ขอรับ
ทั้งนี้ อย่ามัวแต่ถามหาว่าทำไมทักษิณ จึงกราบขอพระราชทานอภัยโทษ ?
จบบทที่ ๒๐ / สอาด จันทร์ดี
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ท่านอ่าน "ใบปลิวกู้ชาติ" ผ่านตาไปกี่บทแล้วครับ ช่วยแจ้งให้ผมรู้ด้วยว่าเนื่อหาสาระ สมกับที่ได้ตั้งชื่อว่า "ใบปลิวกู้ชาติ" หรือไม่ใบปลิวกู้ชาติบทนี้ เป็นเรื่องที่คนเสื้อแดงกำลังพากันชักชวนพี่น้องประชาชนให้พากันลงชื่อ ขอพระราชทานอภัยโทษ นำโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ ซึ่งได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่า อย่างน้อย ๑ ล้านคน ผมได้รับฟังข่าวจากสื่อทราบว่าครบล้านแล้วจ้าตั้งแต่สัปดาห์ก่อน
ท่านผู้อ่านครับ ก่อนจะอ่านต่อไป ผมขอรำพันถึงปัญหาของประเทศชาตินำร่องเพื่อจะได้ เป็นน้ำยาผสมขนมจีน อ่านแล้วจะได้เนื้อหาสาระมากขึ้น ดังนี้
นับแต่พรรคมะแลงสาบกับพันธมิตร เล่นงานรัฐบาลทักษิณ จนเกิดความปั่นป่วน เตะตาทหาร ทำให้ทหารใช้เป็นข้ออ้าง "ทำการยึดอำนาจรับบาล" ที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
นับแต่นั้นเป็นต้นมา สถานการณ์ของประเทศก็เลวลง...และเลวลงทำให้บ้านเมืองสับสน ปั่นป่วน การค้า การขาย และการผลิตประสบชะตากรรม ตั้งแต่เหนือ จรดใต้ โดยเฉพาะได้แก่ โรงงานน้อยใหญ่ที่เคยมีคนงาน จำนวนมาก ต่างพากันลดจำนวนคนงานลง อันหมายถึงการเลิกจ้าง ใครที่ถูก "เลิกจ้าง" แม้จะได้เงินเป็นค่าชดเชยตามกฎหมายก็ตาม มันไม่อาจทำให้ชีวิตดีขึ้นได้
สภาพจิตใจเสื่อมทรุดอย่างหนัก เพราะว่าทันทีที่ถูกให้ออกจากงาน นับแต่วันนั้น ชะตากรรมเหมือนคนไร้ที่พึ่ง เมื่อคนตกงานมากขึ้น ร้านค้าก็พากัน "ถังแตก" ตามขึ้นมา เนื่องจากร้านค้าขายของไม่ออก ร้านอาหารที่เคยมีคนนั่งดื่ม ก็มีอันต้องปิดร้าน หรือไม่ก็ยุบลงมาเหลือเป็นแค่ร้านส้มตำ ยำแซ่บ เพื่อเป็นการประคับประคองมิให้พากันเจ็งทั้งครอบครัว
มิใช่แต่เท่านี้ โรงงานขนาดยักษ์ก็ยังต้องล้มเลิกกิจการ ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ เกิดจากอะไร คนไทยน่าจะจำกันได้ดีว่า ทักษิณเขาบริหารประเทศ อยู่ดี ๆ พลันมีคนมาตะโกนด่า หาว่า "เฮ้ย...ไอ้ขี้โกง เฮ้ย...เผด็จการรัฐสภา แล้วด่ากราดไปอีกหลายเรื่อง เช่นด่าว่า ทำตัวเสมอเจ้า...เล่นเอาเถิด สุดแต่อยากจะทำ"... ท่านคงจำได้ใช่ ไหมว่าคนที่ทำ ก็คือพรรคมะแลงสาบ นี้แล
วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ ทักษิณพลาดท่าเซ็นหนังสือในใบยินยอมให้คุณหญิงซื้อที่ดิน กลายเป็นการทำความผิดร้ายแรงถึงขั้นถูกศาลสั่งจำคุก ๒ ปี ทักษิณเลยระเห็ดไปอยู่ต่างประเทศ เรื่องอะไรจะอยู่ให้จับเข้าคุก จากสาเหตุทักษิณย้ายที่อยู่ของตนเองไปยังต่างแดน ประดา "อำมาตย์" และหุ่นยนต์มะแลงสาบต่างพากันขย่ม ด้วยการตั้งชื่อเรียกทักษิณเสียใหม่ว่า "นักโทษชาย" หลังจากนั้น ก็ตั้งหน้าตั้งตาตามล่าตัว จะเอามาเข้าคุกให้ได้
ทักษิณไม่ใช่คนโง่นี่ครับ จะยอมให้ถูกจับง่ายๆ ก็ต้องใช้บารมีของตัว ขออาศัยอยู่ในประเทศ "สหรับอาหรับอะมีเรตส์" หรือ "ยูเออี" โดยไปพำนักอยู่เมืองดูไบ อันเป็นเมืองท่าอันดับ สองรองลงมาจากเมืองอะบูดาบี้ ทักษิณท่านก็อยู่ ของท่านอย่างปลอดภัย มีเครื่องบินเป็น พาหนะท่องเที่ยวไปทั่วโลก พร้อมกับถือโอกาส "โฟนอิน" พูดจาประสาการเมืองกับพี่น้อง คนไทยอย่างเป็นระบบ และถือเป็นการต่อสู้กับพวกเผด็จการ
ผมได้ฟังความเห็นของนักการเมืองฟากรัฐบาล เขานินทาทักษิณอย่างสนุกสนานด้วยการ เย้ยหยันว่า ชะตากรรมไม่แตกต่างจากถูกจับส่งเกาะตะรุเตา กว่าจะได้กลับบ้าน มีหวังเหลือ แต่กระดูก แล้วนินทาต่อไปว่า โง่ตายห่ะ แทนที่จะหาทางมาติดคุกซะ แค่ ๒ ปีเท่านั้นก็ออก มาบินปร๋อ รออีกนิดก็กลับมาเป็นนายกได้แล้ว
ผมได้ยินนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลพูดอย่างนั้นจึงเพิ่งรู้ว่านักการเมืองพวกนั้น โง่หงำเหงือก หรืออีกนัยหนึ่ง คือโง่ดักดาน ท่านอยากรู้ไหมครับว่าทำไมผมจึงว่าโง่ดักดาน คำตอบก็คือ ไอ้รัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ มันเขียนเอาไว้ คนที่ลงสนามการเมือง จะต้องไม่เคยต้องโทษ หรือ หากเคยต้องโทษ ก็จะต้องผ่าน ๕ ปีไป จึงจะมีสิทธิ์ เข้าสู่สนามการเมืองอีก เห็นม๊ะ...ท่านทักษิณ ท่านรู้นี่ครับว่า ขืนเอาตัวมาเสี่ยงภัยในคุก นอกจากจะไม่ปลอดภัย เพราะอาจถูกพวกอำมาตย์แอบเอายาพิษใส่อาหาร หรือไม่ก็อาจถูกลอบสังหารอะไรทำนองนั้น
หรือว่า แม้จะปลอดภัย ได้รับอิสรภาพออกมาจากคุกแล้วก็ตาม คราวนี้ต้องรอ ๕ ปี...จึงจะมีสิทธิ์ในสนามการเมือง เห็นพิษสงของ รธน. ๕๐ แล้วหรือยัง
และ...ในระหว่าง ๕ ปี ไม่แน่ว่าจะถูกอำมาตย ์และ พรรคมะแลงสาบ จะหาเรื่องให้ได้รับเคราะห์กรรมเพิ่มขึ้นอีกนับอย่างไม่ถ้วน
ทั้งนี้ก็เพราะมีข้อกล่าวหาที่ยังไม่ได้ขึ้นสู่กระบวนศาลเหลืออยู่บานเบอะไม่น้อยกว่า ๑๕ คดี เช่นนี้เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้แล แนวทางแก้จึงต้องคลานเข้าไปหาการขอพระราฃทาอภัยโทษอันเป็นที่พึ่งสูงสุด ของพสกนิกรทั้งหลาย แต่ก็ไม่ทราบว่า เหตุไรจึงมีคนออกมา โวยวายว่าเป็นการกระทำที่ไม่ เหมาะสม จะทำให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
นอกจากนี้ การกราบบังคมทูล ขอพระราชอภัยโทษ ณ โอกาสนี้ ยังเป็น "นัย" แห่งความ จงรักภักดี ที่ถูก "คนชั่ว" ใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหาว่าจะเป็นใหญ่เสียเอง จะยื้อแย่งพระราชอำ นาจถึงขั้นจะตั้งตนเป็นประธานาธิบดี อันนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวในท่ามกลางที่ ประชุมของสภาผู้แทนราษฎร สร้างความพิศวงงงงวยไปทั่วแผ่นดิน พร้อมกับได้ก่อปัญหาให้พวกเสื้อเหลือง ที่ถูก "พันธมาร"ล้างสมองจนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง เกิดความเกลียดชัง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แทบจะเรียกได้ว่า เกลียดเข้ากระดูกดำ เห็นไหม...นี้คือปัญหาที่ซ่อนอยู่ในหลืบของคดีศาลสั่งขังคุก ๒ ปี
ดังนั้น เมื่อการขอพระราชทานอภัยโทษ จากพสกนิกร ๑ ล้านคนเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นแล ย่อมจะส่งผลกระทบต่อพวกอำมาตย์ และพรรคมะแลงสาบ ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่ง และหาก แม้นว่า เมื่อใด พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ทรงพระราชทานพระเมตตา ให้รอดพ้นจากปัญหา ย่อมจะเป็นการ "กอบกู้" ให้ประเทศชาติกลับคืนสู่ความสงบ ดีกว่าจะปล่อยให้พรรคมะแลงสาบ หาทาง "สมานฉันท์" ด้วยการสร้างเครือข่ายนานาประ การ เพื่อจะเอาขึ้นมา "ล่อใจ" ประชาชนให้รักใคร่ชอบพอแนวทางของพรรคมะแลงสาบ
ผมขอกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ในใบปลิวบทที่ ๒๐ ชิ้นนี้ เขียนไม่ให้ยาวนัก แต่ก็มีความหมายแก่ความปรารถนาอยากเห็นความสงบสุขจักเกิดขึ้นในแผ่นดิน ทั้งนี้โดยจะอาศัย พลังของมหาชน ๑ ล้าน (เป็นอย่างต่ำ) เข้าชื่อกราบบังคมทูล ขอพระราชอภัยโทษ ดังที่กำลัง ดำเนินการอยู่ทั่วประเทศในขณะนี้
พรรคมะแลงสาบ คมช. และ พันธมิตร น่าจะพากัน "ลงชื่อร่วมต่างหากล่ะ" จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปรารถนาอยากให้ชาติยุติความขัดแย้ง ใช่หรือไม่ใช่ขอรับ
ทั้งนี้ อย่ามัวแต่ถามหาว่าทำไมทักษิณ จึงกราบขอพระราชทานอภัยโทษ ?
จบบทที่ ๒๐ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 23 เผด็จการย่ามใจ ทำลายโอกาศสร้างประชาธิปไตย
บทที่ ๒๓ ตอน : เผด็จการย่ามใจ ทำลายโอกาสสร้างประชาธิปไตย ?!
ขอกราบเรียนท่านผู้อ่านทุกท่าน ทั้งใกล้และไกลว่าผมมาอีกแล้วครับ
ท่านผู้อ่านได้อ่าน "บทความในปลิว" ผ่านไปแล้ว คงจะยังมีความสงสัยในหลายเรื่องหลายประเด็น ก็ขอกราบเรียนว่าใช่แล้วครับ ผมเขียนไม่กระจ่าง เพราะรวบรัดอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น กรณีผมไปพบ "คุณประสก" นักเขียนใหญ่ของ นสพ. สยามรัฐ เพื่อจะให้ท่านช่วยนำพาผมเข้าพบ "ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช" ในครั้งนั้นมิใช่เป็นสติปัญญาของผม
แต่เป็นการทำงาน "รับภาระ" ให้อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร แต่ก่อนจะมีการรับภาระในคราวนั้น ท่านได้สอนวิชา "ปฏิวัติประชาธิปไตยแบบสันติวิธี" ให้ผมมีความรู้ ความเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อถึงคราวลงมือทำงาน ต้องทำแบบ "หวังผล" เข้าไปจัดตั้ง "ชนชั้นสูง" ให้ได้รับความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง หากชนชั้นสูง เช่น "นายกรัฐมนตรี" ยอมรับฟังเรา ก็ถือได้ว่าการจัดตั้งสำเร็จลุล่วงสมความปรารถนา
ผมทำหน้าที่รับภาระไป "จัดตั้ง" กับชนชั้นสูงตามบัญชาของ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายได้ทำให้ "ประธานเหมา เจ๋อ ตุง" ตัดสินใจเลิกหนุน พคท. ทำให้ พคท. พากันยอมรับคำสั่งที่๖๖/๒๕๒๓ เป็นการ "ยินยอมเข้าร่วมพัฒนา ชาติไทย" ภายใต้ข้อตกลงว่าจะยุติการก่อการร้าย ด้วยประการทั้งปวง จะนำ "สหาย" ทั้งหลายเข้ารายงานตัวต่อกองกำลังส่วนหน้า ของกองท้พไทยและจะมอบอาวุธ ยุทโธปกรณ์ทั้งหมดให้แก่กองทัพ
อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร คือเจ้าของแผนการทั้งหมด แผนการนี้ สำเร็จจากการจัดตั้งโดยตรงกับ ฯพณฯ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช กระโดดเข้าหา "ท่านประธาน เหมา เจ๋อ ตุง" ท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง สั่งให้พรรคคอมวมิวนิสต์จีนเลิกสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ไทย และแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ไทยจึงพากันเต็มใจยุติการสู้รบ นี้คือ "เส้นทาง" ของการทำงาน ปฏิวัติสันติ
ท่านผู้อ่านครับ การทำงานปฏิวัติสันติมิใช่เรื่องเล็กน้อยในแผ่นดินนี้ การทำงานจัก เต็มไปด้วยความลี้ลับ ไม่เปิดเผย และไม่ใช้บุคคลเกิน ๑ เข้าร่วมงาน นั้นก็คือ "คนสนิทสายป่า" ของท่านหม่อม คือ คุณ ผิน บัวอ่อน ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ พันเอกมานะ เกษรศิริ คนสนิทของอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ก็ไม่ระแคะระคายในเรื่องนี้
สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของเรื่องราวที่รวบรัด ความมุ่งหมายของ "ปฏิวัติสันติ" หมายถึง หลังจาก พคท. ยุติการสู้รบแล้ว องค์กรทางการเมืองในประเทศสยาม ทังหมดจักต้องเป็นผู้รับภาระแทน หรือ "รับไม้ต่อ" เพื่อจะดำเนินการ กวาดล้างระบบเผด็จการด้วยวิธีการสันติ
แต่ปรากฏว่าพวกทหาร และพวกข้าราชการ รวมทั้งพวกนายทุนน้อย นายทุนใหญ่ มิได้พากัน "รับไม้ต่อ" แม้แต่คนเดียว
ตรงกันข้าม พวกเขากลับพากัน "สนุกสนาน" อยู่กับการกดขี่ขูดรีด เพิกเฉยต่อการปฎิวัติสังคม พวกเขายังคงมุ่งหน้าหาประโยชน์จากคนรากหญ้า อย่างไม่จบสิ้น
ผมได้มีโอกาสพบอาจารย์ประเสริฐอีกครั้งในปี ๒๕๒๙ ห่างจากวัน สิ้นสุดสงครามกลางเมือง ๕ ปี อาจารย์ประเสริฐ รู้สึกเหนื่อยอ่อนมาก ท่านกล่าวว่า "เผด็จการไม่สำนึก" มองไม่เห็นวี่แววว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยได้ แต่ผมยังคงยืนยันแนวทางปฏิวัติสันติ ท่านว่าอย่างนั้น แต่แววตาของ "นักปฏิวัติ" ยังคงมีความเด็ดเดี่ยวมั่นคง
ท่านผู้อ่านครับ หลังจากนั้น ผมได้กลับไปตะวันออกกลาง และได้เฝ้า ติดตามข่าวการแก้ไขปัญหาของชาติทั้งในระดับล่างและระดับบน ไม่ปรากฏว่า ชนชั้นสูงจะสำนึกในวิกฤติชาติตั้งแต่ปีเสียงปืนแตก (๒๕๐๘) มาจนถึงปี ๒๕๒๓ พวกเขายังคงเพิกเฉยต่อเงื่อนไขในอดีต และทำเป็นทองไม่รู้ร้อนราวกับว่า ประเทศไทยมิได้มีปัญหาใดๆมาก่อน
ผมได้ทำหน้าที่ "วิเคราะห์" ปัญหาสังคมไทยในหมู่ของกรรมกรโดยเฉพาะ ได้ไปพบ ทนง เหล่าวานิช ที่รีสอร์ทไทรเอน ปากช่อง เราได้บทสรุป ๕ ประการ ดังนี้
๑. นักการเมืองที่ถือว่าเป็น "หัวหอก" ของกระบวนปฏิวัติสังคมทั้งหมด ไม่มีพรรคการเมืองไหน แสดงจุดยืนแนวทางประชาธิปไตย พวกเขายังคงไม่เข้าใจ ในปัญหาของชาติในทุกรูปแบบ แต่ได้ทำตัวเป็นผู้พหูสูตร เก่งทุกเรื่อง แต่เป็นความเก่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
๒. ทหารที่เพิ่งถอนตัวมาจากสนามรบ ยังคงเป็นทหารที่ทรงอำนาจ พวกทหารยังคงยื้อแย่งตำแหน่ง ยื้อแย่งความเป็นใหญ่ ใช้อำนาจผ่านกระบวนการ การเมือง อาศัยอำนาจของกองทัพเข้าไปมีบทบาทในระดับผู้ถือบังเหียนประเทศ ทหารไม่ได้เสนอแนะพรรคการเมือง และไม่ได้วิพากย์วิจารณ์พรรคการเมือง ในแนวประชาธิปไตย แต่ได้ตำหนิการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง แล้วพากันถือเป็น "มูลเหตุ" ที่จะทำการตะครุบอำนาจการเมือง
๓. ข้าราชการทั้งหลายกลายเป็น "หุ่นยนตร์" ของระบอบเผด็จการ นักการเมือง สั่งซ้าย สั่งขวา และบัญชาการอย่างไรก็ทำได้จนหมด ไม่มีใครกล้า หาหนทางช่วยเหลือประชาชน
๔. นายทุนใหญ่ นายทุนเล็ก ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นพวกกดขี่ขูดรีด พวกเขา ยังคงรุมหาผล ประโยชน์จากคนรากหญ้าอย่างสนุกสนานสำราญใจ ใครอยากรวย อะไรก็จะเร่ลงไปวางแผน ตกเขียว พากันสร้างกฏหมายอันไม่เป็นธรรม เกาะเกี่ยว เอาผลประโยฃน์ตามใจชอบ
๕. นายทุน ขุนศึก ศักดินา ยังคงมีพฤติกรรมเลวร้ายไม่แตกต่าง จากอดีต ที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้สรุปปัญหาของชาติเอาไว้
ท่านผู้อ่านขอรับ ปัญหาทั้ง ๕ ประเด็นดังกล่าวนี้ ล้วนแต่เกิดมาจากความย่ามใจ คล้ายกับว่าตัวเอง "ชนะสงคราม" ที่สามารถทำให้ พคท. ยุติสงครามลงได้ ด้วยคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓
หลังจากนั้น ต่างพากัน "ฉลองชัยฃนะ" ด้วยการกดขี่ขูดรีดสุดลิ่มทิ่มประตู เมื่อผมได้วิเคราะห์สถานการณของประเทศไทยเช่นนั้น ผมเกิดความรู้สึก ผิดหวังใน ความเพียรพยายามที่จะทำงานเพื่อชาติ เมื่อทำสำเร็จไปขั้นหนึ่ง แทนที่จะเกิดการเปลี่ยน แปลงที่ดีขึ้น มันกลับจมดิ่งลงสู่ความล้มเหลว ที่ล้มเหลว มากที่สุด ได้แก่ไม่เคยมีใครค้นคิด หาหนทางสร้างระบบบริการมนุษย์ให้ได้รับความปลอดภัย และมีความั่นคง อันหมายถึง ประเทศไทย "ไร้รัฐสวัสดิการ" ในหมู่คนรากหญ้า
แต่คนรวยและพวกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพวกลูกจ้างชั้นดี จะมีเงินบำเหน็ด หรือบำนาญ ตอบแทนเมื่อลาออก หรือถึง คราวทำงานได้รับ เงินช่วยเหลือในวัยเกษียณอายุ ชาวนา ชาวไร่ กรรมกร คนรากหญ้าจำนวน ไม่น้อยกว่า ๔๒ ล้านคน ตกอยู่ในสภาพ ไร้ที่พึ่ง หมูหมาไม่เคยเหลียวแล
คนรากหญ้ายงคงเป็นพลเมืองชั้นสอง หาที่พึงไม่ได้ จะได้อะไรแต่ละครั้ง ต้องรอให้น้ำท่วมใหญ่ ไฟไหม้บ้าน พายุถล่ม แล้วก็ได้ "ถุงยังชีพ" เอามาปลอบใจ
มันเป็นอยู่อย่างนี้ นับครั้งไม่ถ้วน ผมคิดของผมอยู่ในใจว่าพรรคการเมืองของประเทศ และพวกขุนนางทั้งหลาย คงจะไม่ มีความเข้าใจต่อปัญหาของชาติ พวกเขาจะพากัน "ปล่อยทิ้ง" และจะพากัน "ชุบมือเปิบ" กอบโกยความร่ำรวย บนหยาดเหงื่อแรงงานของคนยากจน
ตัวผมคิดเอาเองว่า คนชื่อ "สอาด จันทร์ดี" ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ที่จะได้ทำงานเพื่อสังคม ที่ดีกว่า ชีวิตมาถึงวัยนี้แล้ว มองไม่เห็นว่าจะมี "ช่องทาง" ตรงไหนที่จะทำให้สังคมตื่นจากหลับไหล
ผมบอกกับตัวเองว่า ชีวิตนี้คงล้มหายตายจากไปอย่างไร้คุณค่าเหมือนนักประชาธิปไตยรุ่นพี่ ที่ตายจากไป เช่นวีระ ถนอมเลี้ยง บุญเที่ยง เจริญพิทักษ์ ทนง เหล่าวานิช และ คนอื่นๆอีกหลายคน
แต่แล้ว...อย่างไม่คาดฝัน ทหารยึดอำนาจอีกครั้ง ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙และแล้วก็ได้เห็น "วีระ มุสิกพงศ์" นำมวลชนหยิบมือหนึ่งสู้กับเผด็จการและแล้วก็ได้เห็นเด็กหนุ่มผู้หาญกล้า ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ ชินวัฒน์ หาบุญพาด และอีกหลายคนกระโดดออกมาท้าตีท้าต่อย เล่นเอาเผด็จการ ถึงกับเซแซ่ด ๆ จนทำท่าจะไปไม่รอด
ตรงนี้เอง ได้ชุบชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่ง ผมลุกขึ้นมาเขียนหนังสือ"สนับสนุนการต่อสู้" ตั้งแต่วันแรกที่โพธิรักษ์ พันธมิตร และมหาจำลอง ยกกองทัพธรรม เล่นงาน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก่อปัญหาเลวร้ายขึ้นมา ทำให้งานขอผมเริ่มกระเตื้องขึ้นแต่บัดนั้น
ผมขอขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณองค์พระสยามเทวาธิราช ที่ทรงเบิกฟ้าให้ชนชั้นรากหญ้าได้ขยับเข้ามาทำสงครามกับพวกเผด็จการอีกครั้งหนึ่ง การได้ รุกรบของคนเสื้อแดง ในหนนี้ เชื่อแน่ว่าจะไม่พังทะลายเหมือนคราวปฏิวัติสันติ (๖๖/๒๕๒๓)
แต่มันจะเป็นทั้งกองกำลังและอำนาจ อันบริสุทธิ์ของมวลชนรากหญ้า ว่าพวกเขาต้องการประชาธิปไตย ต้อง การความเป็นธรรม แล้วจะเป็นยุคสิ้นสุดของพวก "ย่ามใจ" ในโอกาสอันไม่นานเกินรอ
แต่ผมก็เชื่อว่าพวกเผด็จการคงไม่ยอม พวกเขายังคงย่ามใจที่จะถือ อำนาจบาตรใหญ่ โดยมีนายทหารใหญ่ พันธมิตรใหญ่ และพรรคการเมืองใหญ่ พากันห้อมล้อมให้การสนับสนุนให้รบแตกหักกับ "คนเสื้อแดง" โดยไม่หวังพึ่งความสมานฉันท์ใด ๆ ทั้งสิ้น
ไม่เป็นไร ให้มันย่ามใจไป ฮึกเหิมไป คนเสื้อแดงตื่นแล้ว...ตัวเองก็พร้อมจะรับใช้ด้วยการเขียนชำแหระ เสนอแนะแนวทาง ให้ทุกคน ทุกฝ่ายให้ได้ยิน ผมจะไม่เสนอแบบสุ่มเสี่ยง ข้อเสนอของผมจะตรงประเด็น ตามรูปแบบของ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ที่ได้สอนเอาไว้...ขอรับ.
เผด็จการโปรดจำเอาไว้ว่าความย่ามใจ ได้ทำลายโอกาสในการ สร้างประชาธิปไตย !
จบบทที่ ๒๓ / สอาด จันทร์ดี
ขอกราบเรียนท่านผู้อ่านทุกท่าน ทั้งใกล้และไกลว่าผมมาอีกแล้วครับ
ท่านผู้อ่านได้อ่าน "บทความในปลิว" ผ่านไปแล้ว คงจะยังมีความสงสัยในหลายเรื่องหลายประเด็น ก็ขอกราบเรียนว่าใช่แล้วครับ ผมเขียนไม่กระจ่าง เพราะรวบรัดอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น กรณีผมไปพบ "คุณประสก" นักเขียนใหญ่ของ นสพ. สยามรัฐ เพื่อจะให้ท่านช่วยนำพาผมเข้าพบ "ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช" ในครั้งนั้นมิใช่เป็นสติปัญญาของผม
แต่เป็นการทำงาน "รับภาระ" ให้อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร แต่ก่อนจะมีการรับภาระในคราวนั้น ท่านได้สอนวิชา "ปฏิวัติประชาธิปไตยแบบสันติวิธี" ให้ผมมีความรู้ ความเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อถึงคราวลงมือทำงาน ต้องทำแบบ "หวังผล" เข้าไปจัดตั้ง "ชนชั้นสูง" ให้ได้รับความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง หากชนชั้นสูง เช่น "นายกรัฐมนตรี" ยอมรับฟังเรา ก็ถือได้ว่าการจัดตั้งสำเร็จลุล่วงสมความปรารถนา
ผมทำหน้าที่รับภาระไป "จัดตั้ง" กับชนชั้นสูงตามบัญชาของ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายได้ทำให้ "ประธานเหมา เจ๋อ ตุง" ตัดสินใจเลิกหนุน พคท. ทำให้ พคท. พากันยอมรับคำสั่งที่๖๖/๒๕๒๓ เป็นการ "ยินยอมเข้าร่วมพัฒนา ชาติไทย" ภายใต้ข้อตกลงว่าจะยุติการก่อการร้าย ด้วยประการทั้งปวง จะนำ "สหาย" ทั้งหลายเข้ารายงานตัวต่อกองกำลังส่วนหน้า ของกองท้พไทยและจะมอบอาวุธ ยุทโธปกรณ์ทั้งหมดให้แก่กองทัพ
อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร คือเจ้าของแผนการทั้งหมด แผนการนี้ สำเร็จจากการจัดตั้งโดยตรงกับ ฯพณฯ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช กระโดดเข้าหา "ท่านประธาน เหมา เจ๋อ ตุง" ท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง สั่งให้พรรคคอมวมิวนิสต์จีนเลิกสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ไทย และแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ไทยจึงพากันเต็มใจยุติการสู้รบ นี้คือ "เส้นทาง" ของการทำงาน ปฏิวัติสันติ
ท่านผู้อ่านครับ การทำงานปฏิวัติสันติมิใช่เรื่องเล็กน้อยในแผ่นดินนี้ การทำงานจัก เต็มไปด้วยความลี้ลับ ไม่เปิดเผย และไม่ใช้บุคคลเกิน ๑ เข้าร่วมงาน นั้นก็คือ "คนสนิทสายป่า" ของท่านหม่อม คือ คุณ ผิน บัวอ่อน ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ พันเอกมานะ เกษรศิริ คนสนิทของอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ก็ไม่ระแคะระคายในเรื่องนี้
สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของเรื่องราวที่รวบรัด ความมุ่งหมายของ "ปฏิวัติสันติ" หมายถึง หลังจาก พคท. ยุติการสู้รบแล้ว องค์กรทางการเมืองในประเทศสยาม ทังหมดจักต้องเป็นผู้รับภาระแทน หรือ "รับไม้ต่อ" เพื่อจะดำเนินการ กวาดล้างระบบเผด็จการด้วยวิธีการสันติ
แต่ปรากฏว่าพวกทหาร และพวกข้าราชการ รวมทั้งพวกนายทุนน้อย นายทุนใหญ่ มิได้พากัน "รับไม้ต่อ" แม้แต่คนเดียว
ตรงกันข้าม พวกเขากลับพากัน "สนุกสนาน" อยู่กับการกดขี่ขูดรีด เพิกเฉยต่อการปฎิวัติสังคม พวกเขายังคงมุ่งหน้าหาประโยชน์จากคนรากหญ้า อย่างไม่จบสิ้น
ผมได้มีโอกาสพบอาจารย์ประเสริฐอีกครั้งในปี ๒๕๒๙ ห่างจากวัน สิ้นสุดสงครามกลางเมือง ๕ ปี อาจารย์ประเสริฐ รู้สึกเหนื่อยอ่อนมาก ท่านกล่าวว่า "เผด็จการไม่สำนึก" มองไม่เห็นวี่แววว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยได้ แต่ผมยังคงยืนยันแนวทางปฏิวัติสันติ ท่านว่าอย่างนั้น แต่แววตาของ "นักปฏิวัติ" ยังคงมีความเด็ดเดี่ยวมั่นคง
ท่านผู้อ่านครับ หลังจากนั้น ผมได้กลับไปตะวันออกกลาง และได้เฝ้า ติดตามข่าวการแก้ไขปัญหาของชาติทั้งในระดับล่างและระดับบน ไม่ปรากฏว่า ชนชั้นสูงจะสำนึกในวิกฤติชาติตั้งแต่ปีเสียงปืนแตก (๒๕๐๘) มาจนถึงปี ๒๕๒๓ พวกเขายังคงเพิกเฉยต่อเงื่อนไขในอดีต และทำเป็นทองไม่รู้ร้อนราวกับว่า ประเทศไทยมิได้มีปัญหาใดๆมาก่อน
ผมได้ทำหน้าที่ "วิเคราะห์" ปัญหาสังคมไทยในหมู่ของกรรมกรโดยเฉพาะ ได้ไปพบ ทนง เหล่าวานิช ที่รีสอร์ทไทรเอน ปากช่อง เราได้บทสรุป ๕ ประการ ดังนี้
๑. นักการเมืองที่ถือว่าเป็น "หัวหอก" ของกระบวนปฏิวัติสังคมทั้งหมด ไม่มีพรรคการเมืองไหน แสดงจุดยืนแนวทางประชาธิปไตย พวกเขายังคงไม่เข้าใจ ในปัญหาของชาติในทุกรูปแบบ แต่ได้ทำตัวเป็นผู้พหูสูตร เก่งทุกเรื่อง แต่เป็นความเก่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
๒. ทหารที่เพิ่งถอนตัวมาจากสนามรบ ยังคงเป็นทหารที่ทรงอำนาจ พวกทหารยังคงยื้อแย่งตำแหน่ง ยื้อแย่งความเป็นใหญ่ ใช้อำนาจผ่านกระบวนการ การเมือง อาศัยอำนาจของกองทัพเข้าไปมีบทบาทในระดับผู้ถือบังเหียนประเทศ ทหารไม่ได้เสนอแนะพรรคการเมือง และไม่ได้วิพากย์วิจารณ์พรรคการเมือง ในแนวประชาธิปไตย แต่ได้ตำหนิการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง แล้วพากันถือเป็น "มูลเหตุ" ที่จะทำการตะครุบอำนาจการเมือง
๓. ข้าราชการทั้งหลายกลายเป็น "หุ่นยนตร์" ของระบอบเผด็จการ นักการเมือง สั่งซ้าย สั่งขวา และบัญชาการอย่างไรก็ทำได้จนหมด ไม่มีใครกล้า หาหนทางช่วยเหลือประชาชน
๔. นายทุนใหญ่ นายทุนเล็ก ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นพวกกดขี่ขูดรีด พวกเขา ยังคงรุมหาผล ประโยชน์จากคนรากหญ้าอย่างสนุกสนานสำราญใจ ใครอยากรวย อะไรก็จะเร่ลงไปวางแผน ตกเขียว พากันสร้างกฏหมายอันไม่เป็นธรรม เกาะเกี่ยว เอาผลประโยฃน์ตามใจชอบ
๕. นายทุน ขุนศึก ศักดินา ยังคงมีพฤติกรรมเลวร้ายไม่แตกต่าง จากอดีต ที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้สรุปปัญหาของชาติเอาไว้
ท่านผู้อ่านขอรับ ปัญหาทั้ง ๕ ประเด็นดังกล่าวนี้ ล้วนแต่เกิดมาจากความย่ามใจ คล้ายกับว่าตัวเอง "ชนะสงคราม" ที่สามารถทำให้ พคท. ยุติสงครามลงได้ ด้วยคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓
หลังจากนั้น ต่างพากัน "ฉลองชัยฃนะ" ด้วยการกดขี่ขูดรีดสุดลิ่มทิ่มประตู เมื่อผมได้วิเคราะห์สถานการณของประเทศไทยเช่นนั้น ผมเกิดความรู้สึก ผิดหวังใน ความเพียรพยายามที่จะทำงานเพื่อชาติ เมื่อทำสำเร็จไปขั้นหนึ่ง แทนที่จะเกิดการเปลี่ยน แปลงที่ดีขึ้น มันกลับจมดิ่งลงสู่ความล้มเหลว ที่ล้มเหลว มากที่สุด ได้แก่ไม่เคยมีใครค้นคิด หาหนทางสร้างระบบบริการมนุษย์ให้ได้รับความปลอดภัย และมีความั่นคง อันหมายถึง ประเทศไทย "ไร้รัฐสวัสดิการ" ในหมู่คนรากหญ้า
แต่คนรวยและพวกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพวกลูกจ้างชั้นดี จะมีเงินบำเหน็ด หรือบำนาญ ตอบแทนเมื่อลาออก หรือถึง คราวทำงานได้รับ เงินช่วยเหลือในวัยเกษียณอายุ ชาวนา ชาวไร่ กรรมกร คนรากหญ้าจำนวน ไม่น้อยกว่า ๔๒ ล้านคน ตกอยู่ในสภาพ ไร้ที่พึ่ง หมูหมาไม่เคยเหลียวแล
คนรากหญ้ายงคงเป็นพลเมืองชั้นสอง หาที่พึงไม่ได้ จะได้อะไรแต่ละครั้ง ต้องรอให้น้ำท่วมใหญ่ ไฟไหม้บ้าน พายุถล่ม แล้วก็ได้ "ถุงยังชีพ" เอามาปลอบใจ
มันเป็นอยู่อย่างนี้ นับครั้งไม่ถ้วน ผมคิดของผมอยู่ในใจว่าพรรคการเมืองของประเทศ และพวกขุนนางทั้งหลาย คงจะไม่ มีความเข้าใจต่อปัญหาของชาติ พวกเขาจะพากัน "ปล่อยทิ้ง" และจะพากัน "ชุบมือเปิบ" กอบโกยความร่ำรวย บนหยาดเหงื่อแรงงานของคนยากจน
ตัวผมคิดเอาเองว่า คนชื่อ "สอาด จันทร์ดี" ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ที่จะได้ทำงานเพื่อสังคม ที่ดีกว่า ชีวิตมาถึงวัยนี้แล้ว มองไม่เห็นว่าจะมี "ช่องทาง" ตรงไหนที่จะทำให้สังคมตื่นจากหลับไหล
ผมบอกกับตัวเองว่า ชีวิตนี้คงล้มหายตายจากไปอย่างไร้คุณค่าเหมือนนักประชาธิปไตยรุ่นพี่ ที่ตายจากไป เช่นวีระ ถนอมเลี้ยง บุญเที่ยง เจริญพิทักษ์ ทนง เหล่าวานิช และ คนอื่นๆอีกหลายคน
แต่แล้ว...อย่างไม่คาดฝัน ทหารยึดอำนาจอีกครั้ง ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙และแล้วก็ได้เห็น "วีระ มุสิกพงศ์" นำมวลชนหยิบมือหนึ่งสู้กับเผด็จการและแล้วก็ได้เห็นเด็กหนุ่มผู้หาญกล้า ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ ชินวัฒน์ หาบุญพาด และอีกหลายคนกระโดดออกมาท้าตีท้าต่อย เล่นเอาเผด็จการ ถึงกับเซแซ่ด ๆ จนทำท่าจะไปไม่รอด
ตรงนี้เอง ได้ชุบชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่ง ผมลุกขึ้นมาเขียนหนังสือ"สนับสนุนการต่อสู้" ตั้งแต่วันแรกที่โพธิรักษ์ พันธมิตร และมหาจำลอง ยกกองทัพธรรม เล่นงาน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก่อปัญหาเลวร้ายขึ้นมา ทำให้งานขอผมเริ่มกระเตื้องขึ้นแต่บัดนั้น
ผมขอขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณองค์พระสยามเทวาธิราช ที่ทรงเบิกฟ้าให้ชนชั้นรากหญ้าได้ขยับเข้ามาทำสงครามกับพวกเผด็จการอีกครั้งหนึ่ง การได้ รุกรบของคนเสื้อแดง ในหนนี้ เชื่อแน่ว่าจะไม่พังทะลายเหมือนคราวปฏิวัติสันติ (๖๖/๒๕๒๓)
แต่มันจะเป็นทั้งกองกำลังและอำนาจ อันบริสุทธิ์ของมวลชนรากหญ้า ว่าพวกเขาต้องการประชาธิปไตย ต้อง การความเป็นธรรม แล้วจะเป็นยุคสิ้นสุดของพวก "ย่ามใจ" ในโอกาสอันไม่นานเกินรอ
แต่ผมก็เชื่อว่าพวกเผด็จการคงไม่ยอม พวกเขายังคงย่ามใจที่จะถือ อำนาจบาตรใหญ่ โดยมีนายทหารใหญ่ พันธมิตรใหญ่ และพรรคการเมืองใหญ่ พากันห้อมล้อมให้การสนับสนุนให้รบแตกหักกับ "คนเสื้อแดง" โดยไม่หวังพึ่งความสมานฉันท์ใด ๆ ทั้งสิ้น
ไม่เป็นไร ให้มันย่ามใจไป ฮึกเหิมไป คนเสื้อแดงตื่นแล้ว...ตัวเองก็พร้อมจะรับใช้ด้วยการเขียนชำแหระ เสนอแนะแนวทาง ให้ทุกคน ทุกฝ่ายให้ได้ยิน ผมจะไม่เสนอแบบสุ่มเสี่ยง ข้อเสนอของผมจะตรงประเด็น ตามรูปแบบของ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ที่ได้สอนเอาไว้...ขอรับ.
เผด็จการโปรดจำเอาไว้ว่าความย่ามใจ ได้ทำลายโอกาสในการ สร้างประชาธิปไตย !
จบบทที่ ๒๓ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 24 วันเกิดทักษิณ ฮือฮาทั้งแผ่นดิน
บทที่ ๒๔ ตอน : วันเกิดทักษิณ ฮือฮาทั้งแผ่นดิน ..?!! (พระอาทิตย์ทรงกลดที่พัทยา)
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เป็นวันคล้ายวันเกิดอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร อายุครบ ๖๐ ปี ที่ประชาชนชาวไทย ทั้งที่ใส่เสื้อสีแดง และไม่แดง ต่างพากันออกจากบ้าน ไปทำบุญตักบาตร และชุมนุมกัน อย่างยิ่งใหญ่ในหลายพื้นที่ ทั้งในกรุงเทพและ ต่างจังหวัด อันนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ประชาชนชาวบ้าน จัดงาน วันเกิดให้แก่ผู้นำ นักการเมือง ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวไม่ได้ร่วมพิธีด้วย
ท่านผู้อ่านครับ ผมขออนุญาตเขียนเรื่องนี้ให้อ่านเพื่อความทรงจำต่อจากบทที่ ๒๓ ที่ ได้ปลิวว่อนไปแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ตามแบบฉบับของ "ใบปลิวกู้ชาติ" ที่ได้ นำเสนอแก่สายตาของท่าน ประเภท รายสะดวก
ผมขอขอบคุณ "คุณผึ้ง@เสรีชน" ที่ได้เป็นส่งเสริมให้ผมเขียนสู่สายตาของท่านผู้อ่าน ทั้งที่อยู่ในเมืองไทย และต่างประเทศไกลออกไป คุณผึ้ง@เสรีชนยังจะต้องแบก ภาระต่อไป จนกว่าผมจะหยุดเขียน หรือจนกว่าจะจากกันนั้นแลพระคุณท่าน
ขอกลับเข้าสู่เรื่อง "วันเกิดของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" ที่ ประชาชนคนเสื้อแดง รวมพลังจัดงานครบรอบ ๖๐ ปีให้อย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศ ดังที่กล่าว มา ผมขอกล่าวว่า "งานนี้ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี" โดยมี การชุมนุมในรูปแบบต่างๆ เช่นทำ บุญสืบชะตา ทอดผ้าป่า อภิปราย ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ บวงสรวง หงายบาตร และ เป่าเค็ก แล้วร้องเพลง แฮปปี้ เบิร์ทเดย์ ทู ยู ตัวผม ไปร่วมงานกับพี่น้องคนเสื้อแดง "พัทยา" ในขณะแกนนำแต่ละคน วิ่งรอกไป หลายเวที เช่นวัดแก้วฟ้า อ. บางกรวย จ. นนทบูรี เขตสามวา จัดโดยกำนันต้อย วัดอุทัยธาราม พระราม ๙ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด และอีก หลายแห่งทั่วประเทศ
ผมอยากเขียนรายงานสิ่งที่เห็นมาด้วยตาของตัวเองมาให้ท่านทราบ เกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ "พระอาทิตย์ทรงกลดที่พัทยา" มาให้ท่านได้รับรู้สักเล็กน้อยครับ
กล่าวคือ เมื่อคุณจุรีพร สินธุไพร ในฐานะประธาน "ชมรมคนพัทยาผู้รักประธาธิปไตย" ได้เชิญให้นายชูศักดิ์ แสงนิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดป้ายชมรม และได้เปิด ไปเรียบร้อย ต่อจากนั้น คุณจุรีพร ก็ได้เชิญให้ทุกคนไปที่ลานประฃาธิปไตย ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชมรมมากนัก เมื่อไปถึงก็ได้ทำพิธี "บวงสรวง" เทพไท้เทวาบนสรวงสวรรค์ ขอให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัฒน์ จงมีแต่ความปลอดภัย ได้กลับมาอยู่บ้านเกิด ด้วยความอบอุ่นตลอดไป จะได้ใช้ความรู้ความ สามารถพัฒนาประเทศชาติให้รอดพ้นจากความหายนะ
ในพิธีดังกล่าว ได้นิมนต์พระ ๙ รูป ญาติโยม คนเสื้อแดงประมาณ ๑๖๐ คน ทำพิธิบวงสรวงต่อเทวดาฟ้าดิน ขอให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์สมความม่งมาตรปรารถนา
ท่านครับ...ขณะนั้น เวลา ๑๒.๓๐ น. แดดร้อนเปรี้ยงกลางกระหม่อม เมื่อแหงนหน้าดูพระอาทิตย์ เห็นความร้อนระยิบ ดวงตะวันสาดแสงส่องลงมายัง ผิวโลกด้วยพลังงานที่แก่กล้า ผมจึงเข้าใจอย่างลึกว่าเที่ยงวันนี้ แดดร้อนจัด อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า ๓๘ องศา ร้อนมาก ฟ้าแจ้ง ไม่มีฝน
ประธานในพิธี ได้ประกาศต่อบุคคลที่เข้าร่วมพิธีบวงสรวงว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงพากันตั้งสติให้ดี ตั้งใจแผ่เมตตาไปยังเพื่อนสรรพสัตว์ ขอพรให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ขอให้ท่านจงชนะศัตรูหมู่บ้านทุกหย่อมหญ้า ได้กลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นำความเจริญ มาสู่ประเทศชาติ โอม...ขอให้สำเร็จ
พลันก็มีคนร้องขึ้น...พระอาทิตว์ทรงกลด ! พริบตานั้น สายตาทุกคู่มองขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมมองตามทันที ก็ได้พบวงแหวนสวยงามร้อยรัด รอบพระอาทิตย์อย่างเฉิดฉาย และน่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ประการสำคัญ เมื่อ ๑๐ นาทีผ่าน ผมได้แหงน หน้ามองพระอาทิตย์ก่อนแล้ว ตอนนั้น ไม่มีรุ้งล้อมเป็นแหวนรอบพระอาทิตย์ เลยแม้แต่วงแหวนเดียวแต่ขขณะนี้ไม่ทราบว่า "วงแหวนสีรุ้ง" มาจากไหน
เสียงคนเสื้อแดงพึมพำออกมา เห็นไหม เทวดายังทนนิ่งไม่ได้ แสดงว่าฟ้าดินรับรู้ดวง ชะตาของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวันตร แล้วว่าได้ถูกเผด็จการแอบเล่นงาน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งลอบฆ่า ลอบวางระเบิด คาร์บอมบ์ และอื่น ๆ อีกหลายวิธี แต่ท่านก็รอดตายอย่างน่าตื่นเต้น และน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง
ผมแหงนหน้ามองดู "พระอาทิตย์ทรงกรดประมาณ ๓ นาที" ต่อจากนั้นก็ได้พบความมหัศจรรย์เพิ่มเติม กล่าวคือ เมื่อการบวงสรวงสิ้นสุดลง วงแหวนก็มีอันค่อย ๆ "อันตรธาน" หายไป เหลือไว้แต่ แสงแดดแผดกล้า ทำให้ผมต้องถาม เอากับตนเองว่า "พระอาทิตย์ทรงกลด" ที่ไม่ค่อยมีใคร เชื่อว่าเป็น "มงคล" แท้ที่จริง ก็คือ ปรากฏการณ์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้ทรงแสดงฤทธิ์ ผ่านพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ และผ่านความโกลาหนของธรรมชาติ ดังที่ประเทศไทยเตยได้ยินเรื่องราวมมาก
ผมยอมรับว่าใจของผมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า "พระอาทิตย์ทรงกลด" เกิดจากกองบุญ อันยิ่งใหญ่ของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้แสดงให้ปรากฎ ด้วยอำนาจของธรรมชาติ ซึ่งคนที่ไม่มีศรัทธา ก็จะไม่เชื่อ แต่คนที่เชื่อ จะพากัน"ยึดถือ" ว่าเป็นลางดี อันเป็นลางมหามงคล ทั้งกลางวัน และกลางคืน ซึ่งจะเป็น การต่อ "ดวงชาตา" ให้แก่ท่านอดีตนายกด้วย
เสร็จสิ้นพิธีบวงสร้างไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คนเสื้อแดงพัทยาก็พากันแห่ไปยังวัดประชุมคงคา นาเกลือ พัทยาเหนือ เพื่อร่วมกัน "ทอดผ้าป่า" ต่ออายุ และทำบุญ ให้ท่านอดีคนายก ซึ่งก็ได้ปฏิบัติกันเช่นนี้ สำเรจลุล่วงและกระจายไปทั่วประเทศ
คนเสื้อแดงพากันไปทำบุญที่วัดประชุมคงคา มากมายจนไม่มีที่นั่ง และไม่ได้มีการนัดหมายกันเอาไว้ เรียกว่าต่างคนต่างทำ เมื่อยกขบวนแห่มาพบกันในวัด จึงกลายเป็นผ้าป่าของคนเสื้อแดง ได้เงินเข้าวัดไม่น้อยเลย
ผมมีกล้องถายหนังติดมือไปด้วย ผมจึงกลายเป็นคนโชคดี สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวได้ เหมือนหนังสารคดีเรื่องหนึ่ง มีเสียงกลองยาว เสียงโห่ฮิ้ว...โห่ฮิ้ว ดังก้องไปทั้งหวัด ทำให้วัดที่เคยมีแต่ความสงบ บัดนี้ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปด้วย คนเสื้อแดงมากกว่า ๑๐,๐๐๐ คน
ทำให้บรรยากาศ ของพัทยาที่เคยมีแต่สีเหลืองครองเมือง วันนี้ สีแดง ผุดขึ้นทั้งพัทยาเหนือ พัทยากลาง และพัทยาใต้ ! ผมแอบดีใจอยู่คนเดียว ดีใจให้กับ "ความเป็นบึกแผ่น" ของคนเสื้อแดงนับแห่งไม่ถ้วน ผมเชื่อว่า ความรัก ที่ประชาชนเทให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้เปลี่ยนจากการเป็นนายกรัฐมนตรีที่เก่ง และซื่อสัตย์ต่อประชาชน มาเป็นจิตวิญญาณของประชาธิปไตยไปแล้วขอรับ ผมจึงสรุปได้ว่านัก การเมืองคนที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ไม่จำเป็นต้อง "หาเสียง" อะไรอีกแล้ว
เพราะอันว่าชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ได้กลายเป็นเครื่องหมายของคุณภาพ ในขณะที่ "มาร์ค ม.7 " ต้องหาเสียงทุกวัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดือน ปรากฏว่ายิ่งหาเสียงด้วยยุทธศาสตร์แบบสมัยใหม่เพียงใด มันก็ยังไม่ได้เสียง ตรงกันข้าม ยิ่งหาเสียง ยิ่งกลาย เป็นตัวตลก และน่าเวทนาเป็นที่สุด
อภิสิทธิ์เอ๋ย...วันเกิดทักษิณ วันเดียว ฮือฮาไปทั่วประเทศผมไม่ทราบว่า "มาร์คเอ๋ย" รู้ตัวเองแล้วหรือยังว่า ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็จะมีคนมาขับไล่ อย่างช้าไม่เกินสิ้นปีนี้...ยังจะทนรอ!ให้เขาด่าอยู่หรือครับ ?!
จบบทที่ ๒๔ / สอาด จันทร์ดี
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เป็นวันคล้ายวันเกิดอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร อายุครบ ๖๐ ปี ที่ประชาชนชาวไทย ทั้งที่ใส่เสื้อสีแดง และไม่แดง ต่างพากันออกจากบ้าน ไปทำบุญตักบาตร และชุมนุมกัน อย่างยิ่งใหญ่ในหลายพื้นที่ ทั้งในกรุงเทพและ ต่างจังหวัด อันนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ประชาชนชาวบ้าน จัดงาน วันเกิดให้แก่ผู้นำ นักการเมือง ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวไม่ได้ร่วมพิธีด้วย
ท่านผู้อ่านครับ ผมขออนุญาตเขียนเรื่องนี้ให้อ่านเพื่อความทรงจำต่อจากบทที่ ๒๓ ที่ ได้ปลิวว่อนไปแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ตามแบบฉบับของ "ใบปลิวกู้ชาติ" ที่ได้ นำเสนอแก่สายตาของท่าน ประเภท รายสะดวก
ผมขอขอบคุณ "คุณผึ้ง@เสรีชน" ที่ได้เป็นส่งเสริมให้ผมเขียนสู่สายตาของท่านผู้อ่าน ทั้งที่อยู่ในเมืองไทย และต่างประเทศไกลออกไป คุณผึ้ง@เสรีชนยังจะต้องแบก ภาระต่อไป จนกว่าผมจะหยุดเขียน หรือจนกว่าจะจากกันนั้นแลพระคุณท่าน
ขอกลับเข้าสู่เรื่อง "วันเกิดของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" ที่ ประชาชนคนเสื้อแดง รวมพลังจัดงานครบรอบ ๖๐ ปีให้อย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศ ดังที่กล่าว มา ผมขอกล่าวว่า "งานนี้ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี" โดยมี การชุมนุมในรูปแบบต่างๆ เช่นทำ บุญสืบชะตา ทอดผ้าป่า อภิปราย ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ บวงสรวง หงายบาตร และ เป่าเค็ก แล้วร้องเพลง แฮปปี้ เบิร์ทเดย์ ทู ยู ตัวผม ไปร่วมงานกับพี่น้องคนเสื้อแดง "พัทยา" ในขณะแกนนำแต่ละคน วิ่งรอกไป หลายเวที เช่นวัดแก้วฟ้า อ. บางกรวย จ. นนทบูรี เขตสามวา จัดโดยกำนันต้อย วัดอุทัยธาราม พระราม ๙ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด และอีก หลายแห่งทั่วประเทศ
ผมอยากเขียนรายงานสิ่งที่เห็นมาด้วยตาของตัวเองมาให้ท่านทราบ เกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ "พระอาทิตย์ทรงกลดที่พัทยา" มาให้ท่านได้รับรู้สักเล็กน้อยครับ
กล่าวคือ เมื่อคุณจุรีพร สินธุไพร ในฐานะประธาน "ชมรมคนพัทยาผู้รักประธาธิปไตย" ได้เชิญให้นายชูศักดิ์ แสงนิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดป้ายชมรม และได้เปิด ไปเรียบร้อย ต่อจากนั้น คุณจุรีพร ก็ได้เชิญให้ทุกคนไปที่ลานประฃาธิปไตย ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชมรมมากนัก เมื่อไปถึงก็ได้ทำพิธี "บวงสรวง" เทพไท้เทวาบนสรวงสวรรค์ ขอให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัฒน์ จงมีแต่ความปลอดภัย ได้กลับมาอยู่บ้านเกิด ด้วยความอบอุ่นตลอดไป จะได้ใช้ความรู้ความ สามารถพัฒนาประเทศชาติให้รอดพ้นจากความหายนะ
ในพิธีดังกล่าว ได้นิมนต์พระ ๙ รูป ญาติโยม คนเสื้อแดงประมาณ ๑๖๐ คน ทำพิธิบวงสรวงต่อเทวดาฟ้าดิน ขอให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์สมความม่งมาตรปรารถนา
ท่านครับ...ขณะนั้น เวลา ๑๒.๓๐ น. แดดร้อนเปรี้ยงกลางกระหม่อม เมื่อแหงนหน้าดูพระอาทิตย์ เห็นความร้อนระยิบ ดวงตะวันสาดแสงส่องลงมายัง ผิวโลกด้วยพลังงานที่แก่กล้า ผมจึงเข้าใจอย่างลึกว่าเที่ยงวันนี้ แดดร้อนจัด อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า ๓๘ องศา ร้อนมาก ฟ้าแจ้ง ไม่มีฝน
ประธานในพิธี ได้ประกาศต่อบุคคลที่เข้าร่วมพิธีบวงสรวงว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงพากันตั้งสติให้ดี ตั้งใจแผ่เมตตาไปยังเพื่อนสรรพสัตว์ ขอพรให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ขอให้ท่านจงชนะศัตรูหมู่บ้านทุกหย่อมหญ้า ได้กลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นำความเจริญ มาสู่ประเทศชาติ โอม...ขอให้สำเร็จ
พลันก็มีคนร้องขึ้น...พระอาทิตว์ทรงกลด ! พริบตานั้น สายตาทุกคู่มองขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมมองตามทันที ก็ได้พบวงแหวนสวยงามร้อยรัด รอบพระอาทิตย์อย่างเฉิดฉาย และน่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ประการสำคัญ เมื่อ ๑๐ นาทีผ่าน ผมได้แหงน หน้ามองพระอาทิตย์ก่อนแล้ว ตอนนั้น ไม่มีรุ้งล้อมเป็นแหวนรอบพระอาทิตย์ เลยแม้แต่วงแหวนเดียวแต่ขขณะนี้ไม่ทราบว่า "วงแหวนสีรุ้ง" มาจากไหน
เสียงคนเสื้อแดงพึมพำออกมา เห็นไหม เทวดายังทนนิ่งไม่ได้ แสดงว่าฟ้าดินรับรู้ดวง ชะตาของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวันตร แล้วว่าได้ถูกเผด็จการแอบเล่นงาน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งลอบฆ่า ลอบวางระเบิด คาร์บอมบ์ และอื่น ๆ อีกหลายวิธี แต่ท่านก็รอดตายอย่างน่าตื่นเต้น และน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง
ผมแหงนหน้ามองดู "พระอาทิตย์ทรงกรดประมาณ ๓ นาที" ต่อจากนั้นก็ได้พบความมหัศจรรย์เพิ่มเติม กล่าวคือ เมื่อการบวงสรวงสิ้นสุดลง วงแหวนก็มีอันค่อย ๆ "อันตรธาน" หายไป เหลือไว้แต่ แสงแดดแผดกล้า ทำให้ผมต้องถาม เอากับตนเองว่า "พระอาทิตย์ทรงกลด" ที่ไม่ค่อยมีใคร เชื่อว่าเป็น "มงคล" แท้ที่จริง ก็คือ ปรากฏการณ์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้ทรงแสดงฤทธิ์ ผ่านพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ และผ่านความโกลาหนของธรรมชาติ ดังที่ประเทศไทยเตยได้ยินเรื่องราวมมาก
ผมยอมรับว่าใจของผมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า "พระอาทิตย์ทรงกลด" เกิดจากกองบุญ อันยิ่งใหญ่ของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้แสดงให้ปรากฎ ด้วยอำนาจของธรรมชาติ ซึ่งคนที่ไม่มีศรัทธา ก็จะไม่เชื่อ แต่คนที่เชื่อ จะพากัน"ยึดถือ" ว่าเป็นลางดี อันเป็นลางมหามงคล ทั้งกลางวัน และกลางคืน ซึ่งจะเป็น การต่อ "ดวงชาตา" ให้แก่ท่านอดีตนายกด้วย
เสร็จสิ้นพิธีบวงสร้างไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คนเสื้อแดงพัทยาก็พากันแห่ไปยังวัดประชุมคงคา นาเกลือ พัทยาเหนือ เพื่อร่วมกัน "ทอดผ้าป่า" ต่ออายุ และทำบุญ ให้ท่านอดีคนายก ซึ่งก็ได้ปฏิบัติกันเช่นนี้ สำเรจลุล่วงและกระจายไปทั่วประเทศ
คนเสื้อแดงพากันไปทำบุญที่วัดประชุมคงคา มากมายจนไม่มีที่นั่ง และไม่ได้มีการนัดหมายกันเอาไว้ เรียกว่าต่างคนต่างทำ เมื่อยกขบวนแห่มาพบกันในวัด จึงกลายเป็นผ้าป่าของคนเสื้อแดง ได้เงินเข้าวัดไม่น้อยเลย
ผมมีกล้องถายหนังติดมือไปด้วย ผมจึงกลายเป็นคนโชคดี สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวได้ เหมือนหนังสารคดีเรื่องหนึ่ง มีเสียงกลองยาว เสียงโห่ฮิ้ว...โห่ฮิ้ว ดังก้องไปทั้งหวัด ทำให้วัดที่เคยมีแต่ความสงบ บัดนี้ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปด้วย คนเสื้อแดงมากกว่า ๑๐,๐๐๐ คน
ทำให้บรรยากาศ ของพัทยาที่เคยมีแต่สีเหลืองครองเมือง วันนี้ สีแดง ผุดขึ้นทั้งพัทยาเหนือ พัทยากลาง และพัทยาใต้ ! ผมแอบดีใจอยู่คนเดียว ดีใจให้กับ "ความเป็นบึกแผ่น" ของคนเสื้อแดงนับแห่งไม่ถ้วน ผมเชื่อว่า ความรัก ที่ประชาชนเทให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้เปลี่ยนจากการเป็นนายกรัฐมนตรีที่เก่ง และซื่อสัตย์ต่อประชาชน มาเป็นจิตวิญญาณของประชาธิปไตยไปแล้วขอรับ ผมจึงสรุปได้ว่านัก การเมืองคนที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ไม่จำเป็นต้อง "หาเสียง" อะไรอีกแล้ว
เพราะอันว่าชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ได้กลายเป็นเครื่องหมายของคุณภาพ ในขณะที่ "มาร์ค ม.7 " ต้องหาเสียงทุกวัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดือน ปรากฏว่ายิ่งหาเสียงด้วยยุทธศาสตร์แบบสมัยใหม่เพียงใด มันก็ยังไม่ได้เสียง ตรงกันข้าม ยิ่งหาเสียง ยิ่งกลาย เป็นตัวตลก และน่าเวทนาเป็นที่สุด
อภิสิทธิ์เอ๋ย...วันเกิดทักษิณ วันเดียว ฮือฮาไปทั่วประเทศผมไม่ทราบว่า "มาร์คเอ๋ย" รู้ตัวเองแล้วหรือยังว่า ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็จะมีคนมาขับไล่ อย่างช้าไม่เกินสิ้นปีนี้...ยังจะทนรอ!ให้เขาด่าอยู่หรือครับ ?!
จบบทที่ ๒๔ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 25 คิดถึงเพื่อนร่วมรบสงครามเวียตนาม
บทที่ ๒๕ ตอน : คิดถึงเพื่อนร่วมรบ สงครามเวียดนาม ?!
ขอสวัสดีท่านผู้อ่านด้วยความเป็นมิตรสหาย เพื่อจะได้รู้จักมักคุ้นกันเหมือนกับว่าเราเคยเห็นหน้ากัน หรือทำให้เกิดความรู้สึกว่า เราเคยกินข้าวร่วมโต๊ะ เคยนอนร่วมห้อง เคยต่อสู้กับพวกเผด็จการร่วมกัน เคยทำกิจกรรมหนักหน่วง
เคยมีความรักและเอ็นดูเสมือนญาติสนิทยากที่จะลืมเลือน
ท่านผู้อ่านครับ ผมใช้คำพูดเช่นนี้ก็เพราะว่าเราไม่มีทางเลยที่จะได้พบหน้ากันได้โดยง่าย อันเนื่องมาจากบางท่าน(กลุมของคุณมิวนิค) อยู่เยอรมันนี บางท่าน(กลุ่มของคุณ Freedom@USA คุณ Tiff) อยู่อเมริกา หรือว่าแม้จะอยู่ ใกล้กันในกรุงเทพฯหรือสมาชิกที่อยู่ใกล้กันแค่นี้ก็ตามที เอาเข้าจริงเหมือนกับอยู่คนละประเทศ ไม่มีโอกาสได้คบหาสมาคม เมื่อเราไม่มีทางได้คบหาสมาคม จึงเท่ากับว่าเราขาดพื้นฐานทางกายภาพขาดโอกาสที่จะได้ผูกมิตร ยิ่งผมเป็นคนวัยสูง ท่านเป็นคนวัยหนุ่ม ไม่นานผมก็ต้องอำลาพวกท่านทั้งหลายตามกฏของธรรมชาติ คือเกิดมาแล้วไม่นานก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ไม่มีใครจะอยู่ค้ำฟ้าได้ เมื่อสภาวะธรรมชาติมันบังคับเฃ่นนี้ก็ควรจะอาศัย"จิตทิพย์คบหากัน" ประหนึ่งเราได้เห็นหน้ากันขณะอ่านใบปลิวกู้ชาติของผม เปิดโอกาสให้จินตนาการได้คบหาสมาคมกันปล่อยให้จิตได้โลดแล่นไปบนถนนของความคิดและท่องเที่ยวย้อนกลับไปสู่อดีตอันยาวเหยียดที่พวกเราได้พบเห็นและผจญภัยผ่านมา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงคล้ายกับว่าท่านผู้อ่านไม่ได้ผ่านสมรภูมิของสงครามทหาร แต่แท้ที่จริงได้ผ่านสมรภูมิชีวิต นั้นก็คือการได้ผ่าน "การผจิญภัย" ไม่น้อยเลยมิใช่หรือ
การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ได้แก่การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตให้ดีขึ้นว่ามันมีคามยากลำบากปานใด เนื่องจากชีวิตของคนไทยมันถูกแบ่งเป็นมาตรฐานใคร มาตรฐานมัน ซึ่งผมเรียกว่า คนไทยในประเทศนี้ ไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน ทั้งนี้เกิดจากสังคมทั้งปวงตกอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการ ซึ่งมีแต่ "พวกเขา"เท่านั้น ที่เจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยขึ้นมาได้อย่างง่ายดายแต่ชีวิตของ "พวกเรา" และผู้คนอีกมากมายกว่าจะมาถึง "ปลายทาง" ได้ ต้องเผชิญปัญหาอันแสนทึ่งและนึกไม่ถึงว่ามันผ่านมาได้อย่างไร
ท่านผู้อ่านครับ ผมขอจบ "คำรำพัน" เอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน ผมจะขออนุญาตนำพา ท่านเข้าสู่เรื่องราวย้อนอดีต ทบทวนความทรงจำ และขอบันทึกเอาไว้ใน "ใบปลิวกู้ชาติ" บทที่ ๒๕ บทนี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับ "ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๒๑ - ๒๒ - และ ๒๓ ที่ได้นำ เสนอผ่านสายตาของท่านไปแล้ว
เรื่องราวในบทที่ ๒๕ ผมให้ชื่อว่า " คิดถึงเพื่อนร่วมรบในสงครามเวียดนาม" ซึ่งผมเชื่อ ว่าส่วนใหญ่ ได้สูญหาย ล้มตาย และอำลาโลกนี้ไปแล้ว ก่อนอื่น ขอกล่าวว่า คนไทยที่เข้าไปพัวพันกับ "สงคราม" เวียดนามมีอยู่ ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกได้แก่ "กองพันเสือดำ" ซึ่งเป็นทหารประจำการในกองทัพไทย รัฐบาลไทยได้ส่งทหารหาญเหล่านั้นเข้าสู่สมรภูมิติดต่อกันมาตั้งแต่สงครามโลกมาจนถึงสงครามเกาหลี ที่เส้นขนาน ๓๘ อันเป็นเส้นแบ่งเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้แล้วก็เลยมาร่วมรบกับทหารอเมริกันในสงครามเวียดนาม
ทหารหาญที่เข้าสู่สมรภูมิเวียดนาม มีจำนวนเท่าใด ใครบ้าง ผมไม่ทราบขอรับเพราะว่าพวกผมเป็น "ทหารนิรนาม" ได้รับการว่าจ้างจาก "กองทัพสหรัฐ" โดยตรง โดย มิได้ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาลไทย
ถึงกระนั้น แม้จะได้ชื่อว่า "ทหารนิรนาม" ก็ตาม ก็ยังแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑ ได้แก่ กลุ่มที่ขึ้นตรงกับ พันเอกเทพวิฑูร ยะสวัสดิ์ (ผู้การเทพ) แห่ง บก. ๓๓๓ ตั้งอยู่จังหวัดอุดรฯ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง "เป็นนักรบนิรนามที่ขึ้นกับ "นายพลวังเปา" มีค่าจ้างและสวัสดิการภายใต้ การควบคุมของ "นักรบนิรนาม ไทย-ลาว" ที่ไม่ทราบหน้าตา ผู้บังคับบัญชาที่แท้จริง
เรื่องราวที่ว่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๓ อยู่ในยุคจอมพลสฤษด์ ธนะรัชต์ ก่อนวันเสียงปืนแตก ๕ ปี
ก่อนหน้านั้น ๓ ปี (๒๕๐๑ - ๒๕๐๓)ผมรับราชการอยู่กับกรมโลหกิจ หรือกรมทรัพยากรในปัจจุบัน ผมตัดสินใจลาออกเพื่อจะไปเป็น "ลูกจ้าง" กับทหารอเมริกัน ที่มีรายได้ดีกว่าหลายเท่าตัว ผมพิศมัยเงินจนลืมความตาย จึงได้กลายเป็น "นักรบนิรนาม" ตั้งแต่บัดนั้น
นาทีแรกที่ได้เข้าร่วมกระบวนการสงคราม ทหารอเมริกันได้จัดระเบียบและพัฒนาชีวิตใหม่ทั้งหมด รวมทั้งได้จับ "สาบานตน" ว่า "ไอ สะแวร์ แด็ท" พร้อมกับได้กล่าวถ้อยคำต่อตามคำประกาศของ "อนุศาสนาจารย์" อเมริกัน ที่เป็นผู้ทำหน้าที่บริหารจิตและวิญญาณในสถานการณ์สงคราม (ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์) !
ในสมรภูมินิรนาม ดังกล่าวนี้ มันได้ให้ความรู้ความสามารถ และได้พบเห็นชีวิตที่หลากหลาย รวมทั้งการปฏิบัติที่ล้ำลึกพิศดาร สิ่งนั้นก็คือ ทหารอเมริกันได้ "จัดหา"(Recruit) นักรบในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะได้แก่การ "ฉกตัวหนุ่มอีสาน แล้วปั้นเป็นนักบิน" เพื่อนที่แบกปืนร่วมรบกับผม ๕ คนกลายเป็นนักบินฝึกหัด
(๑) วรยุกต์ พิมพ์พิสุทธิ์
(๒) มณฑล สุวรรณพัฒน์
อีก ๓ คน ผมจำชื่อไม่ได้ ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ที่เพื่อน ๆ ได้ รับฝึกให้เป็นนักบินขนส่งทางอากาศ นำสัมภาระไปถีบลงให้ทหารแม้วบนภูเขา ก็นับว่าเป็น ยอดของความยิ่งใหญ่ที่ได้เป็นนักบิน ผมได้รับข่าวระแคะระคายมาว่าบางคนก้าวขึ้นไปขับ F105 บรรทุกระเบิด ไปถล่มเวียดกง
ผมมีอาการ "ดิ้นรน" อยากได้รับความก้าวหน้าเหมือนเขาบ้าง จึงพูดกับหัวหน้าของผมชื่อ "ฟุลเล่อร์" มียศเป็น "ร้อยเอก" เขาส่งเสริมผมทันที แต่แทนที่จะได้ขึ้นหอกระโดดร่ม กลับส่งผมไปเรียนวิชาคอมมิวนิสต์ กับฮูก บาราฮับ ที่เกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ ผลของการเรียนจบมาจากสถาบันแห่งนี้ ผมได้รับการเลื่อนตำแหน่ง มอบหมายหน้าที่ให้เป็น "หัวหน้า" ถ่ายเทความรู้ ความเข้าใจแก่ลาวเทิง (ลาวภูเขา) โดยเอาชีวิตเข้าร่วมรบกับทหารนิรนามที่ซำเหนือ ติดพรมแดนจีน ทุ่งไหหินและริมตะเข็บ ชายแดนลาว - กำพูชา วิฃัย ขันธ์วิชัย เพื่อนเก่าจากวัดมหาธาตุ คนบ้านหมี่ ลพบุรี ได้ข่าวว่าผมทำงานกับ ทหารนิรนาม ก็ตามไปสมัครรบ แต่ได้ร่วมรบไม่ถึง ๓ เดือน วิชัยถูกจรวดศรีษะขาด โดยมีนักรบนิรนามตายพร้อมกันในวันนั้น ๑๙ คน !
ในช่วงนั้น สถานการณ์สงครามขยายวงกว้างไปทั่วอินโดจีน เพื่อนลาวของผมชื่อ บุญมี เทพศรีเมือง ได้รับทุนจาก "เจ้าเพชรราช" เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในขณะประเทศไทยได้เปิดสนามบินขึ้นอย่างเปิดเผย เช่นสนามบินอู่ตะเภา สนามบินตาคลีสนามบินอุดร นครพนม นครราชสีมา และสนามบินจังหวัดอุบลราชธานี
ตัวผมมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นในหมู่ของพวก "นิรนาม" จึงได้รับการคัดเลือก ย้ายจากสมรภูมิ ให้ไปเป็น "ผู้ควบคุม" คลังสรรพาวุธ (AMMO) ที่สนามบิน บน. ๔ ตาคลี ใกล้กับจังหวัดชัยนาท แต่ดันไปขึ้นจังหวัดนครสวรรค์
ชีวิตที่ บน. ๔ ได้พลิกผันดวงชาตาไปอีกทิศทางหนึ่ง เพื่อน ๆ ในฐานทัพพากันได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาหลายคน เช่น "สุรัตน์ เชื้อชุ่ม" บุญชื่น อ่อนระหุ่ง ชำนาญ พิมลรัตน์ เป็นต้น
คน บน. ๔ ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมจบจาก ฮูก บาราฮับ แต่ผมก็แปลกใจอย่างยิ่งว่าทำไมนะ "ท่าน ผบ. บน. ๔" ในขณะนั้น นาวาอากาศเอก ประหยัด ดิษยะศริน ซึ่งเป็นบิดาของ คุณวีระยุทธ ดิษยะศริน จึงจ้อง จะเล่นงานผม โดยท่านกับผมถึงขั้นมีปากเสียงกัน
ท่านพูดกับผมว่า ชีวิตของคุณผมรู้ คุณทำแบบนี้ คุณจะไม่มีวันได้อยู่สะบายกับครอบครัว ขอให้เลือกทางเดินให้ถูกต้อง...ผมขอเตือนคุณด้วยความหวังดี"
ผมไม่ตอบโต้ด้วยประการทั้งปวง อย่างไรก็ตาม ผมบอกกับ ผบ. บน. ๔ ว่า "สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ทำก็คือ ไม่เอาความลับของไทยไปให้ ซีไอเอ แต่ความลับของ ซีไอเอ ผมรายงานให้ท่านจอมพลถนอมโดยตรง" ว่าแล้วผมก็ขึงขังใส่ท่านทำราวกับว่าท่านมิได้มีความสำคัญในสายตาของผมเลย
นายทหารคนหนึ่ง "นาวาอากาศเอก เฉลย วริทราคม" ได้พูดติงผมว่า คุณคือพวกนิรนาม ต้องให้เกียรติแก่ทหารประจำการ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ คำพุดแบบนี้แหละทำให้ผม "ทนฟังไม่ได้" ผมจึงรีบไปพบจอมพลถนอม กิตติขจร แล้วรายงาน (ฟ้อง) ตามความเข้าใจของผม จอมพลถนอม กิตติขจร ให้เวลา ๙ นาที แล้วแนะนำผมว่า ถ้าจะให้ผมเลือก ผมต้องเลือก ผบ. บน. ๔ คุณกลับไปทำงาน ตามหน้าที่ของคุณดีกว่านะคุณสอาด
ผมกลับตาคลีครับ พร้อมกับ "รีบ" ขนครอบครัวออกจากตาคลีภายใน ๒๔ ชั่วโมง ทั้งนี้เนื่องจาก "สุชาติ ทองแย้ม" ได้กระซิบบอกผมว่า อย่าอยู่เลย เขาเตรียมฆ่าทิ้งแล้วเพื่อน ผมเชื่อ "สุชาติ ทองแย้ม" จึงหอบลูกเมียหนีกระทันหัน ทิ้งข้าวของรวมทั้งบ้าน ๑ หลัง ส่งครอบครัวกลับห้วยแถลงอีกครั้งหนึ่ง
ตัวผมเดินทางไปทำงานที่ "บาเกียว" ฟิลิปปินส์เป็นคำรบสอง (ปี ๒๕๑๐) โดยังกินเงินเดือนของ "นักรบนิรนาม" ในอัตรา TG10
ท่านผู้อ่านขอรับ ผมเขียนเรื่องราวคล้ายกับบันทึกความจำให้ท่านได้อ่านประกอบไปเรื่อยๆ จะได้มองเห็นภาพว่า "ทางเดินของใบปลิวกู้ชาติ" ที่ผมเขียนให้อ่าน ผมไม่ได้เขียนจากความฝัน แต่ได้เขียนจากเลือดและชีวิตที่ประสบพบเห็นมาด้วยตัวเองทุกประการ
โดยมี เป้าหมายเพื่อประเทศชาติอันเป็นที่รักจะได้มีความเข้าใจระบอบประชาธิปไตย ?!
จบบทที่ ๒๕ / สอาด จันทร์ดี
ขอสวัสดีท่านผู้อ่านด้วยความเป็นมิตรสหาย เพื่อจะได้รู้จักมักคุ้นกันเหมือนกับว่าเราเคยเห็นหน้ากัน หรือทำให้เกิดความรู้สึกว่า เราเคยกินข้าวร่วมโต๊ะ เคยนอนร่วมห้อง เคยต่อสู้กับพวกเผด็จการร่วมกัน เคยทำกิจกรรมหนักหน่วง
เคยมีความรักและเอ็นดูเสมือนญาติสนิทยากที่จะลืมเลือน
ท่านผู้อ่านครับ ผมใช้คำพูดเช่นนี้ก็เพราะว่าเราไม่มีทางเลยที่จะได้พบหน้ากันได้โดยง่าย อันเนื่องมาจากบางท่าน(กลุมของคุณมิวนิค) อยู่เยอรมันนี บางท่าน(กลุ่มของคุณ Freedom@USA คุณ Tiff) อยู่อเมริกา หรือว่าแม้จะอยู่ ใกล้กันในกรุงเทพฯหรือสมาชิกที่อยู่ใกล้กันแค่นี้ก็ตามที เอาเข้าจริงเหมือนกับอยู่คนละประเทศ ไม่มีโอกาสได้คบหาสมาคม เมื่อเราไม่มีทางได้คบหาสมาคม จึงเท่ากับว่าเราขาดพื้นฐานทางกายภาพขาดโอกาสที่จะได้ผูกมิตร ยิ่งผมเป็นคนวัยสูง ท่านเป็นคนวัยหนุ่ม ไม่นานผมก็ต้องอำลาพวกท่านทั้งหลายตามกฏของธรรมชาติ คือเกิดมาแล้วไม่นานก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ไม่มีใครจะอยู่ค้ำฟ้าได้ เมื่อสภาวะธรรมชาติมันบังคับเฃ่นนี้ก็ควรจะอาศัย"จิตทิพย์คบหากัน" ประหนึ่งเราได้เห็นหน้ากันขณะอ่านใบปลิวกู้ชาติของผม เปิดโอกาสให้จินตนาการได้คบหาสมาคมกันปล่อยให้จิตได้โลดแล่นไปบนถนนของความคิดและท่องเที่ยวย้อนกลับไปสู่อดีตอันยาวเหยียดที่พวกเราได้พบเห็นและผจญภัยผ่านมา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงคล้ายกับว่าท่านผู้อ่านไม่ได้ผ่านสมรภูมิของสงครามทหาร แต่แท้ที่จริงได้ผ่านสมรภูมิชีวิต นั้นก็คือการได้ผ่าน "การผจิญภัย" ไม่น้อยเลยมิใช่หรือ
การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ได้แก่การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตให้ดีขึ้นว่ามันมีคามยากลำบากปานใด เนื่องจากชีวิตของคนไทยมันถูกแบ่งเป็นมาตรฐานใคร มาตรฐานมัน ซึ่งผมเรียกว่า คนไทยในประเทศนี้ ไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน ทั้งนี้เกิดจากสังคมทั้งปวงตกอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการ ซึ่งมีแต่ "พวกเขา"เท่านั้น ที่เจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยขึ้นมาได้อย่างง่ายดายแต่ชีวิตของ "พวกเรา" และผู้คนอีกมากมายกว่าจะมาถึง "ปลายทาง" ได้ ต้องเผชิญปัญหาอันแสนทึ่งและนึกไม่ถึงว่ามันผ่านมาได้อย่างไร
ท่านผู้อ่านครับ ผมขอจบ "คำรำพัน" เอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน ผมจะขออนุญาตนำพา ท่านเข้าสู่เรื่องราวย้อนอดีต ทบทวนความทรงจำ และขอบันทึกเอาไว้ใน "ใบปลิวกู้ชาติ" บทที่ ๒๕ บทนี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับ "ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๒๑ - ๒๒ - และ ๒๓ ที่ได้นำ เสนอผ่านสายตาของท่านไปแล้ว
เรื่องราวในบทที่ ๒๕ ผมให้ชื่อว่า " คิดถึงเพื่อนร่วมรบในสงครามเวียดนาม" ซึ่งผมเชื่อ ว่าส่วนใหญ่ ได้สูญหาย ล้มตาย และอำลาโลกนี้ไปแล้ว ก่อนอื่น ขอกล่าวว่า คนไทยที่เข้าไปพัวพันกับ "สงคราม" เวียดนามมีอยู่ ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกได้แก่ "กองพันเสือดำ" ซึ่งเป็นทหารประจำการในกองทัพไทย รัฐบาลไทยได้ส่งทหารหาญเหล่านั้นเข้าสู่สมรภูมิติดต่อกันมาตั้งแต่สงครามโลกมาจนถึงสงครามเกาหลี ที่เส้นขนาน ๓๘ อันเป็นเส้นแบ่งเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้แล้วก็เลยมาร่วมรบกับทหารอเมริกันในสงครามเวียดนาม
ทหารหาญที่เข้าสู่สมรภูมิเวียดนาม มีจำนวนเท่าใด ใครบ้าง ผมไม่ทราบขอรับเพราะว่าพวกผมเป็น "ทหารนิรนาม" ได้รับการว่าจ้างจาก "กองทัพสหรัฐ" โดยตรง โดย มิได้ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาลไทย
ถึงกระนั้น แม้จะได้ชื่อว่า "ทหารนิรนาม" ก็ตาม ก็ยังแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑ ได้แก่ กลุ่มที่ขึ้นตรงกับ พันเอกเทพวิฑูร ยะสวัสดิ์ (ผู้การเทพ) แห่ง บก. ๓๓๓ ตั้งอยู่จังหวัดอุดรฯ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง "เป็นนักรบนิรนามที่ขึ้นกับ "นายพลวังเปา" มีค่าจ้างและสวัสดิการภายใต้ การควบคุมของ "นักรบนิรนาม ไทย-ลาว" ที่ไม่ทราบหน้าตา ผู้บังคับบัญชาที่แท้จริง
เรื่องราวที่ว่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๓ อยู่ในยุคจอมพลสฤษด์ ธนะรัชต์ ก่อนวันเสียงปืนแตก ๕ ปี
ก่อนหน้านั้น ๓ ปี (๒๕๐๑ - ๒๕๐๓)ผมรับราชการอยู่กับกรมโลหกิจ หรือกรมทรัพยากรในปัจจุบัน ผมตัดสินใจลาออกเพื่อจะไปเป็น "ลูกจ้าง" กับทหารอเมริกัน ที่มีรายได้ดีกว่าหลายเท่าตัว ผมพิศมัยเงินจนลืมความตาย จึงได้กลายเป็น "นักรบนิรนาม" ตั้งแต่บัดนั้น
นาทีแรกที่ได้เข้าร่วมกระบวนการสงคราม ทหารอเมริกันได้จัดระเบียบและพัฒนาชีวิตใหม่ทั้งหมด รวมทั้งได้จับ "สาบานตน" ว่า "ไอ สะแวร์ แด็ท" พร้อมกับได้กล่าวถ้อยคำต่อตามคำประกาศของ "อนุศาสนาจารย์" อเมริกัน ที่เป็นผู้ทำหน้าที่บริหารจิตและวิญญาณในสถานการณ์สงคราม (ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์) !
ในสมรภูมินิรนาม ดังกล่าวนี้ มันได้ให้ความรู้ความสามารถ และได้พบเห็นชีวิตที่หลากหลาย รวมทั้งการปฏิบัติที่ล้ำลึกพิศดาร สิ่งนั้นก็คือ ทหารอเมริกันได้ "จัดหา"(Recruit) นักรบในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะได้แก่การ "ฉกตัวหนุ่มอีสาน แล้วปั้นเป็นนักบิน" เพื่อนที่แบกปืนร่วมรบกับผม ๕ คนกลายเป็นนักบินฝึกหัด
(๑) วรยุกต์ พิมพ์พิสุทธิ์
(๒) มณฑล สุวรรณพัฒน์
อีก ๓ คน ผมจำชื่อไม่ได้ ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ที่เพื่อน ๆ ได้ รับฝึกให้เป็นนักบินขนส่งทางอากาศ นำสัมภาระไปถีบลงให้ทหารแม้วบนภูเขา ก็นับว่าเป็น ยอดของความยิ่งใหญ่ที่ได้เป็นนักบิน ผมได้รับข่าวระแคะระคายมาว่าบางคนก้าวขึ้นไปขับ F105 บรรทุกระเบิด ไปถล่มเวียดกง
ผมมีอาการ "ดิ้นรน" อยากได้รับความก้าวหน้าเหมือนเขาบ้าง จึงพูดกับหัวหน้าของผมชื่อ "ฟุลเล่อร์" มียศเป็น "ร้อยเอก" เขาส่งเสริมผมทันที แต่แทนที่จะได้ขึ้นหอกระโดดร่ม กลับส่งผมไปเรียนวิชาคอมมิวนิสต์ กับฮูก บาราฮับ ที่เกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ ผลของการเรียนจบมาจากสถาบันแห่งนี้ ผมได้รับการเลื่อนตำแหน่ง มอบหมายหน้าที่ให้เป็น "หัวหน้า" ถ่ายเทความรู้ ความเข้าใจแก่ลาวเทิง (ลาวภูเขา) โดยเอาชีวิตเข้าร่วมรบกับทหารนิรนามที่ซำเหนือ ติดพรมแดนจีน ทุ่งไหหินและริมตะเข็บ ชายแดนลาว - กำพูชา วิฃัย ขันธ์วิชัย เพื่อนเก่าจากวัดมหาธาตุ คนบ้านหมี่ ลพบุรี ได้ข่าวว่าผมทำงานกับ ทหารนิรนาม ก็ตามไปสมัครรบ แต่ได้ร่วมรบไม่ถึง ๓ เดือน วิชัยถูกจรวดศรีษะขาด โดยมีนักรบนิรนามตายพร้อมกันในวันนั้น ๑๙ คน !
ในช่วงนั้น สถานการณ์สงครามขยายวงกว้างไปทั่วอินโดจีน เพื่อนลาวของผมชื่อ บุญมี เทพศรีเมือง ได้รับทุนจาก "เจ้าเพชรราช" เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในขณะประเทศไทยได้เปิดสนามบินขึ้นอย่างเปิดเผย เช่นสนามบินอู่ตะเภา สนามบินตาคลีสนามบินอุดร นครพนม นครราชสีมา และสนามบินจังหวัดอุบลราชธานี
ตัวผมมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นในหมู่ของพวก "นิรนาม" จึงได้รับการคัดเลือก ย้ายจากสมรภูมิ ให้ไปเป็น "ผู้ควบคุม" คลังสรรพาวุธ (AMMO) ที่สนามบิน บน. ๔ ตาคลี ใกล้กับจังหวัดชัยนาท แต่ดันไปขึ้นจังหวัดนครสวรรค์
ชีวิตที่ บน. ๔ ได้พลิกผันดวงชาตาไปอีกทิศทางหนึ่ง เพื่อน ๆ ในฐานทัพพากันได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาหลายคน เช่น "สุรัตน์ เชื้อชุ่ม" บุญชื่น อ่อนระหุ่ง ชำนาญ พิมลรัตน์ เป็นต้น
คน บน. ๔ ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมจบจาก ฮูก บาราฮับ แต่ผมก็แปลกใจอย่างยิ่งว่าทำไมนะ "ท่าน ผบ. บน. ๔" ในขณะนั้น นาวาอากาศเอก ประหยัด ดิษยะศริน ซึ่งเป็นบิดาของ คุณวีระยุทธ ดิษยะศริน จึงจ้อง จะเล่นงานผม โดยท่านกับผมถึงขั้นมีปากเสียงกัน
ท่านพูดกับผมว่า ชีวิตของคุณผมรู้ คุณทำแบบนี้ คุณจะไม่มีวันได้อยู่สะบายกับครอบครัว ขอให้เลือกทางเดินให้ถูกต้อง...ผมขอเตือนคุณด้วยความหวังดี"
ผมไม่ตอบโต้ด้วยประการทั้งปวง อย่างไรก็ตาม ผมบอกกับ ผบ. บน. ๔ ว่า "สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ทำก็คือ ไม่เอาความลับของไทยไปให้ ซีไอเอ แต่ความลับของ ซีไอเอ ผมรายงานให้ท่านจอมพลถนอมโดยตรง" ว่าแล้วผมก็ขึงขังใส่ท่านทำราวกับว่าท่านมิได้มีความสำคัญในสายตาของผมเลย
นายทหารคนหนึ่ง "นาวาอากาศเอก เฉลย วริทราคม" ได้พูดติงผมว่า คุณคือพวกนิรนาม ต้องให้เกียรติแก่ทหารประจำการ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ คำพุดแบบนี้แหละทำให้ผม "ทนฟังไม่ได้" ผมจึงรีบไปพบจอมพลถนอม กิตติขจร แล้วรายงาน (ฟ้อง) ตามความเข้าใจของผม จอมพลถนอม กิตติขจร ให้เวลา ๙ นาที แล้วแนะนำผมว่า ถ้าจะให้ผมเลือก ผมต้องเลือก ผบ. บน. ๔ คุณกลับไปทำงาน ตามหน้าที่ของคุณดีกว่านะคุณสอาด
ผมกลับตาคลีครับ พร้อมกับ "รีบ" ขนครอบครัวออกจากตาคลีภายใน ๒๔ ชั่วโมง ทั้งนี้เนื่องจาก "สุชาติ ทองแย้ม" ได้กระซิบบอกผมว่า อย่าอยู่เลย เขาเตรียมฆ่าทิ้งแล้วเพื่อน ผมเชื่อ "สุชาติ ทองแย้ม" จึงหอบลูกเมียหนีกระทันหัน ทิ้งข้าวของรวมทั้งบ้าน ๑ หลัง ส่งครอบครัวกลับห้วยแถลงอีกครั้งหนึ่ง
ตัวผมเดินทางไปทำงานที่ "บาเกียว" ฟิลิปปินส์เป็นคำรบสอง (ปี ๒๕๑๐) โดยังกินเงินเดือนของ "นักรบนิรนาม" ในอัตรา TG10
ท่านผู้อ่านขอรับ ผมเขียนเรื่องราวคล้ายกับบันทึกความจำให้ท่านได้อ่านประกอบไปเรื่อยๆ จะได้มองเห็นภาพว่า "ทางเดินของใบปลิวกู้ชาติ" ที่ผมเขียนให้อ่าน ผมไม่ได้เขียนจากความฝัน แต่ได้เขียนจากเลือดและชีวิตที่ประสบพบเห็นมาด้วยตัวเองทุกประการ
โดยมี เป้าหมายเพื่อประเทศชาติอันเป็นที่รักจะได้มีความเข้าใจระบอบประชาธิปไตย ?!
จบบทที่ ๒๕ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 26 แถลงการณ์ถึงองคามันดี
บทที่ ๒๖ ตอน : แถลงการณ์ถึงองคามันดี !(บางคน)
เรียนท่านผู้อ่าน "ใบปลิวกู้ชาติ" ที่รักทั้งหลาย ผมได้เขียน "บทความ" ส่งให้ท่านอ่าน ผ่านไปแล้ว ๒๕ บท ซึ่งผมได้ตกลงกับ คุณปิยะณัฐ ภัทรพล ว่าจะเขียนไปเรื่อย ๆ ยังไม่มีกำหนดหยุด ข้อเขียนทั้งหมด จะได้รับการแปลเป็น ภาษาอังกฤษ แต่จะยืนหยัดภาคภาษาไทยเอาไว้เป็นหลัก โดยจะมี "การอ่าน" แล้วส่งเสียงไปตามเครือข่าย [Net Work] ที่มีอยู่ ให้ท่านที่เป็นแฟนทั้งหลาย ได้อ่านและได้รับฟังด้วยครับ
ขอกราบเรียนอีกครั้งว่า ความตั้งใจอันแท้จริงในการเขียน "ใบปลิวกู้ชาติ" ก็เพื่อจะได้เป็น "ความคิดเห็น" เพื่อประโยชน์ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นประโยชน์รวม ของคนไทยทั้งชาติ
วันนี้ขอเขียนแถลงการณ์ถึง "องคามันดี(บางคน)" (บทที่ ๒๖) ซึ่งจะมีถ้อยคำแบบไหนอย่างไร ก็ขอให้ท่านอ่านดูเถิดครับ พร้อมกับโปรดพิจารณาเอาเองด้วยว่า แถลงการณ์นี้มีความเหมาะสมหรือไม่ ? หรือจะตำหนิอย่างไร เชิญได้เลยพระคุณท่าน
ขอเริ้มต้นว่า "องคามันดี" คือองค์กรสำคัญในระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข หน้าที่ขององคามันดีมีความสำคัญยิ่ง เพราะว่าองคามันดีทุกคนมีหน้าที่ "ดำเนินการ" รักษาจารีตประเพณีของประเทศให้ตั้งอยู่อย่างมั่นคง จารีตประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิม ได้แก่
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะของพสกนิกรทั้งปวง ทรงเป็นศูนย์รวมของความรัก ความศรัทธา ทรงอยู่เหนือข้อขัดแย้งด้วยประการทั้งปวง โดยมีความเกี่ยวข้องกับ "ประชาชน" หรือพสกนิกรอย่างเหนียวแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แตกแยก ไม่แบ่งฝ่าย รักษาความเป็นเอกราชและประชาธิปไตยตั้งสูงสุด อันหมายถึง ปากท้อง การมีอยู่ มีกิน มีการพัฒนาให้ทัดเทียมนานาอารยะประเทศ มีรัฐสวัสดิการ หลุดพ้นจากความยากจน ตั้งแน่ในเมืองไปจนถึงหัวเมือง
องคามันดีไม่ใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ ไม่แทรกแซงอำนาจโดยพละการกล่าวโดยรวม จารีตประเพณีที่แท้จริง ได้แก่การรักษาประชาชนให้ตั้งมั่นอยู่ใน ความรักต่อสถาบันโดยมิเสื่อมคลาย ถ้าจะมีเหตุอันจะทำให้เสื่อมคลาย จะต้อง"แก้ไข" และขยับให้เกิดความหนักแน่นต่อสถาบันพระเจ้าแผ่นดินด้วยยุทธศาสตร์ที่หลักแหลม และยุทธวิธีที่ทันสมัย อย่าปล่อยให้เกิดความหละหลวมผิดพลาด ไม่ว่ากรณีใด ๆ
ข้อความเกี่ยวกับ "จารีตประเพณี" ดังที่กล่าวมา คือจุดเริ่มต้นของแถลงการณ์ขอรับ ผมขอเขียนแถลงการณ์ต่อไปว่า "ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์มติชนฉบับเช้าวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒" มีข้อความพาดหัวตัวหนังสือขาว บนพื้นแดงว่า "องคามันดีประชุม ชี้ฎีกาไม่เหมาะสม-ขัด กม." แล้วมีการโปรยหัวรองลงมาว่า "ห่วงรุนแรง แนะแม้ว กลับประเทศ" โดยมีการเริ่มต้นของเนื้อข่าวว่า "ที่ประชุมองคามันดียัน ล่าชื่อประชาชนถวายฎีกาขอ อภัยโทษ "แม้ว" ทำไม่ได้
เรียนท่านผู้อ่าน "ใบปลิวกู้ชาติ" ที่รักทั้งหลาย ผมได้เขียน "บทความ" ส่งให้ท่านอ่าน ผ่านไปแล้ว ๒๕ บท ซึ่งผมได้ตกลงกับ คุณปิยะณัฐ ภัทรพล ว่าจะเขียนไปเรื่อย ๆ ยังไม่มีกำหนดหยุด ข้อเขียนทั้งหมด จะได้รับการแปลเป็น ภาษาอังกฤษ แต่จะยืนหยัดภาคภาษาไทยเอาไว้เป็นหลัก โดยจะมี "การอ่าน" แล้วส่งเสียงไปตามเครือข่าย [Net Work] ที่มีอยู่ ให้ท่านที่เป็นแฟนทั้งหลาย ได้อ่านและได้รับฟังด้วยครับ
ขอกราบเรียนอีกครั้งว่า ความตั้งใจอันแท้จริงในการเขียน "ใบปลิวกู้ชาติ" ก็เพื่อจะได้เป็น "ความคิดเห็น" เพื่อประโยชน์ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นประโยชน์รวม ของคนไทยทั้งชาติ
วันนี้ขอเขียนแถลงการณ์ถึง "องคามันดี(บางคน)" (บทที่ ๒๖) ซึ่งจะมีถ้อยคำแบบไหนอย่างไร ก็ขอให้ท่านอ่านดูเถิดครับ พร้อมกับโปรดพิจารณาเอาเองด้วยว่า แถลงการณ์นี้มีความเหมาะสมหรือไม่ ? หรือจะตำหนิอย่างไร เชิญได้เลยพระคุณท่าน
ขอเริ้มต้นว่า "องคามันดี" คือองค์กรสำคัญในระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข หน้าที่ขององคามันดีมีความสำคัญยิ่ง เพราะว่าองคามันดีทุกคนมีหน้าที่ "ดำเนินการ" รักษาจารีตประเพณีของประเทศให้ตั้งอยู่อย่างมั่นคง จารีตประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิม ได้แก่
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะของพสกนิกรทั้งปวง ทรงเป็นศูนย์รวมของความรัก ความศรัทธา ทรงอยู่เหนือข้อขัดแย้งด้วยประการทั้งปวง โดยมีความเกี่ยวข้องกับ "ประชาชน" หรือพสกนิกรอย่างเหนียวแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แตกแยก ไม่แบ่งฝ่าย รักษาความเป็นเอกราชและประชาธิปไตยตั้งสูงสุด อันหมายถึง ปากท้อง การมีอยู่ มีกิน มีการพัฒนาให้ทัดเทียมนานาอารยะประเทศ มีรัฐสวัสดิการ หลุดพ้นจากความยากจน ตั้งแน่ในเมืองไปจนถึงหัวเมือง
องคามันดีไม่ใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ ไม่แทรกแซงอำนาจโดยพละการกล่าวโดยรวม จารีตประเพณีที่แท้จริง ได้แก่การรักษาประชาชนให้ตั้งมั่นอยู่ใน ความรักต่อสถาบันโดยมิเสื่อมคลาย ถ้าจะมีเหตุอันจะทำให้เสื่อมคลาย จะต้อง"แก้ไข" และขยับให้เกิดความหนักแน่นต่อสถาบันพระเจ้าแผ่นดินด้วยยุทธศาสตร์ที่หลักแหลม และยุทธวิธีที่ทันสมัย อย่าปล่อยให้เกิดความหละหลวมผิดพลาด ไม่ว่ากรณีใด ๆ
ข้อความเกี่ยวกับ "จารีตประเพณี" ดังที่กล่าวมา คือจุดเริ่มต้นของแถลงการณ์ขอรับ ผมขอเขียนแถลงการณ์ต่อไปว่า "ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์มติชนฉบับเช้าวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒" มีข้อความพาดหัวตัวหนังสือขาว บนพื้นแดงว่า "องคามันดีประชุม ชี้ฎีกาไม่เหมาะสม-ขัด กม." แล้วมีการโปรยหัวรองลงมาว่า "ห่วงรุนแรง แนะแม้ว กลับประเทศ" โดยมีการเริ่มต้นของเนื้อข่าวว่า "ที่ประชุมองคามันดียัน ล่าชื่อประชาชนถวายฎีกาขอ อภัยโทษ "แม้ว" ทำไม่ได้
ท่านองคามันดีทั้งหลายขอรับ ขอให้ท่านจงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอ่าน "แถลงการณ์" ฉบับนี้ด้วยการให้ความสำคัญ อย่าคิดว่าแถลงการณ์ประเภทนี้ มันคือศัตรูของพวกท่าน
ผมขอกล่าวว่า หน้าที่ของพวกท่าน คือผู้รักษาจารีตประเพณี "ประเทศ และสถาบันพระมหากษัตริย์" ให้มี ความผูกพันเป็นโซ่เงินโซ่ทอง เป็นโซ่แห่งความรัก มิใช่โซ่แห่งความเกลียดชัง
ท่านจะต้องมีคณะทำงาน (สายลับ) คอยสดับรับฟังจากทุกสารทิศ อย่าปล่อย ให้เกิดหนอนบ่อนใส้ ไม่ว่ากรณีใดๆ
พวกท่านจะต้องคำนึงถึงองค์รัชทายาทจากรัชกาลไปสู่รัชกาลโดยไม่มีที่สิ้นสุดจะต้อง "สื่อ" ความผูกพันให้สวยสดงดงามตลอดกาล
ในสิ่งที่ผมได้กล่าวมา พวกท่านได้ "ทำลาย" ความมั่นคงของสถาบันด้วยมือของท่านเอง โดย ฯพณฯ พลเอก Sensor (หงอก) ...... องคามันดี...มิได้แสดงตนอยู่ในความเป็นกลาง เมื่อเกิดกรณีข้อขัดแย้งขึ้นมา (เสื้อเหลืองกับเสื้อแดง)พลเอก พลเอก Sensor (หงอก) ไม่อาจทำหน้าที่แยกคน ๒ ฝ่ายออกจากการทะเลาวิวาทกันได้
ตรงกันข้าม ท่านกลายเป็นฝ่ายเสื้อเหลือง และเห็นเสื้อแดงเป็นศัตรู ทำให้คน ๒ กลุ่ม ฮึ่มฮั่มจะฆ่ากันให้ได้ มิใช่แต่เท่านั้น เมื่อกลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช้เวทีในทำเนียบรัฐบาล ยกย่องพวกเสื้อเหลืองว่าเป็น"ผู้ปกป้องสถาบัน" แล้วกล่าวหา "คนเสื้อแดง" ว่าเป็นภัยต่อสถาบันอย่างร้ายแรง จนกลายเป็นข้อขัดแย้งบานปลาย
ไม่ปรากฏว่า พลเอก Sensor (หงอก) ได้ออกมาห้ามปราม ตรงกันข้าม ดูเหมือนว่ายิ่งเข้าข้างทำให้พวก "เสื้อเหลือง" ฮึกเหิม ได้ใจ แล้วพากันอาละวาด สนั่นเมืองจนกลายอัน "อันธพาลใหญ่" ไล่ทุบตีผู้คนตามใจชอบ
มิใช่แต่เท่านี้ ยังมีอีกเรื่อง กล่าวคือ เมื่อ "นาย Sensor (เทือก) " ในฐานะรอง............. ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ได้ใช้เวที "รัฐสภา" กล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิปบดี ก็ได้มีองคามันดีอีกท่านหนึ่งออกมาขย่มตาม ด้วยการ กล่าวหาในถ้อยคำที่เหมือนกัน อันเป็นปมแห่ง ข้อขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งกว่าศาลพิพากษาให้จำคุก ๒ ปี เสียด้วยซ้ำ
ที่ว่ารุนแรงก็เพราะว่าการกล่าวหาในครั้งนี้ ได้ทำให้คนเสื้อแดงอีก ๑๙ ล้านคน หรืออาจมากกว่านี้ พากันเข้าข้าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ตัวเลขคนเข้าข้าง ท่านนายกทักษิณ ดูได้จากการจัดงานวันคล้ายวันเกิด ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ที่วัด ที่บ้าน ที่โรงเรียน สโมสร และแต่ละครัวเรือน พากัน "ทำพิธีสงฆ์" ยิ่งใหญ่ อย่างไม่เคยมีมาก่อน อันเป็น "ตัวเลข" ที่คาดเดาได้ไม่ยากเลย
สิ่งที่ผมกล่าวมานี้ เมื่อพิเคราะถึง "เนื้อหา" อันแท้จริงแล้ว จะพบว่า สถาบันของประเทศชาติ ระหว่างพระเจ้าแผ่นดินกับประชาชน เกิดความบาดหมางกัน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย สุดจะยับยั้งเอาไว้ได้
ถามว่าเรื่องอันชั่วร้ายนี้เกิดจากใคร ใครเป็นคนก่อขึ้น
ขอถามต่อว่า "พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" ได้กระทำอะไรอันเป็นเครื่องหมายว่าจะเป็นประธานาธิบดี
และถามต่อไปว่า มีหลักฐานหรือไม่ ถ้ามีทำไมไม่ตั้งข้อหาแล้วจับตัว ส่งศาล แต่ถ้าไม่มีหลักฐาน แล้วกล่าวหาออกมาทำไม
คำถามง่ายๆแบบนี้ ผมจึงสรุปเอาเองว่า "องคามันดี ทั้งคณะดำเนินนโยบายผิดพลาด รัฐบาลพรรคมะแลงสาบ กับ องคามันดี เป็นแนวร่วมของกันและกัน"
ทำให้ผมสรุปได้มากไปกว่านี้ องคามันดี ทั้งคณะมิได้มีความ "จงรักภักดี" ดังที่ได้พากันเอ่ยปากออกมา
ถ้าพวกท่าน มีความจงรักภักดี ย่อมจะเอาใจใส่ต่อ "จารีตประเพณี" อย่างทันสมัยที่สุด โดยไม่เอาแนวทางเผด็จการและป่าเถื่อนมาใช้ในการระดมความรักจากประชาชน
เรื่องเดียวกันนี้ ผมมีความเห็นไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย พวกเขาถูกม่านบังตาจนมืดบอด มองไม่เห็นแสงสว่าง แล้วพากัน "ดาหน้า" ออกมาขัดขวางการถวายฎีกา
องคามันดีทำไมไม่รีบ "อุ้มรับ" เอาถวายฎีกาขึ้นไปกราบบังคมทูล พวกท่านออกมาขัดขวางทำไม ถ้าพวกท่านรีบขานรับแล้วพากันกราบบังคมทูลว่าบ้านเมืองจะสงบ แผ่นดินจะร่มเย็น พระบารมีจะแผ่ไพศาล แล้วพากันป่าวประกาศแก่ประชาชน ว่าพระเจ้าแผ่นดินกับประชาชนเปรียบเสมือน "ปลากับน้ำ" ปลาขาดน้ำไม่ได้ แต่ปลานั้น ถ้าไม่มีน้ำ ปลาตายแน่
ผมจึงขอส่ง "แถลงการณ์" นี้ถึง องคามันดี ด้วยความเชื่อว่าพวกท่านยังเป็นคนไทยแท้ที่มี ความจงรักภักดี พวกท่านมีหน้าที่ตามจารีตประเพณี พวกท่านจะพากัน รักษาสถาบันให้มั่นคง หรือว่าจะเป็น "ผู้วางแผน" ทำให้สถาบันผุกร่อนเสียเอง อยู่ที่ตัวของพวกท่านทั้งหมด
ท้ายที่สุดนี้ ผมมีความเชื่อว่าพวกท่านรู้ดีว่าสังคมไทยเป็นเช่นไร รู้ดีว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรู
แต่พวกท่านทำประหนึ่งไม่รู้อะไรเลย ผมจึงอ่านว่า "องคามันดีบางคน" คือตัวการ หวังจะล้มเจ้า จึงโหมให้ประชาชนตีกัน จะได้เกิดเรื่องร้ายแรง
จึงขอส่งแถลงการณ์นี้ผ่านประชาชน ถึงองคามันดีทุกท่าน ! พร้อมกับขอส่งต่อไปยัง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็น กอ. รมน. หรือสภาความมั่นคงใดๆ ก็ตาม ถ้าท่านคือคนรักชาติ รักสถาบัน ท่านต้องรีบอุ้มรับเอาฎีกา ไปกราบบังคมทูล
มิใช่ พากันออกมา "ขัดขวาง" จนคนที่เขาถวายฎีกาเกิดความรู้สึกว่า ประเทศไทยไร้มาตรฐาน ไร้ความเป็นธรรมทุกหย่อมหญ้าฯ !
จบบทที่ ๒๖ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 27 สันดานคนไทย ไม่กระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าแผ่นดิน
บทที่ ๒๗ สันดานคนไทย ไม่กระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าแผ่นดิน ?!!
ท่านผู้อ่านคงได้พบเห็น "ใบปลิวกู้ชาติ" ในบทที่ ๒๖ แล้วใช่ไหมครับ วันนี้..ขอให้ท่านเสียเวลาอ่าน "บทที่ ๒๗" ในชื่อสันดานคนไทย ไม่กระด้างกระเดื่อง ต่อพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งนี้เพื่อจะให้ท่านได้ "ค้นหา" สันดานของคนไทยที่แท้จริงเป็นเช่นไร
ผมขอกล่าวว่า สันดานของคนไทยนั้น เป็นคนกลัวผี วิตกกังวลว่าจะถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษ จึงพากันกราบไหว้ สิ่งที่เป็นของสูงตั้งแต่วันตั้งชาติมาจนถึงวันนี้ยังไม่เลิกกราบไหว้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนไทยโดยสายเลือด กราบไหว้พระพุทธเจ้า และกราบไหว้เทพ เทวดา ท่านท้าวมหาพรหม และดวงวิญญาณของบิดา-มารดา ปู่ย่า ตาทวด ตลอดทั้ง ผีบ้าน ผีเรือน พระภูมิเจ้าที่ และเทพารักษ์ทั้งหลาย รวมทั้งพากันกราบไหว้ผีป่า ผีเร่ร่อนพเนจร โดยมิได้มีความลังเลแต่ประการใด
คนไทยนอจากจะมีสันดานกลัวผีแล้ว คนไทยยังเป็นคน "สันดานดี"มีความ เข้าใจในจารีตประเพณี เป็นคนดี ทำบุญใส่บาตร กราบไหว้พระสงฆ์ กราบไหว้ผู้มีพระคุณ กราบไหว้องค์พระประมุขของชาติ รวมถึงการกราบไหว้องค์รัชทายาท เสมอเหมือนพระเจ้าแผ่นดินของตน
กล่าวโดยรวมหมายถึงสันดานของคนไทย ต่างเป็นคนดีโดยสายเลือด ไม่กระด้างกระเดื่องต่อองค์พระประมุขไม่ว่ากรณีใด ๆ โดยเฉพาะคือ "คนไทยรากหญ้า" ทั้งหลายล้วนแต่เป็นผู้ที่เทิดทูลพระเจ้าอยู่หัว โดยพากันถือว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นของสูง เคารพกราบไหว้เอาไว้จะได้รับความเจริญ มีโชคมีลาภนำความปลอดภัยมาให้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องหมายของสันดานไทยอันเป็นสันดานที่ดี
แต่แล้ว จู่ ๆ ก็มี "ชนชั้นสูง" พวกนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ และพวกที่อยู่ในฐานะเป็น "องคมนตรีบางคน" ได้เทน้ำมันเชื้อเพลิงลงบนศรีษะของประชาชนแล้วจุดไฟเผา กล่าวหา "คนเสื้อแดง" เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นพวกไม่รักเจ้า ไม่มีความจงรักภักดี หลังจากนั้น ก็พากัน "กระหน่ำแล้วกระหน่ำอีก" ใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงแบบเหมารวมไปจนหมด ทำให้คนเสื้อแดง นับแสน นับล้าน กลายเป็นคนไม่รักเจ้า
ในขณะเดียวกันความตายของ "น้องโบว์" คนเดียวกลายเป็นผู้ปกป้องสถาบัน ทำให้เกิดภาพของการแบ่งแยกอย่างใหญ่หลวง คนไทยที่เคยมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นศูนย์รวมของความรัก ความสามัคคี กลายเป็นว่า มีแต่คนเสื้อเหลืองเท่านั้น ที่รักเจ้ามากกว่า คนเสื้อแดง ล้วนแต่ตกเป็นจำเลยว่าไม่รักเจ้า ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมอยากกราบเรียนเรื่องส่วนตัวของผมว่า ตัวผมนั้นกราบไหว้พระพุทธรูปปางต่าง ๆ หมอบคลานในพระอุโบสถ และหมอบคลาน กราบไหว้พระสงฆ์โดยไม่เลือกว่าเป็นพระธรรมดา หรือพระเกจิ หากมีรูปปั้นของพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลก่อน ๆ ตั้งอยู่ข้างหน้าก็จะกราบไหว้ ด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์
กล่าวโดยสรุป นิสัยและสันดานไม่เคยลืมสิ่งที่เป็น "จารีตประเพณี" ไม่ว่ากรณีใด ๆ แต่แล้ว...ครั้นมาถึงวันนี้ พวกพันธมิตร - พันธมาร รวมทั้งพวกพรรค ประชาธิปัตย์และองคมนตรี ได้กระทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคม ความขัดแย้งนั้น มิใช่เป็นข้อขัดแย้ง "ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคไทยรักไทย" แต่มันเป็นการ "ปั้นน้ำเป็นตัว" ปั้น นาย Sensor (เทือก) และ พลเอก Sensor (หงอก) เท่านั้นที่เป็นคนรักเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด แล้ว...ทุบ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรและคนเสื้อแดง ว่าเป็นภัยต่อสถาบัน มันเลยกลายเป็นความขัดแย้ง "ประชาชน กับ สถาบัน"
มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสันดานคนไทยไม่เคยกระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าแผ่นดิน แต่ได้มี "พวกเผด็จการ" พยายามที่จะทำให้คนไทย กลายเป็นคนกระด้างกระเดื่องต่อองค์พระประมุข
ท่านครับ ผมไม่อยากเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดกับประเทศไทย แต่มันได้เกิดขึ้นแล้ว โดยมีสื่อกระแสหลัก (น.ส.พ. วิทยุ โทรทัศน์) ช่วยกันโหมเสนอข่าวในทำนอง คนเสื้อแดงมีความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง แล้วยกย่องพวกเสื้อเหลืองว่าเป็นคนดี จะนำการเมืองใหม่มาให้ การกระทำทั้งหมด ได้ก่อให้ความขัดแย้งที่บั่นทอนความมั่นคง เพราะมันเป็นการกระทำเพื่อให้ "พสกนิกร บาดหมางกับองค์พระมหากษัตริย์" หรือกล่าวกันให้ชัดหมายถึง ได้มีการกระทำให้ "ประชาชน เป็นศัตรูกับสถาบันเบื้องสูง" ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่ายุคใดสมัยใด
ผมขอกล่าวว่า จากสิ่งที่ผมได้ไปพบเห็นมา ทั้งจากภาคเหนือ และภาคอีสานมันมิใช่ความขัดแย้ง "ทางการเมือง" ไม่ว่าจะเป็นการเมืองส่วนท้องถิ่น หรือการเมืองระดับชาติ คำว่าความขัดแย้งทางการเมือง มันคือ "คำโกหก" ที่พวกไม่หวังดีพากันแต้มแต่งขึ้นมา ผมได้พบว่าความขัดแย้งที่แท้จริง ได้แก่ ความขัดแย้งในระบอบกษัตริย์
ท่านครับ ผมแทบช็อคต่อสิ่งที่ได้พบเห็น ผมนึกไม่ถึงว่าประชาชนจะพากันก้าวร้าวเช่นนั้น เพราะว่า "สันดาน"ของคนไทยไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ว่ากรณีใด ๆ แต่สิ่งที่ เกิดขึ้นเกิดจากการบีบคั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม สิ่งที่เอามา "บีบคั้น" อย่างรุนแรง ได้แก่ การขึ้นป้ายปกป้อง สถาบัน สงบ สันติ สามัคคี ที่รัฐบาลทำขึ้นเพื่อข่มขู่คนเสื้อแดง
การชักชวนให้คนไทยปกป้องสถาบัน ดังที่กำลังทำอยู่ มันกลายเป็นการทำลายความรู้สึก ที่เคยมีแต่ความงดงาม ให้เกิดความเศร้าหมองขึ้นมาในดวงจิต ป้ายที่มีถ้อยคำว่า "ปกป้อง" สถาบัน ได้กลายเป็นป้ายของความหดหู่ คนเสื้อแดงถือว่าเป็นป้ายจัญไร ผมวิ่งรถผ่านป้ายเหล่านั้นไปในพื้นที่หลายจังหวัด ทั้งภาคเหนือ อีสาน และภาคใต้ ป้ายที่ เขียนถ้อยคำเช่นนี้ มันไม่ได้สร้างความรัก ให้แก่ประชาชนเลย ผมเกิดความสงสัยว่า ทางรัฐบาล (พรรคมะแลงสาบ) สติปัญญามีอยู่หรือเปล่า ถ้ามี...ทำไมไม่ส่ง "สายลับ" ไปแสวงหาข้อมูลจากหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอต่างๆ ว่าประชาชนทั้งหลายเขาพูดจากันว่าอย่างไร หรือว่าพวกนั้นรู้แล้วแทนที่จะหาทางแก้ กลับพากัน "ขย่ม" ให้ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น ใช่ไหม ?
ท่านครับ ผมยังคงยืนยัน สันดานคนไทยไม่ใช่คนที่จะกระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ว่ากรณีใด ๆ แต่วันนี้ สันดานคนไทยมันเป็นอะไรไป ทำไมมันจึงเป็นเยี่ยงนี้ไปได้ ผมมีคำถามเช่นนี้อย่างร้อนแรงที่สุด ?!
คำถามของผมที่นำเสนอใน "ใบปลิวกู้ชาติ" อาจจะปลิวไปไม่ไกล เพราะว่าสื่อกระแสหลักไม่ให้ความสนใจ แต่ผมจะแปลเป็น ๔ - ๕ ภาษา แล้วส่งออกไปทั่วโลก ผมจะบอกต่อชาวโลกว่า "พรรคมะแลงสาบ เป็นตัวการวางแผนล้มเจ้า" พร้อมกับ จะขอเชิญชวนให้มีการ "สืบสวน - สอบสวน" ว่าตัวการที่ต้องการล้มล้างระบอบการปกครอง เปลี่ยนจากกษัตริย์ ไปเป็นประธานาธิปบดี คือใครกันแน่
ใครกันแน่ "ที่สันดานเสีย" คิดจะล้มพระเจ้าแผ่นดิน ?!
ผมยังขอยืนยันว่า คนไทยไม่มีสันดานกระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าแผ่นดิน โดยเฉพาะ คือประชาชนคนรากหญ้า เขาจะกระด้างกระเดื่องไปทำไม กระด้างกระเดื่อง แล้วจะได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน
ตรงกันข้าม มีแต่จะถูกกล่าวหาให้เจ็บใจ คนรากหญ้าจึงมิใช่คนที่คิดจะล้มเจ้า แต่คนที่คิดจะ "ล้มเจ้า" พวกนั้น ผมว่านั่งเล่นเกมอยู่บนหอคอยงาช้าง โดยใช้มือสองข้าง จับจิ้งหรีดมาปั่น แล้วปล่อยให้กัดกัน
เมื่อคนไทย "ตีกันยับ" เมื่อใด เมื่อนั้นแล มันจะเข้าทางปืนของพวกต้องการล้มเจ้า ?!!
จบบทที่ ๒๗ / สอาด จันทร์ดี
ท่านผู้อ่านคงได้พบเห็น "ใบปลิวกู้ชาติ" ในบทที่ ๒๖ แล้วใช่ไหมครับ วันนี้..ขอให้ท่านเสียเวลาอ่าน "บทที่ ๒๗" ในชื่อสันดานคนไทย ไม่กระด้างกระเดื่อง ต่อพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งนี้เพื่อจะให้ท่านได้ "ค้นหา" สันดานของคนไทยที่แท้จริงเป็นเช่นไร
ผมขอกล่าวว่า สันดานของคนไทยนั้น เป็นคนกลัวผี วิตกกังวลว่าจะถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษ จึงพากันกราบไหว้ สิ่งที่เป็นของสูงตั้งแต่วันตั้งชาติมาจนถึงวันนี้ยังไม่เลิกกราบไหว้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนไทยโดยสายเลือด กราบไหว้พระพุทธเจ้า และกราบไหว้เทพ เทวดา ท่านท้าวมหาพรหม และดวงวิญญาณของบิดา-มารดา ปู่ย่า ตาทวด ตลอดทั้ง ผีบ้าน ผีเรือน พระภูมิเจ้าที่ และเทพารักษ์ทั้งหลาย รวมทั้งพากันกราบไหว้ผีป่า ผีเร่ร่อนพเนจร โดยมิได้มีความลังเลแต่ประการใด
คนไทยนอจากจะมีสันดานกลัวผีแล้ว คนไทยยังเป็นคน "สันดานดี"มีความ เข้าใจในจารีตประเพณี เป็นคนดี ทำบุญใส่บาตร กราบไหว้พระสงฆ์ กราบไหว้ผู้มีพระคุณ กราบไหว้องค์พระประมุขของชาติ รวมถึงการกราบไหว้องค์รัชทายาท เสมอเหมือนพระเจ้าแผ่นดินของตน
กล่าวโดยรวมหมายถึงสันดานของคนไทย ต่างเป็นคนดีโดยสายเลือด ไม่กระด้างกระเดื่องต่อองค์พระประมุขไม่ว่ากรณีใด ๆ โดยเฉพาะคือ "คนไทยรากหญ้า" ทั้งหลายล้วนแต่เป็นผู้ที่เทิดทูลพระเจ้าอยู่หัว โดยพากันถือว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นของสูง เคารพกราบไหว้เอาไว้จะได้รับความเจริญ มีโชคมีลาภนำความปลอดภัยมาให้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องหมายของสันดานไทยอันเป็นสันดานที่ดี
แต่แล้ว จู่ ๆ ก็มี "ชนชั้นสูง" พวกนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ และพวกที่อยู่ในฐานะเป็น "องคมนตรีบางคน" ได้เทน้ำมันเชื้อเพลิงลงบนศรีษะของประชาชนแล้วจุดไฟเผา กล่าวหา "คนเสื้อแดง" เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นพวกไม่รักเจ้า ไม่มีความจงรักภักดี หลังจากนั้น ก็พากัน "กระหน่ำแล้วกระหน่ำอีก" ใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงแบบเหมารวมไปจนหมด ทำให้คนเสื้อแดง นับแสน นับล้าน กลายเป็นคนไม่รักเจ้า
ในขณะเดียวกันความตายของ "น้องโบว์" คนเดียวกลายเป็นผู้ปกป้องสถาบัน ทำให้เกิดภาพของการแบ่งแยกอย่างใหญ่หลวง คนไทยที่เคยมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นศูนย์รวมของความรัก ความสามัคคี กลายเป็นว่า มีแต่คนเสื้อเหลืองเท่านั้น ที่รักเจ้ามากกว่า คนเสื้อแดง ล้วนแต่ตกเป็นจำเลยว่าไม่รักเจ้า ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมอยากกราบเรียนเรื่องส่วนตัวของผมว่า ตัวผมนั้นกราบไหว้พระพุทธรูปปางต่าง ๆ หมอบคลานในพระอุโบสถ และหมอบคลาน กราบไหว้พระสงฆ์โดยไม่เลือกว่าเป็นพระธรรมดา หรือพระเกจิ หากมีรูปปั้นของพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลก่อน ๆ ตั้งอยู่ข้างหน้าก็จะกราบไหว้ ด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์
กล่าวโดยสรุป นิสัยและสันดานไม่เคยลืมสิ่งที่เป็น "จารีตประเพณี" ไม่ว่ากรณีใด ๆ แต่แล้ว...ครั้นมาถึงวันนี้ พวกพันธมิตร - พันธมาร รวมทั้งพวกพรรค ประชาธิปัตย์และองคมนตรี ได้กระทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคม ความขัดแย้งนั้น มิใช่เป็นข้อขัดแย้ง "ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคไทยรักไทย" แต่มันเป็นการ "ปั้นน้ำเป็นตัว" ปั้น นาย Sensor (เทือก) และ พลเอก Sensor (หงอก) เท่านั้นที่เป็นคนรักเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด แล้ว...ทุบ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรและคนเสื้อแดง ว่าเป็นภัยต่อสถาบัน มันเลยกลายเป็นความขัดแย้ง "ประชาชน กับ สถาบัน"
มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสันดานคนไทยไม่เคยกระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าแผ่นดิน แต่ได้มี "พวกเผด็จการ" พยายามที่จะทำให้คนไทย กลายเป็นคนกระด้างกระเดื่องต่อองค์พระประมุข
ท่านครับ ผมไม่อยากเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดกับประเทศไทย แต่มันได้เกิดขึ้นแล้ว โดยมีสื่อกระแสหลัก (น.ส.พ. วิทยุ โทรทัศน์) ช่วยกันโหมเสนอข่าวในทำนอง คนเสื้อแดงมีความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง แล้วยกย่องพวกเสื้อเหลืองว่าเป็นคนดี จะนำการเมืองใหม่มาให้ การกระทำทั้งหมด ได้ก่อให้ความขัดแย้งที่บั่นทอนความมั่นคง เพราะมันเป็นการกระทำเพื่อให้ "พสกนิกร บาดหมางกับองค์พระมหากษัตริย์" หรือกล่าวกันให้ชัดหมายถึง ได้มีการกระทำให้ "ประชาชน เป็นศัตรูกับสถาบันเบื้องสูง" ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่ายุคใดสมัยใด
ผมขอกล่าวว่า จากสิ่งที่ผมได้ไปพบเห็นมา ทั้งจากภาคเหนือ และภาคอีสานมันมิใช่ความขัดแย้ง "ทางการเมือง" ไม่ว่าจะเป็นการเมืองส่วนท้องถิ่น หรือการเมืองระดับชาติ คำว่าความขัดแย้งทางการเมือง มันคือ "คำโกหก" ที่พวกไม่หวังดีพากันแต้มแต่งขึ้นมา ผมได้พบว่าความขัดแย้งที่แท้จริง ได้แก่ ความขัดแย้งในระบอบกษัตริย์
ท่านครับ ผมแทบช็อคต่อสิ่งที่ได้พบเห็น ผมนึกไม่ถึงว่าประชาชนจะพากันก้าวร้าวเช่นนั้น เพราะว่า "สันดาน"ของคนไทยไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ว่ากรณีใด ๆ แต่สิ่งที่ เกิดขึ้นเกิดจากการบีบคั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม สิ่งที่เอามา "บีบคั้น" อย่างรุนแรง ได้แก่ การขึ้นป้ายปกป้อง สถาบัน สงบ สันติ สามัคคี ที่รัฐบาลทำขึ้นเพื่อข่มขู่คนเสื้อแดง
การชักชวนให้คนไทยปกป้องสถาบัน ดังที่กำลังทำอยู่ มันกลายเป็นการทำลายความรู้สึก ที่เคยมีแต่ความงดงาม ให้เกิดความเศร้าหมองขึ้นมาในดวงจิต ป้ายที่มีถ้อยคำว่า "ปกป้อง" สถาบัน ได้กลายเป็นป้ายของความหดหู่ คนเสื้อแดงถือว่าเป็นป้ายจัญไร ผมวิ่งรถผ่านป้ายเหล่านั้นไปในพื้นที่หลายจังหวัด ทั้งภาคเหนือ อีสาน และภาคใต้ ป้ายที่ เขียนถ้อยคำเช่นนี้ มันไม่ได้สร้างความรัก ให้แก่ประชาชนเลย ผมเกิดความสงสัยว่า ทางรัฐบาล (พรรคมะแลงสาบ) สติปัญญามีอยู่หรือเปล่า ถ้ามี...ทำไมไม่ส่ง "สายลับ" ไปแสวงหาข้อมูลจากหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอต่างๆ ว่าประชาชนทั้งหลายเขาพูดจากันว่าอย่างไร หรือว่าพวกนั้นรู้แล้วแทนที่จะหาทางแก้ กลับพากัน "ขย่ม" ให้ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น ใช่ไหม ?
ท่านครับ ผมยังคงยืนยัน สันดานคนไทยไม่ใช่คนที่จะกระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ว่ากรณีใด ๆ แต่วันนี้ สันดานคนไทยมันเป็นอะไรไป ทำไมมันจึงเป็นเยี่ยงนี้ไปได้ ผมมีคำถามเช่นนี้อย่างร้อนแรงที่สุด ?!
คำถามของผมที่นำเสนอใน "ใบปลิวกู้ชาติ" อาจจะปลิวไปไม่ไกล เพราะว่าสื่อกระแสหลักไม่ให้ความสนใจ แต่ผมจะแปลเป็น ๔ - ๕ ภาษา แล้วส่งออกไปทั่วโลก ผมจะบอกต่อชาวโลกว่า "พรรคมะแลงสาบ เป็นตัวการวางแผนล้มเจ้า" พร้อมกับ จะขอเชิญชวนให้มีการ "สืบสวน - สอบสวน" ว่าตัวการที่ต้องการล้มล้างระบอบการปกครอง เปลี่ยนจากกษัตริย์ ไปเป็นประธานาธิปบดี คือใครกันแน่
ใครกันแน่ "ที่สันดานเสีย" คิดจะล้มพระเจ้าแผ่นดิน ?!
ผมยังขอยืนยันว่า คนไทยไม่มีสันดานกระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าแผ่นดิน โดยเฉพาะ คือประชาชนคนรากหญ้า เขาจะกระด้างกระเดื่องไปทำไม กระด้างกระเดื่อง แล้วจะได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน
ตรงกันข้าม มีแต่จะถูกกล่าวหาให้เจ็บใจ คนรากหญ้าจึงมิใช่คนที่คิดจะล้มเจ้า แต่คนที่คิดจะ "ล้มเจ้า" พวกนั้น ผมว่านั่งเล่นเกมอยู่บนหอคอยงาช้าง โดยใช้มือสองข้าง จับจิ้งหรีดมาปั่น แล้วปล่อยให้กัดกัน
เมื่อคนไทย "ตีกันยับ" เมื่อใด เมื่อนั้นแล มันจะเข้าทางปืนของพวกต้องการล้มเจ้า ?!!
จบบทที่ ๒๗ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 28 ทหารระวัง จะกลายเป็นเครื่องมือจับประชาชนเป็นศัตรูกับเจ้า
บทที่ ๒๘ ตอน ทหารระวัง จะกลายเป็นเครื่องมือ จับประชาชน เป็นศัตรูกับเจ้า ?!
ท่านผู้อ่านที่รักครับ...ท่านอ่าน "ใบปลิวกู้ชาติ" บทที่ ๒๗ แล้วใช่ไหมครับวันนี้ขอให้ตั้งใจอ่านบทที่ ๒๘ ต่อจากเมื่อวาน เมื่ออ่านแล้ว ขอความกรุณาบอกต่อไปยังทหาร ตำรวจ และข้าราชการทั้งหลาย "ให้ได้รับรู้ว่าโดยพลันด้วยเถิดว่า"ขณะนี้ได้มีบุคคล กลุ่มหนึ่ง พยายามที่จะจับประชาชน หรือ "ปลุกปั่น" ประชาชน ให้เกิดความเกลียดชังสภาพสังคมไทยในปัจจุบันภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุข ..?!! บุคคลกลุ่มนั้น ได้แก่พรรคมะแลงสาบ และพันธมิตรสันติอโศก และองคมันดีบางคน
ซึ่งผมได้เล่าถึงความเชื่อและความรู้สึกไปแล้วว่า คนเหล่านั้น คือ "ตัวการล้มเจ้า" โดยพากันทำงานในลักษณะ "แนวร่วมมุมกลับ" อันหมายถึงตัวเองแสดงตนว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี แล้วกล่าวหาคนอื่นว่าเป็นภัยต่อสถาบัน
วันนี้ ผมอยากเขียนถึง "ทหาร หรือกองทัพแห่งชาติ" ด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่งผมวิตกกังวลว่าทหารจะตกเป็นเครื่องมือของอำมาตย์ใหญ่ "กลายเป็นผู้จับประชาชนให้ ปะทะกับสถาบันเบื้องสูง" ทั้งนี้เนื่องจากผมได้สังเกตุเห็นชัดเจนว่า กองทัพทั้งกองทัพ"ตกอยู่ใต้ อำนาจลึกลับ"
ซึ่งประชาชนคนไทยตระหนักดีว่าเจ้าของอำนาจลึกลับที่ว่านั้นได้แก่ อำนาจที่ แผ่รังษีมาจาก "พลเอก sensor " ! ประธาน องคา..sensor.....
ผมขอกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ข้อเขียนที่ "พาดพิง พลเอก sensor ..sensor" อย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ มิใช่เป็นการแสดงความเป็นศัตรู หากแต่เมื่อจะเขียนให้เห็นข้อเท็จ จริงอย่างแท้จริง ก็ไม่อาจละเว้นนามอันยิ่งใหญ่ของพลเอก sensor ได้
เรื่องมีอยู่ว่า "ทหารหรือกองทัพแห่งชาติ มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองประเทศให้มีความปลอดภัยทั้งในยามสงครามและยามสงบ
ประการสำคัญ ทหารมีหน้าที่โดยตรงที่จะรักษา ความมั่นคงให้แก่สถาบันชาติ ศาสนา และ สถาบันพระมหากษัตริย์
วิธีการรักษาที่เหมาะสมและดีที่สุดได้แก่การรักษาสภาวะจิตใจของประชาชน ให้ตั้งมั่นอยู่ในจารีตประเพณี มีหัวใจที่ยึดเหนี่ยวและผูกมัดอยู่กับชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์
อันหมายถึง "ทหารหรือกองทัพแห่งชาติ" จะไม่ตกเป็นเครื่งมือของใคร จะไม่เข้าร่วมกับ "บุคคลผู้ใด" กระทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในประเทศไทย
การที่ทหารในนามกองทัพแห่งชาติ ขึงขังออกมารับฟังคำสั่งจากเจ้าของอำนาจลึกลับ ดังตัวอย่างกรณีการยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ถือได้ว่า ทหารได้ตกเป็นเหยื่อ รังสีอัมหิต ของเจ้าของอำนาจลึกลับ
นับแต่บัดนั้นก็ได้ตกเป็นเหยื่ออีกหลายเรื่อง ทำให้ข้อขัดแย้งอ่อน ๆ ที่เพิ่งจะฟักตัว กลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงขึ้นทุกที
ผมขอกล่าวว่าเบื้องแรกมันเป็นข้อขัดแย้งที่วางอยู่บนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่ต่อมามันได้ก้าวจาก "ทักษิณ" เป็นข้อขัดแย้งใหม่ พ่วงเอามวลชนคนเสื้อแดงนับล้านเข้ามาเป็นรากฐานของความขัดแย้งอีกด้วย
ต่อมา พวกพันธมิตร ได้เปิดประเด็นว่า "เสื้อเหลือง" คือคนรักพระเจ้าแผ่นดิน แล้วใส่ ความ "คนเสื้อแดง" ว่าเป็นภัยต่อระบอบการปกครอง
มันได้ขยับข้อขัดแย้งจากทักษิณขึ้นไปสู่ "สถาบัน" ตั้งแต่บัดนั้น เท่านั้นยังไม่พอนาย sensor (เทือก) ช่วยตอกย้ำมากกว่านั้น พลเอก Semsor
บิ๊กเสีย องคมนตรีบางคน ได้แบกฆ้อน ๑๐ ปอนด์มาตอกหัวตะปู ตามด้วยนักวิชาการ "สายมาร" ช่วยตอกย้ำเข้าไปอีก
และยังตามไปด้วย "สื่อเผด็จการ" พากันถือ "ปากกาเขียนด่าเพิ่มเติม" เป็นการ ตอกเข็มหมุดให้จมลึกลงไป
สถานการณ์ความขัดแย้งพวกนั้น ยกระดับขึ้นสู่ "เป็นภัยต่อสถาบัน" หรือกล่าวให้ชัด หมายถึงสังคมไทยได้ยัดเยียดให้คนเสื้อแดง เป็นศัตรูกับพระเจ้าแผ่นดิน
ท่านเอ๋ย...ผมขอกราบเรียนว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทย มันกำลังจะกลายเป็น ยาพิษมหาวินาศ ที่จะก่อให้เกิดความสั่นคลอนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกหมู่เหล่า
แต่ก็มีคำถามว่า "ไหนว่าเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกหมู่เหล่า" แล้วเหตุไฉนจึงมีพวกเป็นภัยต่อสถาบันพระเจ้าแผ่นดินด้วยเล่า ?
คำตอบก็คือ มันเกิดมาจาก "การจับคนไทยในชาติให้ปะทะกันเอง" โดยพวกหนึ่งเชียร์สุดลิ่มทิ่มประตู ยืนอยู่ข้างคนเสื้อเหลือง (ทหาร ตำรวจ พรรคมะแลงสาบ และองคมนตรีบางคน) แล้วพากัน "เล่นงาน" คนเสื้อแดง อย่างร้ายกาจรุนแรง
ผมขอกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ผมนั่ง "สมาธิ" พิจารณาเบื้องหน้าเบื้องเหลังอย่างรอบคอบหลายตลบ เพื่อจะไตร่ตรองว่าควรจะนำเสนอความเห็นอย่างไร จึงจะได้ประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างแท้จริง เมื่อไตร่ตรองแล้ว จึงลงความเห็นว่า "ทหารหรือกองทัพแห่งชาติ" นอกจากจะเป็นกำลังรบปกป้องแผ่นดิน ยังจะต้องเป็น "แนวร่วมประชาชน" ช่วยกันปกป้องคุ้มครองสถาบันหลักของชาติ
ทหารต้องดำเนินการแสวงหาข่าว หรือ ข้อมูลอื่นใด กล่าวคือการเป็นสายลับ ตระเวณหาข้อมูลทั้งในเชิงลึกและเชิงลับ เพื่อจะได้รู้ว่าสถาบันจะมีภัยคุกคามจากด้านไหนบ้าง มีความจำเป็นต้องปฏิบัติการ กล่าวกันให้ชัด ทหารหรือกองทัพแห่งชาติ จะต้องมีความเชี่ยวชาญด้าน "การข่าว" อย่างสำคัญที่สุด
กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นข่าวลับ ลวง พราง หรือข่าวปล่อย ข่าวจริง ล้วนแต่จะต้องรู้ ถ้าทหารไม่รู้ข่าวก็เท่ากับตาทั้งสองข้างมืดบอดสนิท
กรณีพรรคมะแลงสาบ และพลเอก sensor sensor ออกมายันหน้าอก พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี ทหารต้องหาข่าวในเชิงลึกก่อนจะวิ่งโร่ตามเขาไป หากหาข่าวแล้ว พบว่าทักษิณจะเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องหาทาง "ดับไฟแต่ต้นลม" อย่าปล่อยเป็น "เชื้อเพลิง" ลุกไหม้ลามเลียแผ่นดินอันเป็นที่รัก
ผมเชื่อว่าทหารหรือกองทัพแห่งชาติมิได้หาข่าว หากแต่ด้วยเหตุว่า ทหารตกอยู่ใต้รังสีอัมหิต อิทธิพลของอำนาจลึกลับ ก็เลย "กระโดดเข้าไปยืนอยู่ตรงกลาง" ด้วยลากรถถังออกมายึด อำนาจการปกครองจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ต่อจากนั้นก็ได้แสดงตนเป็นศัตรูต่อ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรอย่างเปิดเผยซึ่งได้ขยาย ความขัดแย้งให้ขยับขึ้นสู่กระแสสูง เปลี่ยนจากความขัดแย้งระหว่างพรรคต่อพรรค กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนต่อประชาชน และปัญหาที่ ประชาชนเอามาขัดแย้งกัน ได้แก่ปัญหา "รักเจ้า-และไม่รักเจ้า"
สถาบันเจ้าได้ถูกดึงลงมาเป็นประเด็นให้ประชาชนขัดแย้งกันอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันจะทำให้ประเทศไทยเข้าสู่เงื่อนไขสงคราม (ประชาชน)อันเป็นแง่มุมที่พวกเผด็จการได้วางกับดักเอาไว้ กับดักตัวนี้เป็นกับดักทำลายความสงบที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันยกกระแสจากปัญหาธรรมดากลายไปเป็นปัญหาใหญ่
เมื่อมันเป็นปัญหาใหญ่ มันจะเติบโตขึ้นจนอาจทำให้คนไทยยกพวกตีกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง
สัญญาณที่น่ากลัวได้แก่คนของพรรคเพื่อไทยเดินทางลงไปใต้ จะถูก "คนใต้" ไล่ทุบ ในขณะเดียวกัน คนของพรรคมะแลงสาบเดินทางไปภาคเหนือและภาคอีสานคนเหนือและคนอีสานจะเอาตีนตบไล่ด่า ดังจะเห็นได้จากกรณีเชียงใหม่ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี เป็นต้น ลักษณะเช่นนี้ หมายถึงความขัดแย้งได้ขยายพื้นที่แคบ ๆ ไปสู่ภาค และสุดท้ายมันจะกลายเป็น ศัตรูแก่กันและกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไทยด้วยกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ทหารได้ตกเป็นเหยื่อของอำนาจลึกลับ ได้แก่การปราบปรามคนเสื้อแดงเมื่อ วันสงกรานต์ ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา ทหารเล็งปืนใส่ประชาชน แล้วเหนี่ยวไกปืนยิง จะยิงขึ้นฟ้าหรือยิงไปที่ร่างของประชาชนที่วิ่งโห่ร้องอยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะตายหรือไม่ตายก็ตาม มันได้เป็น "เครื่องหมาย" ของการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างปรากฏชัด ทำให้คนเสื้อแดงเกิดความรู้สึก ว่าพวกเขาพร้อมจะถูกปราบ ในขณะคนอีกพวกหนึ่ง ทำความผิดเพียงใดก็ไม่ผิด
ท่านผู้อ่านที่เป็นทหารหาญ ผมอยากเขียนถึงท่าน (ทหารที่มีปัญญา) โปรดสร้างหัวใจของท่านเองให้เป็นทหารประชาธิปไตย รักชาติเท่าชีวิต เทิดทูลสถาบัน ด้วยความฉลากหลักแหลม โดยอาศัยวิธีการ "ทำให้คนไทยทุกคนตั้งมั่นอยู่ในสถาบันของชาติด้วยความรัก" อย่าผลักไสประชาชนเข้าป่า เพื่อจะปราบให้สิ้นทราก
โปรดตระหนักเอาไว้ว่า การรักษาสถาบันให้มั่นคงนั้น ต้องมั่นคงอย่างยั่งยืน ไม่ใช่มั่นคงเพี่อจะให้ผ่านไปวันต่อวัน
ผมจึงอยากบอกศาสตร์ที่สำคัญที่สุดก็คือ จงหาทางกู้คืนหัวใจของประชาชนทั้งประเทศ ที่ได้รับความ "บอบช้ำ" อันเกิดจากความหลงผิดของ พลเอก sensorsensor และพวกเผด็จการทั้งหลาย
แต่การจะกู้คืนความบอบช้ำนั้น ทหารต้องกล้าหาญที่จะปฏิเสธไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของจอมเผด็จการ ทหารต้องกล้าที่จะแสดงออกว่า "สนันสนุนการถวายฎีกา" และทหารจะต้องกล้า "สารภาพผิด" ต่อประชาชนทั้งประเทศ แล้วประกาศให้คนไทยทุกสีคืนดีกัน หันหน้าเข้าหากัน เจรจาเกลี้ยกล่อมให้ "มาร์ค กะ เทือก” ยอมรับความหลงผิด หันหน้าเข้าหากัน เอ่ยปากขอโทษทักษิณ และพร้อมที่จะออกกฏหมายนิรโทษกรรม เพื่อจะให้ความปรอง ดองที่แท้จริงกลับคืนมา ?!
ทหารและท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ผมขอพูดว่า "มีแต่ความปรองดอง" เท่านั้น ที่จะเอาชาติให้หลุดพ้นไปจากปากเหวได้ และขอกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีพระเจ้าแผ่นดินมา ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ก้าวจากอยุธยา มากรุงธนฯ ออกจากกรุงธนฯ มากรุงเทพ กรุงเทพมีพระเจ้าแผ่นดินมาถึงปัจจุบันรวม ๙ พระองค์ โดยที่คนไทยไม่เคยกระด้าง กระเดื่องมาก่อน
แต่แล้วจ ู่ๆ ก็มีคนสร้างกระแสให้เกิดความรู้สึกว่าพวกเสื้อแดงในยุคปัจจุบันเป็นภัยต่อสถาบัน ทำให้พวกนักการเมืองถือเป็นโอกาส สร้างคนอีกกลุ่มหนึ่ง เช่นคนเสื้อเหลือง และ เสื้อสีน้ำเงิน ให้มาเป็นผู้ปกป้องสถาบัน ดังที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงดังที่กล่าวมา มันจะกลายเป็นไฟลามเลียประเทศ หรือว่าจะมอดดับลงในที่สุด ขึ้นอยู่ที่ผู้ถือบังเหียนในกองทัพ (เช่น พลเอก ป๊อกแป๊ก)ว่าจะกล้าถอนตัวออกมาจากอิทธิพลลึกลับ ที่อยู่กับตัวอำมาตย์ใหญ่ (พลเอก sensor sensor) หรือไม่ หรือว่า ตัวของท่านพลเอก sensor นั้นแหละ จะต้องตั้ง "กองวิจัย" ด่วนที่สุด ทำการตรวจสอบตัวเองว่าได้กระทำความเสียหาย ให้แก่สถาบัน ของชาติร้อนแรงเพียงใด
ทหารขอให้ระวัง จะกลายเป็นเครื่องมือ จับประชาชน เป็นศัตรูกับพระเจ้าแผ่นดิน ?!
จบบทที่ ๒๘ / สอาด จันทร์ดี
ท่านผู้อ่านที่รักครับ...ท่านอ่าน "ใบปลิวกู้ชาติ" บทที่ ๒๗ แล้วใช่ไหมครับวันนี้ขอให้ตั้งใจอ่านบทที่ ๒๘ ต่อจากเมื่อวาน เมื่ออ่านแล้ว ขอความกรุณาบอกต่อไปยังทหาร ตำรวจ และข้าราชการทั้งหลาย "ให้ได้รับรู้ว่าโดยพลันด้วยเถิดว่า"ขณะนี้ได้มีบุคคล กลุ่มหนึ่ง พยายามที่จะจับประชาชน หรือ "ปลุกปั่น" ประชาชน ให้เกิดความเกลียดชังสภาพสังคมไทยในปัจจุบันภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุข ..?!! บุคคลกลุ่มนั้น ได้แก่พรรคมะแลงสาบ และพันธมิตรสันติอโศก และองคมันดีบางคน
ซึ่งผมได้เล่าถึงความเชื่อและความรู้สึกไปแล้วว่า คนเหล่านั้น คือ "ตัวการล้มเจ้า" โดยพากันทำงานในลักษณะ "แนวร่วมมุมกลับ" อันหมายถึงตัวเองแสดงตนว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี แล้วกล่าวหาคนอื่นว่าเป็นภัยต่อสถาบัน
วันนี้ ผมอยากเขียนถึง "ทหาร หรือกองทัพแห่งชาติ" ด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่งผมวิตกกังวลว่าทหารจะตกเป็นเครื่องมือของอำมาตย์ใหญ่ "กลายเป็นผู้จับประชาชนให้ ปะทะกับสถาบันเบื้องสูง" ทั้งนี้เนื่องจากผมได้สังเกตุเห็นชัดเจนว่า กองทัพทั้งกองทัพ"ตกอยู่ใต้ อำนาจลึกลับ"
ซึ่งประชาชนคนไทยตระหนักดีว่าเจ้าของอำนาจลึกลับที่ว่านั้นได้แก่ อำนาจที่ แผ่รังษีมาจาก "พลเอก sensor " ! ประธาน องคา..sensor.....
ผมขอกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ข้อเขียนที่ "พาดพิง พลเอก sensor ..sensor" อย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ มิใช่เป็นการแสดงความเป็นศัตรู หากแต่เมื่อจะเขียนให้เห็นข้อเท็จ จริงอย่างแท้จริง ก็ไม่อาจละเว้นนามอันยิ่งใหญ่ของพลเอก sensor ได้
เรื่องมีอยู่ว่า "ทหารหรือกองทัพแห่งชาติ มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองประเทศให้มีความปลอดภัยทั้งในยามสงครามและยามสงบ
ประการสำคัญ ทหารมีหน้าที่โดยตรงที่จะรักษา ความมั่นคงให้แก่สถาบันชาติ ศาสนา และ สถาบันพระมหากษัตริย์
วิธีการรักษาที่เหมาะสมและดีที่สุดได้แก่การรักษาสภาวะจิตใจของประชาชน ให้ตั้งมั่นอยู่ในจารีตประเพณี มีหัวใจที่ยึดเหนี่ยวและผูกมัดอยู่กับชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์
อันหมายถึง "ทหารหรือกองทัพแห่งชาติ" จะไม่ตกเป็นเครื่งมือของใคร จะไม่เข้าร่วมกับ "บุคคลผู้ใด" กระทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในประเทศไทย
การที่ทหารในนามกองทัพแห่งชาติ ขึงขังออกมารับฟังคำสั่งจากเจ้าของอำนาจลึกลับ ดังตัวอย่างกรณีการยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ถือได้ว่า ทหารได้ตกเป็นเหยื่อ รังสีอัมหิต ของเจ้าของอำนาจลึกลับ
นับแต่บัดนั้นก็ได้ตกเป็นเหยื่ออีกหลายเรื่อง ทำให้ข้อขัดแย้งอ่อน ๆ ที่เพิ่งจะฟักตัว กลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงขึ้นทุกที
ผมขอกล่าวว่าเบื้องแรกมันเป็นข้อขัดแย้งที่วางอยู่บนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่ต่อมามันได้ก้าวจาก "ทักษิณ" เป็นข้อขัดแย้งใหม่ พ่วงเอามวลชนคนเสื้อแดงนับล้านเข้ามาเป็นรากฐานของความขัดแย้งอีกด้วย
ต่อมา พวกพันธมิตร ได้เปิดประเด็นว่า "เสื้อเหลือง" คือคนรักพระเจ้าแผ่นดิน แล้วใส่ ความ "คนเสื้อแดง" ว่าเป็นภัยต่อระบอบการปกครอง
มันได้ขยับข้อขัดแย้งจากทักษิณขึ้นไปสู่ "สถาบัน" ตั้งแต่บัดนั้น เท่านั้นยังไม่พอนาย sensor (เทือก) ช่วยตอกย้ำมากกว่านั้น พลเอก Semsor
บิ๊กเสีย องคมนตรีบางคน ได้แบกฆ้อน ๑๐ ปอนด์มาตอกหัวตะปู ตามด้วยนักวิชาการ "สายมาร" ช่วยตอกย้ำเข้าไปอีก
และยังตามไปด้วย "สื่อเผด็จการ" พากันถือ "ปากกาเขียนด่าเพิ่มเติม" เป็นการ ตอกเข็มหมุดให้จมลึกลงไป
สถานการณ์ความขัดแย้งพวกนั้น ยกระดับขึ้นสู่ "เป็นภัยต่อสถาบัน" หรือกล่าวให้ชัด หมายถึงสังคมไทยได้ยัดเยียดให้คนเสื้อแดง เป็นศัตรูกับพระเจ้าแผ่นดิน
ท่านเอ๋ย...ผมขอกราบเรียนว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทย มันกำลังจะกลายเป็น ยาพิษมหาวินาศ ที่จะก่อให้เกิดความสั่นคลอนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกหมู่เหล่า
แต่ก็มีคำถามว่า "ไหนว่าเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกหมู่เหล่า" แล้วเหตุไฉนจึงมีพวกเป็นภัยต่อสถาบันพระเจ้าแผ่นดินด้วยเล่า ?
คำตอบก็คือ มันเกิดมาจาก "การจับคนไทยในชาติให้ปะทะกันเอง" โดยพวกหนึ่งเชียร์สุดลิ่มทิ่มประตู ยืนอยู่ข้างคนเสื้อเหลือง (ทหาร ตำรวจ พรรคมะแลงสาบ และองคมนตรีบางคน) แล้วพากัน "เล่นงาน" คนเสื้อแดง อย่างร้ายกาจรุนแรง
ผมขอกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ผมนั่ง "สมาธิ" พิจารณาเบื้องหน้าเบื้องเหลังอย่างรอบคอบหลายตลบ เพื่อจะไตร่ตรองว่าควรจะนำเสนอความเห็นอย่างไร จึงจะได้ประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างแท้จริง เมื่อไตร่ตรองแล้ว จึงลงความเห็นว่า "ทหารหรือกองทัพแห่งชาติ" นอกจากจะเป็นกำลังรบปกป้องแผ่นดิน ยังจะต้องเป็น "แนวร่วมประชาชน" ช่วยกันปกป้องคุ้มครองสถาบันหลักของชาติ
ทหารต้องดำเนินการแสวงหาข่าว หรือ ข้อมูลอื่นใด กล่าวคือการเป็นสายลับ ตระเวณหาข้อมูลทั้งในเชิงลึกและเชิงลับ เพื่อจะได้รู้ว่าสถาบันจะมีภัยคุกคามจากด้านไหนบ้าง มีความจำเป็นต้องปฏิบัติการ กล่าวกันให้ชัด ทหารหรือกองทัพแห่งชาติ จะต้องมีความเชี่ยวชาญด้าน "การข่าว" อย่างสำคัญที่สุด
กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นข่าวลับ ลวง พราง หรือข่าวปล่อย ข่าวจริง ล้วนแต่จะต้องรู้ ถ้าทหารไม่รู้ข่าวก็เท่ากับตาทั้งสองข้างมืดบอดสนิท
กรณีพรรคมะแลงสาบ และพลเอก sensor sensor ออกมายันหน้าอก พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี ทหารต้องหาข่าวในเชิงลึกก่อนจะวิ่งโร่ตามเขาไป หากหาข่าวแล้ว พบว่าทักษิณจะเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องหาทาง "ดับไฟแต่ต้นลม" อย่าปล่อยเป็น "เชื้อเพลิง" ลุกไหม้ลามเลียแผ่นดินอันเป็นที่รัก
ผมเชื่อว่าทหารหรือกองทัพแห่งชาติมิได้หาข่าว หากแต่ด้วยเหตุว่า ทหารตกอยู่ใต้รังสีอัมหิต อิทธิพลของอำนาจลึกลับ ก็เลย "กระโดดเข้าไปยืนอยู่ตรงกลาง" ด้วยลากรถถังออกมายึด อำนาจการปกครองจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ต่อจากนั้นก็ได้แสดงตนเป็นศัตรูต่อ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรอย่างเปิดเผยซึ่งได้ขยาย ความขัดแย้งให้ขยับขึ้นสู่กระแสสูง เปลี่ยนจากความขัดแย้งระหว่างพรรคต่อพรรค กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนต่อประชาชน และปัญหาที่ ประชาชนเอามาขัดแย้งกัน ได้แก่ปัญหา "รักเจ้า-และไม่รักเจ้า"
สถาบันเจ้าได้ถูกดึงลงมาเป็นประเด็นให้ประชาชนขัดแย้งกันอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันจะทำให้ประเทศไทยเข้าสู่เงื่อนไขสงคราม (ประชาชน)อันเป็นแง่มุมที่พวกเผด็จการได้วางกับดักเอาไว้ กับดักตัวนี้เป็นกับดักทำลายความสงบที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันยกกระแสจากปัญหาธรรมดากลายไปเป็นปัญหาใหญ่
เมื่อมันเป็นปัญหาใหญ่ มันจะเติบโตขึ้นจนอาจทำให้คนไทยยกพวกตีกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง
สัญญาณที่น่ากลัวได้แก่คนของพรรคเพื่อไทยเดินทางลงไปใต้ จะถูก "คนใต้" ไล่ทุบ ในขณะเดียวกัน คนของพรรคมะแลงสาบเดินทางไปภาคเหนือและภาคอีสานคนเหนือและคนอีสานจะเอาตีนตบไล่ด่า ดังจะเห็นได้จากกรณีเชียงใหม่ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี เป็นต้น ลักษณะเช่นนี้ หมายถึงความขัดแย้งได้ขยายพื้นที่แคบ ๆ ไปสู่ภาค และสุดท้ายมันจะกลายเป็น ศัตรูแก่กันและกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไทยด้วยกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ทหารได้ตกเป็นเหยื่อของอำนาจลึกลับ ได้แก่การปราบปรามคนเสื้อแดงเมื่อ วันสงกรานต์ ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา ทหารเล็งปืนใส่ประชาชน แล้วเหนี่ยวไกปืนยิง จะยิงขึ้นฟ้าหรือยิงไปที่ร่างของประชาชนที่วิ่งโห่ร้องอยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะตายหรือไม่ตายก็ตาม มันได้เป็น "เครื่องหมาย" ของการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างปรากฏชัด ทำให้คนเสื้อแดงเกิดความรู้สึก ว่าพวกเขาพร้อมจะถูกปราบ ในขณะคนอีกพวกหนึ่ง ทำความผิดเพียงใดก็ไม่ผิด
ท่านผู้อ่านที่เป็นทหารหาญ ผมอยากเขียนถึงท่าน (ทหารที่มีปัญญา) โปรดสร้างหัวใจของท่านเองให้เป็นทหารประชาธิปไตย รักชาติเท่าชีวิต เทิดทูลสถาบัน ด้วยความฉลากหลักแหลม โดยอาศัยวิธีการ "ทำให้คนไทยทุกคนตั้งมั่นอยู่ในสถาบันของชาติด้วยความรัก" อย่าผลักไสประชาชนเข้าป่า เพื่อจะปราบให้สิ้นทราก
โปรดตระหนักเอาไว้ว่า การรักษาสถาบันให้มั่นคงนั้น ต้องมั่นคงอย่างยั่งยืน ไม่ใช่มั่นคงเพี่อจะให้ผ่านไปวันต่อวัน
ผมจึงอยากบอกศาสตร์ที่สำคัญที่สุดก็คือ จงหาทางกู้คืนหัวใจของประชาชนทั้งประเทศ ที่ได้รับความ "บอบช้ำ" อันเกิดจากความหลงผิดของ พลเอก sensorsensor และพวกเผด็จการทั้งหลาย
แต่การจะกู้คืนความบอบช้ำนั้น ทหารต้องกล้าหาญที่จะปฏิเสธไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของจอมเผด็จการ ทหารต้องกล้าที่จะแสดงออกว่า "สนันสนุนการถวายฎีกา" และทหารจะต้องกล้า "สารภาพผิด" ต่อประชาชนทั้งประเทศ แล้วประกาศให้คนไทยทุกสีคืนดีกัน หันหน้าเข้าหากัน เจรจาเกลี้ยกล่อมให้ "มาร์ค กะ เทือก” ยอมรับความหลงผิด หันหน้าเข้าหากัน เอ่ยปากขอโทษทักษิณ และพร้อมที่จะออกกฏหมายนิรโทษกรรม เพื่อจะให้ความปรอง ดองที่แท้จริงกลับคืนมา ?!
ทหารและท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ผมขอพูดว่า "มีแต่ความปรองดอง" เท่านั้น ที่จะเอาชาติให้หลุดพ้นไปจากปากเหวได้ และขอกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีพระเจ้าแผ่นดินมา ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ก้าวจากอยุธยา มากรุงธนฯ ออกจากกรุงธนฯ มากรุงเทพ กรุงเทพมีพระเจ้าแผ่นดินมาถึงปัจจุบันรวม ๙ พระองค์ โดยที่คนไทยไม่เคยกระด้าง กระเดื่องมาก่อน
แต่แล้วจ ู่ๆ ก็มีคนสร้างกระแสให้เกิดความรู้สึกว่าพวกเสื้อแดงในยุคปัจจุบันเป็นภัยต่อสถาบัน ทำให้พวกนักการเมืองถือเป็นโอกาส สร้างคนอีกกลุ่มหนึ่ง เช่นคนเสื้อเหลือง และ เสื้อสีน้ำเงิน ให้มาเป็นผู้ปกป้องสถาบัน ดังที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงดังที่กล่าวมา มันจะกลายเป็นไฟลามเลียประเทศ หรือว่าจะมอดดับลงในที่สุด ขึ้นอยู่ที่ผู้ถือบังเหียนในกองทัพ (เช่น พลเอก ป๊อกแป๊ก)ว่าจะกล้าถอนตัวออกมาจากอิทธิพลลึกลับ ที่อยู่กับตัวอำมาตย์ใหญ่ (พลเอก sensor sensor) หรือไม่ หรือว่า ตัวของท่านพลเอก sensor นั้นแหละ จะต้องตั้ง "กองวิจัย" ด่วนที่สุด ทำการตรวจสอบตัวเองว่าได้กระทำความเสียหาย ให้แก่สถาบัน ของชาติร้อนแรงเพียงใด
ทหารขอให้ระวัง จะกลายเป็นเครื่องมือ จับประชาชน เป็นศัตรูกับพระเจ้าแผ่นดิน ?!
จบบทที่ ๒๘ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 29 สงครามเงียบ จาก นสพ.สยามรัฐ
บทที่ ๒๙ตอน : สงครามเงียบ จาก นสพ. สยามรัฐ !
ผมเป็นแฟนของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ อ่านไม่เลือกว่างั้นเถอะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ตระกูลไดโนเสาร์เต่าพันปีที่เสนอข่าวไม่มีจุดยืน เพียงแต่ขอให้ได้ประโยชน์จากการเสนอข่าว เต้าเอาข่าวไปขายกิน ผมยังคงเป็นแฟนเต็มเปี่ยมของหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ผมจึงต้องเสียเงินวันละหลายบาทเพื่อจะได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่วางขายอยู่บนแผง
หนังสือพิมพ์ "สยามรัฐ" ฉบับวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ หน้า ๑ ได้พาดหัวข่าวว่า "ล้มฎีกาเสื้อแดง มท. ตั้งโต๊ะรับถอนรายชื่อ" แล้วก็มีหัวข่าวรองลงมาว่า " ประวิตรฟิวส์ขาดดับเครื่องชน" ต่อจากนั้นก็มีเนื้อข่าวอื่นๆในหน้า ๑ อีกหลายข่าว
ในเนื้อที่ของหน้า ๑ ซ้ายมือ มีคอลัมน์ "ล้วงมาเล่า" เขียนเรื่อง "สงครามเงียบ" ผมเห็นว่าน่าจะถ่ายทอดเอามาไว้ใน "ใบปลิวกู้ชาติ" (บทที่ ๒๙) เพราะมันเกียวกับปัญหาของประเทศชาติบ้านเมืองทั้งดุ้น ผมเชื่อว่าเมื่ออ่านจบจะวิจารณ์ได้เองว่า ท่านรู้สึกอย่างไร
ผมขอเริ่มเลยนะครับ นสพ.สยามรัฐใส่หัวเรื่องแล้วร่ายยาวว่าสงครามเงียบปล่อยให้ "คนเสื้อแดง" ย่ามใจเคลื่อนไหวล่าลายชื่อประชาชนเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ "นายใหญ่" มาระยะหนึ่ง คล้ายกับเป็นการ "ล่อให้มาติดกับ" ในที่สุดฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและฝ่ายตรงกันข้ามทักษิณ ก็ดาหน้าออกมาต่อต้านอย่างพร้อมเพรียงกัน
เริ่มตั้งแต่กลุ่มนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพรรคภูมิใจไทยจนมาถึงการออกโรงของ ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล โฆษกฝ่ายข้าราชการประจำกระทรวงมหาดไทย ที่นำข้าราชการกระทรวงมหาดไทยสมาชิกวุฒิสภาบางคน และองค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กรที่ที่เกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกันแถลงต่อต้านการถวายฎีกา
รวมถึงการออกมาคำรามของ "บิ๊กเสือ" พล.อ. พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี และการแสดงความไม่เห็นด้วยของนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา
ขณะที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มสยามสามัคคีซึ่งฟาดฟันกับคนหน้าเหลี่ยมมาตลอดก็ไม่มีการวางเฉยอยู่แล้ว เรียกว่าตอนนี้ขบวนต้านการถวายฎีกา ยกพลออกมาเป็นแผงส่งให้คนเสื้อแดงหัวเดียวกระเทียมลีบ
แม้ว่าแกนนำ ปนช. จะบอกว่าได้รายชื่อเกินล้านแล้ว จะไม่มีใครหยุดถวายฎีกาได้ โดยจะทำการชุมนุมในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (ขณะเขียนบทที่ ๒๙ การชุมนุมเริ่มขึ้นแต่เช้าตรู่แล้วครับ) เพื่อรวบรวมรายชื่อครั้งสุดท้ายกันที่ท้องสนามหลวง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแรงต้านทุกสารทิศเช่นนี้ ก็ยังมองไม่เห็นว่า นปช. จะเดินหน้าอย่างไร
สถานการณ์ในขณะนี้ จึงนับเป็น "สงครามเงียบ" ระหว่างสองฝ่ายที่ตึงเครียดที่สุด และพร้อมที่จะปะทุเป็นการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนสองฝ่ายได้ทุกเมื่อ / จบบทความ ผมชอบใจการนำเสนอข่าวของสยามรัฐ เพราะได้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงในปัจจุบันว่าพลังคนเสื้อแดงนั้นได้เขย่าสังคมไทยทั้งสังคมให้เกิดแรงสะเทือนอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งนี้เนื่องจากในอดีตนั้น พลังของอนุรักษ์นิยมและพลังของพวกเผด็จการพากัน "ครอบงำ" สังคมเอาไว้ในอุ้งมือ แล้วกดหัวให้จมดิ่งอ้อยสร้อย ไม่มีมนุษย์คนไหนจะกล้าขึ้นเสียง
นสพ. ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเก่งกล้าแลมีะบารมีคุ้มครอง ก็ยังไม่กล้าขึ้นเสียงเลยครับ
มาในวันนี้ มีแต่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่กล้าโผล่หน้าอย่างเปิดเผย แล้วยืนโซ้ยกับหมาวัดหมาบ้าน เล่นงานคนชั่วอย่างไม่เกรงใจ บางคนยอมเอาคุกเป็นเดิมพัน
ดังจะเห็นได้ว่ามีนักสู้ทั้งหญิงและชาย กลายเป็น "นักโทษ" ไปเรียบร้อย
ผมจึงรู้สึกดีใจยิ่งนักที่ประเทศไทยมีคนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังรู้สึก "สะใจ" ที่จะได้เห็นคนเสื้อสีต่าง ๆ ออกมาดิ้นเหมือนตัวอะไรถูกน้ำร้อน ซึ่งกล่าวได้เลยว่า นับวันยิ่งจะเพิ่มจำนวนคนที่ถูกน้ำร้อนสาดใส่หน้ามากขึ้น
คำว่า "คนเสื่อแดงหัวเดียวกระเทียมลีบ" มิได้มีความหมายคำว่า "ออกมาต่อต้านเป็นแผง" มิได้ทำให้เราหนักใจ และคำว่า มท. ตั้งโต๊ะให้ประชาชนเข้าแถวขอถอนชื่อก็จะไม่ทำให้ประชาชนคนเสื้อแดงบ้าจี้ตาม ทั้งนี้เนื่องจากแดงทั้งแผ่นดินทังหลายทั้งปวง มิใช่แดงจากเสื้อผ้าเท่านั้น แต่มันแดงลึกเข้าไปในเส้นเลือด
ผมอยากจะบอกว่า เรื่องมันเกิดมาจากพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาพรรคไทยรักไทยว่าเป็นระบอบทักษิณ แล้วกล่าวหาทักษิณว่าคนขี้โกง พวกเขาเล่นงานทักษิณด้วยหัวใจเปรต มิได้มีความจริงเลยแม้แต่น้อย
หนังสือพิมพ์และสื่อทั้งหลายย่อมตระหนักดีว่า ข้อกล่าวหาทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นของปลอม มิได้มีความจริงเลย ยิ่งไปกว่านั้นข้อกล่าวหาว่า "ไฝ่จะเป็นประธานาธิบดี" ยิ่งไม่มีความเป็นจริง
ข้อกล่าวหาเหล่านี้ มิได้เกิดกับทักษิณคนเดียว พวกเสื้อเหลืองได้กล่าวหาพ่วงคนเสื้อแดงเข้าไปด้วย เรื่องมันยาวมาถึงขั้นนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะถอยหลัง มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่เหลือ
กล่าวคือพวกเผด็จการและพรรคประชาธิปัตย์ต้องหันหน้ามาขอโทษ ออกกฏหมายนิรโทษ นำทุกคนกลับเข้าสู่ความสงบ สงครามเงียบ จึงจะหายไป...โปรดรู้เอาไว้ด้วย
จบบทที่ ๒๙ / สอาด จันทร์ดี
ผมเป็นแฟนของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ อ่านไม่เลือกว่างั้นเถอะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ตระกูลไดโนเสาร์เต่าพันปีที่เสนอข่าวไม่มีจุดยืน เพียงแต่ขอให้ได้ประโยชน์จากการเสนอข่าว เต้าเอาข่าวไปขายกิน ผมยังคงเป็นแฟนเต็มเปี่ยมของหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ผมจึงต้องเสียเงินวันละหลายบาทเพื่อจะได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่วางขายอยู่บนแผง
หนังสือพิมพ์ "สยามรัฐ" ฉบับวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ หน้า ๑ ได้พาดหัวข่าวว่า "ล้มฎีกาเสื้อแดง มท. ตั้งโต๊ะรับถอนรายชื่อ" แล้วก็มีหัวข่าวรองลงมาว่า " ประวิตรฟิวส์ขาดดับเครื่องชน" ต่อจากนั้นก็มีเนื้อข่าวอื่นๆในหน้า ๑ อีกหลายข่าว
ในเนื้อที่ของหน้า ๑ ซ้ายมือ มีคอลัมน์ "ล้วงมาเล่า" เขียนเรื่อง "สงครามเงียบ" ผมเห็นว่าน่าจะถ่ายทอดเอามาไว้ใน "ใบปลิวกู้ชาติ" (บทที่ ๒๙) เพราะมันเกียวกับปัญหาของประเทศชาติบ้านเมืองทั้งดุ้น ผมเชื่อว่าเมื่ออ่านจบจะวิจารณ์ได้เองว่า ท่านรู้สึกอย่างไร
ผมขอเริ่มเลยนะครับ นสพ.สยามรัฐใส่หัวเรื่องแล้วร่ายยาวว่าสงครามเงียบปล่อยให้ "คนเสื้อแดง" ย่ามใจเคลื่อนไหวล่าลายชื่อประชาชนเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ "นายใหญ่" มาระยะหนึ่ง คล้ายกับเป็นการ "ล่อให้มาติดกับ" ในที่สุดฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและฝ่ายตรงกันข้ามทักษิณ ก็ดาหน้าออกมาต่อต้านอย่างพร้อมเพรียงกัน
เริ่มตั้งแต่กลุ่มนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพรรคภูมิใจไทยจนมาถึงการออกโรงของ ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล โฆษกฝ่ายข้าราชการประจำกระทรวงมหาดไทย ที่นำข้าราชการกระทรวงมหาดไทยสมาชิกวุฒิสภาบางคน และองค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กรที่ที่เกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกันแถลงต่อต้านการถวายฎีกา
รวมถึงการออกมาคำรามของ "บิ๊กเสือ" พล.อ. พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี และการแสดงความไม่เห็นด้วยของนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา
ขณะที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มสยามสามัคคีซึ่งฟาดฟันกับคนหน้าเหลี่ยมมาตลอดก็ไม่มีการวางเฉยอยู่แล้ว เรียกว่าตอนนี้ขบวนต้านการถวายฎีกา ยกพลออกมาเป็นแผงส่งให้คนเสื้อแดงหัวเดียวกระเทียมลีบ
แม้ว่าแกนนำ ปนช. จะบอกว่าได้รายชื่อเกินล้านแล้ว จะไม่มีใครหยุดถวายฎีกาได้ โดยจะทำการชุมนุมในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (ขณะเขียนบทที่ ๒๙ การชุมนุมเริ่มขึ้นแต่เช้าตรู่แล้วครับ) เพื่อรวบรวมรายชื่อครั้งสุดท้ายกันที่ท้องสนามหลวง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแรงต้านทุกสารทิศเช่นนี้ ก็ยังมองไม่เห็นว่า นปช. จะเดินหน้าอย่างไร
สถานการณ์ในขณะนี้ จึงนับเป็น "สงครามเงียบ" ระหว่างสองฝ่ายที่ตึงเครียดที่สุด และพร้อมที่จะปะทุเป็นการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนสองฝ่ายได้ทุกเมื่อ / จบบทความ ผมชอบใจการนำเสนอข่าวของสยามรัฐ เพราะได้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงในปัจจุบันว่าพลังคนเสื้อแดงนั้นได้เขย่าสังคมไทยทั้งสังคมให้เกิดแรงสะเทือนอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งนี้เนื่องจากในอดีตนั้น พลังของอนุรักษ์นิยมและพลังของพวกเผด็จการพากัน "ครอบงำ" สังคมเอาไว้ในอุ้งมือ แล้วกดหัวให้จมดิ่งอ้อยสร้อย ไม่มีมนุษย์คนไหนจะกล้าขึ้นเสียง
นสพ. ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเก่งกล้าแลมีะบารมีคุ้มครอง ก็ยังไม่กล้าขึ้นเสียงเลยครับ
มาในวันนี้ มีแต่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่กล้าโผล่หน้าอย่างเปิดเผย แล้วยืนโซ้ยกับหมาวัดหมาบ้าน เล่นงานคนชั่วอย่างไม่เกรงใจ บางคนยอมเอาคุกเป็นเดิมพัน
ดังจะเห็นได้ว่ามีนักสู้ทั้งหญิงและชาย กลายเป็น "นักโทษ" ไปเรียบร้อย
ผมจึงรู้สึกดีใจยิ่งนักที่ประเทศไทยมีคนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังรู้สึก "สะใจ" ที่จะได้เห็นคนเสื้อสีต่าง ๆ ออกมาดิ้นเหมือนตัวอะไรถูกน้ำร้อน ซึ่งกล่าวได้เลยว่า นับวันยิ่งจะเพิ่มจำนวนคนที่ถูกน้ำร้อนสาดใส่หน้ามากขึ้น
คำว่า "คนเสื่อแดงหัวเดียวกระเทียมลีบ" มิได้มีความหมายคำว่า "ออกมาต่อต้านเป็นแผง" มิได้ทำให้เราหนักใจ และคำว่า มท. ตั้งโต๊ะให้ประชาชนเข้าแถวขอถอนชื่อก็จะไม่ทำให้ประชาชนคนเสื้อแดงบ้าจี้ตาม ทั้งนี้เนื่องจากแดงทั้งแผ่นดินทังหลายทั้งปวง มิใช่แดงจากเสื้อผ้าเท่านั้น แต่มันแดงลึกเข้าไปในเส้นเลือด
ผมอยากจะบอกว่า เรื่องมันเกิดมาจากพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาพรรคไทยรักไทยว่าเป็นระบอบทักษิณ แล้วกล่าวหาทักษิณว่าคนขี้โกง พวกเขาเล่นงานทักษิณด้วยหัวใจเปรต มิได้มีความจริงเลยแม้แต่น้อย
หนังสือพิมพ์และสื่อทั้งหลายย่อมตระหนักดีว่า ข้อกล่าวหาทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นของปลอม มิได้มีความจริงเลย ยิ่งไปกว่านั้นข้อกล่าวหาว่า "ไฝ่จะเป็นประธานาธิบดี" ยิ่งไม่มีความเป็นจริง
ข้อกล่าวหาเหล่านี้ มิได้เกิดกับทักษิณคนเดียว พวกเสื้อเหลืองได้กล่าวหาพ่วงคนเสื้อแดงเข้าไปด้วย เรื่องมันยาวมาถึงขั้นนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะถอยหลัง มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่เหลือ
กล่าวคือพวกเผด็จการและพรรคประชาธิปัตย์ต้องหันหน้ามาขอโทษ ออกกฏหมายนิรโทษ นำทุกคนกลับเข้าสู่ความสงบ สงครามเงียบ จึงจะหายไป...โปรดรู้เอาไว้ด้วย
จบบทที่ ๒๙ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 30 ระวังจะเกิดการปฏิวัติโค่นล้ม แบบถอนรากถอนโคน
บทที่ ๓๐ ตอน : ระวังจะเกิดการปฏิวัติ "โค่นล้ม" แบบถอนรากถอนโคน ?!
ก่อนอื่น ขอแสดงความรักและเป็นมิตรกับท่านผู้อ่านทุกท่านท่านคงได้อ่านใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๒๙ ไปแล้ว
วันนี้...ผมกำลังเสนอท่าน ด้วย "บทที่ ๓๐" ในชื่อที่น่าสะพรึงกลัวว่า"ระวังจะเกิดการปฏิวัติโค่นล้ม แบบถอนรากถอนโคน" ?!!
มีเหตุและปัจจัยอันใดหรือ ? จึงกล้าใช้คำว่า "ระวังจะถูกปฏิวัติโค่นล้มแบบถอนรากถอนโคน" ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยในวันข้างหน้า มันจะร้ายแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน กล่าวคือมันจะมีการเปลี่ยนแปลงถึงขั้นกระทบกระเทือนต่อระบอบการปกครองของประเทศทั้งระบอบอันเป็นเรื่องที่สังคมไทยไม่เคยมีใคร "บังอาจ" พูดเช่นนี้มาก่อน
ผม...นาย สอาด จันทร์ดี ขออนุญาตกล่าวขึ้นในวันนี้ ด้วยความจำเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องมีอยู่ว่า ตลอดวันของวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เลยไปถึงเวลาเที่ยงคืน ผมได้เข้าไปในบริเวณท้องสนามหลวงที่ "คนเสื้อแดง" กำลังจัดงานต้อนรับรายนามประชาชนที่พากันเข้าชื่อเพื่อจะกราบบังคมทูลถวายฎีกา ก็ได้พบกับความยิ่งใหญ่น่าระทึกใจยิ่งนัก
ผมได้เห็นขบวนแห่ขนรายชื่อพสกนิกรจากจังหวัดต่าง ๆ นำไปมอบให้แก่ "นปช." อันเป็นองค์กรการเมืองของคนเสื้อแดง เรียงแถวกันเข้าสู่ท้องสนามหลวง แล้วถูกแห่ขึ้นไปประกาศบนเวทีด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงความลิงโลดใจ เช่นมีเสียงประกาศว่าชมรมคนรักประชาธิปไตยพัทยา ๒๙,๓๔๐ คน แนวร่วมต่อต้านเผด็จการจังหวัดน่าน ๒๓,๐๐๐ คน อย่างนี้เป็นต้น
เสียงไชโยโห่ร้อง แสดงความสมหวังดังกระหึ่มเวทีท้องสนามหลวง
ผมได้ติดตามตัวเลขด้วยความระทึกใจ นึกไม่ถึงว่าตัวเลขที่เคยได้เคยได้รับฟังจากการให้ข่าวของ นาย วีระ มุสิกพงศ์ว่าถ้าได้เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ก็จะดำเนินการถวายฎีกา แต่ถ้าได้ต่ำกว่า "หนึ่งล้าน" ก็จะยุติทันที
ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านคงได้รับทราบตัวเลขแล้วว่ามีพสกนิกรแห่เข้าชื่อขอถวายฎีกามีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคน ตัวเลขจริงอาจจะถึง "ห้าหรือหกล้านคน" ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมต้องรีบดึงเอาภูมิความรู้เกี่ยวกับ " กระบวนการปฏิวัติสังคมไทย" ขึ้นมาพิเคราะห์ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ จะจบลงอย่างไร
ทันทีที่ผมได้พิเคราะห์ (ในใจ) แล้วเสร็จ ผมชี้ขาดอยู่ในใจว่า ประเทศไทยเดินทางมาถึงทาง ๒ แพร่ง สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ อันหมายถึงสังคมไทยในเวลาอันไม่นาน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ผ่านเส้นทาง ๒ แพร่ง
หมายถึง ทางแพร่งที่ ๑ : ถ้าฝ่ายอำมาตย์เผด็จการคิดทันและ "กลับตัวทัน" ด้วยการหันหน้าเข้าหากัน พร้อมที่จะปรองดองกับคนเสื้อแดงด้วยความเต็มใจและไม่มีเงื่อนไขใด ๆ จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างสวยสดงดงาม ไม่กระทบกระเทือนต่อสถาบันของชาติ นอกจากจะไม่กระทบกระเทือนต่อสถาบันของชาติ ยังจะเป็นการ "สร้างความมั่นคงให้เป็นจริงและยั่งยืน" อีกด้วย จะทำให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ร่วมมือกันสร้างชาติ สร้างกระบวนการต่างๆในระบอบการปกครองเดิมให้เข้าสู่แนวทางประชาธิปไตยใหม่
ทางแพร่งที่ ๒ มันจะแตกต่างจากเส้นทางแพร่งที่ ๑ เนื่องจากพวกอำมาตย์เผด็จการไม่ยอมอ่อนข้อให้ พวกเขาจะดำเนินการทุกรูปแบบเพื่อจะ "แบน" ฎีกาของพสกนิกรไม่ให้ไปถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเขายังคงดื้อรั้นที่จะ "ใส่ร้ายป้ายสี" คนเสื้อแดงว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และยังคงยืนยันว่า "พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" ไม่มีความจงรักภักดีแล้วกล่าวหาต่อไปว่า ใฝ่ที่จะเป็นประธานาธิบดี ก็จะทำให้ "คนเสื้อแดง" เกิดความคับแค้นใจมากขึ้น และร้ายแรงยิ่งกว่าความแค้นในคราวก่อนๆ
หากฝ่ายอำมาตย์พากัน "เดินทางแพร่งที่ ๒" โดยมิใส่ใจว่าคนไทยควรจะใช้ความปรองดองแก้ปัญหาของชาติ
ถ้าปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อใด เมื่อนั้นจะทำให้คนเสื้อแดงแห่ออกมาทวงถามหาความเป็นธรรมร้อนแรงขึ้น อันจะเป็นผลทำให้เกิดการปะทะกับทหาร และตำรวจที่พากันจ้องจะปราบปรามอยู่แล้ว
ทั้งหลายทั้งปวง จะออกหัวหรือออกก้อย คงจะได้เห็น "แรงกระเพื่อม" ภายใน ๗-๘ วัน หรืออย่างมากไม่เกิน ๑๕ วันนับแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ นี้แหละครับ
ดังที่ผมได้วิเคราะห์เอาไว้ว่า ถ้าฝ่ายอำมาตย์เลือกทางเดินแพร่งที่ ๑ จะใช้เวลาขึ้นรูประบอบประชาธิปไตย (อย่างน้อย ๖ ปี) จึงจะทำให้โครงสร้างประชาธิปไตยเกิดเป็นความเป็นจริงขึ้นมาได้
แต่ถ้าอำมาตย์เลือกทางออกด้วยการใช้ทางแพร่งที่ ๒ จะทำให้ระยะทางขึ้นรูปประชาธิปไตยสำเร็จลงได้เร็วกว่า...(อย่างช้าไม่เกิน ๓ ปี !)
ท่านผู้อ่านครับ ผมขอกราบเรียนว่าทางแพร่งที่ ๒ นี้ จะก่อความเสียหายต่อระบอบการปกครองสุดที่จะหลีกเลียง เนื่องจากเหตุร้ายมันจะเกิดจากการปราบปราม มีการเข่นฆ่ากันขึ้น มีประชาชนล้มตาย สังเวยชีวิตให้แก่ความป่าเถื่อน เมื่อมันเป็นเช่นนี้ ประชาชนทั้งประเทศจะ "ลุกฮือ" รวมตัวกันกวาดล้างเผด็จการ ดังที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศ เข่นประเทศฝรั่งเศสเป็นต้น
ผมขออนุญาตนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนปฏิวัติ (ประเทศไทย) มาเล่าให้ฟังว่า เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้ยินยอมเข้าร่วมพัฒนาชาติไทยภายใต้คำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ ได้ทำให้ "แนวทางโค่นล้มระบอบการปกครองด้วยอาวุธ" ได้สิ้นสุดลงอย่างไม่มีวันที่จะจัดตั้งกองกำลังขึ้นมาได้อีก
การโค่นล้มอำนาจรัฐด้วยอาวุธสิ้นสภาพตั้งแต่บัดนั้น
หลังจากขบวนการปฏิวัติด้วยอาวุธพังทลายลง พรรคคอมมิวนิสต์หมดพิษสงไปจากสนามรบ ประเทศไทยกลับสู่ความสงบแต่ทว่า ความสงบที่ว่านั้น มันเป็นความสงบอันเนื่องจากประเทศไม่มีสงครามกลางเมือง แต่ความชั่วร้ายของ "นายทุน ขุนศึก ศักดินา" ยังมีอยู่
พวกอำมาตย์เผด็จการมิได้ทำการปฏิวัติสังคมในแนวทางสันติเลยไม่ว่ากรณีใด ๆ ทำให้สังคมไทยกลับเข้าสู่ยุค "อนุรักษ์นิยม" ไม่แตกต่างจากอดีต
สุดท้าย พวกเผด็จการพากันผยอง ทำการก่อรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ แล้วเอาความเท็จมากล่าวหาคนบริสุทธิ์ (พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร) ?!! ทำให้ประชาชนที่เคยได้รับอานิสงค์จากนโยบายอันวิเศษของพรรคไทยรักไทย ต่างพากันต่อต้านโดยมิหวั่นเกรงต่อภยันตรายใดๆที่พวกเผด็จการคำรามเข้าใส่
สุดท้าย ได้เกิดคนเสื้อแดง แดงทั้งแผ่นดิน
ท่านครับ ผมขอสรุปในบทที่ ๓๐ นี้ว่า "บัดนี้ คนเสื้อแดง" กำลังเดินทางมาถึงทาง ๒ แพร่งว่า ต่อไปจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งผมเชื่อว่าแพร่งที่ ๑ ได้แก่การได้รับกระแสของความปรองดองเยี่ยงพี่น้องเลือดไทยสีเดียวกัน หรือแพร่งที่ ๒ ถูกพวกอำมาตย์ปฏิเสธ
ท่านครับ ผมไม่อยากพยากรณ์อะไรเลยในตอนนี้ ผมขอทำหน้าที่เตือนอำมาตย์ทั้งหลายว่า
"ระวังจะเกิดการปฏิวัติโค่นล้มแบบถอนรากถอนโคน" ?!
ซึ่งเป็นภาษาเขียนที่ไม่เป็นมงคลเลย ท่านผู้ใดมาอ่านพบ อาจจะร้องลั่นด้วยความตกใจ แต่ถ้าผมไม่เขียนเยี่ยงนี้ ก็จะไม่มีใครนำเรื่องนี้ขึ้นมาเขียน
ขอเรียนว่า เมื่อสังคมอำมาตย์เป็นคน "กด" เอาไว้ ประชาชนที่อยู่ภายใต้การเก็บกด ย่อมจะระเบิดเปรี้ยงออกมา สุดท้ายมันจะกลายเป็นการปฏิวัติโดยประชาชน ยากที่จะยับยั้งเอาไว้ได้
ทั้งนี้ โปรดรอดูสัญญาณภายในไม่เกินวันที่ ๑๕ สิงหาคมนี้ ว่าบ้านเมืองจะออกทางแพร่งไหน ผมหวังว่าข้อเขียนนี้ จะเป็นบริบทเตือนพวกอำมาตย์ให้ครุ่นคิดก่อนจะสายเกินไป
จบบทที่ ๓๐ /สอาด จันทร์ดี
ก่อนอื่น ขอแสดงความรักและเป็นมิตรกับท่านผู้อ่านทุกท่านท่านคงได้อ่านใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๒๙ ไปแล้ว
วันนี้...ผมกำลังเสนอท่าน ด้วย "บทที่ ๓๐" ในชื่อที่น่าสะพรึงกลัวว่า"ระวังจะเกิดการปฏิวัติโค่นล้ม แบบถอนรากถอนโคน" ?!!
มีเหตุและปัจจัยอันใดหรือ ? จึงกล้าใช้คำว่า "ระวังจะถูกปฏิวัติโค่นล้มแบบถอนรากถอนโคน" ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยในวันข้างหน้า มันจะร้ายแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน กล่าวคือมันจะมีการเปลี่ยนแปลงถึงขั้นกระทบกระเทือนต่อระบอบการปกครองของประเทศทั้งระบอบอันเป็นเรื่องที่สังคมไทยไม่เคยมีใคร "บังอาจ" พูดเช่นนี้มาก่อน
ผม...นาย สอาด จันทร์ดี ขออนุญาตกล่าวขึ้นในวันนี้ ด้วยความจำเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องมีอยู่ว่า ตลอดวันของวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เลยไปถึงเวลาเที่ยงคืน ผมได้เข้าไปในบริเวณท้องสนามหลวงที่ "คนเสื้อแดง" กำลังจัดงานต้อนรับรายนามประชาชนที่พากันเข้าชื่อเพื่อจะกราบบังคมทูลถวายฎีกา ก็ได้พบกับความยิ่งใหญ่น่าระทึกใจยิ่งนัก
ผมได้เห็นขบวนแห่ขนรายชื่อพสกนิกรจากจังหวัดต่าง ๆ นำไปมอบให้แก่ "นปช." อันเป็นองค์กรการเมืองของคนเสื้อแดง เรียงแถวกันเข้าสู่ท้องสนามหลวง แล้วถูกแห่ขึ้นไปประกาศบนเวทีด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงความลิงโลดใจ เช่นมีเสียงประกาศว่าชมรมคนรักประชาธิปไตยพัทยา ๒๙,๓๔๐ คน แนวร่วมต่อต้านเผด็จการจังหวัดน่าน ๒๓,๐๐๐ คน อย่างนี้เป็นต้น
เสียงไชโยโห่ร้อง แสดงความสมหวังดังกระหึ่มเวทีท้องสนามหลวง
ผมได้ติดตามตัวเลขด้วยความระทึกใจ นึกไม่ถึงว่าตัวเลขที่เคยได้เคยได้รับฟังจากการให้ข่าวของ นาย วีระ มุสิกพงศ์ว่าถ้าได้เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ก็จะดำเนินการถวายฎีกา แต่ถ้าได้ต่ำกว่า "หนึ่งล้าน" ก็จะยุติทันที
ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านคงได้รับทราบตัวเลขแล้วว่ามีพสกนิกรแห่เข้าชื่อขอถวายฎีกามีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคน ตัวเลขจริงอาจจะถึง "ห้าหรือหกล้านคน" ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมต้องรีบดึงเอาภูมิความรู้เกี่ยวกับ " กระบวนการปฏิวัติสังคมไทย" ขึ้นมาพิเคราะห์ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ จะจบลงอย่างไร
ทันทีที่ผมได้พิเคราะห์ (ในใจ) แล้วเสร็จ ผมชี้ขาดอยู่ในใจว่า ประเทศไทยเดินทางมาถึงทาง ๒ แพร่ง สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ อันหมายถึงสังคมไทยในเวลาอันไม่นาน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ผ่านเส้นทาง ๒ แพร่ง
หมายถึง ทางแพร่งที่ ๑ : ถ้าฝ่ายอำมาตย์เผด็จการคิดทันและ "กลับตัวทัน" ด้วยการหันหน้าเข้าหากัน พร้อมที่จะปรองดองกับคนเสื้อแดงด้วยความเต็มใจและไม่มีเงื่อนไขใด ๆ จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างสวยสดงดงาม ไม่กระทบกระเทือนต่อสถาบันของชาติ นอกจากจะไม่กระทบกระเทือนต่อสถาบันของชาติ ยังจะเป็นการ "สร้างความมั่นคงให้เป็นจริงและยั่งยืน" อีกด้วย จะทำให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ร่วมมือกันสร้างชาติ สร้างกระบวนการต่างๆในระบอบการปกครองเดิมให้เข้าสู่แนวทางประชาธิปไตยใหม่
ทางแพร่งที่ ๒ มันจะแตกต่างจากเส้นทางแพร่งที่ ๑ เนื่องจากพวกอำมาตย์เผด็จการไม่ยอมอ่อนข้อให้ พวกเขาจะดำเนินการทุกรูปแบบเพื่อจะ "แบน" ฎีกาของพสกนิกรไม่ให้ไปถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเขายังคงดื้อรั้นที่จะ "ใส่ร้ายป้ายสี" คนเสื้อแดงว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และยังคงยืนยันว่า "พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" ไม่มีความจงรักภักดีแล้วกล่าวหาต่อไปว่า ใฝ่ที่จะเป็นประธานาธิบดี ก็จะทำให้ "คนเสื้อแดง" เกิดความคับแค้นใจมากขึ้น และร้ายแรงยิ่งกว่าความแค้นในคราวก่อนๆ
หากฝ่ายอำมาตย์พากัน "เดินทางแพร่งที่ ๒" โดยมิใส่ใจว่าคนไทยควรจะใช้ความปรองดองแก้ปัญหาของชาติ
ถ้าปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อใด เมื่อนั้นจะทำให้คนเสื้อแดงแห่ออกมาทวงถามหาความเป็นธรรมร้อนแรงขึ้น อันจะเป็นผลทำให้เกิดการปะทะกับทหาร และตำรวจที่พากันจ้องจะปราบปรามอยู่แล้ว
ทั้งหลายทั้งปวง จะออกหัวหรือออกก้อย คงจะได้เห็น "แรงกระเพื่อม" ภายใน ๗-๘ วัน หรืออย่างมากไม่เกิน ๑๕ วันนับแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ นี้แหละครับ
ดังที่ผมได้วิเคราะห์เอาไว้ว่า ถ้าฝ่ายอำมาตย์เลือกทางเดินแพร่งที่ ๑ จะใช้เวลาขึ้นรูประบอบประชาธิปไตย (อย่างน้อย ๖ ปี) จึงจะทำให้โครงสร้างประชาธิปไตยเกิดเป็นความเป็นจริงขึ้นมาได้
แต่ถ้าอำมาตย์เลือกทางออกด้วยการใช้ทางแพร่งที่ ๒ จะทำให้ระยะทางขึ้นรูปประชาธิปไตยสำเร็จลงได้เร็วกว่า...(อย่างช้าไม่เกิน ๓ ปี !)
ท่านผู้อ่านครับ ผมขอกราบเรียนว่าทางแพร่งที่ ๒ นี้ จะก่อความเสียหายต่อระบอบการปกครองสุดที่จะหลีกเลียง เนื่องจากเหตุร้ายมันจะเกิดจากการปราบปราม มีการเข่นฆ่ากันขึ้น มีประชาชนล้มตาย สังเวยชีวิตให้แก่ความป่าเถื่อน เมื่อมันเป็นเช่นนี้ ประชาชนทั้งประเทศจะ "ลุกฮือ" รวมตัวกันกวาดล้างเผด็จการ ดังที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศ เข่นประเทศฝรั่งเศสเป็นต้น
ผมขออนุญาตนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนปฏิวัติ (ประเทศไทย) มาเล่าให้ฟังว่า เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้ยินยอมเข้าร่วมพัฒนาชาติไทยภายใต้คำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ ได้ทำให้ "แนวทางโค่นล้มระบอบการปกครองด้วยอาวุธ" ได้สิ้นสุดลงอย่างไม่มีวันที่จะจัดตั้งกองกำลังขึ้นมาได้อีก
การโค่นล้มอำนาจรัฐด้วยอาวุธสิ้นสภาพตั้งแต่บัดนั้น
หลังจากขบวนการปฏิวัติด้วยอาวุธพังทลายลง พรรคคอมมิวนิสต์หมดพิษสงไปจากสนามรบ ประเทศไทยกลับสู่ความสงบแต่ทว่า ความสงบที่ว่านั้น มันเป็นความสงบอันเนื่องจากประเทศไม่มีสงครามกลางเมือง แต่ความชั่วร้ายของ "นายทุน ขุนศึก ศักดินา" ยังมีอยู่
พวกอำมาตย์เผด็จการมิได้ทำการปฏิวัติสังคมในแนวทางสันติเลยไม่ว่ากรณีใด ๆ ทำให้สังคมไทยกลับเข้าสู่ยุค "อนุรักษ์นิยม" ไม่แตกต่างจากอดีต
สุดท้าย พวกเผด็จการพากันผยอง ทำการก่อรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ แล้วเอาความเท็จมากล่าวหาคนบริสุทธิ์ (พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร) ?!! ทำให้ประชาชนที่เคยได้รับอานิสงค์จากนโยบายอันวิเศษของพรรคไทยรักไทย ต่างพากันต่อต้านโดยมิหวั่นเกรงต่อภยันตรายใดๆที่พวกเผด็จการคำรามเข้าใส่
สุดท้าย ได้เกิดคนเสื้อแดง แดงทั้งแผ่นดิน
ท่านครับ ผมขอสรุปในบทที่ ๓๐ นี้ว่า "บัดนี้ คนเสื้อแดง" กำลังเดินทางมาถึงทาง ๒ แพร่งว่า ต่อไปจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งผมเชื่อว่าแพร่งที่ ๑ ได้แก่การได้รับกระแสของความปรองดองเยี่ยงพี่น้องเลือดไทยสีเดียวกัน หรือแพร่งที่ ๒ ถูกพวกอำมาตย์ปฏิเสธ
ท่านครับ ผมไม่อยากพยากรณ์อะไรเลยในตอนนี้ ผมขอทำหน้าที่เตือนอำมาตย์ทั้งหลายว่า
"ระวังจะเกิดการปฏิวัติโค่นล้มแบบถอนรากถอนโคน" ?!
ซึ่งเป็นภาษาเขียนที่ไม่เป็นมงคลเลย ท่านผู้ใดมาอ่านพบ อาจจะร้องลั่นด้วยความตกใจ แต่ถ้าผมไม่เขียนเยี่ยงนี้ ก็จะไม่มีใครนำเรื่องนี้ขึ้นมาเขียน
ขอเรียนว่า เมื่อสังคมอำมาตย์เป็นคน "กด" เอาไว้ ประชาชนที่อยู่ภายใต้การเก็บกด ย่อมจะระเบิดเปรี้ยงออกมา สุดท้ายมันจะกลายเป็นการปฏิวัติโดยประชาชน ยากที่จะยับยั้งเอาไว้ได้
ทั้งนี้ โปรดรอดูสัญญาณภายในไม่เกินวันที่ ๑๕ สิงหาคมนี้ ว่าบ้านเมืองจะออกทางแพร่งไหน ผมหวังว่าข้อเขียนนี้ จะเป็นบริบทเตือนพวกอำมาตย์ให้ครุ่นคิดก่อนจะสายเกินไป
จบบทที่ ๓๐ /สอาด จันทร์ดี
บทที่ 31 ไม่อยากเห็นไทยนองเลือดก็จะได้เห็น
บทที่ ๓๑ ตอน : ไม่อยากเห็นไทยนองเลือดก็จะได้เห็น ?!
กราบเรียนท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ทั้งที่ได้อ่านบางบทหรือรวมทั้งท่านที่ได้อ่านมาถึงบทที่๓๐ และต่อมาถึงบทที่ ๓๑ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมขอกราบเรียนว่า ผมได้พูดเอาไว้ในรายการ “เสียงประชาชน” สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม P-Channel หรือ D- Station เดิม เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๒ (ในฐานะผมเป็นพิธีกร)
โดยมีเนื้อหาว่า ถ้าฝ่ายรัฐบาลและพวกอำมาตย์ “ยอมรับฟัง” ด้วยการยื่นมือมารับหนังสือกราบบังคมทูลถวายฎีกา ไม่ขัดขวางด้วยประการทั้งปวง ก็จะทำให้ข้อขัดแย้งของคนไทยเริ่มลดความตึงเครียดลงทันตาเห็น
แต่ถ้าพวกอำมาตย์ “ไม่ยอมรับ” ไม่มีทีท่าว่าจะปรองดองกันได้ คนไทยก็จะเริ่มนับถอยหลัง หรือนับเคาน์ท์ดาวน์ [Countdown] จะออกหัวออกก้อยภายใน ๔ – ๕ วันข้างหน้านี้ จึงขอให้ทุกคนมีสติเฝ้าระวังเหตุร้าย
จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ขอความกรุณาท่านผู้อ่านโปรดติดตาม “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๑ ณ บัดนี้ครับ
ขอกล่าวว่าวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ณ ท้องสนามหลวง ! เป็นวันประวัติศาสตร์
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาเป็นคนไทยเพิ่งได้มีโอกาสถวายฎีกาแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อจะขอกราบบังคมทูลความทุกข์ร้อนของพสกนิกรให้ทรงทราบ รวมทั้งเป็นการกราบบังคมทูลขอพระราชทานโอกาสให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกการเมืองอันไม่เป็นธรรมกลั่นแกล้งเล่นงาน ถูกศาลพิพากษาให้ติดคุก ๒ ปี
การถวายฎีกาในครั้งนี้จึงนับเป็นครั้งแรกของชีวิต ผมจึงมีทั้ง ดีใจและเสียใจระคนกัน ? ! ที่ดีใจได้แก่ประเทศนี้ยังมีโอกาสได้ถวายฎีกา แต่ที่ “เสียใจ” ก็เพราะจำนวนประชาชนมากมายถึง ๕ ล้านคนพากันเทใจ ใช้เวลาไม่ถึงเดือนในการลงชื่อถวายฎีกา ก็สามารถมีจำนวนผู้คนมากเกินกว่าที่พวก “แกนนำ-นปช.”ได้ประกาศเอาไว้แต่แรก จำนวนคนที่เต็มใจลงนามมีมากมายขนาดนี้ไม่ได้ทำให้พวกเผด็จการรับรู้ปัญหา พวกเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาที่จะขัดขวางแทบว่าจะเอาเป็นเอาตาย เช่น ส่งทหารลงไปแจ้งข่าวแก่ประชาชนจนถึงบันไดบ้าน รวมไปถึงการตั้งโต๊ะให้ประชาชนพากันไปถอนชื่อทั่วประเทศ
เห็นการกระทำของพวกเผด็จการแล้วแสนจะเสียใจสิ่งที่ทำให้ผมเกิดความเสียใจมากที่สุด (แต่มันเป็นความเสียใจล่วงหน้า ) ผมไม่อยากเห็นประเทศไทย “นองเลือด” ! ผมก็จะได้เห็น ...ผมเสียใจตรงนี้
มิใช่แต่เท่านี้ หากประเทศไทยนองเลือด สถาบันหลักของชาติก็จะมีอันได้รับความบอบช้ำ จะเกิดอะไรขึ้นกับพระเจ้าแผ่นดินของเรา ผมไม่อาจพยากรณ์ได้ แต่สิ่งที่พยากรณ์ได้เลยก็คือ จะมีคนทำให้ “พระเจ้าแผ่นดิน” บอบช้ำอย่างร้ายแรง
เมื่อผมกล่าวเช่นนี้ ผมขอนำรายละเอียดมาเล่าให้ฟังนี้ ดังนี้ครับ
“ขอกล่าวว่าผู้คนในประเทศไทยได้รับประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน” กล่าวคือพวกแรก ได้แก่ นายทุน ขุนศึก ศักดินาพากันป่าวประกาศว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตยทุกอย่าง ซึ่งก็เป็นจริงตามที่พวกเขาปาวประกาศ ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อพวกเขารวย มีอำนาจ มีสติปัญญาทันสมัย พวกเขาย่อมไม่ขาดแคลนอะไรเลย พวกเขามีประชาธิปไตยในสังคมไทยครบทุกอย่าง
พวกเขาป่าวประกาศเช่นนี้ย่อมไม่ผิด
แต่ที่ผิด...ได้แก่คนอีกพวกหนึ่ง ไม่ได้รับการเอาใจใส่ ไม่มีสวัสดิการ ตกงาน ไร้อาชีพ ไม่มีที่ทำกิน ครอบครัวยากจน ตกเป็นทาสเงินกู้ ถูกสังคมนายทุน ขุนศึก และศักดินา เอารัดเอาเปรียบไม่มีความเจริญ
สรุปแล้วคนจำนวนน้อยนิดบอกว่าไทย “มี”ประชาธิปไตยแล้วแต่คนจนจำนวนมากบอกว่าไทยยัง “ไม่เป็น” ประชาธิปไตย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้พบเห็นคำ ๒ คำ คือคำว่า “มี” กับคำว่า “เป็น” ซึ่งมันแตกต่างกัน ทำให้ประชาธิปไตยในประเทศไทย จึงเป็นได้เพียง “ครึ่งใบ” เท่านั้น
ท่านครับ ผมขอรวบรัดเข้าหาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่ได้ประกาศต่อสู้กับพวกนายทุน ขุนศึก ศักดินา ถึงขั้นจัดตั้งกองทัพ ใช้แนวทาง “ยึดอำนาจรัฐด้วยอาวุธ” เริ่มลงมือยิงกับตำรวจเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๘ ที่อำเภอนาแก ต่อมา พคท.ได้เรียกการต่อสู้ในวันนั้นว่า “วันเสียงปืนแตก”
หลังจากนั้นก็ได้รุกรบกันด้วยเวลาอันยาวนาน มีคนล้มตายทั้งสองฝ่ายน่าอนาถใจยิ่ง จนกระทั่งได้มีการออกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ เกิดขึ้น ทหารป่า “ทิ้งอาวุธ” เข้ามอบตัว ทุกคนเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทยในกลางปี ๒๕๒๕ ประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกเอาไว้ว่า
กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทยได้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทยจนเกลี้ยง ทำให้ป่าทั้งป่าไม่มี กองกำลังของคอมมิวนิสต์หลงเหลืออยู่เลยประเทศไทยได้ “ตอกฝาโลง” ในเรื่องปฏิวัติด้วยอาวุธตั้งแต่บัดนั้น
ทว่า หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้ตอกฝาโลงตนเอง เอาตัวเข้ามาร่วมทำงานทั้งในฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลรวมไปถึงการเป็นพ่อค้าใหญ่ เป็นครูบาอาจารย์ และเป็นข้าราชการ ไม่เคยปรากฏว่าทหารและรัฐบาลจะพากัน “พัฒนาประชาธิปไตย” พวกเขายังคงทิ่มตำสังคม ทำตัวเป็นเจ้าพ่อมาเฟียร์ กดขี่ขูดรีดประชาชน เคยเอารัดเอาเปรียบอย่างไร ก็ยังเอารัดเอาเปรียบเหมือนเดิม ร้ายที่สุดได้แก่การ “ยึดอำนาจ” ไม่รู้จักจบสิ้น (๑๙ กย./๔๙) !
ยึดอำนาจยังไม่พอ ยังได้สวมวิญญาณชั่ว ใช้วิธีการใส่ร้ายป้ายสีเล่นงานคนดี ใส่ความว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี อันเป็นข้อหา “ร้ายกาจรุนแรงและแสนชั่ว” ประหนึ่งถูกจับมัดตราสังข์เอามีดสับ แล้วเอาเกลือทาก็ไม่ปาน
พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูกฆ่าให้ตายทั้งเป็น !ประชาชนเขารู้ และเขาเข้าใจว่า ทักษิณ เป็นคนดี เป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนเก่งของแผ่นดิน สามารถแก้ไขไปปัญหา “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ได้ในระดับหนึ่ง กำลังจะแก้ได้เป็นอย่างดี ก็มีอันถูกพวก “เผด็จการถลุงจนป่นปี้” จึงพากันเจ็บใจแสนสาหัส
เมื่อนายวิระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ออกข่าวป่าวประกาศว่าจะถวายฎีกา ๑ ล้านคน จึงมีผู้คนหลั่งไหลแสดงตนขอเข้าร่วมถวายฎีกามากมายเกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้หลายเท่าตัว
ทว่า...เมื่อวันเวลาเดินทางถึง ๓๑ กรกฎาคม/๕๒?สิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้น แทบไม่น่าเชื่อว่า “ทหารและรัฐบาล” ได้พากัน " ต่อต้าน”อย่างเอาเป็นเอาตาย จนสรุปได้ในวันนี้ (๓ สิงหาคม/๕๒) ว่าพวกอำมาตย์ไม่สนับสนุนการถวายฎีกาไม่ว่ากรณีใด ๆ ทำให้ตัวผมกล้าที่จะพยากรณ์ ออกมาว่า สงสัยประเทศไทยจะไม่พ้นการนองเลือด
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมมีเหตุผลสนับสนุนขอรับ
เหตุผลมีอยู่ว่าโนโลกมนุษย์นี้ ไม่ว่าการเมืองหรือศาสนา จะเกิดการ โค่นล้มสิ่งที่คร่ำครึเก่าแก่ให้หมดไปด้วยการ“ปฏิวัติ”[Revolution] ดังที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกก เหตุผลของ การปฏิวัติเกิดมาจากการ “เปลี่ยนผ่าน“ตามกาลเวลา อันไม่อาจระงับยับยั้ง เอาไว้ได้ซึ่งตรงกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนาว่า “ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน”
การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เหตุผลในการเปลี่ยนแปลงก็เพื่อจะแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้ดีกว่า จะจัดระเบียบสังคมใหม่ให้ทันกับสังคมที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนผ่าน เกิดขึ้นได้ ๒ วิธี
หนึ่ง ! เปลี่ยนผ่านโดยการถูกโค่นล้มด้วยกำลังอาวุธ
สอง ! เปลี่ยนผ่านด้วยวิธีการสันติวิธี
สำหรับประเทศไทยของเรานั้น การเปลี่ยนผ่านตามข้อหนึ่งได้ “มอดดับ”ลงอย่างสิ้นเชิงการปฏิวัติด้วยอาวุธ ถูกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ ตอกฝาโลงสิ้นสภาพไปแล้ว
เหลืออยู่แต่อย่างที่ “สอง” ได้เข้ามาเป็นป้อมปราการประเภทใหม่ จะทำให้ประเทศไทยไม่อาจ “หลีกหนี” การเปลี่ยนผ่านได้ แต่การเปลี่ยนผ่านในวิธีนี้มีอยู่ ๒ ประการที่แตกต่างกัน ได้แก ่(๑) เปลี่ยนผ่านด้วยวิธีการ “นุ่มนวล” และ (๒) เปลี่ยนผ่านด้วยวิธีการร้ายกาจรุนแรง
คำอธิบายของเรื่องนี้มีอยู่ว่า ถ้าเป็นการโค่นล้มด้วยอาวุธ ผู้โค่นล้มเป็นผู้กำหนดชัยชนะสงคราม เมื่อสังคมเก่าพ่ายแพ้ ความเลวร้ายจึงจะยุติลง แต่การเปลี่ยนผ่านด้วยสันติวิธีนั้น แตกต่างกัน กล่าวคือผู้ขอ (คนเสื้อแดง)ไม่ใช่ผู้กำหนดเป้าหมาย แต่ผู้ให้ (อำมาตย์และรัฐบาล) เป็นผู้ชี้ขาดสถานการณ์ อันหมายถึงถ้าให้แต่โดยดี ทุกอย่างก็จะจบลงแต่โดยดี
แต่ถ้า “ปฏิเสธ” ก็จะเกิดการต่อสู้กันขึ้นทั้งในเมืองและนอกเมือง ถึงเวลานั้นก็จะเกิดการปะทะ และการเข่นฆ่ากันขึ้น อันจะเป็นต้นเหตุของการนองเลือดระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน ถ้าประเทศไทย “นองเลือด” ร้ายกาจรุนแรง มันจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง [Civil War]
เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นใน อเมริกาในปี ๑๘๖๑ – ๑๘๖๕ รวมเวลา ๔ ปี และได้เกิดเหตุอย่างนี้ในรัสเซียปี ๑๙๐๓ – ๑๙๑๘ เกิดในจีนปี ๑๙๔๙ - ๑๙๕๒ !เกิดในลาว เขมร เวียดนาม ปี ๒๕๑๘ (๑๙๗๕) !
ผมเห็นบทบาทของอำมาตย์และเผด็จการ ณ เวลานี้ที่ออกคำสั่งไปยังกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อบต. ทั่วประเทศ (๔ สิงหาคม/๕๒) ให้คนไทยทุกคน “สวมใส่” เสื้อเหลือง ออกมาคัดค้านการถวายฎีกา แล้วถ่ายรูป ส่งกระทรวงมหาดไทย เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่เห็นด้วยกับการยื่นถวายฎีกา ทางกระทรวงมหาดไทยจะได้ แสดงพลังให้ชาวโลกดู หรือไม่ก็ทำข่าวให้โด่งดังทั่วโลก อันเป็นวิธีการแก้ปัญหาในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
ท่านผู้อ่านครับ ผมได้รับข่าวค่อนข้างเชื่อถือได้ ข่าวไม่เหลวไหลอย่างแน่นอน กระทรวงมหาดไทยสั่งการว่า หากผู้ใดขัดขืน ให้ตำหนิ ติเตียน ตัดเงินเดือน !ลงโทษให้เข็ดหลาบ ?
ผมนั่งตัวเย็นเฉียบ นึกไม่ถึงว่าประเทศไทยจะใช้วิธีการเช่นนี้แก้ปัญหาผมเกิดความเสียใจล่วงหน้า เพราะเชื่อว่าปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ประเทศไทย คงไม่พันการนองเลือดเป็นแน่.. ?!
จบบทที่ ๓๑ สอาด จันทร์ดี
กราบเรียนท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ทั้งที่ได้อ่านบางบทหรือรวมทั้งท่านที่ได้อ่านมาถึงบทที่๓๐ และต่อมาถึงบทที่ ๓๑ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมขอกราบเรียนว่า ผมได้พูดเอาไว้ในรายการ “เสียงประชาชน” สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม P-Channel หรือ D- Station เดิม เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๒ (ในฐานะผมเป็นพิธีกร)
โดยมีเนื้อหาว่า ถ้าฝ่ายรัฐบาลและพวกอำมาตย์ “ยอมรับฟัง” ด้วยการยื่นมือมารับหนังสือกราบบังคมทูลถวายฎีกา ไม่ขัดขวางด้วยประการทั้งปวง ก็จะทำให้ข้อขัดแย้งของคนไทยเริ่มลดความตึงเครียดลงทันตาเห็น
แต่ถ้าพวกอำมาตย์ “ไม่ยอมรับ” ไม่มีทีท่าว่าจะปรองดองกันได้ คนไทยก็จะเริ่มนับถอยหลัง หรือนับเคาน์ท์ดาวน์ [Countdown] จะออกหัวออกก้อยภายใน ๔ – ๕ วันข้างหน้านี้ จึงขอให้ทุกคนมีสติเฝ้าระวังเหตุร้าย
จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ขอความกรุณาท่านผู้อ่านโปรดติดตาม “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๑ ณ บัดนี้ครับ
ขอกล่าวว่าวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ณ ท้องสนามหลวง ! เป็นวันประวัติศาสตร์
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาเป็นคนไทยเพิ่งได้มีโอกาสถวายฎีกาแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อจะขอกราบบังคมทูลความทุกข์ร้อนของพสกนิกรให้ทรงทราบ รวมทั้งเป็นการกราบบังคมทูลขอพระราชทานโอกาสให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกการเมืองอันไม่เป็นธรรมกลั่นแกล้งเล่นงาน ถูกศาลพิพากษาให้ติดคุก ๒ ปี
การถวายฎีกาในครั้งนี้จึงนับเป็นครั้งแรกของชีวิต ผมจึงมีทั้ง ดีใจและเสียใจระคนกัน ? ! ที่ดีใจได้แก่ประเทศนี้ยังมีโอกาสได้ถวายฎีกา แต่ที่ “เสียใจ” ก็เพราะจำนวนประชาชนมากมายถึง ๕ ล้านคนพากันเทใจ ใช้เวลาไม่ถึงเดือนในการลงชื่อถวายฎีกา ก็สามารถมีจำนวนผู้คนมากเกินกว่าที่พวก “แกนนำ-นปช.”ได้ประกาศเอาไว้แต่แรก จำนวนคนที่เต็มใจลงนามมีมากมายขนาดนี้ไม่ได้ทำให้พวกเผด็จการรับรู้ปัญหา พวกเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาที่จะขัดขวางแทบว่าจะเอาเป็นเอาตาย เช่น ส่งทหารลงไปแจ้งข่าวแก่ประชาชนจนถึงบันไดบ้าน รวมไปถึงการตั้งโต๊ะให้ประชาชนพากันไปถอนชื่อทั่วประเทศ
เห็นการกระทำของพวกเผด็จการแล้วแสนจะเสียใจสิ่งที่ทำให้ผมเกิดความเสียใจมากที่สุด (แต่มันเป็นความเสียใจล่วงหน้า ) ผมไม่อยากเห็นประเทศไทย “นองเลือด” ! ผมก็จะได้เห็น ...ผมเสียใจตรงนี้
มิใช่แต่เท่านี้ หากประเทศไทยนองเลือด สถาบันหลักของชาติก็จะมีอันได้รับความบอบช้ำ จะเกิดอะไรขึ้นกับพระเจ้าแผ่นดินของเรา ผมไม่อาจพยากรณ์ได้ แต่สิ่งที่พยากรณ์ได้เลยก็คือ จะมีคนทำให้ “พระเจ้าแผ่นดิน” บอบช้ำอย่างร้ายแรง
เมื่อผมกล่าวเช่นนี้ ผมขอนำรายละเอียดมาเล่าให้ฟังนี้ ดังนี้ครับ
“ขอกล่าวว่าผู้คนในประเทศไทยได้รับประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน” กล่าวคือพวกแรก ได้แก่ นายทุน ขุนศึก ศักดินาพากันป่าวประกาศว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตยทุกอย่าง ซึ่งก็เป็นจริงตามที่พวกเขาปาวประกาศ ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อพวกเขารวย มีอำนาจ มีสติปัญญาทันสมัย พวกเขาย่อมไม่ขาดแคลนอะไรเลย พวกเขามีประชาธิปไตยในสังคมไทยครบทุกอย่าง
พวกเขาป่าวประกาศเช่นนี้ย่อมไม่ผิด
แต่ที่ผิด...ได้แก่คนอีกพวกหนึ่ง ไม่ได้รับการเอาใจใส่ ไม่มีสวัสดิการ ตกงาน ไร้อาชีพ ไม่มีที่ทำกิน ครอบครัวยากจน ตกเป็นทาสเงินกู้ ถูกสังคมนายทุน ขุนศึก และศักดินา เอารัดเอาเปรียบไม่มีความเจริญ
สรุปแล้วคนจำนวนน้อยนิดบอกว่าไทย “มี”ประชาธิปไตยแล้วแต่คนจนจำนวนมากบอกว่าไทยยัง “ไม่เป็น” ประชาธิปไตย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้พบเห็นคำ ๒ คำ คือคำว่า “มี” กับคำว่า “เป็น” ซึ่งมันแตกต่างกัน ทำให้ประชาธิปไตยในประเทศไทย จึงเป็นได้เพียง “ครึ่งใบ” เท่านั้น
ท่านครับ ผมขอรวบรัดเข้าหาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่ได้ประกาศต่อสู้กับพวกนายทุน ขุนศึก ศักดินา ถึงขั้นจัดตั้งกองทัพ ใช้แนวทาง “ยึดอำนาจรัฐด้วยอาวุธ” เริ่มลงมือยิงกับตำรวจเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๘ ที่อำเภอนาแก ต่อมา พคท.ได้เรียกการต่อสู้ในวันนั้นว่า “วันเสียงปืนแตก”
หลังจากนั้นก็ได้รุกรบกันด้วยเวลาอันยาวนาน มีคนล้มตายทั้งสองฝ่ายน่าอนาถใจยิ่ง จนกระทั่งได้มีการออกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ เกิดขึ้น ทหารป่า “ทิ้งอาวุธ” เข้ามอบตัว ทุกคนเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทยในกลางปี ๒๕๒๕ ประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกเอาไว้ว่า
กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทยได้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทยจนเกลี้ยง ทำให้ป่าทั้งป่าไม่มี กองกำลังของคอมมิวนิสต์หลงเหลืออยู่เลยประเทศไทยได้ “ตอกฝาโลง” ในเรื่องปฏิวัติด้วยอาวุธตั้งแต่บัดนั้น
ทว่า หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้ตอกฝาโลงตนเอง เอาตัวเข้ามาร่วมทำงานทั้งในฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลรวมไปถึงการเป็นพ่อค้าใหญ่ เป็นครูบาอาจารย์ และเป็นข้าราชการ ไม่เคยปรากฏว่าทหารและรัฐบาลจะพากัน “พัฒนาประชาธิปไตย” พวกเขายังคงทิ่มตำสังคม ทำตัวเป็นเจ้าพ่อมาเฟียร์ กดขี่ขูดรีดประชาชน เคยเอารัดเอาเปรียบอย่างไร ก็ยังเอารัดเอาเปรียบเหมือนเดิม ร้ายที่สุดได้แก่การ “ยึดอำนาจ” ไม่รู้จักจบสิ้น (๑๙ กย./๔๙) !
ยึดอำนาจยังไม่พอ ยังได้สวมวิญญาณชั่ว ใช้วิธีการใส่ร้ายป้ายสีเล่นงานคนดี ใส่ความว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี อันเป็นข้อหา “ร้ายกาจรุนแรงและแสนชั่ว” ประหนึ่งถูกจับมัดตราสังข์เอามีดสับ แล้วเอาเกลือทาก็ไม่ปาน
พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูกฆ่าให้ตายทั้งเป็น !ประชาชนเขารู้ และเขาเข้าใจว่า ทักษิณ เป็นคนดี เป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนเก่งของแผ่นดิน สามารถแก้ไขไปปัญหา “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ได้ในระดับหนึ่ง กำลังจะแก้ได้เป็นอย่างดี ก็มีอันถูกพวก “เผด็จการถลุงจนป่นปี้” จึงพากันเจ็บใจแสนสาหัส
เมื่อนายวิระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ออกข่าวป่าวประกาศว่าจะถวายฎีกา ๑ ล้านคน จึงมีผู้คนหลั่งไหลแสดงตนขอเข้าร่วมถวายฎีกามากมายเกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้หลายเท่าตัว
ทว่า...เมื่อวันเวลาเดินทางถึง ๓๑ กรกฎาคม/๕๒?สิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้น แทบไม่น่าเชื่อว่า “ทหารและรัฐบาล” ได้พากัน " ต่อต้าน”อย่างเอาเป็นเอาตาย จนสรุปได้ในวันนี้ (๓ สิงหาคม/๕๒) ว่าพวกอำมาตย์ไม่สนับสนุนการถวายฎีกาไม่ว่ากรณีใด ๆ ทำให้ตัวผมกล้าที่จะพยากรณ์ ออกมาว่า สงสัยประเทศไทยจะไม่พ้นการนองเลือด
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมมีเหตุผลสนับสนุนขอรับ
เหตุผลมีอยู่ว่าโนโลกมนุษย์นี้ ไม่ว่าการเมืองหรือศาสนา จะเกิดการ โค่นล้มสิ่งที่คร่ำครึเก่าแก่ให้หมดไปด้วยการ“ปฏิวัติ”[Revolution] ดังที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกก เหตุผลของ การปฏิวัติเกิดมาจากการ “เปลี่ยนผ่าน“ตามกาลเวลา อันไม่อาจระงับยับยั้ง เอาไว้ได้ซึ่งตรงกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนาว่า “ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน”
การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เหตุผลในการเปลี่ยนแปลงก็เพื่อจะแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้ดีกว่า จะจัดระเบียบสังคมใหม่ให้ทันกับสังคมที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนผ่าน เกิดขึ้นได้ ๒ วิธี
หนึ่ง ! เปลี่ยนผ่านโดยการถูกโค่นล้มด้วยกำลังอาวุธ
สอง ! เปลี่ยนผ่านด้วยวิธีการสันติวิธี
สำหรับประเทศไทยของเรานั้น การเปลี่ยนผ่านตามข้อหนึ่งได้ “มอดดับ”ลงอย่างสิ้นเชิงการปฏิวัติด้วยอาวุธ ถูกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ ตอกฝาโลงสิ้นสภาพไปแล้ว
เหลืออยู่แต่อย่างที่ “สอง” ได้เข้ามาเป็นป้อมปราการประเภทใหม่ จะทำให้ประเทศไทยไม่อาจ “หลีกหนี” การเปลี่ยนผ่านได้ แต่การเปลี่ยนผ่านในวิธีนี้มีอยู่ ๒ ประการที่แตกต่างกัน ได้แก ่(๑) เปลี่ยนผ่านด้วยวิธีการ “นุ่มนวล” และ (๒) เปลี่ยนผ่านด้วยวิธีการร้ายกาจรุนแรง
คำอธิบายของเรื่องนี้มีอยู่ว่า ถ้าเป็นการโค่นล้มด้วยอาวุธ ผู้โค่นล้มเป็นผู้กำหนดชัยชนะสงคราม เมื่อสังคมเก่าพ่ายแพ้ ความเลวร้ายจึงจะยุติลง แต่การเปลี่ยนผ่านด้วยสันติวิธีนั้น แตกต่างกัน กล่าวคือผู้ขอ (คนเสื้อแดง)ไม่ใช่ผู้กำหนดเป้าหมาย แต่ผู้ให้ (อำมาตย์และรัฐบาล) เป็นผู้ชี้ขาดสถานการณ์ อันหมายถึงถ้าให้แต่โดยดี ทุกอย่างก็จะจบลงแต่โดยดี
แต่ถ้า “ปฏิเสธ” ก็จะเกิดการต่อสู้กันขึ้นทั้งในเมืองและนอกเมือง ถึงเวลานั้นก็จะเกิดการปะทะ และการเข่นฆ่ากันขึ้น อันจะเป็นต้นเหตุของการนองเลือดระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน ถ้าประเทศไทย “นองเลือด” ร้ายกาจรุนแรง มันจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง [Civil War]
เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นใน อเมริกาในปี ๑๘๖๑ – ๑๘๖๕ รวมเวลา ๔ ปี และได้เกิดเหตุอย่างนี้ในรัสเซียปี ๑๙๐๓ – ๑๙๑๘ เกิดในจีนปี ๑๙๔๙ - ๑๙๕๒ !เกิดในลาว เขมร เวียดนาม ปี ๒๕๑๘ (๑๙๗๕) !
ผมเห็นบทบาทของอำมาตย์และเผด็จการ ณ เวลานี้ที่ออกคำสั่งไปยังกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อบต. ทั่วประเทศ (๔ สิงหาคม/๕๒) ให้คนไทยทุกคน “สวมใส่” เสื้อเหลือง ออกมาคัดค้านการถวายฎีกา แล้วถ่ายรูป ส่งกระทรวงมหาดไทย เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่เห็นด้วยกับการยื่นถวายฎีกา ทางกระทรวงมหาดไทยจะได้ แสดงพลังให้ชาวโลกดู หรือไม่ก็ทำข่าวให้โด่งดังทั่วโลก อันเป็นวิธีการแก้ปัญหาในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
ท่านผู้อ่านครับ ผมได้รับข่าวค่อนข้างเชื่อถือได้ ข่าวไม่เหลวไหลอย่างแน่นอน กระทรวงมหาดไทยสั่งการว่า หากผู้ใดขัดขืน ให้ตำหนิ ติเตียน ตัดเงินเดือน !ลงโทษให้เข็ดหลาบ ?
ผมนั่งตัวเย็นเฉียบ นึกไม่ถึงว่าประเทศไทยจะใช้วิธีการเช่นนี้แก้ปัญหาผมเกิดความเสียใจล่วงหน้า เพราะเชื่อว่าปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ประเทศไทย คงไม่พันการนองเลือดเป็นแน่.. ?!
จบบทที่ ๓๑ สอาด จันทร์ดี
บทที่ 32 หนังสือเตือนภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ 1
บทที่ ๓๒ หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ ?!
กราบเรียนท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ที่ได้อ่าน ข้อเขียนของผมผ่านไปแล้วหลายบท และกำลังอ่านมาถึงบทที่ ๓๒ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมขอกราบเรียนว่า ผมได้ กลั่นกรองวิชาความรู้เอามาเขียน มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเผยแพร่ ให้แก่ชนชั้นสูงทุกท่านอยากให้ท่านให้มีดวงตาเห็นธรรม
โดยเฉพาะคือสามารถมองเห็นมูลเหตุที่ทำให้ “ประชาธิปไตยมีปัญหา” เพื่อว่า เมื่อทราบมูลเหตุแล้ว ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้
มูลเหตุทั้งหลายเกิดจากคนมันชั่ว
(๑) นายทุนชั่ว
(๒) ขุนศึกชั่ว
(๓) ศักดินาชั่ว
ผมยึดมูลเหตุทั้ง ๓ เอามาเป็นเรือนร่างของทำ “วิภาคภาคี”รวมทั้งวิพากย์ไปสู่การวิภาคและกลับกันในรูป “วิภาควิธีไปสู่การ วิพากย์นิยม” เพื่อจะกรองแนวคิดให้เป็นประชาธิปไตยของคนไทย ทั้งชาติ มิใช่เชิดชูชนกลุ่มน้อยหรือยกย่องปัจเจกเผด็จการอีกต่อไป
ผมจึงพยายามสร้างงานภายใต้โครงการ “ใบปลิวกู้ชาติ” ผ่าน “ลุงผึ้ง@เสรีชน” แล้วนำออกเผยแพร่สู่นักคิด นักปฏิวัติ นักการเมือง และท่านผู้อ่านทั้งหลายที่เป็นคนไทย ทั้งในประเทศไทย และตระเวนอยู่ในดินแดนของประเทศอื่นทั่วโลก
ผมยอมเหน็ดเหนื่อย ทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทน เสียเวลา ทำมาหากินถึงร้อยละ ๖๐ ด้วยการ เอาตัวเข้ามานั่งอยู่หน้าจอ เปิดสมองใจ สมองความคิด ส่งออกความปรารถนาดี หวังจะให้ถึง บุคคลต่างๆในสังคมชั้นสูง รวมไปถึงได้เข้าถึง “คนที่รักชาติ” แบบวันต่อวัน จะได้ช่วยกันรับรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับประเทศไทย อันเป็นที่รักยิ่งของเรา
ผมขอเรียนว่าอย่าปล่อยให้ตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอม สลัดแอกเผด็จการออกจากหัวใจ ถ้าพากันเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่อาจก้าวพ้น ไปจากบ่วงที่มัดเราตรึงเอาไว้กับแท่งศิลา
เราต้องพัฒนาจิตใจของเรา อย่าเอาเยี่ยงอย่างพวกเผด็จการ
ชนชั้นผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมเสียสละแม้แต่น้อย ก็ย่อม จะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดภัยพิบัติแก่ประเทศชาติบ้านเมือง สุดที่จะ
หลีกเลี่ยงได้ ? และคำว่า “สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้” มันหมายถึงไม่มีทาง เลี่ยง เนื่องจากประชาชน “คนเสื้อแดง” เขาสู้เพื่อความถูกต้อง สู้เพื่อ ความยุติธรรม และสู้กับอำนาจ “เผด็จการ” ที่พวกชนชั้นผู้ปกครอง หลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก
เมื่อเข้าใจผิดอยู่เช่นนี้ ย่อมไม่มีหนทางไหนที่จะเลี่ยงการ เผชิญหน้ากันได้
เมื่อคนไทย “เผชิญหน้ากัน” ภายใต้ความเข้าใจผิด มันหมายถึง การเป็น “อริ” ของกันและกัน หากยังขืนปล่อยให้ความเป็นอริ [Enemy] กุมสภาพจิตใจของประชาชนอยู่ต่อไป ย่อมจะไม่พ้น การปะทะ เมื่อปะทะกัน ก็ยิ่งจะเพิ่มความเก็บกด และจะขยาย ไปสู่สงครามคนในชาติเดียวกัน และสุดท้ายมันจะกลายเป็น ซีวิล วอร์ [Civil War] แปลว่า “สงครามกลางเมือง” !
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเริ่มต้นเขียนหนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ ส่งมายังท่านที่เกี่ยวข้องในกรณีการรับหรือไม่รับการถวายฎีกา ของคนเสื้อแดง ซึ่งหมายถึง “อำมาตย์” และรัฐบาลผู้ปกครองประเทศ อยู่ในขณะนี้
ถ้าพวกอำมาตย์ “ไม่ยอมรับ” ไม่มีทีท่าว่าจะปรองดองกันได้ ซึ่งผมได้กล่าวเอาไว้ในใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๑ ว่าคนไทยก็จะเริ่มนับ ถอยหลัง หรือนับเคาน์ทดาวน์ [Countdown] ว่าจะออกหัว ออกก้อยไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง จะทำให้เราได้รู้ทิศทางที่มันจะเป็นไป ภายใน ๔ – ๕ วันข้างหน้านี้ แล้วผมก็ได้บอกเอาไว้อีกว่า “จึงขอให้ทุก คนมีสติเฝ้าระวังเหตุร้าย” ?!
คำว่านับถอยหลัง เป็นคำอันตราย เพราะมันหมายถึงคนไทย เริ่มนับถอยหลังตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ว่าอีกไม่ช้าไม่นาน คนในชาติจะมีเหตุร้ายถึงขั้นเข่นฆ่ากันเอง ซึ่งเป็นเรื่องอันไม่พึง ปรารถนา
เหตุร้ายอาจจะเกิดภายในปี ๒๕๕๒ นี้ หรือว่าจะไปร้ายแรงเอาในปี ๒๕๕๓ ซึ่งผมคาดเดาว่าไม่เกิน ๑๔ – ๑๕ เดือนข้างหน้า ?!!
หากบ้านเมืองหนีไม่พ้นภัยพิบัติในระยะที่ผมคาดเดา ภาพของ ประเทศไทยในอีก ๑ หรือ ๒ ปีข้างหน้า ย่อมจะเป็นขาลงอย่างร้ายแรง ที่สุด เพราะมันจะเป็นขาลงที่มี “เผด็จการ” เป็นต้น เหตุของตัวปัญหา (นายทุน-ขุนศึก – ศักดินา ) ดังที่ผมได้ขึ้นต้นเอาไว้
มีคำถามว่าเหตุไรจึงเน้นนักเน้นหนา กล่าวหา “นายทุน ขุนศึก ศักดินา” หากเน้นอย่างนี้จะไม่เป็นการ “ยอมรับทฤษฎีชี้นำที่ฝ่าย คอมมิวนิสต์ทำขึ้นดอกหรือ” ?
คำตอบก็คือ คอมมิวนิสต์เขาเสนอมูลเหตุทั้ง ๓ ประการนี้ บนฐานข้อมูลที่เป็นความจริง อันหมายถึง พคท. มิได้อ่านโจทก์ผิด คอมมิวนิสต์ชี้ปัญหา (อาการโรคของประเทศ) ได้ถูกต้อง
แต่ที่ พคท. ยุติการสู้รบภายใต้ตำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ จึงทำให้ดู ประหนึ่งว่า คอมมิวนิสต์ผิดพลาด จึงรบไม่ชนะ แท้ที่จริง คอมมิวนิสต์ มิได้พ่ายแพ้ หากแต่พวกเขาได้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทยต่างหาก แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เพราะฝ่ายทหารครอบงำ ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทำให้ฝ่ายทหาร (ย่ามใจ) ไม่มีใครมองเห็นตัวปัญหาว่ามันยังอยู่ ตรงกันข้าม ทหารกลับเป็นผู้ประคับประคองให้นายทุน ขุนศึก ศักดินา (ศักดินามิได้หมายถึงองค์พระประมุข) มีโอกาสใช้อำนาจเผด็จการ หนักข้อยิ่งขึ้น การบริหารราชการแผ่นดินจึงล้มเหลว
เมื่อการบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว บวกกับการวางแผน ทำลายคนอื่นด้วยความอคติ(ไม่เป็นธรรม) โดยตัวของคนที่ถูกทำลาย มิได้ทำความผิดใด ๆ เลย
ยิ่งคนผู้นั้นได้พิสูจน์ฝีไม้ลายมือให้เห็นว่า เขาเป็นคนเก่ง มีความสามารถสูง (พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร) มันได้ทำให้ประชาชน ที่ไม่เคยรวมตัวประท้วงเพื่อจะช่วยเหลือนักการเมืองมาก่อน ก็ได้เกิด ปรากฏการณ์ให้เห็นกับตาว่า ได้มีมวลมหาประชาชน แห่ออกมาเรียกร้อง เรือนหมื่นเรือนแสน
และสุดท้ายพวกเผด็จการได้ใช้อาวุธร้ายแรงปราบปรามประชาชน ด้วยความป่าเถื่อนอย่างไม่น่าเชื่อว่าเผด็จการจะกล้ากระทำกับคน ในชาติเดียวกันได้ลงคอ ...แต่พวกเขาก็ทำทารุณ ปรากฏเป็นภาพ ฉาวโฉ่ไปทั่วโลก !
เหตุการณ์ สงกรานต์เลือด ๑๐ – ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ !
ดังที่อธิบายมา เป็นการตอบโจทก์ว่า เหตุไรจึงถือว่า ทฤษฎีชี้นำ ของ พคท. เป็นตัวปัญหาของชาติ แล้วยังคงถือว่าทฤษฎีชี้นำนี้ถูกต้อง
ใช่...เหตุที่ถือว่า พคท. ใช้ทฤษฎีชี้นำเช่นนี้ถูกต้อง ก็เพราะฝ่าย เผด็จการมิได้จัดการแก้ไขปัญหาของชาติเลย ตรงกันข้าม ฝ่ายเผด็จการ กลับทำตัวเป็นผู้อุปการะให้อำนาจเถื่อนยังคงยึดครองความมีอิทธิพล ไปทุกหย่อมหญ้า เกิดความไม่เป็นธรรมตั้งแต่ระดับกำนันผู้ใหญ่บ้าน ขึ้นไปถึงสภานิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ?!
เมื่อมันเป็นเช่นนี้ สภาพของความร่มเย็นก็มีอันเดินทางถึง จุดเปลี่ยน เปลี่ยนจากความร่มรื่น เป็นความขัดแย้ง เพิ่มจากความขัดแย้ง เป็นความสับสนวุ่นวาย และท้ายสุดมันได้เกิดการต่อสู้กันขึ้น
ขอกล่าวอีกว่า วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ณ ท้องสนามหลวง ! เป็นวันประวัติศาสตร์ แล้วจะกลายเป็นวันของการร้อยถัก “จิ๊กซอว์” ให้เหตุการณ์มันร้อยเป็นพวงเดียวกัน อันจะถูกจัดตั้งอย่างเป็นกระบวน
ต่างฝ่ายต่างจัดตั้ง ! พวกเสื้อเหลืองประกาศรวมผลอย่างขมีขมัน พวกเผด็จการ (ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และรัฐบาล ปชป.) เร่งทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อจะจัดกระบวนทัพเอาออกมาต่อต้าน คนเสื้อแดง โดยลืมไปว่า คนเสื้อแดงเขาไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับคน ในชาติเดียวกัน คนเสื้อแดงเขาต้องการความเป็นธรรม
จึงนับเป็น ครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาเป็นคนไทยเพิ่งจะได้พบเห็นความขัดแย้งของคนชาติอันเกิดจากรัฐบาล และพวกเผด็จการปัญญาอ่อน พร้อมใจกัน “จัดทัพ” เพื่อจะยับยั้งการร้องขอความเป็นธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่ผิดที่ผมจะเขียนหนังสือเดือน :ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ !
ผมขอเรียนว่าผมไม่ได้มีความสุขในการได้เขียน ผมรู้สึกหดหู่ใจเพราะขณะนี้ที่กำลังเขียนใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้ (บทที่ ๓๒) ผมได้รับโทรศัพท์จากต่างจังหวัดจนตอบไม่ทัน
สรุปได้ความว่าการส่งรายชื่อ “ผู้ถวายฎีกา” แทนที่จะหยุด แต่จะมีผู้คนพากันแห่ถวายฎีกาอีกระลอกใหญ่
คราวนี้ จะก่อให้เกิดการวัดดวงขึ้นในประเทศว่า ระหว่างเผด็จการกับคนเสื้อแดง ใครจะมีมหาประชาชนมากกว่ากัน และหากแม้นว่าพวกเผด็จการเกิดบ้าระห่ำ บุกทำร้ายประชาชนเมื่อใด เมื่อนั้นสงครามอันไม่พึงปรารถนาจะระเบิดขึ้น
อนิจจา ! ประเทศไทยจะเกิดสงครามกลางเมือง ?!
ขอกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านที่เคารพว่า สถานการณ์ของประเทศไทยมิได้หลุดรอดไปจากการสังเกตการณ์ของชาวโลก แท้ที่จริง “ชาวโลก” ได้เฝ้าสังเกตเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง มิได้เกิดจากปัญหาข้าวยากหมากแพง มิได้เกิดจากชาวนาไม่ยอมทำนา แต่ปัญหาความขัดแย้งเกิดจาก “ชนชั้นสูงใช้อำนาจเผด็จการ กระทำต่อผู้คนในประเทศด้วยความไม่เป็นธรรม”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวโลกก็จะพากันประณามประเทศไทย และพากัน “บอยคอต” ประเทศไทยดังที่ได้บอยคอตหลายประเทศในโลก
เรื่องที่ผมคาดเดาเช่นนี้มิใช่ตีตนไปก่อนไข้ แต่มันจะเป็นจริงเนื่องจากข้างในตับไตไส้พุงของประเทศไทยกำลังก่อโรคมะเร็งร้าย แต่มันมิใช่มะเร็งร้ายแบบต้องฉายแสง แต่มันมะเร็งร้ายอันเกิดจาก“มิจฉาทิฐิ” กล่าวคือเผด็จการพากันเห็นผิดเป็นชอบ แม้ใกล้จะเกิดการ“นองเลือด” ยังมิได้หวั่นวิตกแต่ประการใด
ผมยังขอยืนยันว่ามีความเสียใจ “ล่วงหน้า” ดังที่ได้เขียนไว้ในบทที่ ๓๑ ผมไม่อยากเห็นประเทศไทย “นองเลือด” !แต่ผมก็จะได้เห็น ...ผมเสียใจตรงนี้
ใครไม่อยากเห็นก็จะได้เห็น ?!
ผมได้กล่าวเอาไว้ว่า มิใช่แต่เท่านี้ หากประเทศไทยนองเลือดสถาบันหลักของชาติก็จะมีอันได้รับความบอบช้ำ (อันหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย) ! จะเกิดอะไรขึ้นกับพระเจ้าแผ่นดินของเรา ผมไม่อาจพยากรณ์ได้
แต่สิ่งที่เดาได้เลยก็คือ จะมีคนทำให้ “พระเจ้าแผ่นดิน” อันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนคนไทมได้รับความบอบช้ำอย่างร้ายแรง !
ผมขอขยายความต่อไปว่า “ความมั่นคงของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม” ตั้งอยู่บนหัวอกของคนไทยทั้งชาติ มิใช่ตั้งอยู่ได้โดย “บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง” อย่างแน่นอน
พูดให้ชัด ถ้าคนไทยทั้งชาติต้องการพระเจ้าแผ่นดิน ย่อมหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ หรือ ๑๐ หรือ ๑๑ หรือสืบต่อไปข้างหน้า ก็จะมีอยู่อย่างไม่สิ้นสุด
แต่ปัญหาในวันนี้ ได้มีบุคคลกลุ่มหนึ่ง (พวกเผด็จการกลุ่มเดิมๆ)ได้ใช้กลยุทธ์ยุแยงตะแคงรั่ว แยกคนไทยเป็น ๒ ฝ่าย ด้วยการยกย่องฝ่ายหนึ่งว่ารักเจ้า แล้วกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าไม่มีความจงรักภักดี คนกลุ่มนี้กล่าวหา ตอกย้ำ และใส่ร้ายป้ายสี มุ่งมั่นที่จะขยายผลให้เกิดความบาดหมางอย่างร้ายแรงขึ้นในชาติให้ได้
สถานการณ์ในวันนี้ชี้ชัดว่า คนกลุ่มนั้นไม่ได้คิดหาหนทางที่จะดับไฟ ไม่คิดที่จะแก้ไขปัญหาประชาธิปไตย พวกเขายังคง “มุ่งหน้า” ที่จะขัดขวาง แบบถึงไหนถึงกัน การกระทำของพวกเขาถือเอา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวปัญหาใหญ่ โดยพากันแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อจะกำจัด “ทักษิณ” ให้สูญหายไปจากประเทศไทย
พวกเขาได้พากันทำร้ายทักษิณด้วยการจับมัดมือไขว้หลังแล้วผูกตราสังข์ กะจะเอาเอามีดสับ เอาเกลือทา ก็ไม่ปาน
พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูกฆ่าให้ตายทั้งเป็น !
ประชาชนเขารู้ และเขาเข้าใจว่า ทักษิณ เป็นคนดี เป็นคนบริสุทธิ์เป็นคนเก่งของแผ่นดิน สามารถแก้ไขไปปัญหา “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ได้ผลทันตาเห็น
คนเสื้อแดงจึงมีความเข้มข้นเต็มเปี่ยมที่จะสู้กับเผด็จการ ดังจะเห็นจากการรวมตัวกันเข้าขอถวายฎีกาเมื่อวันที่ ๓๑ กค./๕๒
ทว่า...เมื่อวันเวลาเดินทางถึง ๓๑ กรกฎาคม/๕๒?สิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้น แทบไม่น่าเชื่อว่า “ทหารและรัฐบาล” ได้พากัน “ต่อต้าน”อย่างเอาเป็นเอาตาย จนสรุปได้ ว่าพวกอำมาตย์ไม่สนับสนุนการถวายฎีกาไม่ว่ากรณีใด ๆ ทำให้ตัวผมกล้าที่จะพยากรณ์ออกมาว่า สงสัยประเทศไทยจะไม่พ้นการนองเลือดเสียแล้ว
ผมจึงเขียนหนังสือเตือน ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ ! มอบให้แก่ กอ. รมน. สันติบาล สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวง ทบวงกรมทุกแห่งทั่วประเทศ โปรดอย่านิ่งนอนใจในการแก้ปัญหา
โปรดอย่าใช้วิธีการ “ปฏิเสธ” เป็นแนวทางชี้ขาดอนาคต
ผมขอเรียนว่า ถ้าก้าวผิดและก้าวพลาดใน ๑๐ วันข้างหน้านี้จะเป็นชนวนทำให้เกิดสงครามกลางเมือง ?!
จบบทที่ ๓๒ / สอาด จันทร์
กราบเรียนท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ที่ได้อ่าน ข้อเขียนของผมผ่านไปแล้วหลายบท และกำลังอ่านมาถึงบทที่ ๓๒ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมขอกราบเรียนว่า ผมได้ กลั่นกรองวิชาความรู้เอามาเขียน มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเผยแพร่ ให้แก่ชนชั้นสูงทุกท่านอยากให้ท่านให้มีดวงตาเห็นธรรม
โดยเฉพาะคือสามารถมองเห็นมูลเหตุที่ทำให้ “ประชาธิปไตยมีปัญหา” เพื่อว่า เมื่อทราบมูลเหตุแล้ว ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้
มูลเหตุทั้งหลายเกิดจากคนมันชั่ว
(๑) นายทุนชั่ว
(๒) ขุนศึกชั่ว
(๓) ศักดินาชั่ว
ผมยึดมูลเหตุทั้ง ๓ เอามาเป็นเรือนร่างของทำ “วิภาคภาคี”รวมทั้งวิพากย์ไปสู่การวิภาคและกลับกันในรูป “วิภาควิธีไปสู่การ วิพากย์นิยม” เพื่อจะกรองแนวคิดให้เป็นประชาธิปไตยของคนไทย ทั้งชาติ มิใช่เชิดชูชนกลุ่มน้อยหรือยกย่องปัจเจกเผด็จการอีกต่อไป
ผมจึงพยายามสร้างงานภายใต้โครงการ “ใบปลิวกู้ชาติ” ผ่าน “ลุงผึ้ง@เสรีชน” แล้วนำออกเผยแพร่สู่นักคิด นักปฏิวัติ นักการเมือง และท่านผู้อ่านทั้งหลายที่เป็นคนไทย ทั้งในประเทศไทย และตระเวนอยู่ในดินแดนของประเทศอื่นทั่วโลก
ผมยอมเหน็ดเหนื่อย ทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทน เสียเวลา ทำมาหากินถึงร้อยละ ๖๐ ด้วยการ เอาตัวเข้ามานั่งอยู่หน้าจอ เปิดสมองใจ สมองความคิด ส่งออกความปรารถนาดี หวังจะให้ถึง บุคคลต่างๆในสังคมชั้นสูง รวมไปถึงได้เข้าถึง “คนที่รักชาติ” แบบวันต่อวัน จะได้ช่วยกันรับรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับประเทศไทย อันเป็นที่รักยิ่งของเรา
ผมขอเรียนว่าอย่าปล่อยให้ตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอม สลัดแอกเผด็จการออกจากหัวใจ ถ้าพากันเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่อาจก้าวพ้น ไปจากบ่วงที่มัดเราตรึงเอาไว้กับแท่งศิลา
เราต้องพัฒนาจิตใจของเรา อย่าเอาเยี่ยงอย่างพวกเผด็จการ
ชนชั้นผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมเสียสละแม้แต่น้อย ก็ย่อม จะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดภัยพิบัติแก่ประเทศชาติบ้านเมือง สุดที่จะ
หลีกเลี่ยงได้ ? และคำว่า “สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้” มันหมายถึงไม่มีทาง เลี่ยง เนื่องจากประชาชน “คนเสื้อแดง” เขาสู้เพื่อความถูกต้อง สู้เพื่อ ความยุติธรรม และสู้กับอำนาจ “เผด็จการ” ที่พวกชนชั้นผู้ปกครอง หลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก
เมื่อเข้าใจผิดอยู่เช่นนี้ ย่อมไม่มีหนทางไหนที่จะเลี่ยงการ เผชิญหน้ากันได้
เมื่อคนไทย “เผชิญหน้ากัน” ภายใต้ความเข้าใจผิด มันหมายถึง การเป็น “อริ” ของกันและกัน หากยังขืนปล่อยให้ความเป็นอริ [Enemy] กุมสภาพจิตใจของประชาชนอยู่ต่อไป ย่อมจะไม่พ้น การปะทะ เมื่อปะทะกัน ก็ยิ่งจะเพิ่มความเก็บกด และจะขยาย ไปสู่สงครามคนในชาติเดียวกัน และสุดท้ายมันจะกลายเป็น ซีวิล วอร์ [Civil War] แปลว่า “สงครามกลางเมือง” !
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเริ่มต้นเขียนหนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ ส่งมายังท่านที่เกี่ยวข้องในกรณีการรับหรือไม่รับการถวายฎีกา ของคนเสื้อแดง ซึ่งหมายถึง “อำมาตย์” และรัฐบาลผู้ปกครองประเทศ อยู่ในขณะนี้
ถ้าพวกอำมาตย์ “ไม่ยอมรับ” ไม่มีทีท่าว่าจะปรองดองกันได้ ซึ่งผมได้กล่าวเอาไว้ในใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๑ ว่าคนไทยก็จะเริ่มนับ ถอยหลัง หรือนับเคาน์ทดาวน์ [Countdown] ว่าจะออกหัว ออกก้อยไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง จะทำให้เราได้รู้ทิศทางที่มันจะเป็นไป ภายใน ๔ – ๕ วันข้างหน้านี้ แล้วผมก็ได้บอกเอาไว้อีกว่า “จึงขอให้ทุก คนมีสติเฝ้าระวังเหตุร้าย” ?!
คำว่านับถอยหลัง เป็นคำอันตราย เพราะมันหมายถึงคนไทย เริ่มนับถอยหลังตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ว่าอีกไม่ช้าไม่นาน คนในชาติจะมีเหตุร้ายถึงขั้นเข่นฆ่ากันเอง ซึ่งเป็นเรื่องอันไม่พึง ปรารถนา
เหตุร้ายอาจจะเกิดภายในปี ๒๕๕๒ นี้ หรือว่าจะไปร้ายแรงเอาในปี ๒๕๕๓ ซึ่งผมคาดเดาว่าไม่เกิน ๑๔ – ๑๕ เดือนข้างหน้า ?!!
หากบ้านเมืองหนีไม่พ้นภัยพิบัติในระยะที่ผมคาดเดา ภาพของ ประเทศไทยในอีก ๑ หรือ ๒ ปีข้างหน้า ย่อมจะเป็นขาลงอย่างร้ายแรง ที่สุด เพราะมันจะเป็นขาลงที่มี “เผด็จการ” เป็นต้น เหตุของตัวปัญหา (นายทุน-ขุนศึก – ศักดินา ) ดังที่ผมได้ขึ้นต้นเอาไว้
มีคำถามว่าเหตุไรจึงเน้นนักเน้นหนา กล่าวหา “นายทุน ขุนศึก ศักดินา” หากเน้นอย่างนี้จะไม่เป็นการ “ยอมรับทฤษฎีชี้นำที่ฝ่าย คอมมิวนิสต์ทำขึ้นดอกหรือ” ?
คำตอบก็คือ คอมมิวนิสต์เขาเสนอมูลเหตุทั้ง ๓ ประการนี้ บนฐานข้อมูลที่เป็นความจริง อันหมายถึง พคท. มิได้อ่านโจทก์ผิด คอมมิวนิสต์ชี้ปัญหา (อาการโรคของประเทศ) ได้ถูกต้อง
แต่ที่ พคท. ยุติการสู้รบภายใต้ตำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ จึงทำให้ดู ประหนึ่งว่า คอมมิวนิสต์ผิดพลาด จึงรบไม่ชนะ แท้ที่จริง คอมมิวนิสต์ มิได้พ่ายแพ้ หากแต่พวกเขาได้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทยต่างหาก แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เพราะฝ่ายทหารครอบงำ ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทำให้ฝ่ายทหาร (ย่ามใจ) ไม่มีใครมองเห็นตัวปัญหาว่ามันยังอยู่ ตรงกันข้าม ทหารกลับเป็นผู้ประคับประคองให้นายทุน ขุนศึก ศักดินา (ศักดินามิได้หมายถึงองค์พระประมุข) มีโอกาสใช้อำนาจเผด็จการ หนักข้อยิ่งขึ้น การบริหารราชการแผ่นดินจึงล้มเหลว
เมื่อการบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว บวกกับการวางแผน ทำลายคนอื่นด้วยความอคติ(ไม่เป็นธรรม) โดยตัวของคนที่ถูกทำลาย มิได้ทำความผิดใด ๆ เลย
ยิ่งคนผู้นั้นได้พิสูจน์ฝีไม้ลายมือให้เห็นว่า เขาเป็นคนเก่ง มีความสามารถสูง (พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร) มันได้ทำให้ประชาชน ที่ไม่เคยรวมตัวประท้วงเพื่อจะช่วยเหลือนักการเมืองมาก่อน ก็ได้เกิด ปรากฏการณ์ให้เห็นกับตาว่า ได้มีมวลมหาประชาชน แห่ออกมาเรียกร้อง เรือนหมื่นเรือนแสน
และสุดท้ายพวกเผด็จการได้ใช้อาวุธร้ายแรงปราบปรามประชาชน ด้วยความป่าเถื่อนอย่างไม่น่าเชื่อว่าเผด็จการจะกล้ากระทำกับคน ในชาติเดียวกันได้ลงคอ ...แต่พวกเขาก็ทำทารุณ ปรากฏเป็นภาพ ฉาวโฉ่ไปทั่วโลก !
เหตุการณ์ สงกรานต์เลือด ๑๐ – ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ !
ดังที่อธิบายมา เป็นการตอบโจทก์ว่า เหตุไรจึงถือว่า ทฤษฎีชี้นำ ของ พคท. เป็นตัวปัญหาของชาติ แล้วยังคงถือว่าทฤษฎีชี้นำนี้ถูกต้อง
ใช่...เหตุที่ถือว่า พคท. ใช้ทฤษฎีชี้นำเช่นนี้ถูกต้อง ก็เพราะฝ่าย เผด็จการมิได้จัดการแก้ไขปัญหาของชาติเลย ตรงกันข้าม ฝ่ายเผด็จการ กลับทำตัวเป็นผู้อุปการะให้อำนาจเถื่อนยังคงยึดครองความมีอิทธิพล ไปทุกหย่อมหญ้า เกิดความไม่เป็นธรรมตั้งแต่ระดับกำนันผู้ใหญ่บ้าน ขึ้นไปถึงสภานิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ?!
เมื่อมันเป็นเช่นนี้ สภาพของความร่มเย็นก็มีอันเดินทางถึง จุดเปลี่ยน เปลี่ยนจากความร่มรื่น เป็นความขัดแย้ง เพิ่มจากความขัดแย้ง เป็นความสับสนวุ่นวาย และท้ายสุดมันได้เกิดการต่อสู้กันขึ้น
ขอกล่าวอีกว่า วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ณ ท้องสนามหลวง ! เป็นวันประวัติศาสตร์ แล้วจะกลายเป็นวันของการร้อยถัก “จิ๊กซอว์” ให้เหตุการณ์มันร้อยเป็นพวงเดียวกัน อันจะถูกจัดตั้งอย่างเป็นกระบวน
ต่างฝ่ายต่างจัดตั้ง ! พวกเสื้อเหลืองประกาศรวมผลอย่างขมีขมัน พวกเผด็จการ (ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และรัฐบาล ปชป.) เร่งทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อจะจัดกระบวนทัพเอาออกมาต่อต้าน คนเสื้อแดง โดยลืมไปว่า คนเสื้อแดงเขาไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับคน ในชาติเดียวกัน คนเสื้อแดงเขาต้องการความเป็นธรรม
จึงนับเป็น ครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาเป็นคนไทยเพิ่งจะได้พบเห็นความขัดแย้งของคนชาติอันเกิดจากรัฐบาล และพวกเผด็จการปัญญาอ่อน พร้อมใจกัน “จัดทัพ” เพื่อจะยับยั้งการร้องขอความเป็นธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่ผิดที่ผมจะเขียนหนังสือเดือน :ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ !
ผมขอเรียนว่าผมไม่ได้มีความสุขในการได้เขียน ผมรู้สึกหดหู่ใจเพราะขณะนี้ที่กำลังเขียนใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้ (บทที่ ๓๒) ผมได้รับโทรศัพท์จากต่างจังหวัดจนตอบไม่ทัน
สรุปได้ความว่าการส่งรายชื่อ “ผู้ถวายฎีกา” แทนที่จะหยุด แต่จะมีผู้คนพากันแห่ถวายฎีกาอีกระลอกใหญ่
คราวนี้ จะก่อให้เกิดการวัดดวงขึ้นในประเทศว่า ระหว่างเผด็จการกับคนเสื้อแดง ใครจะมีมหาประชาชนมากกว่ากัน และหากแม้นว่าพวกเผด็จการเกิดบ้าระห่ำ บุกทำร้ายประชาชนเมื่อใด เมื่อนั้นสงครามอันไม่พึงปรารถนาจะระเบิดขึ้น
อนิจจา ! ประเทศไทยจะเกิดสงครามกลางเมือง ?!
ขอกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านที่เคารพว่า สถานการณ์ของประเทศไทยมิได้หลุดรอดไปจากการสังเกตการณ์ของชาวโลก แท้ที่จริง “ชาวโลก” ได้เฝ้าสังเกตเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง มิได้เกิดจากปัญหาข้าวยากหมากแพง มิได้เกิดจากชาวนาไม่ยอมทำนา แต่ปัญหาความขัดแย้งเกิดจาก “ชนชั้นสูงใช้อำนาจเผด็จการ กระทำต่อผู้คนในประเทศด้วยความไม่เป็นธรรม”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวโลกก็จะพากันประณามประเทศไทย และพากัน “บอยคอต” ประเทศไทยดังที่ได้บอยคอตหลายประเทศในโลก
เรื่องที่ผมคาดเดาเช่นนี้มิใช่ตีตนไปก่อนไข้ แต่มันจะเป็นจริงเนื่องจากข้างในตับไตไส้พุงของประเทศไทยกำลังก่อโรคมะเร็งร้าย แต่มันมิใช่มะเร็งร้ายแบบต้องฉายแสง แต่มันมะเร็งร้ายอันเกิดจาก“มิจฉาทิฐิ” กล่าวคือเผด็จการพากันเห็นผิดเป็นชอบ แม้ใกล้จะเกิดการ“นองเลือด” ยังมิได้หวั่นวิตกแต่ประการใด
ผมยังขอยืนยันว่ามีความเสียใจ “ล่วงหน้า” ดังที่ได้เขียนไว้ในบทที่ ๓๑ ผมไม่อยากเห็นประเทศไทย “นองเลือด” !แต่ผมก็จะได้เห็น ...ผมเสียใจตรงนี้
ใครไม่อยากเห็นก็จะได้เห็น ?!
ผมได้กล่าวเอาไว้ว่า มิใช่แต่เท่านี้ หากประเทศไทยนองเลือดสถาบันหลักของชาติก็จะมีอันได้รับความบอบช้ำ (อันหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย) ! จะเกิดอะไรขึ้นกับพระเจ้าแผ่นดินของเรา ผมไม่อาจพยากรณ์ได้
แต่สิ่งที่เดาได้เลยก็คือ จะมีคนทำให้ “พระเจ้าแผ่นดิน” อันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนคนไทมได้รับความบอบช้ำอย่างร้ายแรง !
ผมขอขยายความต่อไปว่า “ความมั่นคงของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม” ตั้งอยู่บนหัวอกของคนไทยทั้งชาติ มิใช่ตั้งอยู่ได้โดย “บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง” อย่างแน่นอน
พูดให้ชัด ถ้าคนไทยทั้งชาติต้องการพระเจ้าแผ่นดิน ย่อมหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ หรือ ๑๐ หรือ ๑๑ หรือสืบต่อไปข้างหน้า ก็จะมีอยู่อย่างไม่สิ้นสุด
แต่ปัญหาในวันนี้ ได้มีบุคคลกลุ่มหนึ่ง (พวกเผด็จการกลุ่มเดิมๆ)ได้ใช้กลยุทธ์ยุแยงตะแคงรั่ว แยกคนไทยเป็น ๒ ฝ่าย ด้วยการยกย่องฝ่ายหนึ่งว่ารักเจ้า แล้วกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าไม่มีความจงรักภักดี คนกลุ่มนี้กล่าวหา ตอกย้ำ และใส่ร้ายป้ายสี มุ่งมั่นที่จะขยายผลให้เกิดความบาดหมางอย่างร้ายแรงขึ้นในชาติให้ได้
สถานการณ์ในวันนี้ชี้ชัดว่า คนกลุ่มนั้นไม่ได้คิดหาหนทางที่จะดับไฟ ไม่คิดที่จะแก้ไขปัญหาประชาธิปไตย พวกเขายังคง “มุ่งหน้า” ที่จะขัดขวาง แบบถึงไหนถึงกัน การกระทำของพวกเขาถือเอา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวปัญหาใหญ่ โดยพากันแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อจะกำจัด “ทักษิณ” ให้สูญหายไปจากประเทศไทย
พวกเขาได้พากันทำร้ายทักษิณด้วยการจับมัดมือไขว้หลังแล้วผูกตราสังข์ กะจะเอาเอามีดสับ เอาเกลือทา ก็ไม่ปาน
พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูกฆ่าให้ตายทั้งเป็น !
ประชาชนเขารู้ และเขาเข้าใจว่า ทักษิณ เป็นคนดี เป็นคนบริสุทธิ์เป็นคนเก่งของแผ่นดิน สามารถแก้ไขไปปัญหา “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ได้ผลทันตาเห็น
คนเสื้อแดงจึงมีความเข้มข้นเต็มเปี่ยมที่จะสู้กับเผด็จการ ดังจะเห็นจากการรวมตัวกันเข้าขอถวายฎีกาเมื่อวันที่ ๓๑ กค./๕๒
ทว่า...เมื่อวันเวลาเดินทางถึง ๓๑ กรกฎาคม/๕๒?สิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้น แทบไม่น่าเชื่อว่า “ทหารและรัฐบาล” ได้พากัน “ต่อต้าน”อย่างเอาเป็นเอาตาย จนสรุปได้ ว่าพวกอำมาตย์ไม่สนับสนุนการถวายฎีกาไม่ว่ากรณีใด ๆ ทำให้ตัวผมกล้าที่จะพยากรณ์ออกมาว่า สงสัยประเทศไทยจะไม่พ้นการนองเลือดเสียแล้ว
ผมจึงเขียนหนังสือเตือน ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ ! มอบให้แก่ กอ. รมน. สันติบาล สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวง ทบวงกรมทุกแห่งทั่วประเทศ โปรดอย่านิ่งนอนใจในการแก้ปัญหา
โปรดอย่าใช้วิธีการ “ปฏิเสธ” เป็นแนวทางชี้ขาดอนาคต
ผมขอเรียนว่า ถ้าก้าวผิดและก้าวพลาดใน ๑๐ วันข้างหน้านี้จะเป็นชนวนทำให้เกิดสงครามกลางเมือง ?!
จบบทที่ ๓๒ / สอาด จันทร์
บทที่ 33 หนังสือเตือนภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ 2
บทที่ ๓๓ ตอน : หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ?!
ขอแสดงความนับถือมายังท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ที่ได้อ่านข้อเขียนของผมในบทที่ ๓๒ และกำลังอ่าน มาถึงบทที่ ๓๓ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมไม่แน่ใจว่า หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ ที่ผ่านสายตาท่านไป จะมีประโยชน์แก่ประเทศชาติหรือไม่ จะมีหรือไม่มี ผมคิด ของผมว่าจะขอกราบเรียนต่อไป โดยผมได้โทรปรึกษากับ “ลุงผึ้ง@เสรีชน” ว่าจะช่วยกันสร้างงานไปเรื่อยๆ ตามสติปัญญาความสามารถ
วันนี้ขอเขียน หนังสือเตือนภัย : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ดังนี้ครับ
ก่อนอื่น ยังขอยืนยันมูลเหตุปัญหาของชาติ ได้แก่ ความชั่วของคน ๓ กลุ่มใหญ่ คือ
(๑) นายทุนชั่ว
(๒) ขุนศึกชั่ว
(๓) ศักดินาชั่ว
แต่...สำหรับวันนี้ ขอเพิ่มการวิสัชนาปัญหามูลเหตุ เข้ามาเป็น “สาระประกอบ” เพื่อจะเป็นการคลี่คลายความลี้ลับ ดำมืดให้กระจ่างว่าอะไรเป็นตัวปัญหากระทำให้ประเทศไทย กลายเป็นประเทศประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” จนกลายเป็น เผด็จการไปในที่สุด
มูลเหตุความชั่วของนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา เกิดจากปัญหา คนต่างชาติที่พากันเข้ามาพึ่งพาอาศัยพระบรม-โพธิสมภาร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้แก่การอพยพเข้ามาอยู่ ในประเทศไทยของคนต่างประเทศ เมื่อคนเหล่านี้เข้ามาอยู่ ในประเทศไทยในฐานะคนต่างด้าว เมื่อพวกเขาเป็น “คนต่างด้าว” จึงเอาแต่ทำมาค้าขาย มิได้สนใจว่าระเบียบ ระบบ และระบอบจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขา มิใช่คนไทยโดยสายเลือด มิได้เกี่ยวข้องกับหลักการและ เงื่อนไขประชาธิปไตย
ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีการต่อรอง “เรื่องความ เป็นธรรม” หากตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะใช้ “เงินหรือทอง” เอาไปประเคนแลกเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด อย่างปลอดภัย
วันเวลาผ่านไป คนเหล่านั้นกลายเป็นนายทุน มีความ ร่ำรวยขึ้นและได้ยึดครองอาณาจักรตั้งแต่ในกรุงออกไปสู่อำเภอ และจังหวัด ทั่วประเทศ แต่ทว่าถึงจะร่ำรวยอย่างไรก็ไม่พ้น ที่จะถูกขุนศึก ข่มเหง รังแก พวกเขาจึงเกื้อหนุน ขุนศึก อย่างอิ่มหนำสำราญ และยังได้ส่งส่วย “ศักดินา” จนพวก “ขุนศึกใหญ่และศักดินาตัวเป้งๆ” มั่งคั่งร่ำรวยไปตามๆกัน ทำให้เกิดนิสัยกดขี่ขูดรีดในหมู่ชนชั้นสูง เกิดความเคยชิน ในการใช้ความชั่วร้ายแสวงหาผลประโยชน์
สุดท้าย คนทั้ง ๓ กลุ่มนี้ ต่างมีความชั่วร้ายต่อสังคมไทย ทั้งสังคมอย่างเสมอหน้ากัน
เมื่อหลายสิบปีผ่าน คนต่างชาติหรือคนต่างด้าวเหล่านั้น กลายเป็นคนตามกฎหมาย ลูกเกิดมาเป็นคนไทย ได้รับการ ศึกษาดี มีความรู้ความสามารถสูง และมีสิทธิเท่าเทียม ในการเป็นคนไทยทุกประการก็ได้เข้ามาบริหารประเทศ นับแต่การเป็นข้าราชการ เป็นนักการเมืองทั้งในระดับ ท้องถิ่น และระดับชาติ และยังลามเข้าไปเป็น “ขุนศึก” เสียเอง อีกด้วย
จึงทำให้อำนาจทั้งหลายในประเทศนี้ ล้วนแต่เป็น “มรดกตกทอด” ในกลุ่มของพวกเขา เมื่อประเทศชาติเปลี่ยนแปลง (ปี ๒๔๗๕) อำนาจ “ใหม่” ที่กล่าวว่าเป็นของประชาชนตามระบอบ “ประชาธิปไตยใหม่” เอาเข้าจริง มันเป็นประชาธิปไตยเฉพาะในกลุ่มของนายทุน ขุนศึก และศักดินาเท่านั้น
ส่วนพวกประชาชนชาวรากหญ้า หาได้รับ ประชาธิปไตยไม่ ?
ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านผู้อ่านเองก็อาจจะเป็น “เทือกเถาว์เหล่ากอ” หรือวงศาคณาญาติของคนชั่ว ทั้ง ๓ ประเภทดังกล่าว ท่านจะเห็นด้วยตาของท่านเองว่า “พวกท่านจะพากันกล่าวอย่างภาคภูมิใจใจว่า ประเทศไทย มีประชาธิปไตยล้นเหลือ พวกท่านอยากได้อะไรก็จะได้ อยากเป็นอะไรก็จะได้เป็น”
พวกท่านเสวยความสุขประชาธิปไตยในประเทศไทย ได้อย่างยิ่งใหญ่และมากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา ก็จะพากันส่งใบประกาศ (หนังสือรับรอง) ไปยังชาวโลกว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย
คนต่างด้าวที่ตามเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย ก็จะพากันได้รับอานิสงค์ในอำนาจและอิทธิพลที่พวกท่านมีอยู่ จะพากัน “รับรอง” ว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย อันหมายถึง คนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่พ่อค้าคนกลาง นายทุน ตามจังหวัดต่าง ๆ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประดาผู้ มีศักดิ์สูงในสยาม ล้วนแต่เป็นผู้ได้รับประชาธิปไตย เต็มใบ และมากกว่าเต็มใบเสียด้วยซ้ำ
แต่คนรากหญ้า ชาวนา ชาวไร่ กรรมกร อย่าว่า ประชาธิปไตยครึ่งใบเลยครับ แม้แต่ครึ่งใบพวกเขาก็ยังไม่ได้รับ
ดังที่ได้วิสัชนามา นี้แหละคือมูลเหตุอันเป็นสาระที่ แท้จริง
มาถึง พ.ศ. ๒๕๔๗ พวกนายทุน ขุนศึก พากัน ตระหนักว่า “อำนาจของพวกเขากำลังจะถูกคนกล้าอย่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ บั่นทอนลง” จึงพากันสร้างเรื่องกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสี โดยไปยุยงให้ชนชั้นสูงเกิดความเข้าใจผิด
ทำให้ “นายทุน ขุนศึก และศักดินา” กระโดดลงมา เล่นงานอย่างไม่ปราณี
ท่านผู้อ่านขอรับ เมื่อท่านได้อ่านมาถึงตรงนี้ ขอให้ย้อนกลับไปที่บทที่ ๓๒ ที่ผมได้เขียนเอาไว้ว่า “มูลเหตุ ทั้ง ๓ ที่ผมยกเอามาวิสัชนาในวันนี้ ได้ยกเรื่องเก่าเอามาเป็น เรือนร่างของการทำ “วิภาคภาคี” รวมทั้งวิพากย์ไปสู่การ วิภาคและกลับกันในรูป “วิภาควิธีไปสู่การวิพากย์นิยม” เพื่อจะกรองแนวคิดให้เป็นประชาธิปไตยของคนไทยทั้งชาติ มิใช่เชิดชูชนกลุ่มน้อยหรือยกย่องปัจเจกเผด็จการอีกต่อไป
อันหมายถึงพวกนายทุน ขุนศึก และศักดินา ดังกล่าว เป็นพวก “ปัจเจกเผด็จการ” ที่จัดอยู่ในคนกลุ่มน้อย แต่ทว่า แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนกลุ่มน้อย แต่เอาเข้าจริง พวกเขามีอำนาจ ครอบงำประเทศไทยตั้งแต่ระดับตำบล ขึ้นไปถึงระดับชาติ
และยังได้ครอบงำสถาบันศักดินาอีกด้วย !!
ดังนั้น เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ จะทำให้เห็น “ลางหายนะ” มันหมิ่นเหม่ที่จะเกิดความเสียหายต่อสถาบัน ทั้งนี้เนื่องจาก “ฝ่ายสถาบัน” แทนที่จะได้เป็น “กำลังส่วนหน้า” ในการ รณรงค์ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม กลับไปยืนอยู่ข้างคนชั่ว ทำให้การสร้างประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนชาวไทย กลับหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งคนที่ทุกข์ยากจะพากันพูดว่า “ประชาธิปไตยส้นตีน” อันเป็นการด่าทอที่สะท้อนถึงความ เจ็บแค้นมันรุนแรงมาก
นอกจากนี้ยังมีพวก “ขุนศึก” ต่างพากันเป็น “คนเลว” ที่เอาตัวไปเข้าข้างคนชั่วสุดลิ่มทิ่มประตู ทำให้ ประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” มีความแตกต่างจากประชาธิปไตย เต็มใบสุดจะพรรณนา ส่งผลให้ประเทศไทยทั้งประเทศ เป็นแผ่นดินกึ่งเผด็จการ กึ่งประชาธิปไตย
ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านจงอย่าโกรธแค้นใน “บทสรุป” ของใบปลิวกู้ชาติ และอย่าได้มีความชิงชังผมเลย เนื่องจากว่าหากท่านเกลียดผมในวันนี้ แต่ในวันหน้า สังคม จะยอมรับความจริง และไม่นานเกินรอ สังคมไทยทั้งประเทศ จะเกิดความปั่นป่วน การต่อสู้กันนับวันแต่จะรุนแรงขึ้น
จะรุนแรงเพราะอะไร ?
คำตอบก็คือ “คนชั่ว” รวมหัวกันเล่นงานความ ปรารถนาประชาธิปไตยของคนยากคนจน ดังที่กำลังเกิดขึ้น อยู่ในขณะนี้ (เหตุการณ์ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ถึง ๖ สิงหาคม/๕๒) ! อันได้แก่ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้กลไกของรัฐ ป่าวประกาศให้ประชาชนทั้งหลายออกมาต่อต้านการถวายฎีกา โดยมิได้มีลักษณะใดเลยที่จะยินยอมรับฟังความปรารถนา ของคนรากหญ้า
มันจึงกลายเป็นการยืนอยู่คนละมุม กล่าวให้ชัด หมายถึงการประกาศตัดเชือก ไม่เอากับคน จนอีกแล้ว
ท่านผู้อ่าน ผมเห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้ จะทำให้ประเทศ ไทยเกิดความขัดแย้งกันรุนแรง ผมจึงพยายามสร้างงานภายใต้ โครงการ “ใบปลิวกู้ชาติ” ผ่าน “ลุงผึ้ง@เสรีชน” แล้วนำ ออกเผยแพร่สู่นักคิด นักปฏิวัติ นักการเมือง และท่านผู้อ่าน ทั้งหลายที่เป็นคนไทย ทั้งในประเทศไทยและตระเวนอยู่ ในดินแดนของประเทศอื่นทั่วโลก เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้มี ดวงตาเห็นธรรม
ผมขอกล่าวว่าดวงตาของพวกเผด็จการมืดบอด แม้แต่ พระในวัดแท้ ๆ ก็ยังมืดบอดตามไปด้วย โดยผมจะขอพาดพิง “หลวงปู่พระมหาบัว” แห่งวัดบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี หลวงพ่อ“บุญสนอง” วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี อย่างนี้ เป็นต้น
ดวงตาที่มืดบอดเหล่านี้ รังแต่จะนำความโกลาหลมาสู่ ประเทศ
ผมวิตกกังวลว่าประเทศไทยจะเกิดการนองเลือด ผมจึงออกมาชี้แนะ “สัจธรรม” ให้แก่พวกเผด็จการทั้งหลาย ขอให้รีบวิเคราะห์ “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๓ นี้ให้ได้
ผมเหน็ดเหนื่อยในการทำงาน พากันทำงานโดยไม่มี ค่าตอบแทน เสียเวลาทำมาหากินถึงร้อยละ ๖๐ ด้วยการเอาตัว เข้ามานั่งอยู่หน้าจอ เปิดสมองใจ สมองความคิด ส่งออกความ ปรารถนาดี หวังจะให้ถึงบุคคลต่างๆในสังคมชั้นสูง รวมไปถึง ได้เข้าถึง “คนที่รักชาติ” แบบวันต่อวัน จะได้ช่วยกันรับรู้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา
ผมขอเรียนว่าอย่าปล่อยให้ตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมสลัดแอกเผด็จการออกจากหัวใจ ถ้าพากันเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่อาจก้าวพ้นไปจากบ่วงที่มัดเราตรึงเอาไว้กับแท่งศิลา
เราต้องพัฒนาจิตใจของเรา อย่าเอาเยี่ยงอย่างพวกเผด็จการ ชนชั้นผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมเสียสละแม้แต่น้อย ก็ย่อมจะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดภัยพิบัติแก่ประเทศชาติบ้านเมือง สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ ? และคำว่า “สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้” มันหมายถึงไม่มีทางเลี่ยง เนื่องจากประชาชน “คนเสื้อแดง” เขาสู้เพื่อความถูกต้อง สู้เพื่อความยุติธรรม และสู้กับอำนาจ “เผด็จการ” ที่พวกชนชั้นผู้ปกครองหลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเอง เป็นฝ่ายถูก
หนังสือเตือนภัย : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ฉบับนี้ ได้ถูกนำเสนอต่อท่านทั้งหลาย ทั้งที่เป็นวงศาคณาญาติของกลุ่ม เผด็จการ หรือตัวท่านเองก็อาจจะเป็น “หนึ่งในร้อยไอ้เสือร้าย” ก็ขอให้รีบกลับจิตกลับใจ หันหน้าเข้าหาใบฎีกา นำเอา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และประชาชนคนรากหญ้า ไม่น้อยกว่า ๒๐ ล้านคน กลับมาปรองดองกันเถิด
ไม่เช่นนั้นแล้ว จะไม่พ้นสงครามกลางเมือง ?!!
จบบทที่ ๓๓ / สอาด จันทร์ดี
ขอแสดงความนับถือมายังท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ที่ได้อ่านข้อเขียนของผมในบทที่ ๓๒ และกำลังอ่าน มาถึงบทที่ ๓๓ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมไม่แน่ใจว่า หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ ที่ผ่านสายตาท่านไป จะมีประโยชน์แก่ประเทศชาติหรือไม่ จะมีหรือไม่มี ผมคิด ของผมว่าจะขอกราบเรียนต่อไป โดยผมได้โทรปรึกษากับ “ลุงผึ้ง@เสรีชน” ว่าจะช่วยกันสร้างงานไปเรื่อยๆ ตามสติปัญญาความสามารถ
วันนี้ขอเขียน หนังสือเตือนภัย : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ดังนี้ครับ
ก่อนอื่น ยังขอยืนยันมูลเหตุปัญหาของชาติ ได้แก่ ความชั่วของคน ๓ กลุ่มใหญ่ คือ
(๑) นายทุนชั่ว
(๒) ขุนศึกชั่ว
(๓) ศักดินาชั่ว
แต่...สำหรับวันนี้ ขอเพิ่มการวิสัชนาปัญหามูลเหตุ เข้ามาเป็น “สาระประกอบ” เพื่อจะเป็นการคลี่คลายความลี้ลับ ดำมืดให้กระจ่างว่าอะไรเป็นตัวปัญหากระทำให้ประเทศไทย กลายเป็นประเทศประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” จนกลายเป็น เผด็จการไปในที่สุด
มูลเหตุความชั่วของนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา เกิดจากปัญหา คนต่างชาติที่พากันเข้ามาพึ่งพาอาศัยพระบรม-โพธิสมภาร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้แก่การอพยพเข้ามาอยู่ ในประเทศไทยของคนต่างประเทศ เมื่อคนเหล่านี้เข้ามาอยู่ ในประเทศไทยในฐานะคนต่างด้าว เมื่อพวกเขาเป็น “คนต่างด้าว” จึงเอาแต่ทำมาค้าขาย มิได้สนใจว่าระเบียบ ระบบ และระบอบจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขา มิใช่คนไทยโดยสายเลือด มิได้เกี่ยวข้องกับหลักการและ เงื่อนไขประชาธิปไตย
ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีการต่อรอง “เรื่องความ เป็นธรรม” หากตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะใช้ “เงินหรือทอง” เอาไปประเคนแลกเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด อย่างปลอดภัย
วันเวลาผ่านไป คนเหล่านั้นกลายเป็นนายทุน มีความ ร่ำรวยขึ้นและได้ยึดครองอาณาจักรตั้งแต่ในกรุงออกไปสู่อำเภอ และจังหวัด ทั่วประเทศ แต่ทว่าถึงจะร่ำรวยอย่างไรก็ไม่พ้น ที่จะถูกขุนศึก ข่มเหง รังแก พวกเขาจึงเกื้อหนุน ขุนศึก อย่างอิ่มหนำสำราญ และยังได้ส่งส่วย “ศักดินา” จนพวก “ขุนศึกใหญ่และศักดินาตัวเป้งๆ” มั่งคั่งร่ำรวยไปตามๆกัน ทำให้เกิดนิสัยกดขี่ขูดรีดในหมู่ชนชั้นสูง เกิดความเคยชิน ในการใช้ความชั่วร้ายแสวงหาผลประโยชน์
สุดท้าย คนทั้ง ๓ กลุ่มนี้ ต่างมีความชั่วร้ายต่อสังคมไทย ทั้งสังคมอย่างเสมอหน้ากัน
เมื่อหลายสิบปีผ่าน คนต่างชาติหรือคนต่างด้าวเหล่านั้น กลายเป็นคนตามกฎหมาย ลูกเกิดมาเป็นคนไทย ได้รับการ ศึกษาดี มีความรู้ความสามารถสูง และมีสิทธิเท่าเทียม ในการเป็นคนไทยทุกประการก็ได้เข้ามาบริหารประเทศ นับแต่การเป็นข้าราชการ เป็นนักการเมืองทั้งในระดับ ท้องถิ่น และระดับชาติ และยังลามเข้าไปเป็น “ขุนศึก” เสียเอง อีกด้วย
จึงทำให้อำนาจทั้งหลายในประเทศนี้ ล้วนแต่เป็น “มรดกตกทอด” ในกลุ่มของพวกเขา เมื่อประเทศชาติเปลี่ยนแปลง (ปี ๒๔๗๕) อำนาจ “ใหม่” ที่กล่าวว่าเป็นของประชาชนตามระบอบ “ประชาธิปไตยใหม่” เอาเข้าจริง มันเป็นประชาธิปไตยเฉพาะในกลุ่มของนายทุน ขุนศึก และศักดินาเท่านั้น
ส่วนพวกประชาชนชาวรากหญ้า หาได้รับ ประชาธิปไตยไม่ ?
ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านผู้อ่านเองก็อาจจะเป็น “เทือกเถาว์เหล่ากอ” หรือวงศาคณาญาติของคนชั่ว ทั้ง ๓ ประเภทดังกล่าว ท่านจะเห็นด้วยตาของท่านเองว่า “พวกท่านจะพากันกล่าวอย่างภาคภูมิใจใจว่า ประเทศไทย มีประชาธิปไตยล้นเหลือ พวกท่านอยากได้อะไรก็จะได้ อยากเป็นอะไรก็จะได้เป็น”
พวกท่านเสวยความสุขประชาธิปไตยในประเทศไทย ได้อย่างยิ่งใหญ่และมากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา ก็จะพากันส่งใบประกาศ (หนังสือรับรอง) ไปยังชาวโลกว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย
คนต่างด้าวที่ตามเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย ก็จะพากันได้รับอานิสงค์ในอำนาจและอิทธิพลที่พวกท่านมีอยู่ จะพากัน “รับรอง” ว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย อันหมายถึง คนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่พ่อค้าคนกลาง นายทุน ตามจังหวัดต่าง ๆ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประดาผู้ มีศักดิ์สูงในสยาม ล้วนแต่เป็นผู้ได้รับประชาธิปไตย เต็มใบ และมากกว่าเต็มใบเสียด้วยซ้ำ
แต่คนรากหญ้า ชาวนา ชาวไร่ กรรมกร อย่าว่า ประชาธิปไตยครึ่งใบเลยครับ แม้แต่ครึ่งใบพวกเขาก็ยังไม่ได้รับ
ดังที่ได้วิสัชนามา นี้แหละคือมูลเหตุอันเป็นสาระที่ แท้จริง
มาถึง พ.ศ. ๒๕๔๗ พวกนายทุน ขุนศึก พากัน ตระหนักว่า “อำนาจของพวกเขากำลังจะถูกคนกล้าอย่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ บั่นทอนลง” จึงพากันสร้างเรื่องกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสี โดยไปยุยงให้ชนชั้นสูงเกิดความเข้าใจผิด
ทำให้ “นายทุน ขุนศึก และศักดินา” กระโดดลงมา เล่นงานอย่างไม่ปราณี
ท่านผู้อ่านขอรับ เมื่อท่านได้อ่านมาถึงตรงนี้ ขอให้ย้อนกลับไปที่บทที่ ๓๒ ที่ผมได้เขียนเอาไว้ว่า “มูลเหตุ ทั้ง ๓ ที่ผมยกเอามาวิสัชนาในวันนี้ ได้ยกเรื่องเก่าเอามาเป็น เรือนร่างของการทำ “วิภาคภาคี” รวมทั้งวิพากย์ไปสู่การ วิภาคและกลับกันในรูป “วิภาควิธีไปสู่การวิพากย์นิยม” เพื่อจะกรองแนวคิดให้เป็นประชาธิปไตยของคนไทยทั้งชาติ มิใช่เชิดชูชนกลุ่มน้อยหรือยกย่องปัจเจกเผด็จการอีกต่อไป
อันหมายถึงพวกนายทุน ขุนศึก และศักดินา ดังกล่าว เป็นพวก “ปัจเจกเผด็จการ” ที่จัดอยู่ในคนกลุ่มน้อย แต่ทว่า แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนกลุ่มน้อย แต่เอาเข้าจริง พวกเขามีอำนาจ ครอบงำประเทศไทยตั้งแต่ระดับตำบล ขึ้นไปถึงระดับชาติ
และยังได้ครอบงำสถาบันศักดินาอีกด้วย !!
ดังนั้น เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ จะทำให้เห็น “ลางหายนะ” มันหมิ่นเหม่ที่จะเกิดความเสียหายต่อสถาบัน ทั้งนี้เนื่องจาก “ฝ่ายสถาบัน” แทนที่จะได้เป็น “กำลังส่วนหน้า” ในการ รณรงค์ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม กลับไปยืนอยู่ข้างคนชั่ว ทำให้การสร้างประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนชาวไทย กลับหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งคนที่ทุกข์ยากจะพากันพูดว่า “ประชาธิปไตยส้นตีน” อันเป็นการด่าทอที่สะท้อนถึงความ เจ็บแค้นมันรุนแรงมาก
นอกจากนี้ยังมีพวก “ขุนศึก” ต่างพากันเป็น “คนเลว” ที่เอาตัวไปเข้าข้างคนชั่วสุดลิ่มทิ่มประตู ทำให้ ประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” มีความแตกต่างจากประชาธิปไตย เต็มใบสุดจะพรรณนา ส่งผลให้ประเทศไทยทั้งประเทศ เป็นแผ่นดินกึ่งเผด็จการ กึ่งประชาธิปไตย
ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านจงอย่าโกรธแค้นใน “บทสรุป” ของใบปลิวกู้ชาติ และอย่าได้มีความชิงชังผมเลย เนื่องจากว่าหากท่านเกลียดผมในวันนี้ แต่ในวันหน้า สังคม จะยอมรับความจริง และไม่นานเกินรอ สังคมไทยทั้งประเทศ จะเกิดความปั่นป่วน การต่อสู้กันนับวันแต่จะรุนแรงขึ้น
จะรุนแรงเพราะอะไร ?
คำตอบก็คือ “คนชั่ว” รวมหัวกันเล่นงานความ ปรารถนาประชาธิปไตยของคนยากคนจน ดังที่กำลังเกิดขึ้น อยู่ในขณะนี้ (เหตุการณ์ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ถึง ๖ สิงหาคม/๕๒) ! อันได้แก่ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้กลไกของรัฐ ป่าวประกาศให้ประชาชนทั้งหลายออกมาต่อต้านการถวายฎีกา โดยมิได้มีลักษณะใดเลยที่จะยินยอมรับฟังความปรารถนา ของคนรากหญ้า
มันจึงกลายเป็นการยืนอยู่คนละมุม กล่าวให้ชัด หมายถึงการประกาศตัดเชือก ไม่เอากับคน จนอีกแล้ว
ท่านผู้อ่าน ผมเห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้ จะทำให้ประเทศ ไทยเกิดความขัดแย้งกันรุนแรง ผมจึงพยายามสร้างงานภายใต้ โครงการ “ใบปลิวกู้ชาติ” ผ่าน “ลุงผึ้ง@เสรีชน” แล้วนำ ออกเผยแพร่สู่นักคิด นักปฏิวัติ นักการเมือง และท่านผู้อ่าน ทั้งหลายที่เป็นคนไทย ทั้งในประเทศไทยและตระเวนอยู่ ในดินแดนของประเทศอื่นทั่วโลก เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้มี ดวงตาเห็นธรรม
ผมขอกล่าวว่าดวงตาของพวกเผด็จการมืดบอด แม้แต่ พระในวัดแท้ ๆ ก็ยังมืดบอดตามไปด้วย โดยผมจะขอพาดพิง “หลวงปู่พระมหาบัว” แห่งวัดบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี หลวงพ่อ“บุญสนอง” วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี อย่างนี้ เป็นต้น
ดวงตาที่มืดบอดเหล่านี้ รังแต่จะนำความโกลาหลมาสู่ ประเทศ
ผมวิตกกังวลว่าประเทศไทยจะเกิดการนองเลือด ผมจึงออกมาชี้แนะ “สัจธรรม” ให้แก่พวกเผด็จการทั้งหลาย ขอให้รีบวิเคราะห์ “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๓ นี้ให้ได้
ผมเหน็ดเหนื่อยในการทำงาน พากันทำงานโดยไม่มี ค่าตอบแทน เสียเวลาทำมาหากินถึงร้อยละ ๖๐ ด้วยการเอาตัว เข้ามานั่งอยู่หน้าจอ เปิดสมองใจ สมองความคิด ส่งออกความ ปรารถนาดี หวังจะให้ถึงบุคคลต่างๆในสังคมชั้นสูง รวมไปถึง ได้เข้าถึง “คนที่รักชาติ” แบบวันต่อวัน จะได้ช่วยกันรับรู้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา
ผมขอเรียนว่าอย่าปล่อยให้ตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมสลัดแอกเผด็จการออกจากหัวใจ ถ้าพากันเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่อาจก้าวพ้นไปจากบ่วงที่มัดเราตรึงเอาไว้กับแท่งศิลา
เราต้องพัฒนาจิตใจของเรา อย่าเอาเยี่ยงอย่างพวกเผด็จการ ชนชั้นผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมเสียสละแม้แต่น้อย ก็ย่อมจะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดภัยพิบัติแก่ประเทศชาติบ้านเมือง สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ ? และคำว่า “สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้” มันหมายถึงไม่มีทางเลี่ยง เนื่องจากประชาชน “คนเสื้อแดง” เขาสู้เพื่อความถูกต้อง สู้เพื่อความยุติธรรม และสู้กับอำนาจ “เผด็จการ” ที่พวกชนชั้นผู้ปกครองหลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเอง เป็นฝ่ายถูก
หนังสือเตือนภัย : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ฉบับนี้ ได้ถูกนำเสนอต่อท่านทั้งหลาย ทั้งที่เป็นวงศาคณาญาติของกลุ่ม เผด็จการ หรือตัวท่านเองก็อาจจะเป็น “หนึ่งในร้อยไอ้เสือร้าย” ก็ขอให้รีบกลับจิตกลับใจ หันหน้าเข้าหาใบฎีกา นำเอา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และประชาชนคนรากหญ้า ไม่น้อยกว่า ๒๐ ล้านคน กลับมาปรองดองกันเถิด
ไม่เช่นนั้นแล้ว จะไม่พ้นสงครามกลางเมือง ?!!
จบบทที่ ๓๓ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 34 คนต่างด้าวกับลัทธิเผด็จการ
บทที่ ๓๔ ตอน : คนต่างด้าวกับลัทธิเผด็จการ ?!
ขอสวัสดีท่านผู้อ่านทั้งในประเทศไทยและคนไทย ที่ท่องเที่ยวหรือไปปักหลักอยู่ในหลายประเทศบนโลกกลม ๆ ใบนี้ ..ขอสวัสดีอีกครั้งขอรับ
ผมได้เขียน “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๓ ผ่านสายตาของท่านไป ด้วยท่าทีลีลาในทำนองว่าคนต่างด้าวในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวเชื้อสายจีน “เป็นผู้ส่งเสริมให้เกิดลัทธิ เผด็จการขึ้นในประเทศไทย” จนกลายเป็นปัญหาของชาตินั้น ผมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเขียนอธิบายขยายความให้กระจ่าง และตรงตามความเป็นจริง เพื่อที่พี่น้องร่วมชาติ “ที่เป็นคนไทย” ทั้งมวลจะได้พินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วมาช่วยกันทำลาย ธาตุเผด็จการให้มันหมดไป
ก่อนอื่นต้องกล่าวให้ตรงความจริงทุกประการว่า ในอดีตมา จนถึงปัจจุบัน คนต่างด้าวเชื้อสายจีนได้ “อพยพ” หลั่งไหลมา จากผืนแผ่นดินใหญ่นับเป็นล้าน ๆ คน โดยที่คนไทยขนานแท้และ ดั้งเดิมมิได้ขัดขวางเลยแม้แต่รายเดียว
ไม่เคยปรากฏเป็นข่าวว่าแม้ในปัจจุบันก็ไม่เคยมีคนไทย ดั้งเดิมคนไหนพากันต่อต้านการเข้ามาของคนต่างด้าว จึงสรุปได้ว่า “ในอดีต” ก็ไม่เคยมีการขัดขวางการเข้ามาของคนต่างด้าว นอกจากจะไม่มีการขัดขวางดังกล่าว กลับปรากฏว่า “คนไทย” พากันต้อนรับ “คนต่างด้าว” ด้วยมิตรไมตรีอย่างยิ่ง เช่นไม่มีการ วิพากษ์วิจารณ์ในทางที่เสียหายใด ๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงนับว่าเป็นโชคของคนต่างด้าวจากทุกเชื้อ ชาติที่ได้เข้ามาอาศัยใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งองค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวอย่างมีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง และมีความ ก้าวหน้าในธุรกิจการงานอย่างยิ่งใหญ่ จนกล่าวได้ว่าแม้จะพากัน หนีความยากจนมาด้วยเสื่อผืนหมอนใบ ก็ยังพากันเป็น “เศรษฐี- มหาเศรษฐี” ในประเทศไทยได้เกินกว่าจะบรรยาย
เมื่อผมได้นำเอาความจริงเล็กน้อยมาเขียนขึ้นอย่างนี้
ขอแสดงความนับถือมายังท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ที่ได้อ่านข้อเขียนของผมในบทที่ ๓๓ และกำลังอ่านมาถึง บทที่ ๓๔ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมไม่แน่ใจว่า หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ที่ผ่านสายตาท่านไป จะมีประโยชน์ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีหรือว่าจะกลายเป็น ความเห็นที่น่าเกลียดชัง ที่ผมนำเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเขียน ?
ผมคิดของผมว่า “ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือตอบโต้” ก็จะขอ กราบเรียนต่อไป โดยผมได้โทรปรึกษากับ “ลุงผึ้ง@เสรีชน” ว่าจะช่วยกันเสนอความรู้ความเข้าใจบนตะเข็บของประวัติศาสตร์ ที่ตรงตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ ตามสติปัญญาความสามารถ
ก่อนจะบรรยายต่อไป ยังขอยืนยันมูลเหตุปัญหาของชาติ ได้แก่ความชั่วของคน ๓ กลุ่มใหญ่ ที่มีอยู่ในสังคมไทยแบบผู้ได้ อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น อันได้แก่ :
(๑) อภิสิทธิ์ชนนายทุนชั่ว
(๒) อภิสิทธิ์ชนขุนศึกชั่ว
(๓) อภิสิทธิ์ชนศักดินาชั่ว
มูลเหตุความชั่วของนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา เกิดมาจากรากเหง้าของ “อภิสิทธิ์ชน”กล่าวคือรากฐานของ อำนาจเถื่อนทั้งปวง เกิดขึ้นมาเพื่อการถือ “อภิสิทธิ์” เหนือคนอื่น เมื่อพวกเขาสามารถถืออภิสิทธิ์เหนือคนอื่นได้มากมายและขยายวง กว้างออกไป ท้ายสุดมันได้กลายเป็นระบอบเผด็จการ
คำว่า “เผด็จการ” หมายถึงการกระทำต่อคนอื่นด้วยความ ไม่เป็นธรรม ทำให้ผู้อื่นได้รับความลำบากทั้งทางกายและทางใจ ต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้สภาวะที่ถูกกดขี่ขูดรีดแสนสาหัส อันเป็น การกระทำต่อคนอื่นเอาตามใจชอบ โดยมี “อำนาจเถื่อน” ให้การ คุ้มกันและสนับสนุน จึงเรียกการกระทำเยี่ยงนั้นว่าเผด็จการ
เมื่อกล่าวเช่นนี้กับคนต่างด้าวทุกคนที่เข้ามาอยู่ในประเทศ ไทย โดยเฉพาะได้แก่พี่น้องต่างด้าวเชื้อสายจีนนั้น ล้วนแต่ “ได้ ผ่าน” ระบอบเผด็จการในประเทศของตนมาแล้วทั้งสิ้น จึงมีความ รู้ความเข้าใจว่าถ้าจะให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยในประเทศไทยได้ อย่างไร เมื่อรู้วิธีการจึงใช้แนวทาง การ “ส่งส่วย” เอามาเป็น เครื่องมือ พวกเขายอมจ่ายค่าคุ้มครอง และการทำตัวเป็น ผู้ปกครองง่าย
ด้วยเหตุนี้พวกพี่น้องคนต่างด้าวจึงสามารถเจริญงอกงาม ขึ้นในประเทศไทย
ประเทศไทยในยุคต้น ยังไม่มี “ระบอบนายทุน” เพราะว่า ผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นชาวไร่ชาวนาและชาวสวน
คนไทยสมัย โบราณจึงมีอยู่เพียง ๒ กลุ่ม คือ “บ่าวไพร่กับเจ้านาย”
คนไทย ๒ กลุ่มนี้ร่วมกันสร้างบ้านแปงเมือง รักษา พระราชอาณาจักร ได้อาณาเขตพื้นที่มากกว่า ๑ ล้านตารางกิโลเมตร (ปัจจุบันเหลืออยู่ ๕๑๒,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร) !
เมื่อคนต่างด้าว (คนจีน) หลั่งไหลเข้าประเทศไทย ไม่ช้าไม่นานคนจีนเหล่านั้นมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น พี่น้อง “คนจีน” ได้กลายเป็นผู้เกาะกุมระบบเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง จึงได้ทำให้ประเทศไทยมีระบอบ “ทุนนิยม” เกิดขึ้นมา แล้วได้ เปลี่ยนฐานะ “บ่าวไพร่กับเจ้านาย” มาเป็น “ขุนศึก – ศักดินา” ตามลำดับ
กล่าวตามความเป็นจริง รากฐานของเผด็จการมิได้เกิด จากนิสัยคนจีน แต่มันเกิดมาจากพวก “เจ้านาย” ในประเทศไทย ไม่มีความรักชาติ ไม่มีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้เอา ใจชาวบ้านมาใส่ใจตน พวกเขาใช้งาน “บ่าวไพร่” จนเคยตัว ได้รับผลประโยชน์จากการเป็นผู้บังคับเอาจนติดสันดาน
เมื่อมี “คนต่างด้าว” หนีร้อนมาพึ่งเย็น จึงเป็นการง่าย เหลืออเกินที่จะขูดรีดอย่างสนุกสนาน อยากได้อะไรก็จะบังคับเอา ตามใจชอบ คนต่างด้าวที่ชาญฉลาดจึงรีบประเคน ให้...ให้...ให้... แบบสุดลิ่มทิ่มประตู อันเป็นการให้ที่เกิดจากภาวะ “จำยอม” !
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงกล่าวได้เต็มปากว่า สันดานของ “ขุนศึก” และสันดานของพวกศักดินา เช่นคุณหลวง คุณพระ ท่านเจ้าคุณ และเจ้าพระยา เป็นสันดานที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้โดยพากันกระทำ แบบเผด็จการทั้งต่อประชาชนของตนเอง และกระทำต่อคนต่างด้าว
เมื่อกระทำต่อคนต่างด้าว คนต่างด้าวได้ควักเอาเงินออกมา จ่ายเพื่อจะซื้อทางเดินของพวกตนให้ราบรื่น ใครจ่ายได้มากก็จะ ได้รับความเมตตาทันตาเห็น ตระกูลใหญ ่ๆ ในประเทศไทยไม่น้อย กว่า ๒๕ ตระกูล ล้วนแต่เคยพากัน “ส่งส่วย” เรือนแสนเรือนล้าน และมากมายถึง ๑,๕๐๐ ล้านบาทต่อปี
อยู่ต่อมา ประเทศไทยมีตระกูลเจ้าสัว (เศรษฐี) !เกิดขึ้นอีก ประมาณ ๑๓๙ ตระกูล แต่ละตระกูลได้ตกเป็นเหยื่อขูดรีดจากพวก ขุนศึกและพวกศักดิอย่างเป็นระบบ อันหมายถึงเมื่อถึงเวลาจ่าย ก็ต้องจ่าย เมื่อถูกถามหาเมื่อใดก็จะต้องจ่ายเมื่อนั้น
ลักษณะของการขูดรีด ได้ตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน ดังจะเห็น ได้จากข่าว “หัวหน้ากองทัพธรรม” เล่นงานเงิน ๗๕,๐๐๐ ล้านบาท อยู่ในเครือข่ายของพวกขุนศึกต้องการบีบเอาเงินส่วนแบ่ง
ท่านผู้อ่านครับ ผมขอ “วกกลับ” ไปสู่กระบวนการ เผด็จการในประเทศไทยที่ผมยืนยันแล้วยืนยันอีกว่า คน ๓ กลุ่ม คือ ตัวการใหญ่ นับว่าเป็นตัวการใหญ่ (และขนาดใหญ่มาก) ที่ทำให้ ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาประชาธิปไตยได้ เนื่องจาก “อำนาจ อภิสิทธิ์ชน” เป็นอำนาจที่หอมหวาน ใครได้ครอบครอง จะมีแต่ ความ “สมหวัง” ในทุกสิ่งทุกอย่าง ดังจะเห็นได้จากกลุ่มนายทุน ในปัจจุบัน ได้ขยับเข้าไป “ครอบงำ” และครอบครองสังคมไทย ทั้งสังคมได้เบ็ดเสร็จ
เริ่มเข้าครอบครองตั้งแต่ระดับการเมืองส่วนท้องถิ่น ขึ้นไป จนถึงระดับชาติ แล้ววกเข้าหาระบบราชการ ด้วยการยินยอมไปนั่ง ทำงานในตำแหน่งที่กินเงินเดือนไม่กี่หมื่น ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวมี รายได้ถึงปีละ ๑,๐๐๐ ล้านบาท ดังจะเห็นได้จาก “สายเลือดของ หนังสือพิมพ์ใหญ่ฉบับหนึ่งได้เอาตัวไปทำงานในแบงค์ชาติ อย่างหามรุ่งหามค่ำ ได้ตำแหน่งระดับ ๑๐ เงินเดือนที่ได้รับ ไม่พอกับค่าทิปที่จ่ายให้แก่คนขับรถ” ก็ยังพอใจที่จะทำงาน ในแบงค์ชาติ
นอกจากนี้ เมื่อกล่าวถึงกระบวนการทางการเมือง ประดา “ลุกหลาน” นายทุนได้เข้าไปเกาะกุมอำนาจเอาไว้เกือบทั้งหมด แม้แต่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ก็ยังไม่เว้น
แท้ที่จริง ท่านผู้ใดจะไปเป็นนายพล เป็นแม่ทัพใหญ่ หรือเป็นมหาเสนาบดี มิใช่เรื่องแปลก
แต่ที่แปลกได้แก่ “ท่านเหล่านั้นพวกพาเอาสันดาน เผด็จการ” ติดตัวไปด้วย กล่าวคือท่านเหล่านั้นไม่ได้พัฒนา ประชาธิปไตยเลย เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่จะสร้างระเบียบ เพื่อจะส่งเสริมพวกของตนให้สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ จากคนยากคนจนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ผมขอกราบเรียนว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็น “ลูกหลานต่างด้าว” แต่ท่านมิได้มีสันดานเอาเปรียบคนในชาติ เดียวกัน ท่านได้ทำงานอย่างถวายหัวเพื่อจะชำระคราบไคลความเจ็บ ปวดของประชาชน ท่านเป็น “นายกรัฐมนตรี” ลูกหลานคนไทย เชื้อสายจีนคนเดียวที่สวมหัวใจประชาธิปไตย ท่านจึงเป็นที่รักยิ่ง ของประชาชนคนไทยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
ส่วนนายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ทั้งที่เป็นคนไทยโดยสายเลือด และเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ท่านเหล่านั้นมีสภาพจิตใจคล้าย “ยักษ์ กินคน” โชคดีที่ได้นั่งเก้าอี้หัวหน้าผู้บริหารประเทศ ย่อมไม่ทิ้งนิสัย ยักษ์ และไม่ทิ้งสันดาน “มาร” จึงทำให้แต่ละท่านเพียงแต่ได้ชื่อว่า ได้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งหนึ่งในชีวิต นอกเหนือจากนั้นไม่ได้มี คุณงามความดีอะไรเลย
กล่าวกันให้ชัด นายกรัฐมนตรีหลายคนที่ผ่านมามิได้เป็น ต้นแบบประชาธิปไตย ?
ท่านผู้อ่านครับ..ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมได้หยิบยกเอามา อธิบายในใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๔ ในครั้งนี้ วัตถุประสงค์ที่แท้จริง นั้น ผมต้องการได้รับ “ความเมตตา” จาก ลูกหลาน นายทุน ได้รับความ “สงสาร” จากลูกหลานขุนศึก และได้รับความ “กรุณา” จากลูกหลานศักดินา
ผมเชื่อว่า “ลูกหลาน” ของนายทุน ขุนศึก และศักดินา (มากมาย) ได้ซึมซับเรื่องราวที่เป็นจริง ที่ปู่ย่า ตาทวด ประสพ พบเห็นมา แล้วถ่ายทอดมาสู่ลูกหลาน สั่งสอนให้รู้จัก “ตักตวง” ผลกำไร สั่งสอนให้รู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้วยวิธีการอภิสิทธิ์ ซึ่งพวกเขาก็ทำตามทุกกระเบียดนิ้ว
ครั้นวันเวลาผ่านไป และเดินทางมาถึงวันนี้ !สิ่งที่ปรากฏให้ พบเห็นได้แก่ “อำนาจเถื่อน” ได้ครอบงำสังคมไทยอย่างไม่ลืมหู ลืมตา ทำให้จิตสำนึกในความเป็นคนไทยมันต้องถามเอากับตัวเอง ว่าที่พ่อแม่ สั่งสอนมา รวมทั้งได้รับฟังมาจากระบบที่เห็นแก่ตัว จนไม่อาจทนรับฟังได้ต่อไป ในที่สุด...ลูกหลานของท่านเหล่านั้น ได้สลัดคราบเผด็จการทิ้ง แล้วกระโดดเข้ามาเป็นคนเสื้อแดง
...แดงทั้งแผ่นดิน !
แสดงถึง “จุดที่ตั้ง” ของความคิดได้เปลี่ยนจากเผด็จการมา เป็นประชาธิปไตยอย่างองอาจกล้าหาญ มิใยที่พ่อแม่จะดุด่าว่ากล่าว อย่างไรก็ไม่อาจทนอยู่กับเผด็จการได้ ?!!
จากปรากฏการณ์ในวันนี้ คนไทยกลุ่มใหญ่ พากันรวบรวม รายชื่อทูลเกล้าถวายฎีกา แต่ได้ถูกรัฐบาลและพวกทุนนิยมผูกขาด “ออกมาต่อต้าน” ย่อมเป็นการพิสูจน์ให้เห็นธาตุแท้ของเผด็จการ มันทำงานสืบต่อจากอดีตอันยาวนานมาถึงปัจจุบันได้อย่างไร ?
คนเสื้อแดงคงไม่ง่ายที่จะได้รับความเมตตา ความสงสาร และความกรุณาจากพวกผู้หลักผู้ใหญ่ แต่สำหรับ “รุ่นลูก-รุ่นลาน” แล้วละก็...ท่านเหล่านั้นไม่อาจทนดูความป่าเถื่อนต่อไปได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงอยากนำเอาความจริงมากราบเรียน ต่อทุกท่านว่า สถานการณ์ในประเทศไทยในวันนี้กำลังนับถอยหลัง นับวันยิ่งใกล้วันยุติเข้ามาทุกที ทั้งนี้เนื่องจาก “ลูกหลานต่างด้าวกับ ประชาชนชาวรากหญ้า” กำลังรวมกันทุบประตูเผด็จการ อย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป?!
งานนี้ผมกล้าท้าพิสูจน์ ๑ ล้านเอาข้าวต้มหม้อเดียว ขอรับ ?!
จบบทที่ ๓๔ / สอาด จันทร์ดี
ขอสวัสดีท่านผู้อ่านทั้งในประเทศไทยและคนไทย ที่ท่องเที่ยวหรือไปปักหลักอยู่ในหลายประเทศบนโลกกลม ๆ ใบนี้ ..ขอสวัสดีอีกครั้งขอรับ
ผมได้เขียน “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๓ ผ่านสายตาของท่านไป ด้วยท่าทีลีลาในทำนองว่าคนต่างด้าวในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวเชื้อสายจีน “เป็นผู้ส่งเสริมให้เกิดลัทธิ เผด็จการขึ้นในประเทศไทย” จนกลายเป็นปัญหาของชาตินั้น ผมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเขียนอธิบายขยายความให้กระจ่าง และตรงตามความเป็นจริง เพื่อที่พี่น้องร่วมชาติ “ที่เป็นคนไทย” ทั้งมวลจะได้พินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วมาช่วยกันทำลาย ธาตุเผด็จการให้มันหมดไป
ก่อนอื่นต้องกล่าวให้ตรงความจริงทุกประการว่า ในอดีตมา จนถึงปัจจุบัน คนต่างด้าวเชื้อสายจีนได้ “อพยพ” หลั่งไหลมา จากผืนแผ่นดินใหญ่นับเป็นล้าน ๆ คน โดยที่คนไทยขนานแท้และ ดั้งเดิมมิได้ขัดขวางเลยแม้แต่รายเดียว
ไม่เคยปรากฏเป็นข่าวว่าแม้ในปัจจุบันก็ไม่เคยมีคนไทย ดั้งเดิมคนไหนพากันต่อต้านการเข้ามาของคนต่างด้าว จึงสรุปได้ว่า “ในอดีต” ก็ไม่เคยมีการขัดขวางการเข้ามาของคนต่างด้าว นอกจากจะไม่มีการขัดขวางดังกล่าว กลับปรากฏว่า “คนไทย” พากันต้อนรับ “คนต่างด้าว” ด้วยมิตรไมตรีอย่างยิ่ง เช่นไม่มีการ วิพากษ์วิจารณ์ในทางที่เสียหายใด ๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงนับว่าเป็นโชคของคนต่างด้าวจากทุกเชื้อ ชาติที่ได้เข้ามาอาศัยใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งองค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวอย่างมีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง และมีความ ก้าวหน้าในธุรกิจการงานอย่างยิ่งใหญ่ จนกล่าวได้ว่าแม้จะพากัน หนีความยากจนมาด้วยเสื่อผืนหมอนใบ ก็ยังพากันเป็น “เศรษฐี- มหาเศรษฐี” ในประเทศไทยได้เกินกว่าจะบรรยาย
เมื่อผมได้นำเอาความจริงเล็กน้อยมาเขียนขึ้นอย่างนี้
ขอแสดงความนับถือมายังท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ที่ได้อ่านข้อเขียนของผมในบทที่ ๓๓ และกำลังอ่านมาถึง บทที่ ๓๔ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมไม่แน่ใจว่า หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ที่ผ่านสายตาท่านไป จะมีประโยชน์ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีหรือว่าจะกลายเป็น ความเห็นที่น่าเกลียดชัง ที่ผมนำเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเขียน ?
ผมคิดของผมว่า “ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือตอบโต้” ก็จะขอ กราบเรียนต่อไป โดยผมได้โทรปรึกษากับ “ลุงผึ้ง@เสรีชน” ว่าจะช่วยกันเสนอความรู้ความเข้าใจบนตะเข็บของประวัติศาสตร์ ที่ตรงตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ ตามสติปัญญาความสามารถ
ก่อนจะบรรยายต่อไป ยังขอยืนยันมูลเหตุปัญหาของชาติ ได้แก่ความชั่วของคน ๓ กลุ่มใหญ่ ที่มีอยู่ในสังคมไทยแบบผู้ได้ อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น อันได้แก่ :
(๑) อภิสิทธิ์ชนนายทุนชั่ว
(๒) อภิสิทธิ์ชนขุนศึกชั่ว
(๓) อภิสิทธิ์ชนศักดินาชั่ว
มูลเหตุความชั่วของนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา เกิดมาจากรากเหง้าของ “อภิสิทธิ์ชน”กล่าวคือรากฐานของ อำนาจเถื่อนทั้งปวง เกิดขึ้นมาเพื่อการถือ “อภิสิทธิ์” เหนือคนอื่น เมื่อพวกเขาสามารถถืออภิสิทธิ์เหนือคนอื่นได้มากมายและขยายวง กว้างออกไป ท้ายสุดมันได้กลายเป็นระบอบเผด็จการ
คำว่า “เผด็จการ” หมายถึงการกระทำต่อคนอื่นด้วยความ ไม่เป็นธรรม ทำให้ผู้อื่นได้รับความลำบากทั้งทางกายและทางใจ ต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้สภาวะที่ถูกกดขี่ขูดรีดแสนสาหัส อันเป็น การกระทำต่อคนอื่นเอาตามใจชอบ โดยมี “อำนาจเถื่อน” ให้การ คุ้มกันและสนับสนุน จึงเรียกการกระทำเยี่ยงนั้นว่าเผด็จการ
เมื่อกล่าวเช่นนี้กับคนต่างด้าวทุกคนที่เข้ามาอยู่ในประเทศ ไทย โดยเฉพาะได้แก่พี่น้องต่างด้าวเชื้อสายจีนนั้น ล้วนแต่ “ได้ ผ่าน” ระบอบเผด็จการในประเทศของตนมาแล้วทั้งสิ้น จึงมีความ รู้ความเข้าใจว่าถ้าจะให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยในประเทศไทยได้ อย่างไร เมื่อรู้วิธีการจึงใช้แนวทาง การ “ส่งส่วย” เอามาเป็น เครื่องมือ พวกเขายอมจ่ายค่าคุ้มครอง และการทำตัวเป็น ผู้ปกครองง่าย
ด้วยเหตุนี้พวกพี่น้องคนต่างด้าวจึงสามารถเจริญงอกงาม ขึ้นในประเทศไทย
ประเทศไทยในยุคต้น ยังไม่มี “ระบอบนายทุน” เพราะว่า ผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นชาวไร่ชาวนาและชาวสวน
คนไทยสมัย โบราณจึงมีอยู่เพียง ๒ กลุ่ม คือ “บ่าวไพร่กับเจ้านาย”
คนไทย ๒ กลุ่มนี้ร่วมกันสร้างบ้านแปงเมือง รักษา พระราชอาณาจักร ได้อาณาเขตพื้นที่มากกว่า ๑ ล้านตารางกิโลเมตร (ปัจจุบันเหลืออยู่ ๕๑๒,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร) !
เมื่อคนต่างด้าว (คนจีน) หลั่งไหลเข้าประเทศไทย ไม่ช้าไม่นานคนจีนเหล่านั้นมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น พี่น้อง “คนจีน” ได้กลายเป็นผู้เกาะกุมระบบเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง จึงได้ทำให้ประเทศไทยมีระบอบ “ทุนนิยม” เกิดขึ้นมา แล้วได้ เปลี่ยนฐานะ “บ่าวไพร่กับเจ้านาย” มาเป็น “ขุนศึก – ศักดินา” ตามลำดับ
กล่าวตามความเป็นจริง รากฐานของเผด็จการมิได้เกิด จากนิสัยคนจีน แต่มันเกิดมาจากพวก “เจ้านาย” ในประเทศไทย ไม่มีความรักชาติ ไม่มีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้เอา ใจชาวบ้านมาใส่ใจตน พวกเขาใช้งาน “บ่าวไพร่” จนเคยตัว ได้รับผลประโยชน์จากการเป็นผู้บังคับเอาจนติดสันดาน
เมื่อมี “คนต่างด้าว” หนีร้อนมาพึ่งเย็น จึงเป็นการง่าย เหลืออเกินที่จะขูดรีดอย่างสนุกสนาน อยากได้อะไรก็จะบังคับเอา ตามใจชอบ คนต่างด้าวที่ชาญฉลาดจึงรีบประเคน ให้...ให้...ให้... แบบสุดลิ่มทิ่มประตู อันเป็นการให้ที่เกิดจากภาวะ “จำยอม” !
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงกล่าวได้เต็มปากว่า สันดานของ “ขุนศึก” และสันดานของพวกศักดินา เช่นคุณหลวง คุณพระ ท่านเจ้าคุณ และเจ้าพระยา เป็นสันดานที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้โดยพากันกระทำ แบบเผด็จการทั้งต่อประชาชนของตนเอง และกระทำต่อคนต่างด้าว
เมื่อกระทำต่อคนต่างด้าว คนต่างด้าวได้ควักเอาเงินออกมา จ่ายเพื่อจะซื้อทางเดินของพวกตนให้ราบรื่น ใครจ่ายได้มากก็จะ ได้รับความเมตตาทันตาเห็น ตระกูลใหญ ่ๆ ในประเทศไทยไม่น้อย กว่า ๒๕ ตระกูล ล้วนแต่เคยพากัน “ส่งส่วย” เรือนแสนเรือนล้าน และมากมายถึง ๑,๕๐๐ ล้านบาทต่อปี
อยู่ต่อมา ประเทศไทยมีตระกูลเจ้าสัว (เศรษฐี) !เกิดขึ้นอีก ประมาณ ๑๓๙ ตระกูล แต่ละตระกูลได้ตกเป็นเหยื่อขูดรีดจากพวก ขุนศึกและพวกศักดิอย่างเป็นระบบ อันหมายถึงเมื่อถึงเวลาจ่าย ก็ต้องจ่าย เมื่อถูกถามหาเมื่อใดก็จะต้องจ่ายเมื่อนั้น
ลักษณะของการขูดรีด ได้ตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน ดังจะเห็น ได้จากข่าว “หัวหน้ากองทัพธรรม” เล่นงานเงิน ๗๕,๐๐๐ ล้านบาท อยู่ในเครือข่ายของพวกขุนศึกต้องการบีบเอาเงินส่วนแบ่ง
ท่านผู้อ่านครับ ผมขอ “วกกลับ” ไปสู่กระบวนการ เผด็จการในประเทศไทยที่ผมยืนยันแล้วยืนยันอีกว่า คน ๓ กลุ่ม คือ ตัวการใหญ่ นับว่าเป็นตัวการใหญ่ (และขนาดใหญ่มาก) ที่ทำให้ ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาประชาธิปไตยได้ เนื่องจาก “อำนาจ อภิสิทธิ์ชน” เป็นอำนาจที่หอมหวาน ใครได้ครอบครอง จะมีแต่ ความ “สมหวัง” ในทุกสิ่งทุกอย่าง ดังจะเห็นได้จากกลุ่มนายทุน ในปัจจุบัน ได้ขยับเข้าไป “ครอบงำ” และครอบครองสังคมไทย ทั้งสังคมได้เบ็ดเสร็จ
เริ่มเข้าครอบครองตั้งแต่ระดับการเมืองส่วนท้องถิ่น ขึ้นไป จนถึงระดับชาติ แล้ววกเข้าหาระบบราชการ ด้วยการยินยอมไปนั่ง ทำงานในตำแหน่งที่กินเงินเดือนไม่กี่หมื่น ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวมี รายได้ถึงปีละ ๑,๐๐๐ ล้านบาท ดังจะเห็นได้จาก “สายเลือดของ หนังสือพิมพ์ใหญ่ฉบับหนึ่งได้เอาตัวไปทำงานในแบงค์ชาติ อย่างหามรุ่งหามค่ำ ได้ตำแหน่งระดับ ๑๐ เงินเดือนที่ได้รับ ไม่พอกับค่าทิปที่จ่ายให้แก่คนขับรถ” ก็ยังพอใจที่จะทำงาน ในแบงค์ชาติ
นอกจากนี้ เมื่อกล่าวถึงกระบวนการทางการเมือง ประดา “ลุกหลาน” นายทุนได้เข้าไปเกาะกุมอำนาจเอาไว้เกือบทั้งหมด แม้แต่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ก็ยังไม่เว้น
แท้ที่จริง ท่านผู้ใดจะไปเป็นนายพล เป็นแม่ทัพใหญ่ หรือเป็นมหาเสนาบดี มิใช่เรื่องแปลก
แต่ที่แปลกได้แก่ “ท่านเหล่านั้นพวกพาเอาสันดาน เผด็จการ” ติดตัวไปด้วย กล่าวคือท่านเหล่านั้นไม่ได้พัฒนา ประชาธิปไตยเลย เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่จะสร้างระเบียบ เพื่อจะส่งเสริมพวกของตนให้สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ จากคนยากคนจนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ผมขอกราบเรียนว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็น “ลูกหลานต่างด้าว” แต่ท่านมิได้มีสันดานเอาเปรียบคนในชาติ เดียวกัน ท่านได้ทำงานอย่างถวายหัวเพื่อจะชำระคราบไคลความเจ็บ ปวดของประชาชน ท่านเป็น “นายกรัฐมนตรี” ลูกหลานคนไทย เชื้อสายจีนคนเดียวที่สวมหัวใจประชาธิปไตย ท่านจึงเป็นที่รักยิ่ง ของประชาชนคนไทยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
ส่วนนายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ทั้งที่เป็นคนไทยโดยสายเลือด และเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ท่านเหล่านั้นมีสภาพจิตใจคล้าย “ยักษ์ กินคน” โชคดีที่ได้นั่งเก้าอี้หัวหน้าผู้บริหารประเทศ ย่อมไม่ทิ้งนิสัย ยักษ์ และไม่ทิ้งสันดาน “มาร” จึงทำให้แต่ละท่านเพียงแต่ได้ชื่อว่า ได้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งหนึ่งในชีวิต นอกเหนือจากนั้นไม่ได้มี คุณงามความดีอะไรเลย
กล่าวกันให้ชัด นายกรัฐมนตรีหลายคนที่ผ่านมามิได้เป็น ต้นแบบประชาธิปไตย ?
ท่านผู้อ่านครับ..ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมได้หยิบยกเอามา อธิบายในใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๔ ในครั้งนี้ วัตถุประสงค์ที่แท้จริง นั้น ผมต้องการได้รับ “ความเมตตา” จาก ลูกหลาน นายทุน ได้รับความ “สงสาร” จากลูกหลานขุนศึก และได้รับความ “กรุณา” จากลูกหลานศักดินา
ผมเชื่อว่า “ลูกหลาน” ของนายทุน ขุนศึก และศักดินา (มากมาย) ได้ซึมซับเรื่องราวที่เป็นจริง ที่ปู่ย่า ตาทวด ประสพ พบเห็นมา แล้วถ่ายทอดมาสู่ลูกหลาน สั่งสอนให้รู้จัก “ตักตวง” ผลกำไร สั่งสอนให้รู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้วยวิธีการอภิสิทธิ์ ซึ่งพวกเขาก็ทำตามทุกกระเบียดนิ้ว
ครั้นวันเวลาผ่านไป และเดินทางมาถึงวันนี้ !สิ่งที่ปรากฏให้ พบเห็นได้แก่ “อำนาจเถื่อน” ได้ครอบงำสังคมไทยอย่างไม่ลืมหู ลืมตา ทำให้จิตสำนึกในความเป็นคนไทยมันต้องถามเอากับตัวเอง ว่าที่พ่อแม่ สั่งสอนมา รวมทั้งได้รับฟังมาจากระบบที่เห็นแก่ตัว จนไม่อาจทนรับฟังได้ต่อไป ในที่สุด...ลูกหลานของท่านเหล่านั้น ได้สลัดคราบเผด็จการทิ้ง แล้วกระโดดเข้ามาเป็นคนเสื้อแดง
...แดงทั้งแผ่นดิน !
แสดงถึง “จุดที่ตั้ง” ของความคิดได้เปลี่ยนจากเผด็จการมา เป็นประชาธิปไตยอย่างองอาจกล้าหาญ มิใยที่พ่อแม่จะดุด่าว่ากล่าว อย่างไรก็ไม่อาจทนอยู่กับเผด็จการได้ ?!!
จากปรากฏการณ์ในวันนี้ คนไทยกลุ่มใหญ่ พากันรวบรวม รายชื่อทูลเกล้าถวายฎีกา แต่ได้ถูกรัฐบาลและพวกทุนนิยมผูกขาด “ออกมาต่อต้าน” ย่อมเป็นการพิสูจน์ให้เห็นธาตุแท้ของเผด็จการ มันทำงานสืบต่อจากอดีตอันยาวนานมาถึงปัจจุบันได้อย่างไร ?
คนเสื้อแดงคงไม่ง่ายที่จะได้รับความเมตตา ความสงสาร และความกรุณาจากพวกผู้หลักผู้ใหญ่ แต่สำหรับ “รุ่นลูก-รุ่นลาน” แล้วละก็...ท่านเหล่านั้นไม่อาจทนดูความป่าเถื่อนต่อไปได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงอยากนำเอาความจริงมากราบเรียน ต่อทุกท่านว่า สถานการณ์ในประเทศไทยในวันนี้กำลังนับถอยหลัง นับวันยิ่งใกล้วันยุติเข้ามาทุกที ทั้งนี้เนื่องจาก “ลูกหลานต่างด้าวกับ ประชาชนชาวรากหญ้า” กำลังรวมกันทุบประตูเผด็จการ อย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป?!
งานนี้ผมกล้าท้าพิสูจน์ ๑ ล้านเอาข้าวต้มหม้อเดียว ขอรับ ?!
จบบทที่ ๓๔ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 35 ถวายฏีกา ต้องบังคับให้ออกหัว ถ้าไม่ยอมจะเกิดนองเลือด
บทที่ ๓๕ ตอน : ถวายฎีกา ต้องบังคับให้ออกหัว ถ้าไม่ยอมจะเกิดนองเลือด ?!
ผมต้องกราบขอโทษท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” อย่างแรง ที่หยุดพัก โดยไม่ลา
ผมขอเรียนว่าผมไม่ได้หยุดพักเลยขอรับ แต่มีภารกิจรัดแน่นจนหาเวลา ปลีกตัวไม่ได้ เนื่องจากต้องตามไปดูการชุมนุมของคนเสื้อแดงไกลจากโต๊ะทำงาน โดยไม่ได้หิ้วโน้ทบู๊คส์ไปด้วยทำให้ผมไม่สามารถผลิตงานแม้แต่ชิ้นเดียว
บทที่ ๓๔ คงจะทำให้ท่านเข้าใจเรื่องราวที่ผมเขียนถึงพี่น้อง “ต่างด้าว” ที่เข้ามาอยู่ในประเทศว่าเป็นต้นเหตุทำให้พวก “ขุนศึก” ติดนิสัยขูดรีดจนเคยตัว แล้วก็เลยขึ้นไปถึงพวกศักดินาที่เอาแต่เปิบผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อด้วยความ ลุ่มหลง จนลืมไปว่าชนชั้นของตัวเองได้กลายเป็นพวกอนุรักษ์นิยมหัวโบราณ ที่อาศัยเผด็จการเป็นรังนอนอย่างยาวนาน สุดท้ายมันได้ทำให้ประเทศไทย ทั้งประเทศตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ ดังที่คนทราบดี
วันนี้ (๑๑ สิงหาคม/๕๒) ผมขอเสนอท่านด้วยใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๕ ดังนี้
ขอเริ่มว่าสภาวะของวงจรอุบาทว์ได้ทำให้ “คนอุบาทว์” เกิดขึ้นมาในชาติ เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่คิดอิจฉาริษยา หรือไม่ก็อาจจะอาศัย “ความอุบาทว์” บ่อนทำลายความมั่นคงสถาบันของชาติถึง ๒ สถาบัน อันได้แก่สถาบันศาสนา (พุทธ) และสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่อุบาทว์คือพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป) และพวกอำมาตย์ใหญ่หลายคน
ข้อวินิจฉัยว่าทำไมจึงเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์และอำมาตย์ใหญ่หลายคน พากันบ่อนทำลายความมั่นคง ก็ต้อง “วิสัชนา” ว่าเชื่อมาจากการกระทำให้คน ในชาติเกิดความขัดแย้งกัน ทำให้เกลียดชังกัน ดังจะเห็นได้จากการ “กล่าวหา” คนใดคนหนึ่งว่าเป็นคนไม่รักพระเจ้าแผ่นดินแล้วกล่าวหาเลยไปถึงขั้นว่าคนผู้นั้น มันคิดจะเป็นประธานาธิบดี
ข้อกล่าวหาเช่นนี้ มองแบบปกติวิสัยมันเป็นเพียงการใส่ร้ายป้ายสี
แต่ถ้ามองให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้มันหมายถึงการวางแผนก่อวินาศกรรม สังคมไทยทั้งสังคมให้เกิดความขัดแย้งกัน และวิธีที่จะทำให้สังคมไทยทั้งสังคม เกิดความขัดแย้งกันได้ก็มีอยู่ทางเดียว นั้นก็คือการแยก “ความรัก” ที่มีต่อ พระเจ้าแผ่นดินให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา
คนพวกหนึ่งโยนโครมลงไปว่า “ไอ้หมอนั่นมันไม่รักเจ้า” แล้วพากัน โห่ร้องขึ้นมาว่า มีแต่พวกของตนเท่านั้นที่รักพระเจ้าแผ่นดินมากกว่าใคร การกระทำ ของคนพวกนั้นมีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ ถึงขั้นขึ้นป้าย “ปกป้องสถาบัน” กระจายไปทั่วทุกจังหวัด
ป้ายปกป้องสถาบันอันใหญ่โต รวมไปถึงป้ายอื่น ๆ ที่กำลังติดตั้งอยู่บน แผงโฆษณาทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ดังที่ผมได้พบเห็นมาตั้งแต่เดือนเมษายน มาจนถึงเดือนสิงหาคม/๕๒ มันไม่ได้ทำให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน ตรงกันข้าม มันยิ่งทำให้แตกแยกกันมากขึ้น ป้ายพวกนี้จึงกลายเป็นป้ายทำลายความมั่นคง ทำให้เกิดสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก กล่าวคือจะปลดออกก็จะกลายเป็นความ พ่ายแพ้ ครั้นคงเอาไว้ก็จะทำลายความสามัคคี
ความอุบาทว์ของคนพวกนั้นได้เดินทางมาไกลสุดไม่อาจดึงให้ถอยหลังได้ ตรงกันข้ามยิ่งนานวันยิ่งตอกลิ่มว่าคนที่ชั่วมีอยู่คนเดียวคือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อพวกเขาลงมติยืนกระต่ายขาเดียวเช่นนี้ ได้ทำให้ประชาชน “ครึ่งค่อน” ประเทศ เต็มใจที่จะเป็นคนชั่วตามทักษิณไปด้วย
ครั้นประชาชนพากันยืนกรานอยู่เคียงข้างทักษิณ แทนที่จะหาทาง “ปรองดอง” เพื่อจะได้ระงับข้อพิพาท กลับพากัน “ยัดเยียด” ความเลวร้ายให้ ทวีความเข้มข้นมากขึ้น
โดยมิพักสงสัย ผมจึงกล้าที่จะกล่าวอย่างไม่ลังเลว่าเจตนาอันแท้จริง ของคนพวกนั้น ได้แก่ความคิดอันชั่วร้าย ใช้ความอุบาทว์เป็นเครื่องมือ “วางแผน ล้มเจ้า” อย่างแนบเนียนที่สุดต่างหาก หาใช่เป็นการทำเพื่อให้เกิดความมั่นคง แต่ประการใดไม่
ที่ว่าแนบเนียนนั้นนับว่าชัดเจนมาก เนื่องจากประดา “ชนชั้นสูง” แห่ไป สนับสนุนพวกที่ทำอุบาทว์ด้วยการกล่าวประณาม พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร หนักหน้าขึ้นกว่าเดิม อันเป็นการเพิ่มกระแสความร้อนแรงให้คุกรุ่น รอแต่ว่ามัน จะระเบิดเปรี้ยงขึ้นมาในวันไหน
ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมขอกราบเรียนว่าขณะเขียนบทความนี้บทที่ ๓๕ อยู่นี้ ก็มีข่าวจากวงในว่าทหารน้อยใหญ่กำลังวางแผนจะใช้มาตรการ “รุนแรง”ปราบปรามคนเสื้อแดง ก่อนหน้านี้หลายวัน (ประมาณวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๒) ตำรวจ-ทหาร ประมาณ ๕,๐๐๐ นาย ซ้อมปราบจลาจลที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ ๒๑.๐๐ น. ถึง ๒๔.๐๐ น.
นายศดิศ ใจเที่ยง ประธานชมรมคนแท็กซี่สุวรรณภูมิแจ้งกับผมว่า เขาเตรียมการใหญ่เพื่อจะปราบปรามคนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังมีการ “เตรียมพร้อม” ทั้งในกองทัพและกองบัญชาการ ทำราวกับว่า การปราบปรามนั้นจะช่วยให้ สถานการณ์ดีขึ้น
เปล่าเลย...ผมว่ามันไม่มีทางดีขึ้น ตรงกันข้าม มันยิ่งจะเลวร้ายลง ข่าวมิได้มีเพียงแค่การเตรียมกำลังเอาไว้ปราบปรามเท่านั้น ยังร้ายแรงถึงขั้น จะทำการยึดอำนาจการปกครองอีกครั้ง โดยพากันกล่าวว่าถ้าทหารยึดอำนาจครั้งนี้ จะจัดระเบียบประเทศใหม่จะไม่ให้มีเหลือง น้ำเงิน และคนเสื้อแดง หลงเหลืออยู่ ต่อไป
ผมรับฟังข่าวมาแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ทว่า...แม้จะไม่เชื่อก็ตามที แต่วันนี้คนเสื้อแดงเดินทางมาถึงจุดถวายฎีกา อย่างไม่มีทางเลี่ยงแล้วพระคุณท่าน ไม่ว่ารัฐบาลจะวิ่งขวางเพียงไรก็ไม่อาจระงับ ยับตั้ง “การยื่นถวายฎีกา” ได้เลย ตรงกันข้าม ยิ่งรัฐบาลแห่ออกไปขวาง ยิ่งเร่ง ให้มวลมหาประชาชนรวมตัวกับคนเสื้อแดงมากมายยิ่งขึ้น
มีคำถามว่าเหตุไรจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ คำตอบก็คือ พวกอำมาตย์เป็นคนอุบาทว์ นักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่เข้าใจคำว่าอุบาทว์ ตลอดทั้งคนในแวดวง “ชนชั้นสูง” พากันตกเป็นเหยื่อของ คนอุบาทว์ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็น “ม่านบังตา” ให้มืดบอด มองอะไรไม่เห็น
เมื่อมองไม่เห็นก็ย่อมจะตกลงไปในหลุมพรางที่พวกอุบาทว์ขุดเอาไว้ ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมขอกล่าวว่าคนอุบาทว์ในประเทศไทยมีอยู่หลายกลุ่ม ผมจะนำเอาความจริงมาเล่าให้ฟังว่าพวกที่เป็น “ตัวการ” สนับสนุนการแบ่ง แยกดินแดน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) เป็นบุคคล กลุ่มแรกที่วางแผนให้คนไทยตีกัน
คนกลุ่มนี้ก็คือคนไทยขนานแท้ที่มีตำแหน่งการงานในวงราชการ มียศถาบรรดาศักดิ์ มีอำนาจทางการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนกลุ่มนี้ไมได้แสดงออกว่าสนับสนุนการก่อการร้าย ไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชี ของโจรพูโล [PULO]อำพรางว่าไม่สนับสนุนโจรพูโล
คนกลุ่มนี้แหละได้วางแผนที่จะบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศไทย อีกด้านหนึ่งด้วยการร่วมทำงานยุให้คนไทยแตกแยกกัน ถ้าสามารถทำให้คนไทย แตกแยกกันได้ ก็จะทำให้การแบ่งแยกดินแดนง่ายดายขึ้น (ข้อมูลดังกล่าวนี้ ผมกับ “คีย์แมนโทน” ร่วมกันวิเคราะห์หลายปี) !
คนอีกพวกหนึ่งได้แก่ “สันติอโศก” ที่ต้องการเผยแพร่พระพุทธศาสนา แนวใหม่ ต้องการล้มล้างหลักการของคณะสงฆ์ทั้งหมด ซึ่งคณะสงฆ์ก็ตระหนักดี คนกลุ่มนี้ได้ตั้งกองทัพธรรมขึ้นมาเพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือรบกวนสังคมให้ปั่นป่วน แล้วใช้เวทีของม็อบป่าวประกาศให้คนได้ยินไปจนทั่วว่าคนนั้นเป็นภัยของพระเจ้า แผ่นดิน คนนี้ (พวกสันติอโศกและพันธมิตร) เท่านั้นที่รักพระเจ้าแผ่นดินมากกว่าใคร
ดังตัวอย่าง “น้องโบว์” ตายคนเดียว (ถูกระเบิดของตัวเอง) ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นผู้ปกป้องสถาบัน รวมทั้งการตายของ“นายตำรวจ”ที่ขับรถบรรทุกระเบิด เอามาจอดไว้ที่หน้าพรรคชาติไทย วางแผนผิดพลาด เกิดระเบิดใส่ตัวเองตาย ยังได้รับพระราชทานเพลิงศพ
ลืมไปว่าทหารตำรวจที่ตายในสนามรบมีมากมาย นี้คือตัวอย่างของคนอุบาทว์ ยังมีอีกขอรับ อันได้แก่พวกที่เกลียดชังเจ้า แต่ตัวเองรับใช้อยู่ใกล้สถาบัน ไม่กล้าแสดงออกว่าตัวเองไม่ชอบสถาบัน ได้กระทำบ่อนทำลายคนที่รักชาติ อย่างเอาเป็นเอาตาย ดังจะเห็นได้จากการ กระทำของ“องคมนตรี” บางคน ล้วนแต่เข้าข่ายพวกอุบาทว์ทั้งสิ้น
เรื่องราวทั้งหลายที่ผมกล่าวมา เราจะสามารถอ่านลึกเข้าไปในความลี้ลับได้ โดยไม่ยากว่าคนที่ต้องการให้บ้านเมืองปั่นป่วนนั้น มีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่
แต่ก็น่าแปลกเหลือเกิน ผมเขียนเยี่ยงนี้ติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า ๕ ปี ไม่เคยได้รับการสอบถามเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมกล่าวหา “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ว่าเป็นตัวการล้มล้างระบอบการปกครอง ก็ไม่เคยมีใครเชื่อถือ นอกจากไม่เชื่อถือ ในคำพูดของผม ยังตำหนิผมเสียด้วยว่าบ้าไปหรือเปล่า
ผมบอกว่าผมไม่บ้า ผมบอกว่า สักวันหนึ่ง ความจริงจะปรากฏ แล้ววันนั้นก็มาถึง...
วันนี้ไง...วันของคนเสื้อแดงไม่มีที่พึ่ง ต่างพากันมุ่งหน้าสู่ระบรมมหาราชวัง พากันทูลเกล้าถวายฎีกา เพื่อจะขอพึ่งพระมหากรุณาธิคุณให้ทรงปลดปล่อยความทุกข์ ออกจากใจของพวกเขา คนเสื้อแดงไม่น้อยกว่า ๕ ล้านคน พากันลงชื่อขอถวายฎีกา
ยังจะมีคนเสื้อแดงอีกนับล้าน ที่ลงชื่อสนับสนุน ท่านผู้อ่านครับ ผมไปที่ท้องสนามหลวง ไปที่อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และไปที่พัทยา ในขณะคณะของ นปช. แห่ไปอุดร เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัด ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนแต่ได้ยินเสียงเรียกร้องขอความยุติธรรม และความเป็นธรรม
วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! จึงเป็นวันของความขัดแย้งที่ทะลุขึ้นสู่ ยอดปราสาทพระบรมมหาราชวังอย่างไม่มีทางไหนที่จะยับยั้งเอาไว้ได้ ตรงกันข้าม หากมีการ “ยับยั้ง” ยิ่งจะเร่งให้เกิดความวุ่นวายและจะบ่ายหน้าไปสู่ความเลวร้าย
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ถ้าท่านได้อ่านใบปลิวกู้ชาติในบทก่อนๆ ท่านจะทราบดี ว่าบ้านเมืองมาถึงจุดนี้แล้ว จะดึงถอยหลังกลับแบบปกติธรรมดาย่อมเป็นไปไม่ได้เลย แล้วผมก็ได้เขียนเอาไว้ว่า “ผู้ให้” อันหมายถึงรัฐบาลต่างหาก ที่จะจัดการให้ สถานการณ์อยู่ในสภาพไหน
ถ้ารับฟังกันแต่โดยดี ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างนุ่มนวล หากพากันต่อต้านก็จะเกิดความรุนแรง ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๕ ก็ยังคงยืนยันในหลักการเดิม ผมยังคงปรารถนาอยากให้พวกอำมาตย์รีบหันหน้ามาปรองดองกับคนเสื้อแดง หันหน้ามาแก้วิกฤติ ของชาติ แก้รัฐธรรมนูญ แก้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเป็นอุปสรรคต่อระบอบระชาธิปไตย
แล้วเอาคนชื่อทักษิณ กลับมา ทักษิณได้กลับประเทศไทย จะทำให้คนไทยมองหน้ากันติด ต่อไปก็จะ หาทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง เมื่อแก้ได้สำเร็จภายในเวลาอันไม่นาน ก็จะทำให้สังคมไทยค่อยเขยิบขึ้นและดีขึ้นในที่สุด
สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นสถานการณ์หมิ่นเหม่ต่อประเทศชาติมันอาจจะเกิด การทุบตีกันขึ้นจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง มันมีเหตุอีกหลายประเด็นที่จะทำให้ คนไทยรังแต่จะทุบตีกัน หากเป็นเช่นนี้ก็อย่าหวังว่าจะสามารถสร้างให้ชาติปรองดอง กันได้ จึงเหลืออยู่ช่องเดียวคือให้ยอมรับหนังสือถวายฎีกา บังคับให้ออกหัว
ถ้าไม่ ยอม มันจะเกิดการนองเลือด ?!!
จบบทที่ 35 สอาด จันทร์ดี
ผมต้องกราบขอโทษท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” อย่างแรง ที่หยุดพัก โดยไม่ลา
ผมขอเรียนว่าผมไม่ได้หยุดพักเลยขอรับ แต่มีภารกิจรัดแน่นจนหาเวลา ปลีกตัวไม่ได้ เนื่องจากต้องตามไปดูการชุมนุมของคนเสื้อแดงไกลจากโต๊ะทำงาน โดยไม่ได้หิ้วโน้ทบู๊คส์ไปด้วยทำให้ผมไม่สามารถผลิตงานแม้แต่ชิ้นเดียว
บทที่ ๓๔ คงจะทำให้ท่านเข้าใจเรื่องราวที่ผมเขียนถึงพี่น้อง “ต่างด้าว” ที่เข้ามาอยู่ในประเทศว่าเป็นต้นเหตุทำให้พวก “ขุนศึก” ติดนิสัยขูดรีดจนเคยตัว แล้วก็เลยขึ้นไปถึงพวกศักดินาที่เอาแต่เปิบผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อด้วยความ ลุ่มหลง จนลืมไปว่าชนชั้นของตัวเองได้กลายเป็นพวกอนุรักษ์นิยมหัวโบราณ ที่อาศัยเผด็จการเป็นรังนอนอย่างยาวนาน สุดท้ายมันได้ทำให้ประเทศไทย ทั้งประเทศตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ ดังที่คนทราบดี
วันนี้ (๑๑ สิงหาคม/๕๒) ผมขอเสนอท่านด้วยใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๕ ดังนี้
ขอเริ่มว่าสภาวะของวงจรอุบาทว์ได้ทำให้ “คนอุบาทว์” เกิดขึ้นมาในชาติ เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่คิดอิจฉาริษยา หรือไม่ก็อาจจะอาศัย “ความอุบาทว์” บ่อนทำลายความมั่นคงสถาบันของชาติถึง ๒ สถาบัน อันได้แก่สถาบันศาสนา (พุทธ) และสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่อุบาทว์คือพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป) และพวกอำมาตย์ใหญ่หลายคน
ข้อวินิจฉัยว่าทำไมจึงเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์และอำมาตย์ใหญ่หลายคน พากันบ่อนทำลายความมั่นคง ก็ต้อง “วิสัชนา” ว่าเชื่อมาจากการกระทำให้คน ในชาติเกิดความขัดแย้งกัน ทำให้เกลียดชังกัน ดังจะเห็นได้จากการ “กล่าวหา” คนใดคนหนึ่งว่าเป็นคนไม่รักพระเจ้าแผ่นดินแล้วกล่าวหาเลยไปถึงขั้นว่าคนผู้นั้น มันคิดจะเป็นประธานาธิบดี
ข้อกล่าวหาเช่นนี้ มองแบบปกติวิสัยมันเป็นเพียงการใส่ร้ายป้ายสี
แต่ถ้ามองให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้มันหมายถึงการวางแผนก่อวินาศกรรม สังคมไทยทั้งสังคมให้เกิดความขัดแย้งกัน และวิธีที่จะทำให้สังคมไทยทั้งสังคม เกิดความขัดแย้งกันได้ก็มีอยู่ทางเดียว นั้นก็คือการแยก “ความรัก” ที่มีต่อ พระเจ้าแผ่นดินให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา
คนพวกหนึ่งโยนโครมลงไปว่า “ไอ้หมอนั่นมันไม่รักเจ้า” แล้วพากัน โห่ร้องขึ้นมาว่า มีแต่พวกของตนเท่านั้นที่รักพระเจ้าแผ่นดินมากกว่าใคร การกระทำ ของคนพวกนั้นมีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ ถึงขั้นขึ้นป้าย “ปกป้องสถาบัน” กระจายไปทั่วทุกจังหวัด
ป้ายปกป้องสถาบันอันใหญ่โต รวมไปถึงป้ายอื่น ๆ ที่กำลังติดตั้งอยู่บน แผงโฆษณาทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ดังที่ผมได้พบเห็นมาตั้งแต่เดือนเมษายน มาจนถึงเดือนสิงหาคม/๕๒ มันไม่ได้ทำให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน ตรงกันข้าม มันยิ่งทำให้แตกแยกกันมากขึ้น ป้ายพวกนี้จึงกลายเป็นป้ายทำลายความมั่นคง ทำให้เกิดสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก กล่าวคือจะปลดออกก็จะกลายเป็นความ พ่ายแพ้ ครั้นคงเอาไว้ก็จะทำลายความสามัคคี
ความอุบาทว์ของคนพวกนั้นได้เดินทางมาไกลสุดไม่อาจดึงให้ถอยหลังได้ ตรงกันข้ามยิ่งนานวันยิ่งตอกลิ่มว่าคนที่ชั่วมีอยู่คนเดียวคือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อพวกเขาลงมติยืนกระต่ายขาเดียวเช่นนี้ ได้ทำให้ประชาชน “ครึ่งค่อน” ประเทศ เต็มใจที่จะเป็นคนชั่วตามทักษิณไปด้วย
ครั้นประชาชนพากันยืนกรานอยู่เคียงข้างทักษิณ แทนที่จะหาทาง “ปรองดอง” เพื่อจะได้ระงับข้อพิพาท กลับพากัน “ยัดเยียด” ความเลวร้ายให้ ทวีความเข้มข้นมากขึ้น
โดยมิพักสงสัย ผมจึงกล้าที่จะกล่าวอย่างไม่ลังเลว่าเจตนาอันแท้จริง ของคนพวกนั้น ได้แก่ความคิดอันชั่วร้าย ใช้ความอุบาทว์เป็นเครื่องมือ “วางแผน ล้มเจ้า” อย่างแนบเนียนที่สุดต่างหาก หาใช่เป็นการทำเพื่อให้เกิดความมั่นคง แต่ประการใดไม่
ที่ว่าแนบเนียนนั้นนับว่าชัดเจนมาก เนื่องจากประดา “ชนชั้นสูง” แห่ไป สนับสนุนพวกที่ทำอุบาทว์ด้วยการกล่าวประณาม พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร หนักหน้าขึ้นกว่าเดิม อันเป็นการเพิ่มกระแสความร้อนแรงให้คุกรุ่น รอแต่ว่ามัน จะระเบิดเปรี้ยงขึ้นมาในวันไหน
ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมขอกราบเรียนว่าขณะเขียนบทความนี้บทที่ ๓๕ อยู่นี้ ก็มีข่าวจากวงในว่าทหารน้อยใหญ่กำลังวางแผนจะใช้มาตรการ “รุนแรง”ปราบปรามคนเสื้อแดง ก่อนหน้านี้หลายวัน (ประมาณวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๒) ตำรวจ-ทหาร ประมาณ ๕,๐๐๐ นาย ซ้อมปราบจลาจลที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ ๒๑.๐๐ น. ถึง ๒๔.๐๐ น.
นายศดิศ ใจเที่ยง ประธานชมรมคนแท็กซี่สุวรรณภูมิแจ้งกับผมว่า เขาเตรียมการใหญ่เพื่อจะปราบปรามคนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังมีการ “เตรียมพร้อม” ทั้งในกองทัพและกองบัญชาการ ทำราวกับว่า การปราบปรามนั้นจะช่วยให้ สถานการณ์ดีขึ้น
เปล่าเลย...ผมว่ามันไม่มีทางดีขึ้น ตรงกันข้าม มันยิ่งจะเลวร้ายลง ข่าวมิได้มีเพียงแค่การเตรียมกำลังเอาไว้ปราบปรามเท่านั้น ยังร้ายแรงถึงขั้น จะทำการยึดอำนาจการปกครองอีกครั้ง โดยพากันกล่าวว่าถ้าทหารยึดอำนาจครั้งนี้ จะจัดระเบียบประเทศใหม่จะไม่ให้มีเหลือง น้ำเงิน และคนเสื้อแดง หลงเหลืออยู่ ต่อไป
ผมรับฟังข่าวมาแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ทว่า...แม้จะไม่เชื่อก็ตามที แต่วันนี้คนเสื้อแดงเดินทางมาถึงจุดถวายฎีกา อย่างไม่มีทางเลี่ยงแล้วพระคุณท่าน ไม่ว่ารัฐบาลจะวิ่งขวางเพียงไรก็ไม่อาจระงับ ยับตั้ง “การยื่นถวายฎีกา” ได้เลย ตรงกันข้าม ยิ่งรัฐบาลแห่ออกไปขวาง ยิ่งเร่ง ให้มวลมหาประชาชนรวมตัวกับคนเสื้อแดงมากมายยิ่งขึ้น
มีคำถามว่าเหตุไรจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ คำตอบก็คือ พวกอำมาตย์เป็นคนอุบาทว์ นักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่เข้าใจคำว่าอุบาทว์ ตลอดทั้งคนในแวดวง “ชนชั้นสูง” พากันตกเป็นเหยื่อของ คนอุบาทว์ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็น “ม่านบังตา” ให้มืดบอด มองอะไรไม่เห็น
เมื่อมองไม่เห็นก็ย่อมจะตกลงไปในหลุมพรางที่พวกอุบาทว์ขุดเอาไว้ ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมขอกล่าวว่าคนอุบาทว์ในประเทศไทยมีอยู่หลายกลุ่ม ผมจะนำเอาความจริงมาเล่าให้ฟังว่าพวกที่เป็น “ตัวการ” สนับสนุนการแบ่ง แยกดินแดน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) เป็นบุคคล กลุ่มแรกที่วางแผนให้คนไทยตีกัน
คนกลุ่มนี้ก็คือคนไทยขนานแท้ที่มีตำแหน่งการงานในวงราชการ มียศถาบรรดาศักดิ์ มีอำนาจทางการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนกลุ่มนี้ไมได้แสดงออกว่าสนับสนุนการก่อการร้าย ไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชี ของโจรพูโล [PULO]อำพรางว่าไม่สนับสนุนโจรพูโล
คนกลุ่มนี้แหละได้วางแผนที่จะบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศไทย อีกด้านหนึ่งด้วยการร่วมทำงานยุให้คนไทยแตกแยกกัน ถ้าสามารถทำให้คนไทย แตกแยกกันได้ ก็จะทำให้การแบ่งแยกดินแดนง่ายดายขึ้น (ข้อมูลดังกล่าวนี้ ผมกับ “คีย์แมนโทน” ร่วมกันวิเคราะห์หลายปี) !
คนอีกพวกหนึ่งได้แก่ “สันติอโศก” ที่ต้องการเผยแพร่พระพุทธศาสนา แนวใหม่ ต้องการล้มล้างหลักการของคณะสงฆ์ทั้งหมด ซึ่งคณะสงฆ์ก็ตระหนักดี คนกลุ่มนี้ได้ตั้งกองทัพธรรมขึ้นมาเพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือรบกวนสังคมให้ปั่นป่วน แล้วใช้เวทีของม็อบป่าวประกาศให้คนได้ยินไปจนทั่วว่าคนนั้นเป็นภัยของพระเจ้า แผ่นดิน คนนี้ (พวกสันติอโศกและพันธมิตร) เท่านั้นที่รักพระเจ้าแผ่นดินมากกว่าใคร
ดังตัวอย่าง “น้องโบว์” ตายคนเดียว (ถูกระเบิดของตัวเอง) ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นผู้ปกป้องสถาบัน รวมทั้งการตายของ“นายตำรวจ”ที่ขับรถบรรทุกระเบิด เอามาจอดไว้ที่หน้าพรรคชาติไทย วางแผนผิดพลาด เกิดระเบิดใส่ตัวเองตาย ยังได้รับพระราชทานเพลิงศพ
ลืมไปว่าทหารตำรวจที่ตายในสนามรบมีมากมาย นี้คือตัวอย่างของคนอุบาทว์ ยังมีอีกขอรับ อันได้แก่พวกที่เกลียดชังเจ้า แต่ตัวเองรับใช้อยู่ใกล้สถาบัน ไม่กล้าแสดงออกว่าตัวเองไม่ชอบสถาบัน ได้กระทำบ่อนทำลายคนที่รักชาติ อย่างเอาเป็นเอาตาย ดังจะเห็นได้จากการ กระทำของ“องคมนตรี” บางคน ล้วนแต่เข้าข่ายพวกอุบาทว์ทั้งสิ้น
เรื่องราวทั้งหลายที่ผมกล่าวมา เราจะสามารถอ่านลึกเข้าไปในความลี้ลับได้ โดยไม่ยากว่าคนที่ต้องการให้บ้านเมืองปั่นป่วนนั้น มีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่
แต่ก็น่าแปลกเหลือเกิน ผมเขียนเยี่ยงนี้ติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า ๕ ปี ไม่เคยได้รับการสอบถามเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมกล่าวหา “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ว่าเป็นตัวการล้มล้างระบอบการปกครอง ก็ไม่เคยมีใครเชื่อถือ นอกจากไม่เชื่อถือ ในคำพูดของผม ยังตำหนิผมเสียด้วยว่าบ้าไปหรือเปล่า
ผมบอกว่าผมไม่บ้า ผมบอกว่า สักวันหนึ่ง ความจริงจะปรากฏ แล้ววันนั้นก็มาถึง...
วันนี้ไง...วันของคนเสื้อแดงไม่มีที่พึ่ง ต่างพากันมุ่งหน้าสู่ระบรมมหาราชวัง พากันทูลเกล้าถวายฎีกา เพื่อจะขอพึ่งพระมหากรุณาธิคุณให้ทรงปลดปล่อยความทุกข์ ออกจากใจของพวกเขา คนเสื้อแดงไม่น้อยกว่า ๕ ล้านคน พากันลงชื่อขอถวายฎีกา
ยังจะมีคนเสื้อแดงอีกนับล้าน ที่ลงชื่อสนับสนุน ท่านผู้อ่านครับ ผมไปที่ท้องสนามหลวง ไปที่อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และไปที่พัทยา ในขณะคณะของ นปช. แห่ไปอุดร เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัด ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนแต่ได้ยินเสียงเรียกร้องขอความยุติธรรม และความเป็นธรรม
วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! จึงเป็นวันของความขัดแย้งที่ทะลุขึ้นสู่ ยอดปราสาทพระบรมมหาราชวังอย่างไม่มีทางไหนที่จะยับยั้งเอาไว้ได้ ตรงกันข้าม หากมีการ “ยับยั้ง” ยิ่งจะเร่งให้เกิดความวุ่นวายและจะบ่ายหน้าไปสู่ความเลวร้าย
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ถ้าท่านได้อ่านใบปลิวกู้ชาติในบทก่อนๆ ท่านจะทราบดี ว่าบ้านเมืองมาถึงจุดนี้แล้ว จะดึงถอยหลังกลับแบบปกติธรรมดาย่อมเป็นไปไม่ได้เลย แล้วผมก็ได้เขียนเอาไว้ว่า “ผู้ให้” อันหมายถึงรัฐบาลต่างหาก ที่จะจัดการให้ สถานการณ์อยู่ในสภาพไหน
ถ้ารับฟังกันแต่โดยดี ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างนุ่มนวล หากพากันต่อต้านก็จะเกิดความรุนแรง ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๕ ก็ยังคงยืนยันในหลักการเดิม ผมยังคงปรารถนาอยากให้พวกอำมาตย์รีบหันหน้ามาปรองดองกับคนเสื้อแดง หันหน้ามาแก้วิกฤติ ของชาติ แก้รัฐธรรมนูญ แก้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเป็นอุปสรรคต่อระบอบระชาธิปไตย
แล้วเอาคนชื่อทักษิณ กลับมา ทักษิณได้กลับประเทศไทย จะทำให้คนไทยมองหน้ากันติด ต่อไปก็จะ หาทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง เมื่อแก้ได้สำเร็จภายในเวลาอันไม่นาน ก็จะทำให้สังคมไทยค่อยเขยิบขึ้นและดีขึ้นในที่สุด
สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นสถานการณ์หมิ่นเหม่ต่อประเทศชาติมันอาจจะเกิด การทุบตีกันขึ้นจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง มันมีเหตุอีกหลายประเด็นที่จะทำให้ คนไทยรังแต่จะทุบตีกัน หากเป็นเช่นนี้ก็อย่าหวังว่าจะสามารถสร้างให้ชาติปรองดอง กันได้ จึงเหลืออยู่ช่องเดียวคือให้ยอมรับหนังสือถวายฎีกา บังคับให้ออกหัว
ถ้าไม่ ยอม มันจะเกิดการนองเลือด ?!!
จบบทที่ 35 สอาด จันทร์ดี
บทที่ 36 ศึกษาราชวงศ์รัสเซียล่มสลายด้วยเหตุใด
บทที่ ๓๖ ศึกษาราชวงศ์รัสเซีย ล่มสลายด้วยเหตุใด ?!
ขอแสดงความพึงพอใจที่ท่านผู้อ่านได้ขยันอ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ”มาจนถึงบทที่ ๓๕ ! ผมจึงอยากเรียนให้ท่านได้รับทราบว่า “ผมมี กำลังใจ” ที่จะผลิตงานออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ตราบใดที่ ยังมีกำลังวังชาพอทำงานไหว ก็หวังว่าใบปลิวกู้ชาติทุกฉบับจะสามารถ ทำความเข้าใจต่อปัญหาความขัดข้องทางการเมืองในประเทศไทยของเรา รวมไปถึงจะได้เข้าใจสภาพความเป็นจริงที่พวกเรากำลังเผชิญปัญหา กับพวกเผด็จการ
ใบปลิวกู้ชาติบทนี้อยู่ในห้วงวันที่ ๑๕ สิงหาคม/๕๒ ที่ คนเสื้อแดงมีนัดหมายที่จะถวายฎีกาในวันที่ ๑๗ สิงหาคม/๕๒ อันเป็นวันระทึกใจอย่างยิ่งของพสกนิกรว่าจะได้ถวายฎีกา หรือจะถูก พวก “พญามาร” ขัดขวางด้วยวิธีการต่างๆดังที่ได้พบเห็นว่าพวกเขา แห่ไปขู่เข็นข้าราชการทั่วประเทศให้แห่ออกมาต่อต้านคนเสื้อแดง
วันนี้ผมขอเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๖ ว่าด้วยเรื่องราว ของราชวงศ์รัสเซีย ที่ล่มสลายไป “โดยที่คนไทยไม่มีใครหยิบยก เอาเรื่องนี้ขึ้นมาศึกษาเพื่อการเรียนรู้เลย” คนไทยจึงไม่ทราบต้นสาย ปลายเหตุที่แท้จริง ส่วนใหญ่จะพากันเข้าใจว่า “คอมมิวนิสต์” เป็นตัวการล้มล้างระบอบการปกครองของรัสเซีย แล้วก็พากันเข้าใจ สืบต่อกันมาจนถึงวันนี้ว่า ราชวงศ์รัสเซียถูกคอมมิวนิสต์ทำลาย ?! จนไม่มีอะไรเหลือ
ไม่มีใครกล่าวถึง “ความชั่วช้า” ที่พวกอำมาตย์ใหญ่ในรัสเซีย ปอกลอกพระเจ้าแผ่นดินและพากัน “พินพพิเนา” เพ็จทูลถ้วยลีลา ของพวกอำมาตย์เลวทั้งหลาย ทำให้พระราชวงศ์ที่สวยสดงดมาด้วย ระยะเวลาอันยาวนาน กลายเป็น “ซาตาน” ที่น่าขยะแยงขึ้นมา
ท่านผู้อ่านครับ ผมขอกล่าวว่าในหนังสือประวัติศาสตร์โลก ต่างพากัน “บิดเบือน” ความเป็นจริง ทั้งนี้เนื่องจาก “ทุนนิยมใหญ่” เกลียดชังลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงมุ่งเข้าหาเนื้อในของลัทธิคอมมิวนิสต์ แล้วดึงเอาเนื้อในมาเป็น “แก่นแกน” ในการเขียนประวัติศาสตร์ด้วยการ “ทิ้ง” เนื้อหาความผิดพลาดของพระมหากษัตริย์รัสเซียไปจนสิ้น เช่นพระจักรพรรดิ์อาเล็กซานเดอร์ที่ ๒ (ปี ค.ศ. ๑๘๘๕๕-๑๘๘๑) พระจักรพรรดิ์อาเล็กซานเดอร์ที่ ๓ (๑๘๘๑-๑๘๙๔) และพระจักรพรรค นิโคลัสที่ ๒ (๑๘๙๔ – ๑๙๑๗) อันเป็นความผิดพลาดที่เกิดจาก พวกอำมาตย์ใหญ่พากัน “บีบคั้น”ประชาชน ทำให้ประชาชน ได้รับความบอบช้ำแสนสาหัส
จนกลายเป็นต้นเหตุทำให้ “วี.ไอ. เลนิน” นำแนวคิดของ คาร์ล มาร์กซ เอาขึ้นมาเป็นทฤษฎีชี้นำประเทศใหม่ ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง และระบอบการปกครอง !
นักประวัติศาสตร์บิดเบือนความจริงที่เกิดตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๕๕ มาจนถึง ค.ศ. ๑๙๑๗ ทำให้ชาวโลกไม่รู้ความจริง แต่กลับไปรู้อยู่เรื่อง เดียวว่าคอมมิวนิสต์คือตัวการใหญ่ล้มล้างระบอบการปกครองของ ประเทศรัสเซีย
ผมเกิดความรู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศรัสเซีย ครั้งกระโน้น ซึ่งบัดนี้กำลังเพาะตัวขึ้นในพระราชอาณาจักรไทย โดยพวก “อำมาตย์” ที่โง่เง่าเอาแต่จะกอบโกยไม่รู้จักอิ่ม เมื่อกอบโกยไม่สะดวกก็พากันเล่นงานคู่แข่งทางการเมือง (พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร)! กล่าวหาทักษิณว่าเป็นคนชั่วร้าย ของสถาบัน พร้อมกับได้ยกย่อง “คนเสื้อเหลือง” ว่าเป็นผู้ที่มีความ จงรักภักดีสูงส่ง ส่วนคนเสื้อแดงที่เข้าข้างทักษิณต่างตกเป็นเหยื่อ ถูกกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” สุดท้ายกลายเป็นพวกที่เป็นภัย ต่อระบอบการปกครองดังที่ทุกท่านต่างพากันทราบดี
เป็นเพราะเหตุนี้ผมจึงอยากเขียนถึงสภาวะที่เป็นจริงในรัสเซีย เอามาเป็นตัวอย่างให้สังคมไทยได้ลืมตา “ดู” ความจริง ก่อนที่มัน จะสายเกินไป
อีกประการหนึ่ง ผมมีความเห็นว่า “ถ้า” ประเทศไทย “ไม่ได้ ปกครอง” ด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุข เราจะไม่ศึกษาปัญหาราชวงศ์รัสเซียเลยแม้แต่แง่มุมเดียว “ก็ไม่เป็นไร” !
และไม่จำเป็นต้องเขียนเรื่องนี้เอามาเป็นตัวอย่าง แต่ด้วยเหตุว่าประเทศไทยได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมี “กษัตริย์” ทรงเป็นองค์ประมุข จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษา หาทางเรียนรู้ปัญหาที่แท้จริงให้ครบทุกด้าน ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้นำเอาสิ่ง ที่ได้รู้ได้เข้าใจทั้งหลายเหล่านั้นเอามาเป็นแนวทางแก้ไขตัวเองเสีย ในวันนี้ ไม่ปล่อยให้สายเกินแก้
ก่อนที่ผมจะเริ่มชี้แจงแถลงไขเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอเรียนว่า บรรยากาศของประเทศไทยในวันนี้มีลักษณะเหมือนคน “ใบ้กิน” ?! กล่าวคือไม่มีใครพูดความจริง ทำให้ปากของคนไทยที่พอจะพูดได้ใน หมู่ชนชั้นสูงทุกระดับกลายเป็นคน พูดอะไรไม่ได้ จนกลาย “เป็นคน ใบ้” ไปทั้งเมือง ทำราวกับว่าประเทศนี้เมืองนี้มีแต่คนชื่อทักษิณเท่านั้น ที่เป็นตัวอันตรายต่อประเทศ
ผมจึงเรียกคนเหล่านั้น พวกใบ้กิน ?!!
ผมจะยกตัวอย่าง “คนใบ้” ในเมืองไทยให้ท่านดู ท่านจะเห็น ภาพของเรื่องนี้อย่างชัดเจนจากกรณี พันธมิตร เอาม็อบยึดสะพานมัฆวาน ก็ไม่มีใครตำหนิ เอานักรบศรีวิชัยบุกทำลายสถานีโทรทัศน์ NBT ก็ไม่มีใครกล้าเล่นงาน พันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาล ๑๙๓ วัน แล้วกระทำบัดสี พากัน“อุจจาระใส่เก้าอี้นายก” แถมพากันถ่าย ของเหม็นใส่ห้องโถงเพื่อแสดงอาการเหยียบหยามให้มันสะใจ “ก็ไม่มีสื่อฉบับไหนกล้าเขียนถึง” ?!
มิใช่แต่เท่านี้ พวก "พันธมิตร” ยกกองทัพธรรมยึดสนามบิน ดอนเมือง ฆ่าคนตายยัดใส่โกดัง ราวกับว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ก็ไม่มี ใครกล้าโวย ต่อจากนั้นพวกพันธมิตรพากันบุกไปยึดสนามบิน สุวรรณภูมิ พากันโจรกรรมของมีค่าไปจาก “ดิวตี้ ฟรี” [Duty Free] เรียกว่าขนเป็นคันรถ ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง
พวกเขาทำความชั่วอีกมากมาย เช่นทุบตีตำรวจราชาเทวะ จับถอดเครื่องแบบ บังคับให้เดินเท้าเปล่ากลับโรงพัก รวมไปถึง “น้องโบว์” ตายด้วยระเบิดของตัวเองแท้ๆ ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็น ผู้ปกป้องสถาบัน ?! แถมมี “นายตำรวจ” ขนระเบิดจะเอาไปฆ่าคนอื่น แต่มันพลาดขึ้นมาอย่างร้ายแรง ระเบิดใส่ตัวเองแหลกละเอียด ตายเป็นผี สังเวยบาป อย่างนี้เป็นต้นก็ยังพากันยกย่อง
ผมจึงสังเกตเห็นชัดว่า คนไทยกลุ่มคนเสื้อเหลือง พวกกองทัพธรรม สันติอโศก พวกนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการ กลุ่มนายทหารใหญ่ และอำมาตย์ใหญ่ สื่อใหญ่ และ พวกองคมนตรี ฯลฯ ต่างพากัน“ใบ้กิน”ไปทั้งเมือง
เรียกว่าใบ้รับประทานอย่างน่าอัศจรรย์ใจที่สุด
แต่สำหรับคนเสื้อแดงนั้น หากทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา จะถูก พวกคนใบ้ระเบิดเข้าใส่อย่างสนั่นหวั่นไหว “เช่นนายสมัคร สุนทรเวช ทำครัวออกทีวีก็ถูกให้ออกจากนายก” มิใช่แต่เท่านี้ แม้คนเสื้อแดง ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ยังถูกใส่ความให้ได้รับความเจ็บปวดใจอย่าง แสนสาหัส ทำราวกับว่าคนเสื้อแดงมิใช่คนไทยด้วยกัน
ท่านผู้อ่านครับ ท่านไม่สงสัยเลยเชียวหรือว่าเหตุไร จึงเป็น เช่นนี้ไปได้ ?
ผมมีความเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกสถาบันจะต้องช่วยกัน แสวงหาหนทางแก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติ แต่การแสวงหาแนวทาง
แก้ปัญหานั้น ประการสำคัญจะต้องยอมรับความเป็นจริงทั้งหมด ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย แล้วยกเอาความจริงเหล่านั้นมาเป็น “โจทย์” ของประเทศ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาของประเทศได้ อย่างถูกต้อง
ประการต่อมา ต้องหยิบยกเอาปัญหาที่เป็นต้นเหตุทำให้ “ราชวงศ์” ต่างๆในโลกจากหลายประเทศที่ถูกประชาชนโค่นล้ม และถูกทำลายไป เอามาเป็นข้อมูล เช่นการล่มสลายของราชวงศ์ “โรมานอฟ” [Romanov Dynasty] ของประเทศรัสเซีย รวมไปถึงการล่มสลายของกษัตริย์ “โมฮัมหมัด เรชา ปาเลวี” แห่งอิหร่าน เป็นต้น
ผมขอเรียนให้ทราบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศอิหร่าน ย่อมไม่พ้นไปจาก “การกระทำ”ของพวกอำมาตย์ชั่ว ซึ่งมีทั้งพวกที่ เป็นเหยื่อของ “ซีไอเอ” และ “เคจีบี” [CIA –KGB] ที่ ต่างพากันมุ่งหวังจะเข้าไปตะครุบผลประโยชน์มหาศาลจากดินแดน อิหร่าน
อำมาตย์ชั่วและอำมาตย์เลวต่างพากันรับใช้ต่างชาติ เข่นฆ่าราวี ประชาชนของตนเอง เช่น มีการ “อุ้มหาย” อุ้มฆ่า และลอบสังหาร อย่างป่าเถื่อน
ในห้วงเวลานั้น ผมทำงานอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย แล้วย้ายเข้าไปทำงานในอิรัค ต่อมาเมื่อได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ในประเทศอิหร่าน ผมขยับออกมาทำงานอยู่ในกรุงอัมมาน ประเทศ จอร์แดน ซึ่งมีกษัตริย์เหมือนประเทศไทย
ผมได้รับฟังเรื่องราวอันเป็นความทุกข์แสนสาหัสของประชาชน ชาวอิหร่านอันเกิดจากการกระทำอันแสนชั่วของอำมาตย์ จนทำให้ ประชาชนต้องหันไปขอคำแนะนำจากท่านอิหม่ามใหญ่ ได้แก่ “อะยาตอลลา โคไมนี” (อะยาตอลลา คือฐานะคล้ายพระศาสดาน้อย ผู้รับโองการจากพระเจ้าเอามาดูแลพระศาสนา) ซึ่งประชาชนถือเป็นที่พึ่ง ทางใจในฐานะเป็นอิสลาม
นี้ก็เช่นเดียวกัน ประวัติศาสตร์ได้เขียนเอาไว้ว่า โคไมนีมักใหญ่ ไฝ่สูง ต้องการนำลัทธิ “เทวะวิทยาธิปไตย” [Theocracy] ในแนวศาสนาอิสลามเอามาปกครองประเทศ เช่นเดียวกับ องค์ ดาไล ลามะ ปกครองธิเบต เป็นต้น
พวกที่เขียนประวัติศาสตร์ ได้ละทิ้งความชั่ว (ที่แท้จริง)ไปจนสิ้น
นั้นก็คือไม่กล่าวถึงการกระทำอันชั่วร้ายของอำมาตย์
ผมได้สอบถามด้วยปากของผมเองว่า ทำไมท่านโคไมนี จึงกระทำกับพระมหากษัตริย์ของตนเองอย่างไม่ยำเกรงใด ๆ เลย ผมได้รับคำตอบจากปากของคนอิหร่านเองว่า ถ้าพระมหากษัตริย์ ของเราไม่ทำให้พวกเราเดือดร้อน เราไม่จำเป็นต้องหันหน้าไปพึ่ง โคไมนี
อีกประการหนึ่ง ผมได้รับคำตอบว่า คนที่จะกู้คืนชีวิตคนอิหร่าน ให้กลับสู่ความสงบสุข มีคนกล้าอยู่คนเดียว คือ “อะยาตอลลา โคไมนี” เมื่อท่านโคไมนีกล้าหาญที่จะสู้กับความตายที่พวกอำมาตย์พร้อมที่จะ เข่นฆ่า โดยที่ท่านมิได้หวาดหวั่นเลย
พวกเราจึงถือท่านเป็นที่พึ่ง !
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขอกราบเรียนว่า ความเห็นของผม ทั้งที่ เขียนและพูดในโลกไซเบอร์ อาจจะแตกต่างจากเอกสารที่ท่านหาอ่าน ได้ในเว็ปทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากผมเก็บข้อมูลที่ผมรับมาด้วยตนเอง เอามาเป็น “วัตถุดิบ” เพื่อการนำเสนอ
ความเห็นของผมจึงแตกต่างจากเอกสารทั้งหลายอย่างยิ่ง
ความเห็นที่ได้ถ่ายทอดออกมาในวันนี้ เป็นความเห็นที่ผม ตั้งใจอยากให้ กอ.รมน. และสภาความมั่นคงได้พากันอ่าน รวมทั้ง อยากให้ “อำมาตย์-น้อยใหญ่” ได้พบเห็นแนวความคิดที่แตกต่าง จากข้อมูลจอมปลอมจากสายข่าว (สันติบาลและสายลับ) ที่พวกท่าน ส่งออกไปทำงาน
ผมขอมอบ “ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๖” ให้แก่แผ่นดิน สุดแต่ผู้คนในแผ่นดินจะรับเอาไปพิจารณาหรือไม่/หรืออย่างไร ไม่อาจทราบเลยขอรับ ? และ..ผมก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าตัวอย่าง จากรัสเซียเรื่องนี้ จะสามารถเข้าถึง “มิติ” อันลี้ลับที่กำลังกัดกิน สังคมไทยได้หรือไม่ ?!!
จบบทที่ ๓๖ / สอาด จันทร์ดี
ขอแสดงความพึงพอใจที่ท่านผู้อ่านได้ขยันอ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ”มาจนถึงบทที่ ๓๕ ! ผมจึงอยากเรียนให้ท่านได้รับทราบว่า “ผมมี กำลังใจ” ที่จะผลิตงานออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ตราบใดที่ ยังมีกำลังวังชาพอทำงานไหว ก็หวังว่าใบปลิวกู้ชาติทุกฉบับจะสามารถ ทำความเข้าใจต่อปัญหาความขัดข้องทางการเมืองในประเทศไทยของเรา รวมไปถึงจะได้เข้าใจสภาพความเป็นจริงที่พวกเรากำลังเผชิญปัญหา กับพวกเผด็จการ
ใบปลิวกู้ชาติบทนี้อยู่ในห้วงวันที่ ๑๕ สิงหาคม/๕๒ ที่ คนเสื้อแดงมีนัดหมายที่จะถวายฎีกาในวันที่ ๑๗ สิงหาคม/๕๒ อันเป็นวันระทึกใจอย่างยิ่งของพสกนิกรว่าจะได้ถวายฎีกา หรือจะถูก พวก “พญามาร” ขัดขวางด้วยวิธีการต่างๆดังที่ได้พบเห็นว่าพวกเขา แห่ไปขู่เข็นข้าราชการทั่วประเทศให้แห่ออกมาต่อต้านคนเสื้อแดง
วันนี้ผมขอเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๖ ว่าด้วยเรื่องราว ของราชวงศ์รัสเซีย ที่ล่มสลายไป “โดยที่คนไทยไม่มีใครหยิบยก เอาเรื่องนี้ขึ้นมาศึกษาเพื่อการเรียนรู้เลย” คนไทยจึงไม่ทราบต้นสาย ปลายเหตุที่แท้จริง ส่วนใหญ่จะพากันเข้าใจว่า “คอมมิวนิสต์” เป็นตัวการล้มล้างระบอบการปกครองของรัสเซีย แล้วก็พากันเข้าใจ สืบต่อกันมาจนถึงวันนี้ว่า ราชวงศ์รัสเซียถูกคอมมิวนิสต์ทำลาย ?! จนไม่มีอะไรเหลือ
ไม่มีใครกล่าวถึง “ความชั่วช้า” ที่พวกอำมาตย์ใหญ่ในรัสเซีย ปอกลอกพระเจ้าแผ่นดินและพากัน “พินพพิเนา” เพ็จทูลถ้วยลีลา ของพวกอำมาตย์เลวทั้งหลาย ทำให้พระราชวงศ์ที่สวยสดงดมาด้วย ระยะเวลาอันยาวนาน กลายเป็น “ซาตาน” ที่น่าขยะแยงขึ้นมา
ท่านผู้อ่านครับ ผมขอกล่าวว่าในหนังสือประวัติศาสตร์โลก ต่างพากัน “บิดเบือน” ความเป็นจริง ทั้งนี้เนื่องจาก “ทุนนิยมใหญ่” เกลียดชังลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงมุ่งเข้าหาเนื้อในของลัทธิคอมมิวนิสต์ แล้วดึงเอาเนื้อในมาเป็น “แก่นแกน” ในการเขียนประวัติศาสตร์ด้วยการ “ทิ้ง” เนื้อหาความผิดพลาดของพระมหากษัตริย์รัสเซียไปจนสิ้น เช่นพระจักรพรรดิ์อาเล็กซานเดอร์ที่ ๒ (ปี ค.ศ. ๑๘๘๕๕-๑๘๘๑) พระจักรพรรดิ์อาเล็กซานเดอร์ที่ ๓ (๑๘๘๑-๑๘๙๔) และพระจักรพรรค นิโคลัสที่ ๒ (๑๘๙๔ – ๑๙๑๗) อันเป็นความผิดพลาดที่เกิดจาก พวกอำมาตย์ใหญ่พากัน “บีบคั้น”ประชาชน ทำให้ประชาชน ได้รับความบอบช้ำแสนสาหัส
จนกลายเป็นต้นเหตุทำให้ “วี.ไอ. เลนิน” นำแนวคิดของ คาร์ล มาร์กซ เอาขึ้นมาเป็นทฤษฎีชี้นำประเทศใหม่ ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง และระบอบการปกครอง !
นักประวัติศาสตร์บิดเบือนความจริงที่เกิดตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๕๕ มาจนถึง ค.ศ. ๑๙๑๗ ทำให้ชาวโลกไม่รู้ความจริง แต่กลับไปรู้อยู่เรื่อง เดียวว่าคอมมิวนิสต์คือตัวการใหญ่ล้มล้างระบอบการปกครองของ ประเทศรัสเซีย
ผมเกิดความรู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศรัสเซีย ครั้งกระโน้น ซึ่งบัดนี้กำลังเพาะตัวขึ้นในพระราชอาณาจักรไทย โดยพวก “อำมาตย์” ที่โง่เง่าเอาแต่จะกอบโกยไม่รู้จักอิ่ม เมื่อกอบโกยไม่สะดวกก็พากันเล่นงานคู่แข่งทางการเมือง (พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร)! กล่าวหาทักษิณว่าเป็นคนชั่วร้าย ของสถาบัน พร้อมกับได้ยกย่อง “คนเสื้อเหลือง” ว่าเป็นผู้ที่มีความ จงรักภักดีสูงส่ง ส่วนคนเสื้อแดงที่เข้าข้างทักษิณต่างตกเป็นเหยื่อ ถูกกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” สุดท้ายกลายเป็นพวกที่เป็นภัย ต่อระบอบการปกครองดังที่ทุกท่านต่างพากันทราบดี
เป็นเพราะเหตุนี้ผมจึงอยากเขียนถึงสภาวะที่เป็นจริงในรัสเซีย เอามาเป็นตัวอย่างให้สังคมไทยได้ลืมตา “ดู” ความจริง ก่อนที่มัน จะสายเกินไป
อีกประการหนึ่ง ผมมีความเห็นว่า “ถ้า” ประเทศไทย “ไม่ได้ ปกครอง” ด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุข เราจะไม่ศึกษาปัญหาราชวงศ์รัสเซียเลยแม้แต่แง่มุมเดียว “ก็ไม่เป็นไร” !
และไม่จำเป็นต้องเขียนเรื่องนี้เอามาเป็นตัวอย่าง แต่ด้วยเหตุว่าประเทศไทยได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมี “กษัตริย์” ทรงเป็นองค์ประมุข จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษา หาทางเรียนรู้ปัญหาที่แท้จริงให้ครบทุกด้าน ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้นำเอาสิ่ง ที่ได้รู้ได้เข้าใจทั้งหลายเหล่านั้นเอามาเป็นแนวทางแก้ไขตัวเองเสีย ในวันนี้ ไม่ปล่อยให้สายเกินแก้
ก่อนที่ผมจะเริ่มชี้แจงแถลงไขเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอเรียนว่า บรรยากาศของประเทศไทยในวันนี้มีลักษณะเหมือนคน “ใบ้กิน” ?! กล่าวคือไม่มีใครพูดความจริง ทำให้ปากของคนไทยที่พอจะพูดได้ใน หมู่ชนชั้นสูงทุกระดับกลายเป็นคน พูดอะไรไม่ได้ จนกลาย “เป็นคน ใบ้” ไปทั้งเมือง ทำราวกับว่าประเทศนี้เมืองนี้มีแต่คนชื่อทักษิณเท่านั้น ที่เป็นตัวอันตรายต่อประเทศ
ผมจึงเรียกคนเหล่านั้น พวกใบ้กิน ?!!
ผมจะยกตัวอย่าง “คนใบ้” ในเมืองไทยให้ท่านดู ท่านจะเห็น ภาพของเรื่องนี้อย่างชัดเจนจากกรณี พันธมิตร เอาม็อบยึดสะพานมัฆวาน ก็ไม่มีใครตำหนิ เอานักรบศรีวิชัยบุกทำลายสถานีโทรทัศน์ NBT ก็ไม่มีใครกล้าเล่นงาน พันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาล ๑๙๓ วัน แล้วกระทำบัดสี พากัน“อุจจาระใส่เก้าอี้นายก” แถมพากันถ่าย ของเหม็นใส่ห้องโถงเพื่อแสดงอาการเหยียบหยามให้มันสะใจ “ก็ไม่มีสื่อฉบับไหนกล้าเขียนถึง” ?!
มิใช่แต่เท่านี้ พวก "พันธมิตร” ยกกองทัพธรรมยึดสนามบิน ดอนเมือง ฆ่าคนตายยัดใส่โกดัง ราวกับว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ก็ไม่มี ใครกล้าโวย ต่อจากนั้นพวกพันธมิตรพากันบุกไปยึดสนามบิน สุวรรณภูมิ พากันโจรกรรมของมีค่าไปจาก “ดิวตี้ ฟรี” [Duty Free] เรียกว่าขนเป็นคันรถ ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง
พวกเขาทำความชั่วอีกมากมาย เช่นทุบตีตำรวจราชาเทวะ จับถอดเครื่องแบบ บังคับให้เดินเท้าเปล่ากลับโรงพัก รวมไปถึง “น้องโบว์” ตายด้วยระเบิดของตัวเองแท้ๆ ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็น ผู้ปกป้องสถาบัน ?! แถมมี “นายตำรวจ” ขนระเบิดจะเอาไปฆ่าคนอื่น แต่มันพลาดขึ้นมาอย่างร้ายแรง ระเบิดใส่ตัวเองแหลกละเอียด ตายเป็นผี สังเวยบาป อย่างนี้เป็นต้นก็ยังพากันยกย่อง
ผมจึงสังเกตเห็นชัดว่า คนไทยกลุ่มคนเสื้อเหลือง พวกกองทัพธรรม สันติอโศก พวกนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการ กลุ่มนายทหารใหญ่ และอำมาตย์ใหญ่ สื่อใหญ่ และ พวกองคมนตรี ฯลฯ ต่างพากัน“ใบ้กิน”ไปทั้งเมือง
เรียกว่าใบ้รับประทานอย่างน่าอัศจรรย์ใจที่สุด
แต่สำหรับคนเสื้อแดงนั้น หากทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา จะถูก พวกคนใบ้ระเบิดเข้าใส่อย่างสนั่นหวั่นไหว “เช่นนายสมัคร สุนทรเวช ทำครัวออกทีวีก็ถูกให้ออกจากนายก” มิใช่แต่เท่านี้ แม้คนเสื้อแดง ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ยังถูกใส่ความให้ได้รับความเจ็บปวดใจอย่าง แสนสาหัส ทำราวกับว่าคนเสื้อแดงมิใช่คนไทยด้วยกัน
ท่านผู้อ่านครับ ท่านไม่สงสัยเลยเชียวหรือว่าเหตุไร จึงเป็น เช่นนี้ไปได้ ?
ผมมีความเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกสถาบันจะต้องช่วยกัน แสวงหาหนทางแก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติ แต่การแสวงหาแนวทาง
แก้ปัญหานั้น ประการสำคัญจะต้องยอมรับความเป็นจริงทั้งหมด ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย แล้วยกเอาความจริงเหล่านั้นมาเป็น “โจทย์” ของประเทศ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาของประเทศได้ อย่างถูกต้อง
ประการต่อมา ต้องหยิบยกเอาปัญหาที่เป็นต้นเหตุทำให้ “ราชวงศ์” ต่างๆในโลกจากหลายประเทศที่ถูกประชาชนโค่นล้ม และถูกทำลายไป เอามาเป็นข้อมูล เช่นการล่มสลายของราชวงศ์ “โรมานอฟ” [Romanov Dynasty] ของประเทศรัสเซีย รวมไปถึงการล่มสลายของกษัตริย์ “โมฮัมหมัด เรชา ปาเลวี” แห่งอิหร่าน เป็นต้น
ผมขอเรียนให้ทราบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศอิหร่าน ย่อมไม่พ้นไปจาก “การกระทำ”ของพวกอำมาตย์ชั่ว ซึ่งมีทั้งพวกที่ เป็นเหยื่อของ “ซีไอเอ” และ “เคจีบี” [CIA –KGB] ที่ ต่างพากันมุ่งหวังจะเข้าไปตะครุบผลประโยชน์มหาศาลจากดินแดน อิหร่าน
อำมาตย์ชั่วและอำมาตย์เลวต่างพากันรับใช้ต่างชาติ เข่นฆ่าราวี ประชาชนของตนเอง เช่น มีการ “อุ้มหาย” อุ้มฆ่า และลอบสังหาร อย่างป่าเถื่อน
ในห้วงเวลานั้น ผมทำงานอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย แล้วย้ายเข้าไปทำงานในอิรัค ต่อมาเมื่อได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ในประเทศอิหร่าน ผมขยับออกมาทำงานอยู่ในกรุงอัมมาน ประเทศ จอร์แดน ซึ่งมีกษัตริย์เหมือนประเทศไทย
ผมได้รับฟังเรื่องราวอันเป็นความทุกข์แสนสาหัสของประชาชน ชาวอิหร่านอันเกิดจากการกระทำอันแสนชั่วของอำมาตย์ จนทำให้ ประชาชนต้องหันไปขอคำแนะนำจากท่านอิหม่ามใหญ่ ได้แก่ “อะยาตอลลา โคไมนี” (อะยาตอลลา คือฐานะคล้ายพระศาสดาน้อย ผู้รับโองการจากพระเจ้าเอามาดูแลพระศาสนา) ซึ่งประชาชนถือเป็นที่พึ่ง ทางใจในฐานะเป็นอิสลาม
นี้ก็เช่นเดียวกัน ประวัติศาสตร์ได้เขียนเอาไว้ว่า โคไมนีมักใหญ่ ไฝ่สูง ต้องการนำลัทธิ “เทวะวิทยาธิปไตย” [Theocracy] ในแนวศาสนาอิสลามเอามาปกครองประเทศ เช่นเดียวกับ องค์ ดาไล ลามะ ปกครองธิเบต เป็นต้น
พวกที่เขียนประวัติศาสตร์ ได้ละทิ้งความชั่ว (ที่แท้จริง)ไปจนสิ้น
นั้นก็คือไม่กล่าวถึงการกระทำอันชั่วร้ายของอำมาตย์
ผมได้สอบถามด้วยปากของผมเองว่า ทำไมท่านโคไมนี จึงกระทำกับพระมหากษัตริย์ของตนเองอย่างไม่ยำเกรงใด ๆ เลย ผมได้รับคำตอบจากปากของคนอิหร่านเองว่า ถ้าพระมหากษัตริย์ ของเราไม่ทำให้พวกเราเดือดร้อน เราไม่จำเป็นต้องหันหน้าไปพึ่ง โคไมนี
อีกประการหนึ่ง ผมได้รับคำตอบว่า คนที่จะกู้คืนชีวิตคนอิหร่าน ให้กลับสู่ความสงบสุข มีคนกล้าอยู่คนเดียว คือ “อะยาตอลลา โคไมนี” เมื่อท่านโคไมนีกล้าหาญที่จะสู้กับความตายที่พวกอำมาตย์พร้อมที่จะ เข่นฆ่า โดยที่ท่านมิได้หวาดหวั่นเลย
พวกเราจึงถือท่านเป็นที่พึ่ง !
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขอกราบเรียนว่า ความเห็นของผม ทั้งที่ เขียนและพูดในโลกไซเบอร์ อาจจะแตกต่างจากเอกสารที่ท่านหาอ่าน ได้ในเว็ปทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากผมเก็บข้อมูลที่ผมรับมาด้วยตนเอง เอามาเป็น “วัตถุดิบ” เพื่อการนำเสนอ
ความเห็นของผมจึงแตกต่างจากเอกสารทั้งหลายอย่างยิ่ง
ความเห็นที่ได้ถ่ายทอดออกมาในวันนี้ เป็นความเห็นที่ผม ตั้งใจอยากให้ กอ.รมน. และสภาความมั่นคงได้พากันอ่าน รวมทั้ง อยากให้ “อำมาตย์-น้อยใหญ่” ได้พบเห็นแนวความคิดที่แตกต่าง จากข้อมูลจอมปลอมจากสายข่าว (สันติบาลและสายลับ) ที่พวกท่าน ส่งออกไปทำงาน
ผมขอมอบ “ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๖” ให้แก่แผ่นดิน สุดแต่ผู้คนในแผ่นดินจะรับเอาไปพิจารณาหรือไม่/หรืออย่างไร ไม่อาจทราบเลยขอรับ ? และ..ผมก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าตัวอย่าง จากรัสเซียเรื่องนี้ จะสามารถเข้าถึง “มิติ” อันลี้ลับที่กำลังกัดกิน สังคมไทยได้หรือไม่ ?!!
จบบทที่ ๓๖ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 37 ถวายฏีกา เป็นเรื่องวิเศษ
บทที่ ๓๗ ตอน : ถวายฎีกา เป็นเรื่องวิเศษ ?!
ท่านผู้อ่านได้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” มาจนถึงบทที่ ๓๖ ! ขณะนี้กำลังขึ้นบทที่ ๓๗ ผมขอเรียนสถานการณ์แบบวันต่อวัน ให้ทราบว่า การถวายฎีกาได้เดินมาถึงจุดนัดหมายแล้ว คือวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ คนเสื้อแดงนับแสนจะพากันแน่น ท้องสนามหลวง !
โชคดี ! ไม่มีข่าวทหารออกมาเคลื่อนไหว
แต่มีข่าวเลวจากหัวเมืองทั่วประเทศว่า กระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้นายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัด นำพาประชาชนร่วมกัน “ต่อต้าน” การถวายฎีกา แต่ไม่ปรากฏว่าจะมีประชาชนให้ความ ร่วมมือ นอกจากไม่ให้ความร่วมมือดังว่ายังเอาข่าวมาปูดให้เป็นที่ อับอายขายหน้าอีกต่างหาก ทำให้เห็นความชั่วของกระทรวง มหาดไทยชัดเจนยิ่งขึ้น
ใบปลิวกู้ชาติบทนี้เขียนวันที่ ๑๖ สิงหาคม/๕๒ อีกวันเดียวก็จะถึงกำหนดนัดหมาย
ผมเดาไม่ออกว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นหรือไม่ แต่มีความรู้สึก ลึก ๆ อยู่ในใจว่า “ทหารคงไม่กล้าที่จะใช้กองกำลังปราบปราม คนเสื้อแดง” เพราะว่าถ้าทหารทำเช่นนั้น แทนที่บ้านเมืองจะสงบ มันจะกลับกลายเป็นนรกลงหัว อีกอย่างหนึ่งนอกจากนรกจะลงหัว แล้ว ยังจะนำ “สงครามกลางเมือง” [Civil War] มาสู่ ประเทศไทยอีกด้วย
หรือว่าทหารอาจจะทำการยึดอำนาจอีกครั้งเหมือนกับ เมื่อครั้งการยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในปี ๒๕๔๙ อันเป็นต้นเหตุแห่งความยุ่งยากทั้งหมด ที่กำลังกระหน่ำประเทศไทย อยู่ในขณะนี้ การทำรัฐประหารในครั้งนั้น (๑๙ กันยายน/๔๙) ! ได้ก่อความวิบัติย่อยยับทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทหารยังกล้าที่จะยึดอำนาจอีกกระนั้นหรือ ?
คงจำกันได้ไอ้ตัวมารร้ายที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความวิบัติ ย่อยยับ แทนที่จะรู้ตัวเองว่าเป็นคนก่อความเดือดร้อนให้แก่ประเทศ กลับโยนความผิดไปยัง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นผู้ก่อ ความเสียหาย แล้วพากันประกาศออกมาว่า “ถ้าไม่มีทักษิณคนเดียว ทุกอย่างจะดีขึ้น..” ?
การประกาศเช่นนี้ ทำให้ผม “ตีความ” ได้หลายสถาน เช่นตีความว่า “ลอบสังหาร” ให้ตายไปจากโลกนี้ หรือจัดการ ให้กลายเป็น “นักโทษ” ตลอดกาล จะได้หมดความชอบธรรม ในทุกกระบวนการ จนไม่สามารถกลับเข้ามาสู่ถนนการเมืองได้ ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็จะทำให้พวกเผด็จการมีความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีใคร มาขัดขวาง “พวกเขา” อีกแล้ว
“พวกเขา” พวกนั้น หมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ และ พวกเผด็จการทั้งหมด อันประกอบด้วย “นักการเมือง ทหาร ข้าราชการ และเจ้าสัวใหญ่” ซึ่งเป็นกลุ่มครอบครองอำนาจ ในประเทศอย่างยาวนาน การครอบครองของพวกเขา-พวกนั้น ล้วนแต่เป็นวิธีการของพวกอนุรักษ์นิยมผสมเผด็จการผูกขาด ทำให้เกิดความแตกต่างทางสังคม และแตกต่างในประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยของประเทศไทยนั้น ! ถ้าเป็นคนรากหญ้า และคนยากคนจน จะพากันเรียกประชาธิปไตยที่ตัวเองได้รับว่า “ประชาธิปไตย-ครึ่งใบ” แต่ถ้าเป็นเจ้าสัว และประดาขุนนาง ทั้งหลาย จะพากันเชิดชูว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย “เต็มใบ” !
ผมขอเรียนว่าเหตุที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตย ๒ อย่าง ก็เพราะคนรวยและพวกขุนนางทั้งหลาย ได้รับอำนาจ อิสรเสรีภาพ และความอิ่มเอิบอย่างอุดมสมบูรณ์ พวกเขาต้องการอะไร ไม่ว่ายากหรือลำบากเพียงไร ก็จะได้อย่างสมหวัง พวกเขา จึงเกิดความรู้สึกว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่เต็มใบทุกด้าน
แต่ “คนจน” และคนรากหญ้า ขาด ๆ วิ่น ๆ จึงเป็น ประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” ทั้งหลายทั้งปวงดังที่กล่าวมาเพียงเล็กน้อยที่แท้มันคือ “เรื่องใหญ่” และร้ายเหลือ ! สุดจะประมาณได้ เรื่องใหญ่เรื่องนี้ ได้ส่งผลให้คนไทยเกิดความขัดแย้งกันทั้งแผ่นดิน ดังจะเห็นได้ว่า วันนี้ คนเสื้อแดงเขาพากันรวมตัวกันมากกว่า ๕ ล้านคน ขอถวายฎีกา เพื่อจะกราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่าพสกนิกร “มีความทุกข์” ทั้งทางกายและทางใจ
แต่ก็ยังมีพวกขุนนางอำมาตย์และกลุ่มเผด็จการ (ทั้งเผด็จการหลวง และเผด็จการเอกชน) ! ต่างออกมาคัดค้านกันอึงมี่ กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ว่าประเทศไทยนี้แปลกเหลือเกิน ประชาชนเขาพากันหันหน้า “หมอบคลานเข้าหาองค์พระ มหากษัตริย์” กราบขอพระเมตตาเป็นที่พึ่ง ว่าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงประทานความร่มเย็นมาให้ ทั้งนี้เนื่องจาก ไม่มีทางไหนที่จะได้รับความเห็นใจจากรัฐบาล
ตรงกันข้าม รัฐบาลพากันต่อต้านอึงมี่ จะอึงมี่เพียงไรคงไม่อาจยับยั้งคนเสื้อแดงได้
คนเสื้อแดงเดินทางมาถึงสถานีปลายทางแล้ว จะให้ “ถอยกลับ” นะเหรอ...เมินเสียเถอะ ? หรือแม้ว่าจะมี “มือเปรต- มืออสุรกาย” ยื่นออกมาขัดขวาง ก็จะถูกถ่านไฟแดงของคนเสื้อแดง เผาไหม้จนเน่าเปื่อยลงต่อหน้าอย่างแน่นอน
ผมอยากกราบเรียนว่า การที่ “พสกนิกร” พากันแห่ ขอถวายฎีกา นับว่าเป็นเรื่องวิเศษอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจาก การถวายฎีกาเป็นเครื่องวัดถึงใจของ “คนเสื้อแดง” ยังพากัน รักเคารพและเทิดทูนองค์พระประมุขอย่างไม่เสื่อมคลาย และยังสะท้อนให้เห็น “ความจงรักภักดี” มิได้เปลี่ยนแปลง แต่ประการใดเลย
ผมอยากจะเปรียบเรื่องนี้กับประเทศรัสเซีย-อิหร่าน และลาว ซึ่งเคยมีกษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่เหมือนประเทศไทย แต่เมื่อเกิดความ ขัดแย้งในระดับ “สถาบัน” ขึ้นมา ไม่ปรากฏว่าประชาชน จะพากันหันหน้าไปขอพึ่งพระบารมี ตรงกันข้าม กลับปรากฏว่า ทั้งคนรัสเซีย คนอิร่าน และชนชาติลาว ไม่ยอมถวายฎีกาแม้แต่ ฉบับเดียว
ผู้คนในชาติเหล่านั้นต่างพากันหันหลังให้แก่ราชวงศ์ และได้ล้มล้างระบอบการปกครองไม่มีเหลือ
ราชวงศ์โรมานอฟ [Romanov Dynasty] ในประเทศรัสเซียสิ้นไปจากแผ่นดินเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๑๗ (๒๔๖) ราชวงศ์ลาว สิ้นไปเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๕ (๒๕๑๘) ราชวงศ์อิหร่าน สิ้นไปจากเปอร์เซียเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๙ (๒๕๒๒) โดยที่ไม่ปรากฏว่า ประชาชนในประเทศเหล่านั้นอยากจะใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการ ขอถวายฎีกา
คนเสื้อแดงมีนัดหมายที่จะถวายฎีกาในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๕๒ อันเป็นวันระทึกใจอย่างยิ่งของพสกนิกรว่าจะได้ถวายฎีกา จึงถือได้ว่าเป็นของวิเศษที่น่าปลาบปลื้มยิ่งนัก
แต่ก็น่าสังเวชใจเหลือเกิน สิ่งที่ได้พบเห็นได้แก่พวกเผด็จการ “ชาติไทยด้วยกัน” ทำตัวเป็น “พญามาร” ขัดขวางด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังที่ได้พบเห็นว่า พวกเขาแห่ไปขู่เข็นข้าราชการทั่วประเทศให้แห่ออกมาต่อต้าน คนเสื้อแดง
วันนี้ผมขอเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๗ ยกเรื่องราวของ ราชวงศ์รัสเซีย ที่ล่มสลายพร้อมกับได้ยกเอาตัวชื่อของประเทศลาว และอิหร่านขึ้นมาอ้างอิงว่า ประเทศเหล่านั้น ไม่มีใครคิดถึงการ ถวายฎีกา ตรงกันข้าม มีแต่เสียงกู่ตะโกนขับไล่ ฮือเข้าทำร้าย จนราชวงศ์คู่บ้านคู่เมืองมีอันสิ้นสุดลง จนกลายเป็นตำนานล่าขาน ที่ไร้ความหมาย
ไร้ความหมาย...หมายถึงสิ้นแล้วสิ้นเลย
ไม่มีผู้ใดกราบไหว้ ?!
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๗ เป็นใบปลิว ชิ้นที่มีความสั้นไม่กี่ประโยค แต่ในแต่ละถ้อยคำ ได้กลั่นให้เห็น “ความหมายอันยิ่งใหญ่” ของการถวายฎีกาว่า เป็นมิติแห่งความรัก และความหวัง
ผมอยากให้ “สังคมไทย” ทั้งสังคม โปรดมองการ ถวายฎีกาให้ถึงแก่น แล้วจะมีความอิ่มเอิบที่ซ่อนปนกันอยู่ใน ความเจ็บปวด ที่เกาะกินหัวใจสุดจะพรรณนาได้ การที่พี่น้อง คนไทย “แห่ออกมา” ขอถวายฎีกา ถือเป็นของวิเศษยิ่งนัก
ใครก็ตาม ที่ปฏิเสธการถวายฎีกา และได้ต่อต้านการถวายฎีกา สุดท้ายมันจะกระชากหัวใจประชาชนให้เกิดความรู้สึก อันน่ากลัว ถ้าพวกเขาไม่อยากถวายฎีกาขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น กับสถาบันของประเทศไทย !?
จบบทที่ ๓๗ / สอาด จันทร์ดี
ท่านผู้อ่านได้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” มาจนถึงบทที่ ๓๖ ! ขณะนี้กำลังขึ้นบทที่ ๓๗ ผมขอเรียนสถานการณ์แบบวันต่อวัน ให้ทราบว่า การถวายฎีกาได้เดินมาถึงจุดนัดหมายแล้ว คือวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ คนเสื้อแดงนับแสนจะพากันแน่น ท้องสนามหลวง !
โชคดี ! ไม่มีข่าวทหารออกมาเคลื่อนไหว
แต่มีข่าวเลวจากหัวเมืองทั่วประเทศว่า กระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้นายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัด นำพาประชาชนร่วมกัน “ต่อต้าน” การถวายฎีกา แต่ไม่ปรากฏว่าจะมีประชาชนให้ความ ร่วมมือ นอกจากไม่ให้ความร่วมมือดังว่ายังเอาข่าวมาปูดให้เป็นที่ อับอายขายหน้าอีกต่างหาก ทำให้เห็นความชั่วของกระทรวง มหาดไทยชัดเจนยิ่งขึ้น
ใบปลิวกู้ชาติบทนี้เขียนวันที่ ๑๖ สิงหาคม/๕๒ อีกวันเดียวก็จะถึงกำหนดนัดหมาย
ผมเดาไม่ออกว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นหรือไม่ แต่มีความรู้สึก ลึก ๆ อยู่ในใจว่า “ทหารคงไม่กล้าที่จะใช้กองกำลังปราบปราม คนเสื้อแดง” เพราะว่าถ้าทหารทำเช่นนั้น แทนที่บ้านเมืองจะสงบ มันจะกลับกลายเป็นนรกลงหัว อีกอย่างหนึ่งนอกจากนรกจะลงหัว แล้ว ยังจะนำ “สงครามกลางเมือง” [Civil War] มาสู่ ประเทศไทยอีกด้วย
หรือว่าทหารอาจจะทำการยึดอำนาจอีกครั้งเหมือนกับ เมื่อครั้งการยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในปี ๒๕๔๙ อันเป็นต้นเหตุแห่งความยุ่งยากทั้งหมด ที่กำลังกระหน่ำประเทศไทย อยู่ในขณะนี้ การทำรัฐประหารในครั้งนั้น (๑๙ กันยายน/๔๙) ! ได้ก่อความวิบัติย่อยยับทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทหารยังกล้าที่จะยึดอำนาจอีกกระนั้นหรือ ?
คงจำกันได้ไอ้ตัวมารร้ายที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความวิบัติ ย่อยยับ แทนที่จะรู้ตัวเองว่าเป็นคนก่อความเดือดร้อนให้แก่ประเทศ กลับโยนความผิดไปยัง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นผู้ก่อ ความเสียหาย แล้วพากันประกาศออกมาว่า “ถ้าไม่มีทักษิณคนเดียว ทุกอย่างจะดีขึ้น..” ?
การประกาศเช่นนี้ ทำให้ผม “ตีความ” ได้หลายสถาน เช่นตีความว่า “ลอบสังหาร” ให้ตายไปจากโลกนี้ หรือจัดการ ให้กลายเป็น “นักโทษ” ตลอดกาล จะได้หมดความชอบธรรม ในทุกกระบวนการ จนไม่สามารถกลับเข้ามาสู่ถนนการเมืองได้ ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็จะทำให้พวกเผด็จการมีความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีใคร มาขัดขวาง “พวกเขา” อีกแล้ว
“พวกเขา” พวกนั้น หมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ และ พวกเผด็จการทั้งหมด อันประกอบด้วย “นักการเมือง ทหาร ข้าราชการ และเจ้าสัวใหญ่” ซึ่งเป็นกลุ่มครอบครองอำนาจ ในประเทศอย่างยาวนาน การครอบครองของพวกเขา-พวกนั้น ล้วนแต่เป็นวิธีการของพวกอนุรักษ์นิยมผสมเผด็จการผูกขาด ทำให้เกิดความแตกต่างทางสังคม และแตกต่างในประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยของประเทศไทยนั้น ! ถ้าเป็นคนรากหญ้า และคนยากคนจน จะพากันเรียกประชาธิปไตยที่ตัวเองได้รับว่า “ประชาธิปไตย-ครึ่งใบ” แต่ถ้าเป็นเจ้าสัว และประดาขุนนาง ทั้งหลาย จะพากันเชิดชูว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย “เต็มใบ” !
ผมขอเรียนว่าเหตุที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตย ๒ อย่าง ก็เพราะคนรวยและพวกขุนนางทั้งหลาย ได้รับอำนาจ อิสรเสรีภาพ และความอิ่มเอิบอย่างอุดมสมบูรณ์ พวกเขาต้องการอะไร ไม่ว่ายากหรือลำบากเพียงไร ก็จะได้อย่างสมหวัง พวกเขา จึงเกิดความรู้สึกว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่เต็มใบทุกด้าน
แต่ “คนจน” และคนรากหญ้า ขาด ๆ วิ่น ๆ จึงเป็น ประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” ทั้งหลายทั้งปวงดังที่กล่าวมาเพียงเล็กน้อยที่แท้มันคือ “เรื่องใหญ่” และร้ายเหลือ ! สุดจะประมาณได้ เรื่องใหญ่เรื่องนี้ ได้ส่งผลให้คนไทยเกิดความขัดแย้งกันทั้งแผ่นดิน ดังจะเห็นได้ว่า วันนี้ คนเสื้อแดงเขาพากันรวมตัวกันมากกว่า ๕ ล้านคน ขอถวายฎีกา เพื่อจะกราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่าพสกนิกร “มีความทุกข์” ทั้งทางกายและทางใจ
แต่ก็ยังมีพวกขุนนางอำมาตย์และกลุ่มเผด็จการ (ทั้งเผด็จการหลวง และเผด็จการเอกชน) ! ต่างออกมาคัดค้านกันอึงมี่ กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ว่าประเทศไทยนี้แปลกเหลือเกิน ประชาชนเขาพากันหันหน้า “หมอบคลานเข้าหาองค์พระ มหากษัตริย์” กราบขอพระเมตตาเป็นที่พึ่ง ว่าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงประทานความร่มเย็นมาให้ ทั้งนี้เนื่องจาก ไม่มีทางไหนที่จะได้รับความเห็นใจจากรัฐบาล
ตรงกันข้าม รัฐบาลพากันต่อต้านอึงมี่ จะอึงมี่เพียงไรคงไม่อาจยับยั้งคนเสื้อแดงได้
คนเสื้อแดงเดินทางมาถึงสถานีปลายทางแล้ว จะให้ “ถอยกลับ” นะเหรอ...เมินเสียเถอะ ? หรือแม้ว่าจะมี “มือเปรต- มืออสุรกาย” ยื่นออกมาขัดขวาง ก็จะถูกถ่านไฟแดงของคนเสื้อแดง เผาไหม้จนเน่าเปื่อยลงต่อหน้าอย่างแน่นอน
ผมอยากกราบเรียนว่า การที่ “พสกนิกร” พากันแห่ ขอถวายฎีกา นับว่าเป็นเรื่องวิเศษอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจาก การถวายฎีกาเป็นเครื่องวัดถึงใจของ “คนเสื้อแดง” ยังพากัน รักเคารพและเทิดทูนองค์พระประมุขอย่างไม่เสื่อมคลาย และยังสะท้อนให้เห็น “ความจงรักภักดี” มิได้เปลี่ยนแปลง แต่ประการใดเลย
ผมอยากจะเปรียบเรื่องนี้กับประเทศรัสเซีย-อิหร่าน และลาว ซึ่งเคยมีกษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่เหมือนประเทศไทย แต่เมื่อเกิดความ ขัดแย้งในระดับ “สถาบัน” ขึ้นมา ไม่ปรากฏว่าประชาชน จะพากันหันหน้าไปขอพึ่งพระบารมี ตรงกันข้าม กลับปรากฏว่า ทั้งคนรัสเซีย คนอิร่าน และชนชาติลาว ไม่ยอมถวายฎีกาแม้แต่ ฉบับเดียว
ผู้คนในชาติเหล่านั้นต่างพากันหันหลังให้แก่ราชวงศ์ และได้ล้มล้างระบอบการปกครองไม่มีเหลือ
ราชวงศ์โรมานอฟ [Romanov Dynasty] ในประเทศรัสเซียสิ้นไปจากแผ่นดินเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๑๗ (๒๔๖) ราชวงศ์ลาว สิ้นไปเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๕ (๒๕๑๘) ราชวงศ์อิหร่าน สิ้นไปจากเปอร์เซียเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๙ (๒๕๒๒) โดยที่ไม่ปรากฏว่า ประชาชนในประเทศเหล่านั้นอยากจะใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการ ขอถวายฎีกา
คนเสื้อแดงมีนัดหมายที่จะถวายฎีกาในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๕๒ อันเป็นวันระทึกใจอย่างยิ่งของพสกนิกรว่าจะได้ถวายฎีกา จึงถือได้ว่าเป็นของวิเศษที่น่าปลาบปลื้มยิ่งนัก
แต่ก็น่าสังเวชใจเหลือเกิน สิ่งที่ได้พบเห็นได้แก่พวกเผด็จการ “ชาติไทยด้วยกัน” ทำตัวเป็น “พญามาร” ขัดขวางด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังที่ได้พบเห็นว่า พวกเขาแห่ไปขู่เข็นข้าราชการทั่วประเทศให้แห่ออกมาต่อต้าน คนเสื้อแดง
วันนี้ผมขอเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๗ ยกเรื่องราวของ ราชวงศ์รัสเซีย ที่ล่มสลายพร้อมกับได้ยกเอาตัวชื่อของประเทศลาว และอิหร่านขึ้นมาอ้างอิงว่า ประเทศเหล่านั้น ไม่มีใครคิดถึงการ ถวายฎีกา ตรงกันข้าม มีแต่เสียงกู่ตะโกนขับไล่ ฮือเข้าทำร้าย จนราชวงศ์คู่บ้านคู่เมืองมีอันสิ้นสุดลง จนกลายเป็นตำนานล่าขาน ที่ไร้ความหมาย
ไร้ความหมาย...หมายถึงสิ้นแล้วสิ้นเลย
ไม่มีผู้ใดกราบไหว้ ?!
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๗ เป็นใบปลิว ชิ้นที่มีความสั้นไม่กี่ประโยค แต่ในแต่ละถ้อยคำ ได้กลั่นให้เห็น “ความหมายอันยิ่งใหญ่” ของการถวายฎีกาว่า เป็นมิติแห่งความรัก และความหวัง
ผมอยากให้ “สังคมไทย” ทั้งสังคม โปรดมองการ ถวายฎีกาให้ถึงแก่น แล้วจะมีความอิ่มเอิบที่ซ่อนปนกันอยู่ใน ความเจ็บปวด ที่เกาะกินหัวใจสุดจะพรรณนาได้ การที่พี่น้อง คนไทย “แห่ออกมา” ขอถวายฎีกา ถือเป็นของวิเศษยิ่งนัก
ใครก็ตาม ที่ปฏิเสธการถวายฎีกา และได้ต่อต้านการถวายฎีกา สุดท้ายมันจะกระชากหัวใจประชาชนให้เกิดความรู้สึก อันน่ากลัว ถ้าพวกเขาไม่อยากถวายฎีกาขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น กับสถาบันของประเทศไทย !?
จบบทที่ ๓๗ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 38 วันถวายฏีกา...ฟ้ายังร้อง
บทที่ ๓๘: วันถวายฎีกา...ฟ้ายังร้องรับ..?!
ท่านผู้อ่านได้อ่านใบปลิวกู้ชาติไปแล้ว ๓๗ บท วันนี้ผมขอนำบทที่ ๓๘ มาเล่าให้ฟัง แต่เรื่องราวที่เล่าเป็นเรื่องของความเชื่อในลักษณะของคนนับถือ พระพุทธศาสนา นั้นก็คือขณะทำการถวายฎีกาอยู่นั้น พลันก็ได้เกิดฟ้าร้องเสียงดัง ครืน-ครืน โดยมิได้มีเมฆฝนเลยแม้แต่น้อย อันทำให้คนเสื้อแดงเกิดความเชื่อ ขึ้นมาว่า การถวายฎีกาในครั้งนี้ ดังถึงฟ้าถึงสวรรค์
ผมจึงขอกราบเรียนดังต่อไปนี้
ในที่สุด...การถวายฎีกาก็สำเร็จลุล่วงด้วยความสมหวังของคนเสื้อแดง ทั้งหลาย ผมเชื่อว่าความสำเร็จของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ คงจะทำให้รัฐบาล เผด็จการและพวกอำมาตย์ใหญ่ คงจะพากันผิดหวังอย่างยิ่ง ที่ไม่อาจสกัดกั้น คนเสื้อแดงได้ดังใจนึก ตรงกันข้าม ภาพที่ปรากฏขึ้นในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ มันได้กลายเป็นวันประวัติศาสตร์ของคนไทยทั้งแผ่นดินไปแล้ว
ใครไม่เคยเห็นก็ได้เห็น !
ใครไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ !!
ภาพดังกล่าวนี้ คงจะถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก อันจะทำให้ชาวโลก เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ประชาชนคนใส่เสื้อแดง จึงแห่ไปยื่นหนังสือถวายฎีกา
ซึ่งผมเชื่อว่าบางท่านก็จะเข้าใจง่าย แต่ผู้คนชาวต่างชาติต่างศาสนา อีกมากมายจะไม่มีวันเข้าใจ
คนต่างชาติจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจคงไม่แปลก ทั้งนี้เนื่องจากคนเสื้อแดง ต้องการให้คนไทยด้วยกันเข้าใจการกระทำของพวกเขา อันเป็นเรื่องของ ความต้องการความเป็นธรรม คนเสื้อแดงมีความเชื่อว่าสังคมไทยไม่มี ความเป็นธรรม เกิดมาจากถูกอำมาตย์ใหญ่บงการอยู่เบื้อหลัง จึงเล่นงานอำมาตย์ ใหญ่แบบไม่เกรงใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้ใจของอำมาตย์ใหญ่โกรธแค้นชิงชังคนเสื้อแดง ไม่รู้จักจบจึงไม่อาจทราบได้ว่าเรื่องจะไปลงเอยแบบไหน ดีหรือร้าย..สุดแต่ จะมีอะไรเกิดขึ้น
ท่านครับ ผมจะไม่เขียนให้เกิดความวกวน ผมขอนำเอาเรื่อง “ถวายฎีกา ฟ้ายังร้องรับ” มามอบให้ท่านที่อยู่ไกลบ้านได้อ่านดีกว่านะครับ กล่าวคือ ขณะพิธีส่งหนังสือถวายฎีกาในช่วงนาทีสุดท้าย ได้เกิดเสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลื่อนลั่นประหนึ่งว่าฝนกำลังจะกระหน่ำลงมา !
แต่ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน ไม่มีหยาดน้ำฝนแม้แต่เม็ดเดียว ขณะนั้นผมยืนอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ ในท่ามกลางคนเสื้อแดงล้นออกไป ถึงอีกฝั่งหนึ่ง พี่น้องคนเสื้อแดงส่งเสียงโห่ร้อง “ต้อนรับ” เสียงจากท้องฟ้า ด้วยความตื่นเต้นและแปลกใจระคนกัน สายตาของทุกคนมองขึ้นไปเบื้องบน ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีแต่ความน่าแปลกใจสุดจะพรรณนา
อีกสามนาทีต่อมา เสียงคำรามลั่นจากท้องฟ้าดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ ประชาชีทั้งหลายต่างพากันส่งเสียงตอบรับดังกึกก้องกว่าเดิม ขณะเดียวกันผม สังเกตเห็นคนเสื้อแดงยิ้มเต็มใบหน้าคล้ายกับจะหยั่งรู้ในความลี้ลับอันน่าอัศจรรย์ ใจที่ได้ยินเสียงจากฟ้าด้วยตนเอง ยิ่งพี่น้องคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธบริษัท ยิ่งผูกพันอยู่กับความเชื่ออันยิ่งใหญ่นี้เกินจะพรรณนาได้
ผมถือกล้องวีดิโอ ตระเวนถ่ายภาพเคลื่อนไหวจนรอบสนามหลวง ได้เก็บภาพพระภิกษุสงฆ์และประดาคนเสื้อแดงที่หลั่งไหลมาจากทุกจังหวัด ในประเทศไทย ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกที่ได้เห็น “คนไทย” ตื่นตัว ทางการเมืองอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ ผมบอกกับตนเองว่าถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วละก็ เผด็จการใหญ่ในวันข้างหน้าจักไม่มีพื้นที่จะยืนอย่างแน่นอน
ผมแหงนหน้าดูท้องฟ้า.... ! พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาเก็บภาพประวัติศาสตร์เอาไว้ด้วยความอิ่มเอิบใจ ผมถือโอกาสพูดคุยกับคนเสื้อแดงและขอเก็บภาพเอาไว้เป็นที่ระลึก พร้อมกับ ถือโอกาสแสวงหามิตรสหายไปในตัวเสร็จ โอกาสเดียวกันนั้นผมได้คุยกับ “คุณปรีชา สุวรรณ” (๐๘๕-๑๙๕๙๔๘๘) เสื้อแดงอำเภอพระพุทธบาท จังหวัด สระบุรี มีอาชีพค้าขายพืชไร่ คุณปรีชา
บอกถึงความรู้สึกที่ได้เข้าร่วม วันประวัติศาสตร์ว่า ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งได้ยินเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเหมือน พลุหนึ่งพันลูก ยิ่งทำให้เกิดความปีติ มีความรู้สึกว่าสวรรค์ทรงทราบ จึงมั่นใจ ว่าการถวายฎีกาในครั้งนี้ จะเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น สามารถหนีพ้น ไปจากเผด็จการมุ่งสู่ประชาธิปไตยไม่นานเกินรอ
คุณปรีชา สุวรรณ เล่าถึงปัญหาเผด็จการในประเทศไทย ได้ทำให้ “คนไทย” กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวมิใช่น้อย ไม่ว่าใครก็ตาม จะสามารถ เปรียบเทียบได้ถึงความแตกต่างระหว่างรัฐบาล “พรรคประชาธิปัตย์” กับ พรรคไทยรักไทย
สมัยทักษิณ ทำมาหากินขึ้นดีเหลือเกิน มาถึงสมัยทหารยึดอำนาจ ความยากจนเข้ามาเยือน ยิ่งเป็นสมัยอภิสิทธิ์
ร้ายแรงเหมือนตกนรก ?!
หากินไม่รอด ?!
เกิดเป็นวันมีแต่ยากจนลง ?!
คุณปรีชา สุวรรณเล่าไม่มากนัก เพราะต้องรีบเดินทางกลับพร้อมกับ คณะ แล้วบอกว่าในโอกาสข้างหน้า จะพา “ชาวบ้าน” ที่ได้รับผลกระทบ จากเผด็จการมาออกทีวีดาวเทียม รายการเสียงประชาชน จะเอาความจริง มาเล่าให้ฟัง คุณปรีชายืนยันกับผมเอาไว้ครับ
เสร็จจากคุณปรีชา..ผมได้เข้าไปกราบหลวงพ่อที่ยืนอยู่ไม่ไกล ขอสงวน นามของท่านเพื่อความปลอดภัยของพระสงฆ์ หลวงพ่อเป็นพระผู้ใหญ่ที่จังหวัด กาฬสินธุ์ ได้เล่าให้โยมสอาดฟังว่า พระรู้สึกเป็นห่วงประเทศชาติเหลือเกิน บ้านเมืองกลายเป็นเผด็จการเต็มร้อย
รัฐบาลไม่ยอมปรองดองกับคนเสื้อแดง จะปราบให้สิ้นซากท่าเดียว หลวงพ่อทนไม่ได้ จึงพาพระเณรเดินทาง เข้าร่วม ถวายฎีกา โดยมีพระอาจารย์ (ดร.) พระมหาโชว์ ทัสสะนีโย เป็นแกนนำ ฝ่ายสงฆ์ เพื่อจะ หาทางช่วยอดีตนายกทักษิณ ให้ได้กลับประเทศไทย อย่างผู้มีเกียรติ
“เห็นไหมโยม...ฟ้ายังรับรู้เลย ...” ?!
ผมตอบถวายไปว่า...เห็นแล้วครับ
ขณะที่ผมกำลังสนทนาอยู่กับหลวงพ่อ ก็ได้ยิน “นายหัววีระ มุสิก พงศ์” อ่านหนังสือถวายฎีกาที่ได้ส่งมอบแก่ท่านรองราชเลขา ให้คนเสื้อแดง ได้ยินทั่วท้องสนามหลวง เมื่ออ่านจบ นายหัววีระ มุสิกพงศ์ ได้ประกาศ ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความสมหวังว่า บัดนี้ภารกิจการถวายฎีกา ได้สำเร็จลงทุกประการแล้ว ต่อไปนี้ ก็จะได้เชิญ ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี อย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อร้องจบ ก็จะได้แยกย้ายกันกลับบ้าน และขอให้ทุกท่าน เตรียมตัวร้องเพลงสรรเสริญ พระบารมี ณ บัดนี้ !
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมได้เก็บภาพอันน่าตื่นเต้นประทับใจ ภาพเช่นนี้ จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้โดยง่าย แต่สำหรับวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! มิได้มี อะไรยุ่งยากเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวอย่างง่ายดายราวกับเนรมิต ดังจะเห็นได้ว่าคนเสื้อแดง แม้จะอยู่ไกลแสนไกล ก็ยังพากันเดินทางถึง ท้องสนามหลวงก่อน ๐๘.๐๐ น.
ตรงเวลายิ่งกว่าคนทำงานในกรุงเทพเสียอีก เมื่อเดินทางถึง ต่างพากันจับจองที่นั่งอย่างเป็นระเบียบโดยมิต้อง มีการจัดแถว แล้วส่งเสียงแสดงความรู้สึก “ดีใจ” ต่อแกนนำทั้งหลายที่ขึ้นมา ร้องเพลงขับกล่อม รวมทั้งมีการอธิบายชี้แจงขั้นตอนการถวายฎีกาต่าง ๆ ให้ทุกคนได้รับทราบ
คนเสื้อแดงพากันนั่งลงที่ข้างหน้าเวที ขณะแกนนำทำงานอยู่บนเวที เรียงแถวด้วยใบหน้าแจ่มใส กล้องของสถานี เสียงประชาชน [P-voice] บันทึกถ่ายทอดสด ขณะกล้องของทีวีช่อง ๓ กำลังทำข่าวอยู่เพียงสถานีเดียว ในขณะสถานีโทรทัศน์ ของรัฐบาลอื่นๆ ไม่มีใครมา จึงเป็นการ “งดเว้น” การเสนอข่าวในครั้งนี้แบบ ไม่มีมิตรภาพเหลืออยู่
ไม่ยอมแม้แต่จะเอ่ยถึง อันเป็นการ “งดเว้น” การเสนอข่าวแบบตัดญาติ ขาดมิตร
นอกจากจะงดการเสนอข่าวดังกล่าว ยังได้ “บิดเบือน” ออกข่าวว่า มีคนอยู่ในท้องสนามหลวงประมาณ ๗,๒๐๐ คนเท่านั้น แล้วให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลสามารถรักษาความสงบได้ ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง
ผมรู้สึกขมขื่นกับกรมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล ดูซีครับ พูดออกมาได้ ๗,๒๐๐ คน ! ตัวเลขที่แท้จริงมากกว่าหลายเท่าอย่างแน่นอน ผมขอเรียนว่า ภายในท้องสนามหลวง เต็มจนแน่นขนัด แถมมี ทะลักและล้นออกมาที่คลองหลอด และทะลักไปถึงโรงแรมรัตนโกสินทร์ คำนวณดูซิ...จะมีเสื้อแดงมากกว่าแสนคนหรือไม่ ถ้าคำนวณไม่ออก ให้มองไป ทางด้านธรรมศาสตร์ จะพบว่าแน่นจนล้น
ทางประตูวิเศษไชยศรี ก็ล้นปรี่แล้วจะมีเพียง ๗,๒๐๐ คนได้อย่างไร ?ท่านผู้อ่านที่เคารพ...ผมอยากสรุปด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจอย่างยิ่งว่า โอกาสที่จะได้เห็น“น้ำตา” อำมาตย์ใหญ่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูง เหตุที่ผมเชื่อ เช่นนี้เนื่องจากแม้แต่ฟ้า ยังส่งเสียง ครืน-ครืน ดังสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อผม กลับถึงบ้าน ก็ได้ข่าวจากปากของเพื่อนของผมคนหนึ่ง ชื่อ“มหากมล ศรีนอก” เล่าให้ฟังว่า ขณะฟ้าร้องเหนือท้องสนามหลวง
ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมาที่ทำเนียบรัฐบาล ?! ผมเป็นพุทธเหมือนกัน จึงเชื่อเป็นตะเป็นตะว่า การถวายฎีกาในครั้งนี้ ฟ้ายังร้องรับเลยครับ สอดคล้องกับพี่น้องชาวพุทธนับแสนคน ที่ได้พบเห็นในวัน ประวัติศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้ประเทศไทยได้รับการ “ปรับปรุงแก้ไข” ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
จริงไม่จริงไม่นานเกินรอ
จะได้เห็นอย่างแน่นอนว่าจะเป็นหมู่หรือจ่า ?!
จบบทที่ ๓๘ / สอาด จันทร์ดี
ท่านผู้อ่านได้อ่านใบปลิวกู้ชาติไปแล้ว ๓๗ บท วันนี้ผมขอนำบทที่ ๓๘ มาเล่าให้ฟัง แต่เรื่องราวที่เล่าเป็นเรื่องของความเชื่อในลักษณะของคนนับถือ พระพุทธศาสนา นั้นก็คือขณะทำการถวายฎีกาอยู่นั้น พลันก็ได้เกิดฟ้าร้องเสียงดัง ครืน-ครืน โดยมิได้มีเมฆฝนเลยแม้แต่น้อย อันทำให้คนเสื้อแดงเกิดความเชื่อ ขึ้นมาว่า การถวายฎีกาในครั้งนี้ ดังถึงฟ้าถึงสวรรค์
ผมจึงขอกราบเรียนดังต่อไปนี้
ในที่สุด...การถวายฎีกาก็สำเร็จลุล่วงด้วยความสมหวังของคนเสื้อแดง ทั้งหลาย ผมเชื่อว่าความสำเร็จของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ คงจะทำให้รัฐบาล เผด็จการและพวกอำมาตย์ใหญ่ คงจะพากันผิดหวังอย่างยิ่ง ที่ไม่อาจสกัดกั้น คนเสื้อแดงได้ดังใจนึก ตรงกันข้าม ภาพที่ปรากฏขึ้นในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ มันได้กลายเป็นวันประวัติศาสตร์ของคนไทยทั้งแผ่นดินไปแล้ว
ใครไม่เคยเห็นก็ได้เห็น !
ใครไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ !!
ภาพดังกล่าวนี้ คงจะถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก อันจะทำให้ชาวโลก เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ประชาชนคนใส่เสื้อแดง จึงแห่ไปยื่นหนังสือถวายฎีกา
ซึ่งผมเชื่อว่าบางท่านก็จะเข้าใจง่าย แต่ผู้คนชาวต่างชาติต่างศาสนา อีกมากมายจะไม่มีวันเข้าใจ
คนต่างชาติจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจคงไม่แปลก ทั้งนี้เนื่องจากคนเสื้อแดง ต้องการให้คนไทยด้วยกันเข้าใจการกระทำของพวกเขา อันเป็นเรื่องของ ความต้องการความเป็นธรรม คนเสื้อแดงมีความเชื่อว่าสังคมไทยไม่มี ความเป็นธรรม เกิดมาจากถูกอำมาตย์ใหญ่บงการอยู่เบื้อหลัง จึงเล่นงานอำมาตย์ ใหญ่แบบไม่เกรงใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้ใจของอำมาตย์ใหญ่โกรธแค้นชิงชังคนเสื้อแดง ไม่รู้จักจบจึงไม่อาจทราบได้ว่าเรื่องจะไปลงเอยแบบไหน ดีหรือร้าย..สุดแต่ จะมีอะไรเกิดขึ้น
ท่านครับ ผมจะไม่เขียนให้เกิดความวกวน ผมขอนำเอาเรื่อง “ถวายฎีกา ฟ้ายังร้องรับ” มามอบให้ท่านที่อยู่ไกลบ้านได้อ่านดีกว่านะครับ กล่าวคือ ขณะพิธีส่งหนังสือถวายฎีกาในช่วงนาทีสุดท้าย ได้เกิดเสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลื่อนลั่นประหนึ่งว่าฝนกำลังจะกระหน่ำลงมา !
แต่ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน ไม่มีหยาดน้ำฝนแม้แต่เม็ดเดียว ขณะนั้นผมยืนอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ ในท่ามกลางคนเสื้อแดงล้นออกไป ถึงอีกฝั่งหนึ่ง พี่น้องคนเสื้อแดงส่งเสียงโห่ร้อง “ต้อนรับ” เสียงจากท้องฟ้า ด้วยความตื่นเต้นและแปลกใจระคนกัน สายตาของทุกคนมองขึ้นไปเบื้องบน ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีแต่ความน่าแปลกใจสุดจะพรรณนา
อีกสามนาทีต่อมา เสียงคำรามลั่นจากท้องฟ้าดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ ประชาชีทั้งหลายต่างพากันส่งเสียงตอบรับดังกึกก้องกว่าเดิม ขณะเดียวกันผม สังเกตเห็นคนเสื้อแดงยิ้มเต็มใบหน้าคล้ายกับจะหยั่งรู้ในความลี้ลับอันน่าอัศจรรย์ ใจที่ได้ยินเสียงจากฟ้าด้วยตนเอง ยิ่งพี่น้องคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธบริษัท ยิ่งผูกพันอยู่กับความเชื่ออันยิ่งใหญ่นี้เกินจะพรรณนาได้
ผมถือกล้องวีดิโอ ตระเวนถ่ายภาพเคลื่อนไหวจนรอบสนามหลวง ได้เก็บภาพพระภิกษุสงฆ์และประดาคนเสื้อแดงที่หลั่งไหลมาจากทุกจังหวัด ในประเทศไทย ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกที่ได้เห็น “คนไทย” ตื่นตัว ทางการเมืองอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ ผมบอกกับตนเองว่าถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วละก็ เผด็จการใหญ่ในวันข้างหน้าจักไม่มีพื้นที่จะยืนอย่างแน่นอน
ผมแหงนหน้าดูท้องฟ้า.... ! พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาเก็บภาพประวัติศาสตร์เอาไว้ด้วยความอิ่มเอิบใจ ผมถือโอกาสพูดคุยกับคนเสื้อแดงและขอเก็บภาพเอาไว้เป็นที่ระลึก พร้อมกับ ถือโอกาสแสวงหามิตรสหายไปในตัวเสร็จ โอกาสเดียวกันนั้นผมได้คุยกับ “คุณปรีชา สุวรรณ” (๐๘๕-๑๙๕๙๔๘๘) เสื้อแดงอำเภอพระพุทธบาท จังหวัด สระบุรี มีอาชีพค้าขายพืชไร่ คุณปรีชา
บอกถึงความรู้สึกที่ได้เข้าร่วม วันประวัติศาสตร์ว่า ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งได้ยินเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเหมือน พลุหนึ่งพันลูก ยิ่งทำให้เกิดความปีติ มีความรู้สึกว่าสวรรค์ทรงทราบ จึงมั่นใจ ว่าการถวายฎีกาในครั้งนี้ จะเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น สามารถหนีพ้น ไปจากเผด็จการมุ่งสู่ประชาธิปไตยไม่นานเกินรอ
คุณปรีชา สุวรรณ เล่าถึงปัญหาเผด็จการในประเทศไทย ได้ทำให้ “คนไทย” กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวมิใช่น้อย ไม่ว่าใครก็ตาม จะสามารถ เปรียบเทียบได้ถึงความแตกต่างระหว่างรัฐบาล “พรรคประชาธิปัตย์” กับ พรรคไทยรักไทย
สมัยทักษิณ ทำมาหากินขึ้นดีเหลือเกิน มาถึงสมัยทหารยึดอำนาจ ความยากจนเข้ามาเยือน ยิ่งเป็นสมัยอภิสิทธิ์
ร้ายแรงเหมือนตกนรก ?!
หากินไม่รอด ?!
เกิดเป็นวันมีแต่ยากจนลง ?!
คุณปรีชา สุวรรณเล่าไม่มากนัก เพราะต้องรีบเดินทางกลับพร้อมกับ คณะ แล้วบอกว่าในโอกาสข้างหน้า จะพา “ชาวบ้าน” ที่ได้รับผลกระทบ จากเผด็จการมาออกทีวีดาวเทียม รายการเสียงประชาชน จะเอาความจริง มาเล่าให้ฟัง คุณปรีชายืนยันกับผมเอาไว้ครับ
เสร็จจากคุณปรีชา..ผมได้เข้าไปกราบหลวงพ่อที่ยืนอยู่ไม่ไกล ขอสงวน นามของท่านเพื่อความปลอดภัยของพระสงฆ์ หลวงพ่อเป็นพระผู้ใหญ่ที่จังหวัด กาฬสินธุ์ ได้เล่าให้โยมสอาดฟังว่า พระรู้สึกเป็นห่วงประเทศชาติเหลือเกิน บ้านเมืองกลายเป็นเผด็จการเต็มร้อย
รัฐบาลไม่ยอมปรองดองกับคนเสื้อแดง จะปราบให้สิ้นซากท่าเดียว หลวงพ่อทนไม่ได้ จึงพาพระเณรเดินทาง เข้าร่วม ถวายฎีกา โดยมีพระอาจารย์ (ดร.) พระมหาโชว์ ทัสสะนีโย เป็นแกนนำ ฝ่ายสงฆ์ เพื่อจะ หาทางช่วยอดีตนายกทักษิณ ให้ได้กลับประเทศไทย อย่างผู้มีเกียรติ
“เห็นไหมโยม...ฟ้ายังรับรู้เลย ...” ?!
ผมตอบถวายไปว่า...เห็นแล้วครับ
ขณะที่ผมกำลังสนทนาอยู่กับหลวงพ่อ ก็ได้ยิน “นายหัววีระ มุสิก พงศ์” อ่านหนังสือถวายฎีกาที่ได้ส่งมอบแก่ท่านรองราชเลขา ให้คนเสื้อแดง ได้ยินทั่วท้องสนามหลวง เมื่ออ่านจบ นายหัววีระ มุสิกพงศ์ ได้ประกาศ ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความสมหวังว่า บัดนี้ภารกิจการถวายฎีกา ได้สำเร็จลงทุกประการแล้ว ต่อไปนี้ ก็จะได้เชิญ ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี อย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อร้องจบ ก็จะได้แยกย้ายกันกลับบ้าน และขอให้ทุกท่าน เตรียมตัวร้องเพลงสรรเสริญ พระบารมี ณ บัดนี้ !
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมได้เก็บภาพอันน่าตื่นเต้นประทับใจ ภาพเช่นนี้ จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้โดยง่าย แต่สำหรับวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! มิได้มี อะไรยุ่งยากเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวอย่างง่ายดายราวกับเนรมิต ดังจะเห็นได้ว่าคนเสื้อแดง แม้จะอยู่ไกลแสนไกล ก็ยังพากันเดินทางถึง ท้องสนามหลวงก่อน ๐๘.๐๐ น.
ตรงเวลายิ่งกว่าคนทำงานในกรุงเทพเสียอีก เมื่อเดินทางถึง ต่างพากันจับจองที่นั่งอย่างเป็นระเบียบโดยมิต้อง มีการจัดแถว แล้วส่งเสียงแสดงความรู้สึก “ดีใจ” ต่อแกนนำทั้งหลายที่ขึ้นมา ร้องเพลงขับกล่อม รวมทั้งมีการอธิบายชี้แจงขั้นตอนการถวายฎีกาต่าง ๆ ให้ทุกคนได้รับทราบ
คนเสื้อแดงพากันนั่งลงที่ข้างหน้าเวที ขณะแกนนำทำงานอยู่บนเวที เรียงแถวด้วยใบหน้าแจ่มใส กล้องของสถานี เสียงประชาชน [P-voice] บันทึกถ่ายทอดสด ขณะกล้องของทีวีช่อง ๓ กำลังทำข่าวอยู่เพียงสถานีเดียว ในขณะสถานีโทรทัศน์ ของรัฐบาลอื่นๆ ไม่มีใครมา จึงเป็นการ “งดเว้น” การเสนอข่าวในครั้งนี้แบบ ไม่มีมิตรภาพเหลืออยู่
ไม่ยอมแม้แต่จะเอ่ยถึง อันเป็นการ “งดเว้น” การเสนอข่าวแบบตัดญาติ ขาดมิตร
นอกจากจะงดการเสนอข่าวดังกล่าว ยังได้ “บิดเบือน” ออกข่าวว่า มีคนอยู่ในท้องสนามหลวงประมาณ ๗,๒๐๐ คนเท่านั้น แล้วให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลสามารถรักษาความสงบได้ ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง
ผมรู้สึกขมขื่นกับกรมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล ดูซีครับ พูดออกมาได้ ๗,๒๐๐ คน ! ตัวเลขที่แท้จริงมากกว่าหลายเท่าอย่างแน่นอน ผมขอเรียนว่า ภายในท้องสนามหลวง เต็มจนแน่นขนัด แถมมี ทะลักและล้นออกมาที่คลองหลอด และทะลักไปถึงโรงแรมรัตนโกสินทร์ คำนวณดูซิ...จะมีเสื้อแดงมากกว่าแสนคนหรือไม่ ถ้าคำนวณไม่ออก ให้มองไป ทางด้านธรรมศาสตร์ จะพบว่าแน่นจนล้น
ทางประตูวิเศษไชยศรี ก็ล้นปรี่แล้วจะมีเพียง ๗,๒๐๐ คนได้อย่างไร ?ท่านผู้อ่านที่เคารพ...ผมอยากสรุปด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจอย่างยิ่งว่า โอกาสที่จะได้เห็น“น้ำตา” อำมาตย์ใหญ่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูง เหตุที่ผมเชื่อ เช่นนี้เนื่องจากแม้แต่ฟ้า ยังส่งเสียง ครืน-ครืน ดังสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อผม กลับถึงบ้าน ก็ได้ข่าวจากปากของเพื่อนของผมคนหนึ่ง ชื่อ“มหากมล ศรีนอก” เล่าให้ฟังว่า ขณะฟ้าร้องเหนือท้องสนามหลวง
ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมาที่ทำเนียบรัฐบาล ?! ผมเป็นพุทธเหมือนกัน จึงเชื่อเป็นตะเป็นตะว่า การถวายฎีกาในครั้งนี้ ฟ้ายังร้องรับเลยครับ สอดคล้องกับพี่น้องชาวพุทธนับแสนคน ที่ได้พบเห็นในวัน ประวัติศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้ประเทศไทยได้รับการ “ปรับปรุงแก้ไข” ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
จริงไม่จริงไม่นานเกินรอ
จะได้เห็นอย่างแน่นอนว่าจะเป็นหมู่หรือจ่า ?!
จบบทที่ ๓๘ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 39 นิรโทษกรรมแบบนี้ ปรองดองชาติไม่ได้
บทที่ ๓๙ ตอน : นิรโทษกรรมแบบนี้ ปรองดองชาติไม่ได้ ?!
ข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยจะเสนอร่างกฎหมาย “นิรโทษกรรม” เข้าสภาโดยไม่เคยมีข่าวให้รู้ล่วงหน้าและไม่ระแคะระคายมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะมีการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในสถานการณ์ เช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ “คนเสื้อแดง” เพิ่งจะยื่นหนังสือถวายฎีกาเสร็จสิ้น และผ่านไปหยก ๆ ไม่ถึง ๒ วัน (วันยื่นหนังสือถวายฎีกา : ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒) !
เอ๊ะ...เมื่อก่อนทำไมไม่คิดยื่น ? ผมได้ตรวจดูข่าวอย่างละเอียดด้วยความรู้สึกสงสัยว่าทำไม จึงมุ่งแต่จะนิรโทษให้แก่คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง ๒ ฝ่ายนี้เท่านั้น ทำไมไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้สมเหตุผลอย่างยิ่ง
เหตุที่ว่า “สมเหตุสมผล” หมายถึงต้นตอของปัญหาเกิดมา จากอำมาตย์และพวกเผด็จการพากันก่อขึ้น ด้วยการโยนความผิดไปให้ ท่านนายกทักษิณ หาว่า “ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” ซึ่งเป็นการ “ปั้นความเท็จ” ใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง ดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว
ดังนั้น การที่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่คนเสื้อเหลือง และคนเสื้อแดง มันจึงไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง เนื่องจาก คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง คือเครือข่ายมวลชนที่ผูกติดอยู่กับ “หัวกระบวน” ที่เป็นคู่ทะเลาะวิวาทกัน
เสื้อเหลืองนั้นผูกติดอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพวกอำมาตย์น้อยใหญ่ อีกจำนวนหนึ่ง ที่รวมกันเข้าเป็นกลุ่มเผด็จการ น่าจะเรียกคนกลุ่มนี้ ว่าเป็นฝ่ายเอาความเท็จมา “กล่าวหา” !
คนเสื้อแดงนั้น ผูกติดอยู่กับ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” เรียกว่าฝ่าย “ผู้ถูกข้อกล่าวหา” อันเป็นเท็จ เล่นงาน สะบักสะบอม !
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงสรุปได้ว่าคู่กรณีของเรื่องนี้ ได้แก่คนใหญ่ คนโตของประเทศไทยเป็นหัวกระบวน หาใช่ปลายแถวคนเสื้อเหลือง และปลายแถวคนเสื้อแดงแต่อย่างใดไม่ แล้วเหตุไฉน พรรคภูมิใจ ไทยจึงไม่คิดที่จะแก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่กลับมุ่งไปหา “พวกตู้รถพ่วง” เพื่อจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้พ่อแม่พี่น้องชาวรากหญ้า หรือพวกปลายแถวให้ได้ แล้วแสดงโวหารว่ากฎหมายฉบับนี้ จะทำให้คนในชาติเกิดความสงบ ความสมานสามัคคี อันจะทำให้ คนไทยปรองดองกันได้ เขาว่าอย่างนั้น
ขอโทษ หัวกระบวนยังเป็นพระเพลิงอยู่
ในขณะ “ปลายแถว” ยังเดือดปุด-ปุด
แล้วมันจะสงบได้อย่างไร ?
ผมจึงอยากเขียนในเชิงสนทนากันเล่นกับท่านผู้อ่านที่ติดตาม ใบปลิวกู้ชาติ โดยมิได้หวังผลว่าจะทำให้เกิด “จิตสำนึก” หรือเกิดการ เข้าใจใหม่แต่ประการใดไม่ เพราะว่าเราตระหนักอยู่แก่ใจของเราดีว่า ประเทศไทยกลายเป็นประเทศไร้ระบบไปหลายปีแล้ว
ดังนั้นเราควรมาช่วยกัน “นินทา” เล่นดีกว่าเน๊าะ...จริงไหมครับ ผมขอนินทาว่า คนที่โยนความผิดอันเป็นเท็จให้แก่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนแรก ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในสมัย นายชวน หลีกภัยยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ เมื่อ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับการสนับสนุนให้เป็นทายาททางการเมืองต่อจาก นาย ชวน หลีกภัย ในระดับนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ก็ได้สวมวิญญาณ “เท็จ” ตามก้นนายชวนทุกอย่าง
ผมนินทาอย่างนี้ นับว่าไม่ผิดไปจากข้อเท็จจริง ผมขอนินทาข้ามไปที่ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” (พธม.) ที่มี สมีโพธิรักษ์ กับคู่หู ๒ คน คือนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พลตรี จำลอง ศรีเมือง พากันเป็นนักรบแนวหน้านำพากองทัพธรรม บุกพรรคไทยรักไทย บุกเลยมาถึงพรรคพลังประชาชน และพรรค เพื่อไทย ในยุคของท่านนายกฯสมัคร และนายกฯสมชาย ทำให้เห็น ฤทธิ์เดชของการใช้ “ความเท็จ” เล่นงานคนดีอย่างดุเดือดเลือดพล่าน มากขึ้น...และมากขึ้น
ขนาดยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ก็ยังกล้าทำ การกระทำทั้งหลายพวกนั้น ได้อ้างความเท็จเอามาเป็น เครื่องมือโดยอ้างว่าเป็นเพราะทักษิณ เป็นคนชั่ว เป็นภัยต่อประเทศชาติ หากขืนปล่อยไว้ ประเทศไทยจะเสียสถาบัน และกล่าวเลยไปถึงปัญหา ประเทศไทยจะเสียดินแดนให้แก่ประเทศกัมพูชา (ดูเขากล่าวหาซีครับ)
มิใช่แต่เท่านี้ ยังกล่าวเท็จกันทั้งโคตรว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยการไปมีสัมปทานบ่อน้ำมัน ลักลอบขโมยทรัพยากรของชาติขายเอาเงินใส่กระเป๋า หลังจากนั้นก็ นำเอาถ้อยคำที่เป็นเท็จไปหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ จนเป็นเหตุ ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้นในชาติ มีพวกเสื้อเหลืองมากมาย มีการเดินขบวน มุ่งที่จะขับไล่รัฐบาล มีการ “เอามือตบไล่ตี ไล่ด่า” จนเป็นเหตุทำให้เกิด ประเพณีตีนตบตามขึ้นมา
เสื้อแดงล้างแค้นเสื้อเหลือง ?!!
ครับ ผมนินทายืดยาวขนาดนี้ก็จริง แต่เอาเข้าจริงมันเป็นเพียง “เสี้ยวหนึ่ง” ของนิยายการเมืองน้ำเน่าในยุคกึ่งพุทธกาลของประเทศ สยาม ที่สามารถลูบคลำจับต้องได้ แต่เอาเข้าจริง มันกลับไม่อาจเปิดเผย ของจริงให้เห็นได้เลย แม้แต่กระดาษแผ่นเดียว
ตัวอย่างเช่นกรณีข้อกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อน แอบตักตวงผลประโยชน์บ่อน้ำมันในน่านน้ำไทย กับประเทศกัมพูชา ทักษิณ เป็นคนขายชาติ
พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาเป็นตุเป็นตะราวกับมันเป็นเรื่องจริง ทุกประการ
แต่วันนี้ หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล (สมใจนึก) มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ มีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง อันจะสามารถ ตรวจสอบได้ด้วยพลังมหาศาล
แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถ “ดึงเอาสัญญา” ที่เป็นปัญหา ทับซ้อนมาฉีกหน้า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้แม้แต่แผ่นเดียว ! เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ผู้อยู่ในฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้เป็น นายกรัฐมนตรีใหญ่โตขนาดนี้ ไม่อาจ “เอาหลักฐาน” มาฟาดฟันได้
มันย่อมหมายถึงข้อกล่าวหาที่หลุดออกมาจากปากของพรรค ประชาธิปัตย์ในช่วง ๔ – ๕ ปีผ่าน “ล้วนแต่เป็นเรื่องเท็จทั้งเพ” มันเป็น เรื่องโกหกพกลม เป็นเรื่องของเจตนาร้าย และเป็นเรื่องความโฉดชั่ว ที่พากันตั้งใจทำ โดยไม่มีการคำนึงถึงคุณธรรม-จริยธรรมแต่ประการใด
ผมเขียนมาถึงถ้อยคำตรงนี้ ผมรู้สึก “ขำ” ในสติปัญญาของ นักการเมืองซีกพรรคประชาธิปัตย์ที่ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีพรรคอื่น ๆ เช่นพรรคชาติไทยเก่า (ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีจากเมืองสุพรรณ) จะพลอยตกเป็นเหยื่อของคนขี้จุ๊ตามไปด้วย รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย ที่มี “เนวิน ชิดชอบ” เป็นผู้บังคับบัญชาใหญ่ ดันให้นาย ชวรัตน์ ชาญวีระกูร รมว. กระทรวงมหาดไทย กลายเป็นคนชื่นชอบ “ความเท็จ” เข้าไปอีก มันดูไม่จืดกับสภาพการเมืองไทยเลยครับ
ใช่...ผมขำ แต่ไม่สามารถขำกลิ้งได้เลย เนื่องจากเรื่องเช่นนี้ มิใช่เรื่องสนุก แต่มันเรื่องของความคับแค้นใจ ที่ร้ายกาจและรุนแรง ความคับแค้นใจเช่นนี้ เคยก่อตัวเป็นภูเขาไฟขนาดย่อมขึ้นในประเทศ ญี่ปุ่น ถึงขนาดเป็นพลังผลักดันให้ “ ๔๐ - ยอดซามูไร” ต้องสวม วิญญาณโหด ไล่ตัดคอพวกอำมาตย์ชั่ว ขุนนางเลว ด่าวดิ้นเป็นผี เฝ้าป่าช้า
สาเหตุของ ๔๐ ยอดซามูไรนิรนามพวกนั้นยอมทำบาป เกิดจากอาการขำเหมือนกัน แต่เป็นประเภทขำไม่ลง
ผมขอนินทาให้ฟังต่อไปว่า หลังจากคมดาบซามูไร ฟันฉับ เข้าที่ต้นคอของอำมาตย์ชั่วและขุนนางเลวด่าวดิ้นลงไป ยอดซามูไร “จะยิ้มที่มุมปากด้วยความสะใจ” มีอาการขำที่ล้ำลึก เย็นยะเยือก ประหนึ่งเป็นการ “ยิ้มอำลา” แก่ดวงวิญญาณที่โฉดชั่ว พร้อมกับได้ สอดดาบเข้าฝักเพื่อจะเก็บรักษาไว้เป็นดาบสังหารขุนนางชั่วที่เป็นภัย ต่อประเทศชาติชาวอาทิตย์อุทัย
ผมเคยถามเรื่องนี้กับคนญี่ปุ่นว่า อะไรคือ “ทฤษฎี” ชี้นำ ของยอดซามูไรนิรนามเหล่านั้น คนญี่ปุ่นได้ให้คำตอบแก่ผมว่า เป็นเพราะขุนนางเลว อำมาตย์ชั่ว อาศัยพระราชอำนาจของจอม จักพรรดิ คดโกงประเทศชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถ ปราบปรามได้
มีแต่ยอดซามูไรเท่านั้น ที่สละชีพปราบปรามคนชั่วให้สิ้นซาก เมื่อภารกิจสิ้นสุดลง ยอดซามูไรก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย !แต่พร้อมที่จะกลับมาอีก...เมื่อชาติต้องการ ?!
ผมนินทาจบแล้วครับ...ผมขอสรุปว่า กฎหมายนิรโทษกรรมที่ พวกเขาพยายามเหลือเกิน ไม่ว่าจะล้มหรือได้รับการตราเป็นกฎหมาย... มันแก้ความปรองดองไม่ได้ดอกครับ ?!
จบบทที่ ๓๙ / สอาด จันทร์ดี
ข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยจะเสนอร่างกฎหมาย “นิรโทษกรรม” เข้าสภาโดยไม่เคยมีข่าวให้รู้ล่วงหน้าและไม่ระแคะระคายมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะมีการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในสถานการณ์ เช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ “คนเสื้อแดง” เพิ่งจะยื่นหนังสือถวายฎีกาเสร็จสิ้น และผ่านไปหยก ๆ ไม่ถึง ๒ วัน (วันยื่นหนังสือถวายฎีกา : ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒) !
เอ๊ะ...เมื่อก่อนทำไมไม่คิดยื่น ? ผมได้ตรวจดูข่าวอย่างละเอียดด้วยความรู้สึกสงสัยว่าทำไม จึงมุ่งแต่จะนิรโทษให้แก่คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง ๒ ฝ่ายนี้เท่านั้น ทำไมไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้สมเหตุผลอย่างยิ่ง
เหตุที่ว่า “สมเหตุสมผล” หมายถึงต้นตอของปัญหาเกิดมา จากอำมาตย์และพวกเผด็จการพากันก่อขึ้น ด้วยการโยนความผิดไปให้ ท่านนายกทักษิณ หาว่า “ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” ซึ่งเป็นการ “ปั้นความเท็จ” ใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง ดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว
ดังนั้น การที่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่คนเสื้อเหลือง และคนเสื้อแดง มันจึงไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง เนื่องจาก คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง คือเครือข่ายมวลชนที่ผูกติดอยู่กับ “หัวกระบวน” ที่เป็นคู่ทะเลาะวิวาทกัน
เสื้อเหลืองนั้นผูกติดอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพวกอำมาตย์น้อยใหญ่ อีกจำนวนหนึ่ง ที่รวมกันเข้าเป็นกลุ่มเผด็จการ น่าจะเรียกคนกลุ่มนี้ ว่าเป็นฝ่ายเอาความเท็จมา “กล่าวหา” !
คนเสื้อแดงนั้น ผูกติดอยู่กับ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” เรียกว่าฝ่าย “ผู้ถูกข้อกล่าวหา” อันเป็นเท็จ เล่นงาน สะบักสะบอม !
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงสรุปได้ว่าคู่กรณีของเรื่องนี้ ได้แก่คนใหญ่ คนโตของประเทศไทยเป็นหัวกระบวน หาใช่ปลายแถวคนเสื้อเหลือง และปลายแถวคนเสื้อแดงแต่อย่างใดไม่ แล้วเหตุไฉน พรรคภูมิใจ ไทยจึงไม่คิดที่จะแก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่กลับมุ่งไปหา “พวกตู้รถพ่วง” เพื่อจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้พ่อแม่พี่น้องชาวรากหญ้า หรือพวกปลายแถวให้ได้ แล้วแสดงโวหารว่ากฎหมายฉบับนี้ จะทำให้คนในชาติเกิดความสงบ ความสมานสามัคคี อันจะทำให้ คนไทยปรองดองกันได้ เขาว่าอย่างนั้น
ขอโทษ หัวกระบวนยังเป็นพระเพลิงอยู่
ในขณะ “ปลายแถว” ยังเดือดปุด-ปุด
แล้วมันจะสงบได้อย่างไร ?
ผมจึงอยากเขียนในเชิงสนทนากันเล่นกับท่านผู้อ่านที่ติดตาม ใบปลิวกู้ชาติ โดยมิได้หวังผลว่าจะทำให้เกิด “จิตสำนึก” หรือเกิดการ เข้าใจใหม่แต่ประการใดไม่ เพราะว่าเราตระหนักอยู่แก่ใจของเราดีว่า ประเทศไทยกลายเป็นประเทศไร้ระบบไปหลายปีแล้ว
ดังนั้นเราควรมาช่วยกัน “นินทา” เล่นดีกว่าเน๊าะ...จริงไหมครับ ผมขอนินทาว่า คนที่โยนความผิดอันเป็นเท็จให้แก่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนแรก ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในสมัย นายชวน หลีกภัยยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ เมื่อ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับการสนับสนุนให้เป็นทายาททางการเมืองต่อจาก นาย ชวน หลีกภัย ในระดับนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ก็ได้สวมวิญญาณ “เท็จ” ตามก้นนายชวนทุกอย่าง
ผมนินทาอย่างนี้ นับว่าไม่ผิดไปจากข้อเท็จจริง ผมขอนินทาข้ามไปที่ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” (พธม.) ที่มี สมีโพธิรักษ์ กับคู่หู ๒ คน คือนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พลตรี จำลอง ศรีเมือง พากันเป็นนักรบแนวหน้านำพากองทัพธรรม บุกพรรคไทยรักไทย บุกเลยมาถึงพรรคพลังประชาชน และพรรค เพื่อไทย ในยุคของท่านนายกฯสมัคร และนายกฯสมชาย ทำให้เห็น ฤทธิ์เดชของการใช้ “ความเท็จ” เล่นงานคนดีอย่างดุเดือดเลือดพล่าน มากขึ้น...และมากขึ้น
ขนาดยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ก็ยังกล้าทำ การกระทำทั้งหลายพวกนั้น ได้อ้างความเท็จเอามาเป็น เครื่องมือโดยอ้างว่าเป็นเพราะทักษิณ เป็นคนชั่ว เป็นภัยต่อประเทศชาติ หากขืนปล่อยไว้ ประเทศไทยจะเสียสถาบัน และกล่าวเลยไปถึงปัญหา ประเทศไทยจะเสียดินแดนให้แก่ประเทศกัมพูชา (ดูเขากล่าวหาซีครับ)
มิใช่แต่เท่านี้ ยังกล่าวเท็จกันทั้งโคตรว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยการไปมีสัมปทานบ่อน้ำมัน ลักลอบขโมยทรัพยากรของชาติขายเอาเงินใส่กระเป๋า หลังจากนั้นก็ นำเอาถ้อยคำที่เป็นเท็จไปหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ จนเป็นเหตุ ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้นในชาติ มีพวกเสื้อเหลืองมากมาย มีการเดินขบวน มุ่งที่จะขับไล่รัฐบาล มีการ “เอามือตบไล่ตี ไล่ด่า” จนเป็นเหตุทำให้เกิด ประเพณีตีนตบตามขึ้นมา
เสื้อแดงล้างแค้นเสื้อเหลือง ?!!
ครับ ผมนินทายืดยาวขนาดนี้ก็จริง แต่เอาเข้าจริงมันเป็นเพียง “เสี้ยวหนึ่ง” ของนิยายการเมืองน้ำเน่าในยุคกึ่งพุทธกาลของประเทศ สยาม ที่สามารถลูบคลำจับต้องได้ แต่เอาเข้าจริง มันกลับไม่อาจเปิดเผย ของจริงให้เห็นได้เลย แม้แต่กระดาษแผ่นเดียว
ตัวอย่างเช่นกรณีข้อกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อน แอบตักตวงผลประโยชน์บ่อน้ำมันในน่านน้ำไทย กับประเทศกัมพูชา ทักษิณ เป็นคนขายชาติ
พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาเป็นตุเป็นตะราวกับมันเป็นเรื่องจริง ทุกประการ
แต่วันนี้ หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล (สมใจนึก) มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ มีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง อันจะสามารถ ตรวจสอบได้ด้วยพลังมหาศาล
แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถ “ดึงเอาสัญญา” ที่เป็นปัญหา ทับซ้อนมาฉีกหน้า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้แม้แต่แผ่นเดียว ! เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ผู้อยู่ในฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้เป็น นายกรัฐมนตรีใหญ่โตขนาดนี้ ไม่อาจ “เอาหลักฐาน” มาฟาดฟันได้
มันย่อมหมายถึงข้อกล่าวหาที่หลุดออกมาจากปากของพรรค ประชาธิปัตย์ในช่วง ๔ – ๕ ปีผ่าน “ล้วนแต่เป็นเรื่องเท็จทั้งเพ” มันเป็น เรื่องโกหกพกลม เป็นเรื่องของเจตนาร้าย และเป็นเรื่องความโฉดชั่ว ที่พากันตั้งใจทำ โดยไม่มีการคำนึงถึงคุณธรรม-จริยธรรมแต่ประการใด
ผมเขียนมาถึงถ้อยคำตรงนี้ ผมรู้สึก “ขำ” ในสติปัญญาของ นักการเมืองซีกพรรคประชาธิปัตย์ที่ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีพรรคอื่น ๆ เช่นพรรคชาติไทยเก่า (ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีจากเมืองสุพรรณ) จะพลอยตกเป็นเหยื่อของคนขี้จุ๊ตามไปด้วย รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย ที่มี “เนวิน ชิดชอบ” เป็นผู้บังคับบัญชาใหญ่ ดันให้นาย ชวรัตน์ ชาญวีระกูร รมว. กระทรวงมหาดไทย กลายเป็นคนชื่นชอบ “ความเท็จ” เข้าไปอีก มันดูไม่จืดกับสภาพการเมืองไทยเลยครับ
ใช่...ผมขำ แต่ไม่สามารถขำกลิ้งได้เลย เนื่องจากเรื่องเช่นนี้ มิใช่เรื่องสนุก แต่มันเรื่องของความคับแค้นใจ ที่ร้ายกาจและรุนแรง ความคับแค้นใจเช่นนี้ เคยก่อตัวเป็นภูเขาไฟขนาดย่อมขึ้นในประเทศ ญี่ปุ่น ถึงขนาดเป็นพลังผลักดันให้ “ ๔๐ - ยอดซามูไร” ต้องสวม วิญญาณโหด ไล่ตัดคอพวกอำมาตย์ชั่ว ขุนนางเลว ด่าวดิ้นเป็นผี เฝ้าป่าช้า
สาเหตุของ ๔๐ ยอดซามูไรนิรนามพวกนั้นยอมทำบาป เกิดจากอาการขำเหมือนกัน แต่เป็นประเภทขำไม่ลง
ผมขอนินทาให้ฟังต่อไปว่า หลังจากคมดาบซามูไร ฟันฉับ เข้าที่ต้นคอของอำมาตย์ชั่วและขุนนางเลวด่าวดิ้นลงไป ยอดซามูไร “จะยิ้มที่มุมปากด้วยความสะใจ” มีอาการขำที่ล้ำลึก เย็นยะเยือก ประหนึ่งเป็นการ “ยิ้มอำลา” แก่ดวงวิญญาณที่โฉดชั่ว พร้อมกับได้ สอดดาบเข้าฝักเพื่อจะเก็บรักษาไว้เป็นดาบสังหารขุนนางชั่วที่เป็นภัย ต่อประเทศชาติชาวอาทิตย์อุทัย
ผมเคยถามเรื่องนี้กับคนญี่ปุ่นว่า อะไรคือ “ทฤษฎี” ชี้นำ ของยอดซามูไรนิรนามเหล่านั้น คนญี่ปุ่นได้ให้คำตอบแก่ผมว่า เป็นเพราะขุนนางเลว อำมาตย์ชั่ว อาศัยพระราชอำนาจของจอม จักพรรดิ คดโกงประเทศชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถ ปราบปรามได้
มีแต่ยอดซามูไรเท่านั้น ที่สละชีพปราบปรามคนชั่วให้สิ้นซาก เมื่อภารกิจสิ้นสุดลง ยอดซามูไรก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย !แต่พร้อมที่จะกลับมาอีก...เมื่อชาติต้องการ ?!
ผมนินทาจบแล้วครับ...ผมขอสรุปว่า กฎหมายนิรโทษกรรมที่ พวกเขาพยายามเหลือเกิน ไม่ว่าจะล้มหรือได้รับการตราเป็นกฎหมาย... มันแก้ความปรองดองไม่ได้ดอกครับ ?!
จบบทที่ ๓๙ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 40 ใครอ้างตัวเป็น พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ.
บทที่ ๔๐ ตอน: ใครอ้างตัวเป็น พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง หน. ยก. ทบ.
กรมยุทธการทหารบก
สำเนาถึง
(๑) ประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
(๒) ผู้อำนวยการสำนักนายกรัฐมนตรี
(๓) ผู้อำนวยการ กอ. รมน.
(๔) อำมาตย์ใหญ่ และประดา ครม. รัฐบาลอภิสิทธิ์
(๕) อธิการบดีและคณาจารย์ทั้งหลาย
(๖) พันธมิตร และ “สันติอโศก” ?!!
ท่านผู้อ่านที่ได้อ่านใบปลิวกู้ชาติผ่านไปแล้วถึง ๓๙ บท นับว่าท่าน ได้สละเวลาเข้ามาร่วมคิดร่วมเสวนาปัญหาบ้านเมืองกับผม ๒ คน (ผึ้งกับสอาด) ด้วยการเกาะติดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผมมีใจที่จะทำงานต่อไปเรื่อยๆจนกว่า จะถึงเวลาอันเหมาะ ซึ่งไม่ทราบว่าเมื่อไหร่
วันนี้ ผมส่งใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๐ มาให้ขอรับ แต่ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้พิสดารกว่าทุกฉบับ เนื่องจากมี “คนอ้าง ตัวเองเป็นพันโท” เขียนเมล์ส่งให้คุณผึ้ง แล้วคุณผึ้งก็ส่งต่อให้ผม ผมได้อ่าน ตั้งแต่ต้นจนจบ จับใจความได้ว่าความเห็นแบบนี้เป็นอันตราย ต่อประเทศ อย่างร้ายแรง เพราะอาจถูกขยายผลไปสู่ความแตกแยกอันจะก่อให้เกิด สงครามกลางเมืองระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน ผมจึงถือโอกาส วิจารณ์ พร้อมกับได้ “คัด” เมล์ทั้งฉบับเอามาแสดงเอาไว้ พร้อมกันนี้ ผมใคร่ขอมอบใบปลิวกู้ชาติบทนี้ให้แก่ (วงเล็บทั้ง ๖ แห่ง) ขอให้โหลดเอาไปพิเคราะห์ ศึกษาข้อเท็จจริง แล้วใช้คณะทำงานให้ช่วยกัน ถอดรหัสดูว่า “ใครกันแน่” คือตัวการก่อปัญหาให้เกิดขึ้นกับประเทศ ของเรา ?!
เพื่อความเข้าใจง่าย ผมได้คัดเมล์ของคนที่อ้างตัวเป็น พ.ท. เขมพัฒน์ รถทอง มอบให้แก่ท่านทั้งหลาย ดังต่อไปนี้ :
พ.ท. เขพัฒน์ รถทอง หน. ยก. บท. กรมยุทธการทหารบก
โปรดรู้ทันผู้คิดร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัวของเรา
ทินกร เกษมสรร
ท่านคงไม่ทราบดอกว่าทำไมคนเสื้อแดงจึงรวบรวมรายชื่อเพื่อการ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านคงคิดว่า พวกเขาต้องการเพียงให้ทักษิณกลับมามีอำนาจ เพื่อจะได้ผู้นำที่มี ความคิดริเริ่มสูง
แท้ที่จริงแล้ว นั่นมันเป็นเป้าหมายรอง เป้าหมายหลักคือ ยุยงให้เกลียดชังในหลวงของเรา อย่างแยบยลที่สุด ยากที่ใครจะรู้ทัน ข่าวลึกจากคนสนิททักษิณ (ซึ่งกำลังลำบากใจ) ยอมกลับใจเปิดเผยว่า
๑. ประชาชนยังรักทักษิณเป็นสิบล้านคน ไม่ใช่จิ๊บจ๊อยอย่างที่ คนเมืองหลวงประมาณการ เขาเลื่อมใสทักษิณในการริเริ่มแก้ปัญหาให้คนจน เช่น ๓๐ บาทรักษาทุกโรค, หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, กองทุนหมู่บ้าน ๑ ล้าน เป็นต้น ถ้าเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์เทียบกันไม่ติดเลย ไม่มีความ ริเริ่มเพื่อคนจนอย่างเป็นรูปธรรม
๒. เมื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่ทักษิณ ผู้รักทักษิณ ต้องการให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพราะเขารักของเขา
๓. ขณะนี้มีการปลุกระดม ทำให้ประชาชนที่รักทักษิณจำนวนมาก พูดกันต่อ ๆ ไปอย่างกว้างขวาง “จะดูใจในหลวง” แปลว่าเกิดสงครามจิตวิทยา ขึ้นแล้ว ให้มีการชั่งน้ำหนักขึ้นว่าจะเทิดทูนใครดี ซึ่งความคิดเช่นนี้เป็นการ ประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแยบคายที่สุด
๔. หากผลออกมาถูกใจเสื้อแดงทักษิณก็ได้ คือได้กลับมามีอำนาจ หากผลออกมาตรงข้ามทักษิณก็ได้ ได้ทำลายสถาบันเบื้องสูงแยบคายเป็นที่สุด เป็นการให้ผลทางจิตวิทยา สถาบันเบื้องสูงจะถูกดึงลงมาเทียบกับทักษิณ ให้ประชาชนเลือกข้างอยู่เงียบๆในใจ ซึ่งในทางจิตวิทยาถือเป็นภัยร้ายแรงต่อสถาบันกษัตริย์
๕ . ขอท่านทั้งหลายจงทันเกมทักษิณ ท่านจำได้ไหม นักการเมือง อื่น ๆ อาจซื้อเสียง ซึ่งเสี่ยงสารพัด แต่ทักษิณซื้อพรรคเสียเลย ใครจะ ฉลาดกว่ากัน (ถึงบทนี้มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษที่ตกหล่น เขียนเอาไว้ว่า &Nbsp;ไม่ทราบว่าแปลว่าอย่างไร) เราอ่านทักษิณอย่างเท่าทันที่ได้ยินได้ฟัง คิดให้ลึก ๆแล้วจะรู้เท่าทันทักษิณ
๖. ต้องกราบขอโทษบรรดาเสื้อแดงทั้งหลาย หากท่านคิดจะดึง ทักษิณขึ้นมาให้ประชาชนเลือกข้างระหว่างผู้มีพระคุณสูงสุดต่อชาติเรา กับทักษิณ เรากับท่านคงจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ หากท่านไม่ทราบกล ของทักษิณและบริวาร ที่กำลังรับจ๊อบทำงานเพื่อทักษิณ ขอจงโปรดทราบ ทราบแล้ว ท่านจงถอนตัว หรือรับใช้เขาอยู่ก็ตามใจเถิด แต่เราถือว่าท่าน กำลังประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราและของท่านเอง
(จบข้อความ)
ต่อไปนี้เป็นการ “วิสัชนา” ข้อความของผู้ที่อ้างตัวเป็น “พันโท” จะเป็นจริงหรือไม่จริงไม่แปลก แต่ที่แปลกก็คือ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง ทำไม จึงลืม “ความหลัง” อันเป็นมูลเหตุของปัญหา ทั้งๆที่ไม่น่าจะลืม ผมจึงของทบทวน ดังนี้
หนึ่ง : ขอถามหน่อยว่ายังจำได้ไหมว่า ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ เป็นต้นมา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สามารถทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศก้าวพ้นจาก ปัญหาวิกฤติ นำชาติไปสู่ความมีหน้ามีตาในระบอบประชาธิปไตย อันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุข ไม่เคยมีข่าวระแคะระคายแม้แต่ครั้งเดียวว่าทักษิณได้กระทำตัว “ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” ไม่เคยมีอาการ กระด้างกระเดื่องต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ว่ากรณีใด ๆ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบการปกครองที่มีพระเจ้าแผ่นดิน เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ อันชาวโลกรับรองอยู่แล้ว
กล่าวให้ชัด ตัวของทักษิณไม่เคยขัดแย้งกับสถาบันไม่ว่ากรณีใด ๆตัวทักษิณ ได้บริหารประเทศจากการเลือกตั้งตามระบอบ ประชาธิปไตย เมื่อทักษิณ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทุ่มเทแก้ปัญหาของชาติ กำลังแก้ปัญหา ความยากจนอย่างเร่งรีบที่สุด และได้ผลเกินคาด สุดจะพรรณนา
สอง : ขอทบทวนความจำว่า ขณะ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ กำลังสร้างงานให้แก่มหาชน ทำงานอย่างไม่เห็น แก่เหน็ดแก่เหนื่อย แต่ได้ถูกพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย และสันติอโศกเล่นงานอย่างสาดเสียเทเสีย
ต่อมา ก็ได้ถูกทหาร(พวกของ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง นี่แหละ)ยึดอำนาจ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒ ซ้ำเข้าไปอีก ทหาร(พวกของ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง นี่แหละ)ฉีก รัฐธรรมนูญทิ้ง ไปเอานายกรัฐมนตรีนอกระบบมาปกครองประเทศ อ้างว่าเป็นการแก้ปัญหาแล้วพากันสร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการเอาขึ้น มาเป็นเครื่องมือให้แก่พวกของตัวเอง มาจนถึงวันนี้
สาม : ต่อมา พวกท่านคงทราบกันดีว่า หลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบ ตัวทักษิณหมดอำนาจทางการเมืองพร้อมกันกับพวกบ้านเลขที่ ๑๑๑ พวกไทยรักไทยเก่าพากันตั้ง “พรรคพลังประชาชน” ต่อมาชนะการเลือกตั้ง ได้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี
ในสถานการณ์ตรงนี้ คนของฝ่ายทักษิณ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่า การทำลายจะยังมีอยู่ ทุกคนคิดแต่ว่าเมื่อ ๑๑๑ คนสิ้นสภาพไปแล้ว คนใหม่ เข้ามาทำงานก็น่าจะได้ทำงานตามที่ประชาชนยังศรัทธาเลื่อมใส แต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม พวกเดิมยังคงตามราวีอย่างร้ายกาจและ รุนแรงกว่า สุดจะอธิบายได้
รู้ความจริงว่า พวกเขายึดถนนสะพานมัฆวาน ใช้กองกำลังจัดตั้ง เอาไปบุกสถานีโทรทัศน์ NBT แล้วยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินดอนเมือง บุกถล่มยิงวิทยุชุมชนคนแท๊กซี่ ที่ปากซอย ๓ถนนวิภาวดี ยึดสนามบินสุวรรณ ภูมิ ใช้อาวุธ (ระเบิดปิงปอง) ต่อสู้กับตำรวจ แล้วกล่าวหาตำรวจว่าเข่นฆ่า ประชาชน การกระทำของพวกเขาได้ทำลายเศรษฐกิจของประเทศย่อยยับ และ “ยับเยิน” น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
ความวุ่นวายน่าจะจบลง เมื่อทักษิณหมดอำนาจ แต่มันไม่จบ มันวุ่นวายต่อ ดังที่ทุกคนทราบ ผมขอเรียนว่า“ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างจบลงที่การเลือกตั้งใหม่”ปล่อยให้ การเมืองเดินไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้ใช้ฝีมือ บริหารประเทศด้วยความสงบและราบรื่นผมก็เชื่อว่า “เสื้อแดง” จะไม่แดง เต็มแผ่นดินอย่างแน่นอน และจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งใดๆในประเทศไทย เลย แต่ความขัดแย้งมันกำเริบขึ้นมา เกิดจากสันดานชั่วของพวกเผด็จการ ที่จองเวรไม่เลิก ทำให้คนเสื้อแดงฮึดสู้ เมื่อเขาฮึดสู้ ความร้อนแรงจึงระเบิด ขึ้นมา (ยังไงล่ะ) ?!
สี่ : ผมขอทบทวนความจริงให้ปรากฏต่อไปว่า ได้มีการวางแผน ที่จะสกัดกั้นอย่างเป็นระบบ มุ่งหน้าที่จะไล่ล่าเอาทักษิณมาทำลายให้ได้ (เหมือน ที่ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ. ได้พากเพียรกระทำอยู่ในขณะนี้)โดยอ้างว่าทักษิณเป็นนักโทษ พวกท่านต้องถามเอากับตนเองว่าทักษิณ เป็นนักโทษจากมาตรฐานกฎหมายเผด็จการที่พวกท่านสร้างขึ้นใช่หรือ ไม่ พวกท่านตั้งใจสกัดทุกรูปแบบใช่หรือไม่ ?
ห้า : จากข้อเท็จจริงทั้งหมด ได้ทำให้คนไทยที่รักความเป็นธรรม ทนดูต่อไม่ได้ พวกเขาลุกพรวดออกมาจากที่นอน แบกสังขารออกมา ร่วมต่อสู้ เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ประเทศแต่ไม่มีใครคนไหน ให้ความสนใจเลย ตรงข้ามกลับพากัน “ขย่มร้ายแรง” ยิ่งขึ้น (เหมือน ที่ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ. ได้พากเพียรกระทำอยู่ในขณะนี้)
หก : ข้อความดังต่อไปนี้ ท่านยังจำได้ไหม
(๑) พันธมิตรประกาศในทำเนียบรัฐบาลว่ามีแต่คนเสื้อเหลืองที่รักเจ้า ส่วนพวกเสื้อแดงไม่มีความจงรักภักดี
(๒) นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี อภิปรายในรัฐสภาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี เมื่อพ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่งตั้งทนายฟ้องคดีหมิ่นประหมาทนายสุเทพ ศาลไม่รับฟ้องโดย วินิจฉัยว่า นายสุเทพกล่าวออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
(๓) องคมนตรีท่านหนึ่ง ได้กล่าวหา พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวหา
เจ็ด : ต่อจากนั้น ฝ่ายรัฐบาลได้กล่าวคนเสื้อแดงว่าเป็น คอมมิวนิสต์ ?!!
แปด : ผมอยากสอบถามความเข้าใจฝ่ายบ้านเมืองว่า ตัวเองได้ อำนาจมาโดยมิชอบ ใช้วิธีการ “หักดิบ” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี มีงูเห่า ภาค ๒ แล้วเอาแต่ขึ้นภาษี กู้เงิน ๘ แสนล้าน แถมไปขอกู้เงินจากผู้สูงอายุ ในระบบการออกพันธบัตร เอาเงิน ๒,๐๐๐ บาท ไปจ่ายส่งเดช หวังจะโกย คะแนนนิยม ให้เงินเลี้ยงชีพแก่ผู้ชราเดือนละ ๕๐๐ บาท มีคนส่วนน้อยได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้
รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและไม่สามารถแก้ไขปัญหา ความขัดแย้ง ไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ยอมรับฟังเหตุผลการขอถวายฎีกา นอกจากไม่รับฟัง ยังได้ออกมา “ต่อต้าน” อย่างเปิดเผยอีกด้วย
เก้า : คนเสื้อแดงเขาต้องการให้รัฐบาลลงโทษคนที่ระเมิดกฎหมาย ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ต้องการ ทำลายระบบอำมาตย์ที่เอาแต่ตักตวงความสุขส่วนตน มิได้มีความสงสาร คนยากคนจนเลย คนเสื้อแดงหมดที่พึ่งด้วยประการทั้งปวงจึง “บากหน้า” ไปขอพึ่งองค์พ่ออันเป็นที่พึ่งสูงสุดของประเทศ
สิบ : แม้กระทั่งได้ส่งหนังสือถวายฎีกาแก่สำนักราชเลขาแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคมพ.ศ. ๒๕๕๒ สองวันต่อมา นายกสภาทนายความ (นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์) ได้แนะนำรัฐบาลให้รีบล้มฎีกา อ้างว่าคนเสื้อแดง กระทำไม่สุจริต
บทสรุป : ผมขอสรุปว่า สิ่งที่ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง เขียนมา ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องตอบโต้อะไรเลย เพราะว่าเรื่องเลวร้าย ที่เกิดกับประเทศไทยนั้น เกิดจาก “คนชั่ว” กุเรื่องขึ้นมาเล่นงานทักษิณ แล้วก็เล่นแรงมาจนถึงวันนี้ จนกลายเป็นเรื่องเลวร้าย กระทบกระเทือนถึง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คนเสื้อแดงขอถามว่า ถ้าพวกคุณไม่กลั่นแกล้ง ไม่รังแกคนในชาติ เดียวกัน จะมีคนเสื้อแดงเกิดขึ้นมาได้ไหม และขอถามต่อไปว่า แนวทาง แก้ปัญหามีอยู่และง่ายอย่างยิ่ง ทำไมไม่ทำ นั้นก็คือให้พากันสลัดความชั่ว ออกจากจิต ยอมที่จะข่มใจอิจฉาของตัวเอง ยอมรับความเก่งของคนอื่น แล้วปล่อยให้วิถีทางประชาธิปไตยบริหารระบอบด้วยความเป็นธรรม แล้วตัดสินใจออกกฎหมายพิเศษขึ้นมาโดยด่วน เรียกว่า “กฎหมาย ปรองดองแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ. ........” !
ก็จะสามารถแก้ปัญหาของชาติได้เป็นอย่างดี ผมขอสรุปต่อให้ฟังว่า “แนวทางของกฎหมายปรองดองแห่งชาติ” ประกอบด้วยการใช้กฎหมายเพื่อการทำลายความขัดแย้งให้หมดสิ้นไป ใช้กฎหมายปรองดองเป็นรากฐานการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แล้วทำลายระบอบเผด็จการอย่าให้ทรงอิทธิพลข่มขู่คุกคามประชาชนได้อีก ต่อไป
ต้องทำลายหลักการในมาตรา ๒๓ ถึงมาตรา ๒๕ ของรัฐธรรมนูญฉบับ ปัจจุบัน (๒๕๕๐) ที่เขียนเอาไว้ (ย่อความ) “ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลง” ซึ่งถือเป็นต้นตอของการหมกเม็ดที่จะทำลายราชวงศ์จักรี ของพวกอำมาตย์ ใจชั่ว ที่นักวิชาการ และนักเขียนรัฐธรรมนูญ (๕๐) ร่วมกันสร้างขึ้นมา เพื่อจะสนับสนุนบารมีให้แก่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธาน องคมนตรี
ในกฎหมายปรองดองแห่งชาติจะต้องกำหนดแนวทางของรัฐธรรมนูญ ใหม่ว่า “หากพระเจ้าแผ่นดินของพระราชอาณาจักรไทยในรัชกาลนั้นสิ้นสุดลง ณ เวลาใด ให้รัฐสภากราบบังคมทูลอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นทรงราชย์ สืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ต่อในวันเดียวกันแล้วประกาศให้ พสกนิกรทั้งปวงได้รับทราบทั้งในและต่างประเทศในทันที”
ท่านผู้อ่านครับ ผมได้แสดงความคิดเห็นมาทั้งหมด ถือเป็นการ “วิสัชชา” อันเป็นการอธิบายความให้แก่ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง และถือโอกาส สำเนาถึงหน่วยงานและองค์กร อีก ๖ วงเล็บดังกล่าว
ก่อนจบ ผมขอสรุปว่า คนที่วางแผนจะล้มเจ้าตัวจริงนั้น น่าจะเป็น พรรคประชาธิปัตย์กับพวกพวกอำมาตย์บางคนมากกว่า ซึ่งผมจะได้เขียนมา ให้อ่าน หรือเขียนแบบกระชากหน้ากากให้รู้กันเสียทีว่า ทักษิณ หรือ ใครกันแน่ ที่ได้กระทำ “ทำลายสถาบันเบื้องสูงอย่างแยบคายที่สุด” ?!ถ้าหน่วยเหนือและผู้จงรักภักดีมีจริง คงจะไม่เพิกเฉยต่อใบปลิวกู้ชาติบทที่ ๔๐ นี้.
จบบทที่ ๔๐ / สอาด จันทร์ดี
กรมยุทธการทหารบก
สำเนาถึง
(๑) ประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
(๒) ผู้อำนวยการสำนักนายกรัฐมนตรี
(๓) ผู้อำนวยการ กอ. รมน.
(๔) อำมาตย์ใหญ่ และประดา ครม. รัฐบาลอภิสิทธิ์
(๕) อธิการบดีและคณาจารย์ทั้งหลาย
(๖) พันธมิตร และ “สันติอโศก” ?!!
ท่านผู้อ่านที่ได้อ่านใบปลิวกู้ชาติผ่านไปแล้วถึง ๓๙ บท นับว่าท่าน ได้สละเวลาเข้ามาร่วมคิดร่วมเสวนาปัญหาบ้านเมืองกับผม ๒ คน (ผึ้งกับสอาด) ด้วยการเกาะติดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผมมีใจที่จะทำงานต่อไปเรื่อยๆจนกว่า จะถึงเวลาอันเหมาะ ซึ่งไม่ทราบว่าเมื่อไหร่
วันนี้ ผมส่งใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๐ มาให้ขอรับ แต่ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้พิสดารกว่าทุกฉบับ เนื่องจากมี “คนอ้าง ตัวเองเป็นพันโท” เขียนเมล์ส่งให้คุณผึ้ง แล้วคุณผึ้งก็ส่งต่อให้ผม ผมได้อ่าน ตั้งแต่ต้นจนจบ จับใจความได้ว่าความเห็นแบบนี้เป็นอันตราย ต่อประเทศ อย่างร้ายแรง เพราะอาจถูกขยายผลไปสู่ความแตกแยกอันจะก่อให้เกิด สงครามกลางเมืองระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน ผมจึงถือโอกาส วิจารณ์ พร้อมกับได้ “คัด” เมล์ทั้งฉบับเอามาแสดงเอาไว้ พร้อมกันนี้ ผมใคร่ขอมอบใบปลิวกู้ชาติบทนี้ให้แก่ (วงเล็บทั้ง ๖ แห่ง) ขอให้โหลดเอาไปพิเคราะห์ ศึกษาข้อเท็จจริง แล้วใช้คณะทำงานให้ช่วยกัน ถอดรหัสดูว่า “ใครกันแน่” คือตัวการก่อปัญหาให้เกิดขึ้นกับประเทศ ของเรา ?!
เพื่อความเข้าใจง่าย ผมได้คัดเมล์ของคนที่อ้างตัวเป็น พ.ท. เขมพัฒน์ รถทอง มอบให้แก่ท่านทั้งหลาย ดังต่อไปนี้ :
พ.ท. เขพัฒน์ รถทอง หน. ยก. บท. กรมยุทธการทหารบก
โปรดรู้ทันผู้คิดร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัวของเรา
ทินกร เกษมสรร
ท่านคงไม่ทราบดอกว่าทำไมคนเสื้อแดงจึงรวบรวมรายชื่อเพื่อการ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านคงคิดว่า พวกเขาต้องการเพียงให้ทักษิณกลับมามีอำนาจ เพื่อจะได้ผู้นำที่มี ความคิดริเริ่มสูง
แท้ที่จริงแล้ว นั่นมันเป็นเป้าหมายรอง เป้าหมายหลักคือ ยุยงให้เกลียดชังในหลวงของเรา อย่างแยบยลที่สุด ยากที่ใครจะรู้ทัน ข่าวลึกจากคนสนิททักษิณ (ซึ่งกำลังลำบากใจ) ยอมกลับใจเปิดเผยว่า
๑. ประชาชนยังรักทักษิณเป็นสิบล้านคน ไม่ใช่จิ๊บจ๊อยอย่างที่ คนเมืองหลวงประมาณการ เขาเลื่อมใสทักษิณในการริเริ่มแก้ปัญหาให้คนจน เช่น ๓๐ บาทรักษาทุกโรค, หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, กองทุนหมู่บ้าน ๑ ล้าน เป็นต้น ถ้าเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์เทียบกันไม่ติดเลย ไม่มีความ ริเริ่มเพื่อคนจนอย่างเป็นรูปธรรม
๒. เมื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่ทักษิณ ผู้รักทักษิณ ต้องการให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพราะเขารักของเขา
๓. ขณะนี้มีการปลุกระดม ทำให้ประชาชนที่รักทักษิณจำนวนมาก พูดกันต่อ ๆ ไปอย่างกว้างขวาง “จะดูใจในหลวง” แปลว่าเกิดสงครามจิตวิทยา ขึ้นแล้ว ให้มีการชั่งน้ำหนักขึ้นว่าจะเทิดทูนใครดี ซึ่งความคิดเช่นนี้เป็นการ ประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแยบคายที่สุด
๔. หากผลออกมาถูกใจเสื้อแดงทักษิณก็ได้ คือได้กลับมามีอำนาจ หากผลออกมาตรงข้ามทักษิณก็ได้ ได้ทำลายสถาบันเบื้องสูงแยบคายเป็นที่สุด เป็นการให้ผลทางจิตวิทยา สถาบันเบื้องสูงจะถูกดึงลงมาเทียบกับทักษิณ ให้ประชาชนเลือกข้างอยู่เงียบๆในใจ ซึ่งในทางจิตวิทยาถือเป็นภัยร้ายแรงต่อสถาบันกษัตริย์
๕ . ขอท่านทั้งหลายจงทันเกมทักษิณ ท่านจำได้ไหม นักการเมือง อื่น ๆ อาจซื้อเสียง ซึ่งเสี่ยงสารพัด แต่ทักษิณซื้อพรรคเสียเลย ใครจะ ฉลาดกว่ากัน (ถึงบทนี้มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษที่ตกหล่น เขียนเอาไว้ว่า &Nbsp;ไม่ทราบว่าแปลว่าอย่างไร) เราอ่านทักษิณอย่างเท่าทันที่ได้ยินได้ฟัง คิดให้ลึก ๆแล้วจะรู้เท่าทันทักษิณ
๖. ต้องกราบขอโทษบรรดาเสื้อแดงทั้งหลาย หากท่านคิดจะดึง ทักษิณขึ้นมาให้ประชาชนเลือกข้างระหว่างผู้มีพระคุณสูงสุดต่อชาติเรา กับทักษิณ เรากับท่านคงจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ หากท่านไม่ทราบกล ของทักษิณและบริวาร ที่กำลังรับจ๊อบทำงานเพื่อทักษิณ ขอจงโปรดทราบ ทราบแล้ว ท่านจงถอนตัว หรือรับใช้เขาอยู่ก็ตามใจเถิด แต่เราถือว่าท่าน กำลังประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราและของท่านเอง
(จบข้อความ)
ต่อไปนี้เป็นการ “วิสัชนา” ข้อความของผู้ที่อ้างตัวเป็น “พันโท” จะเป็นจริงหรือไม่จริงไม่แปลก แต่ที่แปลกก็คือ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง ทำไม จึงลืม “ความหลัง” อันเป็นมูลเหตุของปัญหา ทั้งๆที่ไม่น่าจะลืม ผมจึงของทบทวน ดังนี้
หนึ่ง : ขอถามหน่อยว่ายังจำได้ไหมว่า ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ เป็นต้นมา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สามารถทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศก้าวพ้นจาก ปัญหาวิกฤติ นำชาติไปสู่ความมีหน้ามีตาในระบอบประชาธิปไตย อันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุข ไม่เคยมีข่าวระแคะระคายแม้แต่ครั้งเดียวว่าทักษิณได้กระทำตัว “ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” ไม่เคยมีอาการ กระด้างกระเดื่องต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ว่ากรณีใด ๆ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบการปกครองที่มีพระเจ้าแผ่นดิน เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ อันชาวโลกรับรองอยู่แล้ว
กล่าวให้ชัด ตัวของทักษิณไม่เคยขัดแย้งกับสถาบันไม่ว่ากรณีใด ๆตัวทักษิณ ได้บริหารประเทศจากการเลือกตั้งตามระบอบ ประชาธิปไตย เมื่อทักษิณ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทุ่มเทแก้ปัญหาของชาติ กำลังแก้ปัญหา ความยากจนอย่างเร่งรีบที่สุด และได้ผลเกินคาด สุดจะพรรณนา
สอง : ขอทบทวนความจำว่า ขณะ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ กำลังสร้างงานให้แก่มหาชน ทำงานอย่างไม่เห็น แก่เหน็ดแก่เหนื่อย แต่ได้ถูกพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย และสันติอโศกเล่นงานอย่างสาดเสียเทเสีย
ต่อมา ก็ได้ถูกทหาร(พวกของ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง นี่แหละ)ยึดอำนาจ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒ ซ้ำเข้าไปอีก ทหาร(พวกของ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง นี่แหละ)ฉีก รัฐธรรมนูญทิ้ง ไปเอานายกรัฐมนตรีนอกระบบมาปกครองประเทศ อ้างว่าเป็นการแก้ปัญหาแล้วพากันสร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการเอาขึ้น มาเป็นเครื่องมือให้แก่พวกของตัวเอง มาจนถึงวันนี้
สาม : ต่อมา พวกท่านคงทราบกันดีว่า หลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบ ตัวทักษิณหมดอำนาจทางการเมืองพร้อมกันกับพวกบ้านเลขที่ ๑๑๑ พวกไทยรักไทยเก่าพากันตั้ง “พรรคพลังประชาชน” ต่อมาชนะการเลือกตั้ง ได้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี
ในสถานการณ์ตรงนี้ คนของฝ่ายทักษิณ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่า การทำลายจะยังมีอยู่ ทุกคนคิดแต่ว่าเมื่อ ๑๑๑ คนสิ้นสภาพไปแล้ว คนใหม่ เข้ามาทำงานก็น่าจะได้ทำงานตามที่ประชาชนยังศรัทธาเลื่อมใส แต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม พวกเดิมยังคงตามราวีอย่างร้ายกาจและ รุนแรงกว่า สุดจะอธิบายได้
รู้ความจริงว่า พวกเขายึดถนนสะพานมัฆวาน ใช้กองกำลังจัดตั้ง เอาไปบุกสถานีโทรทัศน์ NBT แล้วยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินดอนเมือง บุกถล่มยิงวิทยุชุมชนคนแท๊กซี่ ที่ปากซอย ๓ถนนวิภาวดี ยึดสนามบินสุวรรณ ภูมิ ใช้อาวุธ (ระเบิดปิงปอง) ต่อสู้กับตำรวจ แล้วกล่าวหาตำรวจว่าเข่นฆ่า ประชาชน การกระทำของพวกเขาได้ทำลายเศรษฐกิจของประเทศย่อยยับ และ “ยับเยิน” น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
ความวุ่นวายน่าจะจบลง เมื่อทักษิณหมดอำนาจ แต่มันไม่จบ มันวุ่นวายต่อ ดังที่ทุกคนทราบ ผมขอเรียนว่า“ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างจบลงที่การเลือกตั้งใหม่”ปล่อยให้ การเมืองเดินไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้ใช้ฝีมือ บริหารประเทศด้วยความสงบและราบรื่นผมก็เชื่อว่า “เสื้อแดง” จะไม่แดง เต็มแผ่นดินอย่างแน่นอน และจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งใดๆในประเทศไทย เลย แต่ความขัดแย้งมันกำเริบขึ้นมา เกิดจากสันดานชั่วของพวกเผด็จการ ที่จองเวรไม่เลิก ทำให้คนเสื้อแดงฮึดสู้ เมื่อเขาฮึดสู้ ความร้อนแรงจึงระเบิด ขึ้นมา (ยังไงล่ะ) ?!
สี่ : ผมขอทบทวนความจริงให้ปรากฏต่อไปว่า ได้มีการวางแผน ที่จะสกัดกั้นอย่างเป็นระบบ มุ่งหน้าที่จะไล่ล่าเอาทักษิณมาทำลายให้ได้ (เหมือน ที่ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ. ได้พากเพียรกระทำอยู่ในขณะนี้)โดยอ้างว่าทักษิณเป็นนักโทษ พวกท่านต้องถามเอากับตนเองว่าทักษิณ เป็นนักโทษจากมาตรฐานกฎหมายเผด็จการที่พวกท่านสร้างขึ้นใช่หรือ ไม่ พวกท่านตั้งใจสกัดทุกรูปแบบใช่หรือไม่ ?
ห้า : จากข้อเท็จจริงทั้งหมด ได้ทำให้คนไทยที่รักความเป็นธรรม ทนดูต่อไม่ได้ พวกเขาลุกพรวดออกมาจากที่นอน แบกสังขารออกมา ร่วมต่อสู้ เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ประเทศแต่ไม่มีใครคนไหน ให้ความสนใจเลย ตรงข้ามกลับพากัน “ขย่มร้ายแรง” ยิ่งขึ้น (เหมือน ที่ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ. ได้พากเพียรกระทำอยู่ในขณะนี้)
หก : ข้อความดังต่อไปนี้ ท่านยังจำได้ไหม
(๑) พันธมิตรประกาศในทำเนียบรัฐบาลว่ามีแต่คนเสื้อเหลืองที่รักเจ้า ส่วนพวกเสื้อแดงไม่มีความจงรักภักดี
(๒) นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี อภิปรายในรัฐสภาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี เมื่อพ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่งตั้งทนายฟ้องคดีหมิ่นประหมาทนายสุเทพ ศาลไม่รับฟ้องโดย วินิจฉัยว่า นายสุเทพกล่าวออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
(๓) องคมนตรีท่านหนึ่ง ได้กล่าวหา พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวหา
เจ็ด : ต่อจากนั้น ฝ่ายรัฐบาลได้กล่าวคนเสื้อแดงว่าเป็น คอมมิวนิสต์ ?!!
แปด : ผมอยากสอบถามความเข้าใจฝ่ายบ้านเมืองว่า ตัวเองได้ อำนาจมาโดยมิชอบ ใช้วิธีการ “หักดิบ” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี มีงูเห่า ภาค ๒ แล้วเอาแต่ขึ้นภาษี กู้เงิน ๘ แสนล้าน แถมไปขอกู้เงินจากผู้สูงอายุ ในระบบการออกพันธบัตร เอาเงิน ๒,๐๐๐ บาท ไปจ่ายส่งเดช หวังจะโกย คะแนนนิยม ให้เงินเลี้ยงชีพแก่ผู้ชราเดือนละ ๕๐๐ บาท มีคนส่วนน้อยได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้
รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและไม่สามารถแก้ไขปัญหา ความขัดแย้ง ไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ยอมรับฟังเหตุผลการขอถวายฎีกา นอกจากไม่รับฟัง ยังได้ออกมา “ต่อต้าน” อย่างเปิดเผยอีกด้วย
เก้า : คนเสื้อแดงเขาต้องการให้รัฐบาลลงโทษคนที่ระเมิดกฎหมาย ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ต้องการ ทำลายระบบอำมาตย์ที่เอาแต่ตักตวงความสุขส่วนตน มิได้มีความสงสาร คนยากคนจนเลย คนเสื้อแดงหมดที่พึ่งด้วยประการทั้งปวงจึง “บากหน้า” ไปขอพึ่งองค์พ่ออันเป็นที่พึ่งสูงสุดของประเทศ
สิบ : แม้กระทั่งได้ส่งหนังสือถวายฎีกาแก่สำนักราชเลขาแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคมพ.ศ. ๒๕๕๒ สองวันต่อมา นายกสภาทนายความ (นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์) ได้แนะนำรัฐบาลให้รีบล้มฎีกา อ้างว่าคนเสื้อแดง กระทำไม่สุจริต
บทสรุป : ผมขอสรุปว่า สิ่งที่ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง เขียนมา ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องตอบโต้อะไรเลย เพราะว่าเรื่องเลวร้าย ที่เกิดกับประเทศไทยนั้น เกิดจาก “คนชั่ว” กุเรื่องขึ้นมาเล่นงานทักษิณ แล้วก็เล่นแรงมาจนถึงวันนี้ จนกลายเป็นเรื่องเลวร้าย กระทบกระเทือนถึง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คนเสื้อแดงขอถามว่า ถ้าพวกคุณไม่กลั่นแกล้ง ไม่รังแกคนในชาติ เดียวกัน จะมีคนเสื้อแดงเกิดขึ้นมาได้ไหม และขอถามต่อไปว่า แนวทาง แก้ปัญหามีอยู่และง่ายอย่างยิ่ง ทำไมไม่ทำ นั้นก็คือให้พากันสลัดความชั่ว ออกจากจิต ยอมที่จะข่มใจอิจฉาของตัวเอง ยอมรับความเก่งของคนอื่น แล้วปล่อยให้วิถีทางประชาธิปไตยบริหารระบอบด้วยความเป็นธรรม แล้วตัดสินใจออกกฎหมายพิเศษขึ้นมาโดยด่วน เรียกว่า “กฎหมาย ปรองดองแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ. ........” !
ก็จะสามารถแก้ปัญหาของชาติได้เป็นอย่างดี ผมขอสรุปต่อให้ฟังว่า “แนวทางของกฎหมายปรองดองแห่งชาติ” ประกอบด้วยการใช้กฎหมายเพื่อการทำลายความขัดแย้งให้หมดสิ้นไป ใช้กฎหมายปรองดองเป็นรากฐานการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แล้วทำลายระบอบเผด็จการอย่าให้ทรงอิทธิพลข่มขู่คุกคามประชาชนได้อีก ต่อไป
ต้องทำลายหลักการในมาตรา ๒๓ ถึงมาตรา ๒๕ ของรัฐธรรมนูญฉบับ ปัจจุบัน (๒๕๕๐) ที่เขียนเอาไว้ (ย่อความ) “ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลง” ซึ่งถือเป็นต้นตอของการหมกเม็ดที่จะทำลายราชวงศ์จักรี ของพวกอำมาตย์ ใจชั่ว ที่นักวิชาการ และนักเขียนรัฐธรรมนูญ (๕๐) ร่วมกันสร้างขึ้นมา เพื่อจะสนับสนุนบารมีให้แก่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธาน องคมนตรี
ในกฎหมายปรองดองแห่งชาติจะต้องกำหนดแนวทางของรัฐธรรมนูญ ใหม่ว่า “หากพระเจ้าแผ่นดินของพระราชอาณาจักรไทยในรัชกาลนั้นสิ้นสุดลง ณ เวลาใด ให้รัฐสภากราบบังคมทูลอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นทรงราชย์ สืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ต่อในวันเดียวกันแล้วประกาศให้ พสกนิกรทั้งปวงได้รับทราบทั้งในและต่างประเทศในทันที”
ท่านผู้อ่านครับ ผมได้แสดงความคิดเห็นมาทั้งหมด ถือเป็นการ “วิสัชชา” อันเป็นการอธิบายความให้แก่ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง และถือโอกาส สำเนาถึงหน่วยงานและองค์กร อีก ๖ วงเล็บดังกล่าว
ก่อนจบ ผมขอสรุปว่า คนที่วางแผนจะล้มเจ้าตัวจริงนั้น น่าจะเป็น พรรคประชาธิปัตย์กับพวกพวกอำมาตย์บางคนมากกว่า ซึ่งผมจะได้เขียนมา ให้อ่าน หรือเขียนแบบกระชากหน้ากากให้รู้กันเสียทีว่า ทักษิณ หรือ ใครกันแน่ ที่ได้กระทำ “ทำลายสถาบันเบื้องสูงอย่างแยบคายที่สุด” ?!ถ้าหน่วยเหนือและผู้จงรักภักดีมีจริง คงจะไม่เพิกเฉยต่อใบปลิวกู้ชาติบทที่ ๔๐ นี้.
จบบทที่ ๔๐ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 41 ระวังแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ
บทที่ ๔๑ ตอน : ระวังแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ ?!
กรณีรัฐบาลประกาศ กม. มั่นคงในเขตสุสิต กทม. เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ มีค่าเท่ากับการประกาศกฎอัยการศึกในยามภาวะ สงคราม ทำให้คนเสื้อแดงเกิดความรู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ อย่างรุนแรง เพราะมันเป็นการจงใจขัดขวางคนเสื้อแดงที่จะชุมนุม ใหญ่อีกครั้งใน วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอมอบบทความเรื่องนี้ ถึง ๙ แห่ง อันประกอบด้วย
(๑) นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
(๒) สภาความมั่นคงแห่งชาติ
(๓) กระทรวงกลาโหม
(๔) กระทรวงมหาดไทย
(๕) ผู้อำนวยการ กอ. รมน. และสันติบาล
(๖) อำมาตย์ใหญ่ และประดา คณะรัฐมนตรี
(๗) อธิการบดี ๒๖ มหาวิทยาลัย และคณาจารย์ทั้งหลาย
(๘) สนธิ ล้มทองกุล “เทวทัตโพธิรักษ์”พลตรี จำลอง ศรีเมือง !
(๙) สื่อกระแสหลักทั้งหลาย ?!
กรณีรัฐบาลประกาศ กม. มั่นคงในเขตสุสิต กทม. เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ มีค่าเท่ากับการประกาศกฎอัยการศึกในยามภาวะ สงคราม ทำให้คนเสื้อแดงเกิดความรู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ อย่างรุนแรง เพราะมันเป็นการจงใจขัดขวางคนเสื้อแดงที่จะชุมนุม ใหญ่อีกครั้งใน วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอมอบบทความเรื่องนี้ ถึง ๙ แห่ง อันประกอบด้วย
(๑) นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
(๒) สภาความมั่นคงแห่งชาติ
(๓) กระทรวงกลาโหม
(๔) กระทรวงมหาดไทย
(๕) ผู้อำนวยการ กอ. รมน. และสันติบาล
(๖) อำมาตย์ใหญ่ และประดา คณะรัฐมนตรี
(๗) อธิการบดี ๒๖ มหาวิทยาลัย และคณาจารย์ทั้งหลาย
(๘) สนธิ ล้มทองกุล “เทวทัตโพธิรักษ์”พลตรี จำลอง ศรีเมือง !
(๙) สื่อกระแสหลักทั้งหลาย ?!
ขอให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ในวงเล็บทั้ง ๙ โปรดระลึกเอาไว้ว่า ถ้าประเทศไทยจะเกิดการเข่นฆ่ากันขึ้นมาจนแผ่นดินลุกเป็นไฟก็เพราะ การกระทำอันชั่วช้าของพวกท่าน และหากแม้นว่าพวกท่าน “ไม่ตระหนัก ว่าตัวเองได้กระทำชั่วช้า” แต่กลับตั้งหน้าตั้งตาที่จะเล่นงานคนเสื้อแดง เพราะเข้าใจว่าคนที่ชั่วช้าคือคนเสื้อแดงทั้งหมดและ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก็ยิ่งจะเป็นการตอกลิ่มเข้าไปในหัวใจของ “คนเสื้อแดง” ให้เกิดการแบ่งฝัก แบ่งฝ่ายกันมากขึ้น
ถ้ายังตั้งหน้าตั้งตา “ตอกลิ่ม” ด้วยความเชื่อที่เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ยิ่งจะเป็น การเร่งวันเร่งคืนให้คนไทยใกล้จะถึงจะถึงจุดระเบิดเข้ามาไปทุกที
บทความชิ้นนี้เขียนมาเตือนพวกท่านในลำดับที่ ๔๑ !
ขอเริ่มว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดมาจากการใส่ร้ายป้ายสี “พรรคไทย รักไทย” และ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ มาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ยอมเลิก พวกท่านได้ตั้งตัวเป็นโจทย์เล่นงานคู่แข่งทางการเมืองหวังจะ ทำลาย [Destroy] ให้สิ้นซาก ซึ่งตอนแรกก็ได้ใช้ข้อกล่าวหาว่า ได้กระทำทุจริตต่อหน้าที่ หาว่า “คอรัปชั่นเชิงนโยบาย” ข้อกล่าวหามิได้หยุด เพียงแค่นี้ พวกท่านได้ใช้อำนาจเผด็จการ ทำการยึดอำนาจด้วยกำลังทหาร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ อันเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ อย่างร้ายแรง มีโทษถึงประหาร
พวกท่านฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แล้วสร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการขึ้นมา พวกท่านคงจำได้ดีว่าแม้จะกระทำหลายวิธีแล้วก็ตามก็ยังไม่อาจ ได้รับชัยชนะ จึงอาศัยวิธีการหักดิบ เอาจนพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ ได้เป็นรอง นายกรัฐมนตรี และได้ดูแลความมั่นคง !
พวกท่านได้ยกระดับ “ข้อกล่าวหา” ก้าวจากเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ขึ้นมาเป็นความไม่จงรักภักดี เป็นการ “ยกระดับ” ข้อกล่าวหาให้เกิดกระแส ข้อขัดแย้ง เปลี่ยนจากกระแสของชาวบ้านขึ้นมาเป็นกระแส “ประชาชน กับพระเจ้าแผ่นดิน” ซึ่งพวกท่านคิดว่าถ้ายกระดับขึ้นมาเช่นนี้ จะทำให้ คนเสื้อแดงยอมแพ้แต่โดยดี
เชอะ ! เป็นไง ...คนเสื้อแดงยอมแพ้หรือเปล่า ?เปล่านะ คนเสื้อแดงเขาไม่ได้ตกหลุมพรางขึ้นไปขัดแย้งกับ พระเจ้าแผ่นดินตามที่พวกท่านได้ขุดหลุมขวางหน้าเอาไว้ แต่ที่พวกคนเสื้อแดง ต้องประกาศเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ ก็เพราะพวกท่าน พากันทำความชั่วไม่เลิกยังไงล่ะ รู้ตัวหรือเปล่า ?
เช่นพวกท่านออกมาขวางหนังสือถวายฎีกาทำไม ? ถ้าพวกท่านไม่ขัดขวาง...ไม่กระทำแบบคนไม่หวังดี ? คนเสื้อแดง เขาไม่ออกมาเคลื่อนไหวดอกครับ เพราะหัวใจของคนเสื้อแดงใจจดใจอยู่กับ หนังสือถวายฎีกาที่หวังว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้รับพระเมตตา ทรงประทานโอกาสให้ได้กลับมาแก้ปัญหาของชาติ คนเสื้อแดงจะพากัน รอฟังฎีกาอยู่ในที่ตั้ง ไม่จำเป็นต้องแสดงพลังอะไรเลย
ขอถามพวก “วงเล็บ ทั้ง ๙” ว่าพวกท่านไม่รู้ตัวเลยเชียวรึว่า ได้ขัดขวางหนังสือถวายฎีกามาตั้งแต่ต้น แม้กระทั่งในขณะนี้ก็ยังไม่ยอมเลิก ขัดขวาง พวกท่านได้ยกระดับ “การขัดขวาง” จากข้อขัดแย้ง “ทางใจ” ไปสู่ความขัดแย้งทาง “ความคิด” อันเป็นการยกระดับที่จะก่อให้เกิด ความบาดหมางระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน
การประกาศ กม. มั่นคงในเขตดุสิต คือการยกระดับที่เป็นกลยุทธ์ ที่แฝงเร้น ส่อไปในแววปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้าย ?!
ผมขอกล่าวว่าสถานการณ์ ณ ห้วงเวลานี้ มีคนอยู่ ๒ กลุ่ม
กล่าวคือกลุ่มหนึ่ง (พวกเผด็จการ) กล่าวหาคนอีกกลุ่มหนึ่งว่า “ไม่มี” ความจงรักภักดี การกล่าวหาเช่นนี้ได้ยัดเยียดความโกรธแค้นชิงชัง ให้เกิดขึ้นในหัวใจดั้งเดิมของคนไทยทุกคนทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน แม้ในวันนี้ก็ยังไม่มีใครเขา “ขาดความจงรักภักดี” แต่พวกเผด็จการยังคง ตอกย้ำ กล่าวหาพวกคนเสื้อแดงว่าไม่รักเจ้า
ผมอยากจะถามว่าพวกเขา “ยัดเยียด” ให้เกิดกระแสเช่นนั้นก็เพราะ พวกเขาหลงเข้าใจผิดไปกับ “กลลวง” ของคนที่เกลียดชังสังคมเก่า ที่แฝงตัวอยู่ ในหมู่อำมาตย์ พวกเขามีหัวใจปรารถนาอยากล้มล้างสังคมเก่า จึงหาวิธีการ ล้มล้างด้วยการ “ยัดเยียด” ข้อหา เพื่อจะได้สร้างกระแสกดดันให้เกิดความ ขัดแย้งขึ้นมา จะได้เป็นต้นเหตุให้คนไทยทะเลาะกันเอง
การยัดเยียดอย่างเดียวยังไม่พอ เพราะมันไม่ช่วยให้เกิดการกดดัน ที่ร้อนแรง ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ “ไม้แข็ง” ประกาศ กม. มั่นคง จะได้เกิด ความร้อนแรงมากมาย
ถึงแม้ว่าจะประกาศ กม.ความมั่นคงแล้วก็ตาม หากไม่สามารถกดดัน ให้เกิดเรื่องนี้ได้ พวกเผด็จการก็จะหาทาง “ยกระดับ” ให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น นั้นก็คืออาจจะมีการใช้กำลังเข้าปราบปราม เช่นการใช้แก๊สน้ำตา หรือการใช้ รถทหารตีคนเสื้อแดงให้ถอยร่น โดยอ้างว่าเป็นการสลายฝูงชน แล้วก็อ้าง ต่อไปว่าเพื่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์
มันเป็นความชั่วช้าที่พวกมันทำกันเอง ผมอยากเขียนทบทวนความทรงจำว่า ปัญหาที่คนเสื้อแดงเขาร้องหา ไม่หยุดหย่อน ได้แก่การร้องหาความยุติธรรม แต่พวกเผด็จการทำเป็น หูทวนลม ไม่สนใจต่อข้อเรียกร้องในทุกกรณี ดังจะเห็นได้จากการแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึง การตั้ง “แกนนำ” พันธมิตรฯเข้าร่วมทำงานกับรัฐบาล ย่อมแสดงให้เห็น ถึงการใช้อำนาจเถื่อนด้วยหัวใจเผด็จการที่ไม่สนใจต่อคำทักท้วง
คนเสื้อแดงทักท้วนเรื่องความไม่เป็นธรรมด้วยความเจ็บปวดสุด จะพรรณนา จะทักท้วงด้วยเสียงอันดังเพียงไร ก็ไม่ผิดกับเสียงแมลงหวี่ แมลงวัน อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดความคับแค้นใจอย่างแสนสาหัส
ประเทศไทยอันเป็นที่รักจึงเต็มไปด้วยความสับสน ความสับสนในครั้งนี้ จะยังไม่ร้ายแรงดอกครับ เพราะคนเสื้อแดง เขาจะไม่บุกไปบ้านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รวมทั้งคนเสื้อแดงจะไม่กระทำ อะไรรุนแรงต่อบ้านเมือง
แต่การแห่ออกมาด่าแหลก ...ห้ามไม่ได้ ! ลำพังแค่ด่าแหลก จะไม่ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟดอกครับ แต่ที่ จะลุกเป็นไฟตามที่ผมได้ตั้งชื่อตอนที่ ๔๑ เอาไว้ว่า “ระวังแผ่นดิน จะลุกเป็นไฟ” มันจะเกิดจากความชั่วช้าของพวก ๙ วงเล็บพากัน โหมกระหน่ำ เรียกร้องให้ปราบปรามคนเสื้อแดงให้สิ้นแผ่นดิน
เสียงปืนดังขึ้นเมื่อใด
คนเสื้อแดงถูกยิงตายเมื่อใด
ปราบปรามเหมือนเมืองเถื่อนเมื่อใด
เมื่อนั้นแล...แผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคนจะเปลี่ยน เป็นสนามรบ คนไทยจะฆ่ากันเองราวกับว่าไม่ใช่คนที่เกิดมาจากสายพันธุ์ เดียวกัน วิธีแก้ปัญหานี้มีอยู่ ๒ แนวทาง ดังนี้
หนึ่ง : ให้สร้างกฎหมายปรองดองระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา ทำหน้าที่ปรองดองคนในชาติให้ได้ หรือ
สอง : ยุบสภา
การ “ยุบสภา”
จะช่วยให้หัวอกที่เดือดปุดๆลดอุณหภูมิลงมา อันจะเป็นการระบายความร้อนให้บินออกไปจากหม้อต้มน้ำร้อน ผมขอเรียกร้องให้ยุบสภา โดยด่วน เพราะว่าถ้าขืนปล่อยไว้ให้รัฐบาลเส็งเคร็ง รับผิดชอบประเทศต่อไป ประเทศไทยจะไม่พ้นแผ่นดินลุกเป็นไฟ ?!
จบบทที่ ๔๑ / สอาด จันทร์ดี
ถ้ายังตั้งหน้าตั้งตา “ตอกลิ่ม” ด้วยความเชื่อที่เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ยิ่งจะเป็น การเร่งวันเร่งคืนให้คนไทยใกล้จะถึงจะถึงจุดระเบิดเข้ามาไปทุกที
บทความชิ้นนี้เขียนมาเตือนพวกท่านในลำดับที่ ๔๑ !
ขอเริ่มว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดมาจากการใส่ร้ายป้ายสี “พรรคไทย รักไทย” และ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ มาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ยอมเลิก พวกท่านได้ตั้งตัวเป็นโจทย์เล่นงานคู่แข่งทางการเมืองหวังจะ ทำลาย [Destroy] ให้สิ้นซาก ซึ่งตอนแรกก็ได้ใช้ข้อกล่าวหาว่า ได้กระทำทุจริตต่อหน้าที่ หาว่า “คอรัปชั่นเชิงนโยบาย” ข้อกล่าวหามิได้หยุด เพียงแค่นี้ พวกท่านได้ใช้อำนาจเผด็จการ ทำการยึดอำนาจด้วยกำลังทหาร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ อันเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ อย่างร้ายแรง มีโทษถึงประหาร
พวกท่านฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แล้วสร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการขึ้นมา พวกท่านคงจำได้ดีว่าแม้จะกระทำหลายวิธีแล้วก็ตามก็ยังไม่อาจ ได้รับชัยชนะ จึงอาศัยวิธีการหักดิบ เอาจนพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ ได้เป็นรอง นายกรัฐมนตรี และได้ดูแลความมั่นคง !
พวกท่านได้ยกระดับ “ข้อกล่าวหา” ก้าวจากเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ขึ้นมาเป็นความไม่จงรักภักดี เป็นการ “ยกระดับ” ข้อกล่าวหาให้เกิดกระแส ข้อขัดแย้ง เปลี่ยนจากกระแสของชาวบ้านขึ้นมาเป็นกระแส “ประชาชน กับพระเจ้าแผ่นดิน” ซึ่งพวกท่านคิดว่าถ้ายกระดับขึ้นมาเช่นนี้ จะทำให้ คนเสื้อแดงยอมแพ้แต่โดยดี
เชอะ ! เป็นไง ...คนเสื้อแดงยอมแพ้หรือเปล่า ?เปล่านะ คนเสื้อแดงเขาไม่ได้ตกหลุมพรางขึ้นไปขัดแย้งกับ พระเจ้าแผ่นดินตามที่พวกท่านได้ขุดหลุมขวางหน้าเอาไว้ แต่ที่พวกคนเสื้อแดง ต้องประกาศเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ ก็เพราะพวกท่าน พากันทำความชั่วไม่เลิกยังไงล่ะ รู้ตัวหรือเปล่า ?
เช่นพวกท่านออกมาขวางหนังสือถวายฎีกาทำไม ? ถ้าพวกท่านไม่ขัดขวาง...ไม่กระทำแบบคนไม่หวังดี ? คนเสื้อแดง เขาไม่ออกมาเคลื่อนไหวดอกครับ เพราะหัวใจของคนเสื้อแดงใจจดใจอยู่กับ หนังสือถวายฎีกาที่หวังว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้รับพระเมตตา ทรงประทานโอกาสให้ได้กลับมาแก้ปัญหาของชาติ คนเสื้อแดงจะพากัน รอฟังฎีกาอยู่ในที่ตั้ง ไม่จำเป็นต้องแสดงพลังอะไรเลย
ขอถามพวก “วงเล็บ ทั้ง ๙” ว่าพวกท่านไม่รู้ตัวเลยเชียวรึว่า ได้ขัดขวางหนังสือถวายฎีกามาตั้งแต่ต้น แม้กระทั่งในขณะนี้ก็ยังไม่ยอมเลิก ขัดขวาง พวกท่านได้ยกระดับ “การขัดขวาง” จากข้อขัดแย้ง “ทางใจ” ไปสู่ความขัดแย้งทาง “ความคิด” อันเป็นการยกระดับที่จะก่อให้เกิด ความบาดหมางระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน
การประกาศ กม. มั่นคงในเขตดุสิต คือการยกระดับที่เป็นกลยุทธ์ ที่แฝงเร้น ส่อไปในแววปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้าย ?!
ผมขอกล่าวว่าสถานการณ์ ณ ห้วงเวลานี้ มีคนอยู่ ๒ กลุ่ม
กล่าวคือกลุ่มหนึ่ง (พวกเผด็จการ) กล่าวหาคนอีกกลุ่มหนึ่งว่า “ไม่มี” ความจงรักภักดี การกล่าวหาเช่นนี้ได้ยัดเยียดความโกรธแค้นชิงชัง ให้เกิดขึ้นในหัวใจดั้งเดิมของคนไทยทุกคนทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน แม้ในวันนี้ก็ยังไม่มีใครเขา “ขาดความจงรักภักดี” แต่พวกเผด็จการยังคง ตอกย้ำ กล่าวหาพวกคนเสื้อแดงว่าไม่รักเจ้า
ผมอยากจะถามว่าพวกเขา “ยัดเยียด” ให้เกิดกระแสเช่นนั้นก็เพราะ พวกเขาหลงเข้าใจผิดไปกับ “กลลวง” ของคนที่เกลียดชังสังคมเก่า ที่แฝงตัวอยู่ ในหมู่อำมาตย์ พวกเขามีหัวใจปรารถนาอยากล้มล้างสังคมเก่า จึงหาวิธีการ ล้มล้างด้วยการ “ยัดเยียด” ข้อหา เพื่อจะได้สร้างกระแสกดดันให้เกิดความ ขัดแย้งขึ้นมา จะได้เป็นต้นเหตุให้คนไทยทะเลาะกันเอง
การยัดเยียดอย่างเดียวยังไม่พอ เพราะมันไม่ช่วยให้เกิดการกดดัน ที่ร้อนแรง ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ “ไม้แข็ง” ประกาศ กม. มั่นคง จะได้เกิด ความร้อนแรงมากมาย
ถึงแม้ว่าจะประกาศ กม.ความมั่นคงแล้วก็ตาม หากไม่สามารถกดดัน ให้เกิดเรื่องนี้ได้ พวกเผด็จการก็จะหาทาง “ยกระดับ” ให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น นั้นก็คืออาจจะมีการใช้กำลังเข้าปราบปราม เช่นการใช้แก๊สน้ำตา หรือการใช้ รถทหารตีคนเสื้อแดงให้ถอยร่น โดยอ้างว่าเป็นการสลายฝูงชน แล้วก็อ้าง ต่อไปว่าเพื่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์
มันเป็นความชั่วช้าที่พวกมันทำกันเอง ผมอยากเขียนทบทวนความทรงจำว่า ปัญหาที่คนเสื้อแดงเขาร้องหา ไม่หยุดหย่อน ได้แก่การร้องหาความยุติธรรม แต่พวกเผด็จการทำเป็น หูทวนลม ไม่สนใจต่อข้อเรียกร้องในทุกกรณี ดังจะเห็นได้จากการแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึง การตั้ง “แกนนำ” พันธมิตรฯเข้าร่วมทำงานกับรัฐบาล ย่อมแสดงให้เห็น ถึงการใช้อำนาจเถื่อนด้วยหัวใจเผด็จการที่ไม่สนใจต่อคำทักท้วง
คนเสื้อแดงทักท้วนเรื่องความไม่เป็นธรรมด้วยความเจ็บปวดสุด จะพรรณนา จะทักท้วงด้วยเสียงอันดังเพียงไร ก็ไม่ผิดกับเสียงแมลงหวี่ แมลงวัน อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดความคับแค้นใจอย่างแสนสาหัส
ประเทศไทยอันเป็นที่รักจึงเต็มไปด้วยความสับสน ความสับสนในครั้งนี้ จะยังไม่ร้ายแรงดอกครับ เพราะคนเสื้อแดง เขาจะไม่บุกไปบ้านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รวมทั้งคนเสื้อแดงจะไม่กระทำ อะไรรุนแรงต่อบ้านเมือง
แต่การแห่ออกมาด่าแหลก ...ห้ามไม่ได้ ! ลำพังแค่ด่าแหลก จะไม่ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟดอกครับ แต่ที่ จะลุกเป็นไฟตามที่ผมได้ตั้งชื่อตอนที่ ๔๑ เอาไว้ว่า “ระวังแผ่นดิน จะลุกเป็นไฟ” มันจะเกิดจากความชั่วช้าของพวก ๙ วงเล็บพากัน โหมกระหน่ำ เรียกร้องให้ปราบปรามคนเสื้อแดงให้สิ้นแผ่นดิน
เสียงปืนดังขึ้นเมื่อใด
คนเสื้อแดงถูกยิงตายเมื่อใด
ปราบปรามเหมือนเมืองเถื่อนเมื่อใด
เมื่อนั้นแล...แผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคนจะเปลี่ยน เป็นสนามรบ คนไทยจะฆ่ากันเองราวกับว่าไม่ใช่คนที่เกิดมาจากสายพันธุ์ เดียวกัน วิธีแก้ปัญหานี้มีอยู่ ๒ แนวทาง ดังนี้
หนึ่ง : ให้สร้างกฎหมายปรองดองระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา ทำหน้าที่ปรองดองคนในชาติให้ได้ หรือ
สอง : ยุบสภา
การ “ยุบสภา”
จะช่วยให้หัวอกที่เดือดปุดๆลดอุณหภูมิลงมา อันจะเป็นการระบายความร้อนให้บินออกไปจากหม้อต้มน้ำร้อน ผมขอเรียกร้องให้ยุบสภา โดยด่วน เพราะว่าถ้าขืนปล่อยไว้ให้รัฐบาลเส็งเคร็ง รับผิดชอบประเทศต่อไป ประเทศไทยจะไม่พ้นแผ่นดินลุกเป็นไฟ ?!
จบบทที่ ๔๑ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 42 วสิษฐ์ ชี้ 2 พระองค์กำลังถูกทุกลาย ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ร่ำไห้
บทที่ ๔๒ ตอน : วสิษฐ์ชี้ ๒ พระองค์กำลังถูกทำลาย ..?! “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ร่ำให้”
ผมอ่านพาดหัวข่าว ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ร่ำให้ ขอร้องคนไทย อย่าได้ทะเลาะเบาะแว้ง ให้ความชื่นใจ “ในหลวง-ราชินี” บ้าง ซึ่งเป็น พาดหัวข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “มติชน” ฉบับที่ ๑๑๔๙๑ ประจำ วันพุธที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
หมายเหตุ การเขียน “ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๒” ในวันนี้ จะแบ่งเป็น ๒ ภาค เพื่อจะได้นำเอาความกระจ่างมาแสดงให้ครบ และให้ตรงตามประเด็นที่ต้องการ
ภาคที่ ๑ ว่าด้วยเนื้อหาของข่าว :
ผมขอเรียนว่า ผมอ่านข่าวด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย-สับสน ต่อกระบวนข่าวที่เกิดขึ้น เพราะว่าตั้งแต่เกิดมา “ไม่เคยมีข่าว” เกี่ยวกับ องค์พระประมุขทรงทุกข์พระทัย อันเนื่องมาแต่ความขัดแย้งของคนในชาติ เลย แต่วันนี้ได้มีข่าวเช่นนี้เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้ผมไม่อาจ นิ่งอยู่ได้ ผมขออนุญาตนำเอาข่าวนี้ขึ้นมาเขียน ในใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๒ เพื่อจะสื่อไปยังกลุ่มบุคคลที่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้หยุด การกระทำ
ใครบ้างที่เป็นภัยต่อสถาบัน ผมจะนำเอามาเสนอให้จบในบทนี้ ก่อนอื่น ผมขอคัดเอาข่าวหน้า ๑ ไม่มีการตัดต่อ ดังนี้
ผมอ่านพาดหัวข่าว ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ร่ำให้ ขอร้องคนไทย อย่าได้ทะเลาะเบาะแว้ง ให้ความชื่นใจ “ในหลวง-ราชินี” บ้าง ซึ่งเป็น พาดหัวข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “มติชน” ฉบับที่ ๑๑๔๙๑ ประจำ วันพุธที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
หมายเหตุ การเขียน “ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๒” ในวันนี้ จะแบ่งเป็น ๒ ภาค เพื่อจะได้นำเอาความกระจ่างมาแสดงให้ครบ และให้ตรงตามประเด็นที่ต้องการ
ภาคที่ ๑ ว่าด้วยเนื้อหาของข่าว :
ผมขอเรียนว่า ผมอ่านข่าวด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย-สับสน ต่อกระบวนข่าวที่เกิดขึ้น เพราะว่าตั้งแต่เกิดมา “ไม่เคยมีข่าว” เกี่ยวกับ องค์พระประมุขทรงทุกข์พระทัย อันเนื่องมาแต่ความขัดแย้งของคนในชาติ เลย แต่วันนี้ได้มีข่าวเช่นนี้เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้ผมไม่อาจ นิ่งอยู่ได้ ผมขออนุญาตนำเอาข่าวนี้ขึ้นมาเขียน ในใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๒ เพื่อจะสื่อไปยังกลุ่มบุคคลที่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้หยุด การกระทำ
ใครบ้างที่เป็นภัยต่อสถาบัน ผมจะนำเอามาเสนอให้จบในบทนี้ ก่อนอื่น ผมขอคัดเอาข่าวหน้า ๑ ไม่มีการตัดต่อ ดังนี้
“สำนักราชเลขาธิการทำเว็บไซต์เผยแพร่พระราชกรณียกิจ พระราชินี ท่านผู้หญิงร่ำให้บอกในหลวง – พระราชินีทรงไม่ต้องการ อะไร แต่ทรงอยากเห็นบ้านเมืองอยู่รอด คนไทยสามัคคี อย่าขัดแย้งกัน พล.ต.อ. วสิษฐ์เผย ๒ พระองค์กำลังตกเป็นเป้าถูกโจมตีลบหลู่ของคนบาง พวก ระบุแม้ศัตรูไม่ถืออาวุธแต่ได้ใช้วิธีย้อมหัวใจลูกหลานให้หลงผิด” จบข่าวหน้า ๑ (มีต่อหน้า ๕)
สำหรับข่าวในหน้า ๕ ผมขอคัดเอาบางท่อนของเนื้อข่าว แต่จะ รักษามิให้เกิดความสับสนเริ่มจากท่อนกลาง ดังนี้
“ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ จนบัดนี้ สมเด็จพระนางเจ้าทรงไม่เคยห่างจากพระองค์เลย อะไรที่เป็น พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมีส่วนร่วมรู้เห็นด้วยตลอดเวลา ในสมัยที่ผมรับราชการ เบื้องพระยุคลบาทเป็นสมัยที่บ้านเมืองไม่สงบจากพวกคอมมิวนิสต์ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่เคยหยุด ทรงงาน ไม่ทรงท้อถอยหวั่นเกรง ยังคงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่สีแดงด้วยความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์” พล.ต.อ. วสิษฐ์กล่าว
อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจกล่าวอีกว่า“ขณะนี้พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย การโจมตีอย่างโจ๋งครึ่ม โดยบางคนบางพวกบางประเภท ตนกล้าเรียนให้ทราบ แม้ไม่มีการยืนยันจากรัฐบาล แต่ตนยืนยันจากความรู้ การสังเกตของตนเอง พบว่าสิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น ตอนนี้มีเว็บไซต์ เถื่อนที่กำลังทำอย่างนี้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระนางเจ้าฯ อยู่อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง และขอเตือนให้ทราบว่า ผู้ที่เราเคารพสักการะ ผู้ที่เป็นผู้สืบทอดการปกครองแบบราชาธิปไตย มากกว่า ๗๐๐ ปี กำลังถูกทำลายโดยคนพวกหนึ่ง สิ่งที่คนไทยต้อง ตระหนักและช่วยกันคือปกป้องสถาบันที่อยู่คู่เมืองไทย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ขึ้นย่อหน้า...
“มาวันนี้ ขอวิงวอนท่านทั้งหลายว่า แม้ศัตรูจะยัง ไม่ถืออาวุธ แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด สิ่งที่ทำได้คืออย่าทำให้พี่น้องลูกหลานเข้าใจผิด แต่ต้องทำความเข้าใจ และเผยแพร่สอนผู้อื่นให้รู้ว่าเมืองไทยอยู่ได้เพราะ ๓ สิ่งนี้ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราจะเกิดสงครามที่สาหัสมาก อย่าทำให้เกิด แต่ทำได้ด้วยการถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่า พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า ๖๐ ปี ให้เราทุกคนช่วยกัน” พล.ต.อ. วสิษฐ์กล่าวเอาไว้ในท่อนกลาง
จากนั้น ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ นางสนองพระโอษฐ์ที่ถวายงาน รับใช้สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มาประมาณ ๔๐ ปีกล่าวว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯเสด็จไปเยี่ยมราษฎรตามหมู่บ้านต่าง ๆ ของประเทศ ไทย ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ ไม่ว่าจะทุรกันดารอย่างไร ทั้งสองพระองค์ ทรงเสด็จไปทุกหนทุกแห่ง พระองค์จะสอนเสมอว่าให้คุยกับราษฎร อย่างเคารพนบนอบ คิดว่าเขาเป็นพี่น้อง
ผมขออนุญาต “เว้น” ไป ๑ ท่อน
ขอขึ้นท่อนสำคัญว่า “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์กล่าวพร้อมกับร่ำให้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงทำทุกอย่าง ให้กับคนไทย ทรงทำมาอย่างยาวนาน แต่ทุกคนได้มีความคิด ได้เล่าต่อกัน หรือไม่ ทุกพระราชกรณียกิจ ทุกโครงการของพระองค์ไม่เคยหนีจาก ประชาชน แล้วไม่เคยเอาอะไรมาเป็นของพระองค์เลย ทรงทำให้กับแผ่นดิน ทรงทำให้ประชาชน”
ภาคที่ ๒ ว่าด้วยบทวิพากย์:
ว่าด้วยการร่ำให้ของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ดังที่เป็นข่าว ว่าเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนชาวไทยพากัน “ร่ำให้” นับครั้งไม่ถ้วนเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งในยามสมเด็จย่าทรงจากไป สมเด็จพระพี่นางก็จากไปด้วย และ ยิ่งในคราวองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประชวร อยู่ในความดูแล ของหมอที่โรงพยาบาลศิริราช ก็ปรากฏว่าประชาชนน้ำตานองหน้า เฝ้าโรงพยาบาลหนาแน่น ปรากฏเป็นข่าวติดต่อกันทุกวัน
จึงวิพากย์ วิจารณ์ได้ด้วยความเป็นจริงว่า ภาพของประวัติศาสตร์ ได้สะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันล้ำลึกระหว่างประชาชนกับ พระเจ้าแผ่นดิน แนบแน่นและแสนจะอบอุ่น โดยไม่เคยมีคนไทย “คนไหน” กระทำอันไม่บังควรทั้งต่อหน้าและลับหลัง โดยเฉพาะ คนยากคนจนนั้นพากันกราบไหว้ สักการะพระเจ้าแผ่นดินเป็นของสูง คนที่ทำมาค้าขาย จะติดตั้งรูป ร. ๕ เอาไว้ในร้านให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยสมความปรารถนา
ในส่วนของสมเด็จพระนางเจ้าฯ อันเป็นพระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่างก็เป็นเครื่องหมายของวันแม่ (๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒) ดังที่ประชาชนทั้งหลายทราบดี
การที่ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ร่ำให้ออกมานั้น เป็นเรื่องเดียวกัน กับน้ำตาของประชาชน
สำหรับ “พล.ต.อ. วสิษฐ์ เดชกุญชร” ที่ได้กล่าวออกมาทั้งหมด ก็ไม่ผิดเลยที่ได้นำเอาความจริงมายืนยันว่าขณะนี้ พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย การโจมตีอย่างโจ๋งครึ่ม โดยคนบางพวก บางประเภท
เหตุไรรัฐบาลจึงปล่อยปะละเลย (ด้วยเล่า) ! ผมขอนำข้อเท็จจริงในภาคที่ ๒ ว่าด้วยการวิพากย์ มาเสนอให้ท่าน ทั้งหลายได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่าอะไรคือต้นเหตุของปัญหา และอะไรคือปัจจัยที่จะทำให้ปัญหานี้เกิดความรุนแรงขึ้นมา จนอาจเป็น เหตุให้เกิดสงครามอันสาหัส ?!
ประเด็นที่ ๑ ไม่ว่าจะอ่านข่าวในรูปไหนและวิธีใด ข่าวที่ปรากฏ ออกมาในครั้งนี้ ได้พุ่งเป้ามาที่ “คนเสื้อแดง” ร้อยเต็มร้อย ทั้งนี้เนื่องจาก การใช้คำพูดว่า “แม้ศัตรูไม่ถืออาวุธ แต่ได้ใช้วิธีย้อมหัวใจลูกหลานให้หลง ผิด” ย่อมหมายถึงการต่อสู้แบบอหิงสา ไม่ใช้อาวุธ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ซึ่งมีอยู่เพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มของ นปช. (แนวร่วมประชาชนต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ) หรือรู้จักกันในนามของคนเสื้อแดง – แดงทั้งแผ่นดิน [Red in the Land]
ประเด็นที่ ๒ พล.ต.อ. วสิษฐ์ และท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ไม่ได้ หมายถึงพวกอำมาตย์ / หรือพวกพรรคประชาธิปัตย์ หรือพวกพันธมิตร- สันติอโศก และไม่ได้หมายถึงพวกราชชนิกุล-ไฮโซทั้งหลาย เมื่อไม่ได้ หมายถึงใครเลยนอกจากคนเสื้อแดง
จึงเป็นการมุ่งที่จะพูดให้ สังคมไทยทั้งประเทศเข้าใจอย่างกว้างขวางว่า ให้ระวังคนเสื้อแดงเอาไว้ ?!
ผมอ่านข่าวและวิจารณ์ออกมาเช่นนี้ พบตัวเองตกอยู่ในกลุ่ม ของคนเสื้อแดง ย่อมไม่พ้นที่จะตกเป็นเหยื่อของพวกเผด็จการ ที่คิดแต่ จะปราบปรามเพื่อจะได้รักษาความมั่นคงให้แก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ผมขอกล่าวว่าพวกท่านได้กระทำผิดและดำเนินการผิดพลาด อย่างใหญ่หลวง !
พวกท่านเป็นผู้ก่อปัญหา ทำให้สมเด็จพ่อของเราต้องทรงทุกข์พระทัย ?
ท่านอยากฟังไหมเล่าว่า พวกท่านได้กระทำความผิดอย่างไรบ้าง
ผมขอกล่าวว่า “ถ้าพวกท่านตั้งใจที่จะทำลายทักษิณให้พ้นไปจาก สนามการเมืองในประเทศไทย” ท่านทำได้อยู่แล้วจากคดีทุจริตล้วนๆ ถ้ามีหลักฐานก็เอาเข้าคุกได้
แต่พวกท่านเกิดบ้าดีเดือดขึ้นมา ด้วยการประกาศในสภา ผู้แทนราษฎรว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี ทำให้สถานะของข้อขัดแย้งเปลี่ยนจากคดีทางการเมืองขึ้นไปสู่การ แก่งแย่งอำนาจระหว่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กับองค์ระมหากษัตริย์ ในกรณีดังกล่าวนี้ แม้ว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้แต่งตั้ง นายความฟ้องหมิ่นประหมาท “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” แต่ศาลก็ ไม่รับฟ้อง จึงทำให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ มีข้อหาร้ายกาจติดตัว สุดที่จะ สลัดให้หลุดไปได้
พวกอำมาตย์มิได้หยุดอยู่เพียงการกล่าวหาเท่านั้น พวกท่านได้ ขัดขวางการยื่นถวายฎีกาและกล่าวหาการถวายฎีกาว่าเป็นการก้าวล่วง พระราชอำนาจ (ผมถ่ายภาพแผ่นป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ของรัฐบาล เอาไว้แล้ว) !
การคัดค้านขัดขวางเป็นไปอย่างร้อนแรง มีการระดมให้ นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงการให้ข่าวต่อต้านอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะไม่ให้หนังสือถวายฎีกาขึ้นไปถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การกระทำของพวกอำมาตย์เผด็จการ ได้ก่อให้เกิดความแค้นเคืองแก่ราษฎร ทีรักความเป็นธรรมอย่างยิ่ง คนกลุ่มนั้นคือ “คนเสื้อแดง” แดงทั้งแผ่นดิน
ผมขอเล่าให้ฟังว่า ราษฎรไม่มีใครเลยที่จะแค้นเคืองสมเด็จพ่อ ของเรา เพราะว่าเขาก็รักของเขา เขากราบไหว้อยู่ทุกวัน จะแค้นเคืองได้ อย่างไร
เขาแค้นเคืองพวกคุณต่างหาก ...รู้หรือเปล่า ? สถานการณ์ ณ ห้วงเวลานี้ ที่ว่าประเทศไทจะเกิดสงครามสาหัส นั้น ขอให้รู้เอาไว้ซะด้วยว่ามันจะเกิดจาก “ความชั่ว” ของอำมาตย์ชั้นเลว ที่พยายามก่อสงครามทุกวี่ทุกวัน
ถ้าต้องการให้ประเทศไทยสงบลงในพริบตา ย่อมทำได้ ๒ แนวทางคือ
( ๑ ) ! ให้ “สร้างกฎหมายปรองดองแห่งชาติที่เป็น ประชาธิปไตย” กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน หรือไม่ก็... รีบสนับสนุนให้หนังสือถวายฎีกา ให้ได้รับความสำเร็จกลับมาเถิด แล้วความสงบจะเกิดขึ้น
( ๒ ) ! ประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเถิดครับ แล้วจะได้พบกับทางออกทีสว่างไสวอยู่เบื้องหน้า ผมขอกล่าวว่า “อย่ามามัวกรีดน้ำตาหลอกชาวบ้านอยู่เลย” ถ้ายังมัวแต่กรีดน้ำตา แถมมีความโกรธในข้อเขียนของผมอย่างรุนแรง ไม่มีการ “วิภาค” ก็ย่อมจะ “วิพากย์” ปัญหาไม่ออก (ผมได้เสนอความเห็นเช่นนี้เอาไว้ในบทที่ ๔๑)
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ กับ พล.ต.อ. วสิษฐ์ จะมีโอกาสได้พบข้อเขียนนี้ไหมหนอ
ท่านผู้ใดอยู่ใกล้ชิด กรุณาโหลดเอาไปให้อ่านด้วยครับ ?!
จบบทที่ ๔๒ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 43 บอกใบ้ ใครตัวการทำลายความมั่นคง
ตอน : บอกใบ้ ใครตัวการทำลายความมั่นคง ?!
ผมกะว่าใบปลิวกู้ชาติ จะจบลงในบทที่ ๔๕ ข้างหน้านี้และครับ แต่เรื่องการเมืองของประเทศไทย ที่อยู่ในอุ้งมือของเผด็จการ มันจบยาก ?!
รวมทั้งการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม “จึงจบยาก” ตามไปด้วย ดังนั้น ในเวอร์ชั่นใหม่ [Next Version] มันจะมีทั้งของเก่า ของใหม่ และความจำเจซ้ำซากดักดานปะปนอย่างไม่มีทางเลี่ยง หากจะเปลี่ยนไปบ้างก็คือ “ตัวละคร” ที่ออกมาโลดแล่นในในฐานะ “สงครามตัวแทน” เพื่อจะทำหน้าที่ “คุมทัพ”ในสนามรบเศรษฐกิจ ศาสนา การเมืองสังคม ศิลปะ และวัฒนธรรม เรียกว่าจะมีตัวละครยาวเหยียดเบียดเสียดกันกระโดดลงมาคลุกในสนามการต่อสู้ นัวเนียไปจนหมด
วันนี้ ผมขึ้นบทที่ ๔๓ ของใบปลิวกู้ชาติ ที่ยังคงเกาะติดดับสถานการณ์ของประเทศไทยที่มีปัญหาขัดข้องไม่รู้จักจบสิ้น เรียกว่าเกิดเป็นวันขึ้นมา จะหาโอกาสไปวัดด้วยหัวใจที่สงบเยือกเย็น แทบไม่ได้เลย ซึ่งมันแตกต่างจากอดีต ที่พ่อแม่จะพากันหยุดพักการทำงานในวันพระ แล้วพาลูก ๆ และหลานเหลนไปวัด โดยมีความสดชื่นซ่อนลึกอยู่ในหัวใจ แต่วันนี้ หัวอกมันรุ่มร้อน ระบมไปทั้งร่างกาย
คำตอบของเรื่องนี้ ผมสามารถที่จะตอบให้ “โป๊ะเชะ” ได้เลย แต่ถ้าตอบแบบนั้น จะทำให้ “ตัวต้นเหตุ” ยอมรับหรือว่ายิ่งจะเกรี้ยวโกรธโกรธาขึ้นมา
ผมไม่อยากให้ตัวต้นเหตุได้รับความอับอายขายหน้า ไม่อยากให้ท่านโกรธ ผมจึงหาทางเลี่ยงด้วยการนะเสนอแบบ “บอกใบ้” ขอรับ เพราะว่าการ “บอกใบ้” จะช่วยลดอุณหภูมิลงได้มิใช่น้อย ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๓ จะช่วยแคะผงออกจากตาของประดาตัวเบิ้มในประเทศไทยได้
ขอเริ่มต้นด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน ไม่ต้องแปลว่า “คนไทยตัวเบิ้มๆคือตัวต้นเหตุของปัญหา” และคนไทย “ตัวเบิ้ม” เหล่านั้นมีอยู่ไม่เกิน ๗ คนที่ถือได้ว่าเป็นตัวการที่แท้จริง ที่มีหน้าที่รับผิด ชอบต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ และรับผิดชอบต่อ “ความมั่นคง” ของสถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัวเบิ้มๆที่ว่านี้ มีหน้าที่ตามรัฐธรรมมนูญก็มี ไม่มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญก็มี เรื่องมีอยู่ว่าตัวเบิ้มทั้ง ๗ พากันมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ ซึ้งแก่ใจว่ากลุ่มไหนมีอุดมกาณ์อย่างไร เรียกว่าไก่เห็นตีนงู-งูเห็นตีนไก่ กล่าวให้ชัดหมายถึงตัวเบิ้ม“พวกหนึ่ง”มีความจงรักภักดีจากหัวใจที่แท้จริง อีกกลุ่มหนึ่ง “ไม่มีความจงรักภักดี” อยู่ในหัวใจเลย
แต่ก็พากันคิดชั่ว มีความพยายามที่จะหาทาง “บ่อนทำลาย” ในหลายรูปแบบ ซึ่งได้พากัน กระทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หลายครั้งหลายหน
คนกลุ่มนี้ เป็นตัวเบิ้มคนสำคัญในระบอบการปกครอง
รูปแบบหลักๆที่ทำมาก่อนได้แก่การปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นมงคลทั้งหลาย ข่าวลือที่ปล่อยออกมาได้สร้างความงุนงงสงสัยแก่ประชาชนยิ่งนัก เพราะว่าประชาชนทั้งหลายนั้นอยู่ห่างไกลจาก ศูนย์ข่าวและข้อมูลประหนึ่งฟ้ามาดิน ไม่มีทางที่จะปั้นน้ำเป็นตัว หรือกระทำอะไรในทำนองรู้ดี รู้ไปหมดทุกอย่างได้ จึงอ่านได้เลยว่ามีแต่ “คนใกล้ชิด” เท่านั้น ที่สามารถดำเนินการปล่อยข่าวลือ ได้อย่างทรงอานุภาพยิ่ง
คนตัวเบิ้มของประเทศไทยรวมแล้วไม่เกิน ๗ คน จึงเป็น “ตัวการใหญ่” ที่เป็นตัว “ต้นเหตุ” ก่อปัญหาให้แก่ประเทศชาติ และในจำนวนตัวเบิ้มทั้ง ๗ คนดังกล่าว แต่ละคนจะมีเครือข่ายเป็นสายสัมพันธุ์โยงใยยาวเหยียดนับเป็นร้อยเป็นพัน ทำให้กลุ่มของคนพวกนี้มีอำนาจอิทธิพลในพระราชอาณาจักรอย่างกว้าง
ใหญ่ไพศาล
ถึงเวลานี้ กลุ่มบุคคลที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการทำสงครามตัวแทน ต่างออกมาใช้กลยุทธ์ใหม่ด้วยการ “กรีดน้ำตา” ระบายความคับแค้นใจบ้าง หรือไม่ก็พากันจัดงาน “สมานสามัคคี” บ้าง แต่ไม่ว่าจะจัดงานหรือจะทำอะไรก็ตาม สุดท้ายได้สรุปลงด้วยการ “ด่ากราด” คนเสื้อแดง หาว่าไปลุ่มหลงคารมของคนที่ไม่มีค่าเทียบเท่าองค์พระมหากษัตริย์ ในที่สุดได้กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นคอมมิวนิวนิสต์ !
ท่านผู้อ่านใบหลิวกู้ชาติทุกท่าน ผมกับคุณผึ้ง ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น นำเอาความจริงมาบรรยายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พร้อมกับได้เสนอแนะ “แนวทางแก้ไข” ให้อีกด้วย แต่ไม่ปรากฏ เลยว่า จะมีใครสนใจ โดยเฉพาะได้แก่พวกอำมาตย์เอาหูทวนลม
ดังที่ผมกล่าวมา นับว่าเป็นการ “หักเห” ทิศทางได้อย่างแยบยลอย่างยิ่ง
วิธีการแก้ก็คือ มีการแข่งขันทางการเมือง ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินด้วยการเลือกตั้งใหญ่ พรรคไหนชนะ พรรคนั้นเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล พรรคไหนพ่ายแพ้ก็ต้องไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน
แต่ปัญหาของประเทศไทยแก้ยากอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากพวกขุนนางพากันบิดประเทศให้บูดเบี้ยวด้วยการ“ยกระดับ" ปัญหาจากระดับการเมืองธรรมดา เอาประชาชนไปขัดแย้งกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการยกระดับที่แยบยลอย่างร้ายกาจและรุนแรงยิ่ง !
นี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ได้มีข่าวขัดแย้งระหว่างประชาชนกับพระเจ้าแผ่นดิน โดยมีพวกตัวเบิ้ม ๗ คนพวกนั้น ทั้งผลัก ทั้งดันให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นตุ๊กตาตัวเอ้ ยืนตระหง่านเป็น “ขุนทัพ” เดินนำหน้าประชาชนให้ชนกับเจ้า แม้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะส่งเสียงปฎิเสธเพียงไรก็ไม่ยอมรับฟังส่งข้อความผ่านเว็ป Twitter @ Thaksinlive เพียงไรก็ไม่เป็นผล
ท่านผู้อ่านที่รักครับ ผมเขียนมาถึงจุดนี้ ก็พอจะอ่านออกแล้วใช่ไหมว่า “ตัวเบิ้ม ๗ คน” ที่ผมได้บอกใบ้แก่ท่านไปแล้ว ท่านจะอ่านออกว่าเป็นใครบ้าง ปัญหาก็จะเหลืออยู่เพียง ๒ ประเด็นที่ท่านอยากรู้
อยากรู้ว่า “ใคร...คนไหน” เป็นผู้จงรักภักดีแท้
และใคร (คนไหน) คือไอ้ตัวการที่ไม่จงรักภักดี
ท่านอ่านเข้าไปในมุ้งมหาอำมาตย์ กวาดสายตาไปรอบทิศ แล้วจะเห็นพวก ๗ คนโดยไม่ยาก บางคนหน้าตาเป็นคนหนุ่ม บางคนแก่งั่ก บางคนมีอำนาจราชศักดิ์ มีสายสะพายเต็มบ่า มากไปด้วยบริวาร ล้อมหน้าล้อมหลัง มีปาราชิก โพธิรักษ์คอยเป็นพระสังฆราชในดวงใจอีกด้วย
บอกใบ้ขนาดนี้ น่าจะรู้แล้วใช่ไหครับว่าคน ๗ คน ดังที่ว่าคือใครบ้าง ?!
ผมไม่แน่ใจว่า “โพธิรักษ์” มีสาวิกาคอยปรนนิบัติหรือไม่ ?!
ที่ทำเนียบรัฐบาล : สาวเอ๊าะเอ๊าะ พากันตั้งท้องหลายคน! นอกจากนี้ยัง มีการซ้อมรบ คล้ายกองกำลังโจรก่อการร้าย ประเทศไทยในยามนั้นไม่แตกต่างจากบ้านเถื่อนเมืองเถื่อน หลังจากพวกม็อบได้ถอนตัวออก จึงได้รู้ว่าม็อบผีบ้าผีบุญทำปูยี่ปูยำกับทำเนียบรัฐบาลถึงขั้น “อึ” ใส่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ทำลายข้าวของกระจุยกระจายไม่แตกต่างจากโจรป่าบุกเข้าปล้น บ้านเรือน ปล้นแล้วขี้ใส่ก่อนอำลา พร้อมกับกวดเอาทรัพย์สินไปจนเกลี้ยง ?!
ต่อมาได้ทราบว่าเครื่องมือเก็บรักษาความลับได้ถูกรื้อค้นและทำลายป่นปี้ ข้อมูลพวกค้ายาบ้า ยาอี ยาไอช์ หายเรียบ ข้อมูลเจ้ามือหวยใต้ดิน ซุ้มมือปืน ไม่มีเหลือ ข้อมูลบ่อนเถื่อนทั่วประเทศ ตลอดทั้งข้อมูล นักเลง อันธพาล ถูกทำลายเละ ?! ทั้งนี้ยังไม่รวมข้อมูล “ความมั่นคง” การค้าขายระหว่างประเทศ ตลอดทั้งเอกสารประวัติศาสตร์ตั้งแต่โบราณกาล ได้ถูกฉีกขาด และฉกเอาไปจากห้องเก็บเอกสารชิ้นสำคัญของแผ่นดิน
ความเลวของพันธมิตร สาหัสสากรรจ์ ที่มีมือ “ลี้ลับ” เป็นผู้บงการให้กระทำปูยี่ปูยำแก่ประเทศอันไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุไร จึงโกรธแค้นชิงชังถึงขั้นจ้องทำลายความมั่นคงของประเทศไทยทั้งประเทศ ? โดยไม่มี ทหารและตำรวจ กล้าแสดงตนออกมาขัดขวาง
วันนี้ เศรษฐกิจของชาติฟุบจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ต่างชาติขาดความไว้วางใจ ยากที่จะมีความกล้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ถึงจะมีต่างชาติบางคนมีความกล้า ก็จะมีแต่ในกลุ่ม “พวกมาเฟีย” ด้วยกัน ที่ถือว่าที่ไหนมีสงคราม ที่นั่นย่อมจะมีบ่อน้ำมันให้เอื้อมมือตัก สิ่งหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้า คือลูกค้าโรงแรมหายไป กิจการท่องเที่ยวพังกราวรูด โรงงานผลิตสินค้า “ส่งออก” ประสบชะตากรรม อันเนื่องมาแต่ไม่มีใบสั่งซื้อ ทำให้รายได้ของประเทศจมหายไปกับความวิบัติมากกว่า ๑ ล้าน-ล้านบาท จึงเป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องขึ้นภาษีน้ำมัน กู้เงิน ๔ แสนล้าน บวกอีก ๔ แสนล้าน รวมเป็น ๘ แสนล้านบาท !
เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้ออกพันธบัตร ขอกู้เงินพ่อแม่ผู้อยู่ในวัยสูงอายุ ได้เงินไป ๕ หมื่นกว่าล้านบาท ทำให้ประชาธิปัตย์มีเงินเอาไปวิ่งแจกคนมีเงินเดือน คนละ ๒,๐๐๐ บาท และอื่น ๆ
สรุปแล้ว พรรคประชาธิปัตย์กำลังเอาประเทศเป็นสนามแก่งแย่งเกมอำนาจโดยมิได้สนใจว่าประเทศชาติจะแตกเป็นกี่เสี่ยงต่อกี่เสี่ยง ?!จบบทที่ ๔๔ / สอาด จันทร์ดี
ประการที่สอง : พวกขุนนางและอำมาตย์พากันกระทำความผิดต่อตัวบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วยความไม่เป็นธรรม เป็นการ “กลั่นแกล้ง” ทางการเมืองที่โฉดชั่วด้วยการใช้กำลังทหารเผด็จการ “ยึดอำนาจการปกครอง” แล้วกุเรื่องอันเป็นเท็จ ใส่ความ กล่าวหา ตั้งข้อหาราวกับว่าเขาผู้เป็นโจรร้าย เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้หยิบยื่นข้อกล่าวหา “หาว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” อันเป็นการตั้งข้อหาของพวกเผด็จการที่บ่อนทำลายความสามัคคีอย่างร้ายแรงที่สุด
ประการที่สาม : แม้ข้อกล่าวหาจะร้ายแรงเพียงไร พวกเผด็จการหาได้หยุดการกระทำไม่ ยังคง “เดินหน้า” กล่าวหาต่อไปด้วยการแยกคนพวกหนึ่ง (คนเสื้อเหลือง) รักเจ้ามากที่สุด อีกพวกหนึ่ง (คนเสื้อแดง) ถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำจะล้มล้างระบอบการปกครอง อันเป็นการแยกคนในชาติให้เกิดความแตกแยกที่ไม่เคยมีมาก่อน
ประการที่สี่ : ทั้งหลายทั้งปวง ปรากฎว่ามีคนอยู่เพียง ๒ กลุ่มเท่านั้น ที่ปฏิบัติเป็นศัตรูต่อกัน คือพวกเสื้อเหลือง – เป็นฝ่ายกระทำ พวกเสื้อแดง เป็นฝ่ายถูกกระทำ คนที่กระทำ ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาให้ตาย คนที่ถูกกระทำ ฮึดสู้ด้วยการจัดตั้งมวลชนคนเสื้อแดงขึ้นมายัน ทำให้ “การต่อสู้” เกิดการประจันหน้า จวนเจียนจะเกิดสงครามนองเลือด ดังตัวอย่างเช่น เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๑ – ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ (วันสงกรานต์เลือด) ที่คนเสื้อแดง นำโดย นปช.
รวมตัวกันขับไล่เผด็จการ รัฐบาลได้สั่งให้ทหารออกมาปราบด้วยมาตรการเด็ดขาด หากใครขัดขืน จะไม่มีการละเว้น ดังที่ได้ปรากฏเป็นข่าวอันน่าสะเทือนใจ
เหตุการณ์ในวันนั้น จบลงได้ภายในเวลาอันไม่นาน เนื่องจากฝ่ายแกนนำ “นปช.” ตัดสินใจยุติการขับเคลื่อนด้วยการยินยอมมอบตัวแก่เจ้าพนักงาน โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ กับเพื่อนแกนนำยอมเป็นผู้ต้องหา ไม่วิตกว่าจะได้รับโทษร้ายแรงเพียงไร
สมมติว่า แกนนำ นปช. ต้องการเอาชนะการต่อสู้ในวันนั้น ก็จะไม่มีการ “ลดราวาศอก”ใดๆทั้งสิ้น อันจะเป็นเหตุให้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารกับประชาชน ถ้ามีการปะทะกันในวันนั้น เชื่อได้เลยว่าโฉมหน้าของประเทศไทยจะพลิกจากซีกหนึ่งไปอีกซีกหนึ่ง อันจะเป็นต้นเหตุให้ประชาชนทะลักออกมาสู้บนท้องถนนมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ มันจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองก็ได้ หรือจะกลายเป็น “สงครามล้างเผ่าพันธุ์” ก็ได้
ประการที่ห้า : ปัญหาที่เกิดในประเทศไทยดังกล่าวมา เกิดจากระบบสังคมของประเทศนี้เป็นระบบ “อนุรักษ์นิยม” ที่พากันแอบอิง “ระบอบ” เป็นที่พึ่งอาศัยแล้วพากันใช้อำนาจเผด็จการเข้าครอบงำสังคมเอาไว้ การครอบงำแต่ละครั้งล้วนแต่ได้ใช้วิธีกาอันไม่เป็นธรรมกับประชาชน เช่นการปฏิวัติเงียบ การใช้กำลังทหารยึดอำนาจการปกครอง เป็นต้น พวกเขากระทำกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปรากฎว่าได้รับความสมหวัง (ชนะ) ทุกครั้ง นับแล้วมากกว่า ๒๘ ครั้ง ครั้งสุดท้ายคือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว ๑๘ ฉบับ ดังนั้น พวกเขาจึง “ย่ามใจ” ไม่เคยมีความละอายใจว่าได้กระทำความผิดต่อประเทศชาติและประชาชน ทำให้พวกเขากลายเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับประชาชนคนเสื้อแดง
ผมกะว่าใบปลิวกู้ชาติ จะจบลงในบทที่ ๔๕ ข้างหน้านี้และครับ แต่เรื่องการเมืองของประเทศไทย ที่อยู่ในอุ้งมือของเผด็จการ มันจบยาก ?!
รวมทั้งการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม “จึงจบยาก” ตามไปด้วย ดังนั้น ในเวอร์ชั่นใหม่ [Next Version] มันจะมีทั้งของเก่า ของใหม่ และความจำเจซ้ำซากดักดานปะปนอย่างไม่มีทางเลี่ยง หากจะเปลี่ยนไปบ้างก็คือ “ตัวละคร” ที่ออกมาโลดแล่นในในฐานะ “สงครามตัวแทน” เพื่อจะทำหน้าที่ “คุมทัพ”ในสนามรบเศรษฐกิจ ศาสนา การเมืองสังคม ศิลปะ และวัฒนธรรม เรียกว่าจะมีตัวละครยาวเหยียดเบียดเสียดกันกระโดดลงมาคลุกในสนามการต่อสู้ นัวเนียไปจนหมด
ท่านผู้อ่านที่อยู่ในประเทศหรือไกลออกไป จะมีโอกาสได้เห็นสถานการณ์ของประเทศไทย ในวันข้างหน้า ในสภาพ “ถ้ำจำศีล” ของพวกอำนาจมืดอย่างยาวนาน ยากที่จะแก้ไขให้ประเทศไทยได้เปิดแผ่นดินไปสู่ความศิวิไลซ์ และยากที่จะทำความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักสากล ทั้งนี้เนื่องจากหัวใจของ “ขุนนางและอำมาตย์” ผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศ และมีอำนาจในการนั่งอยู่บนกองผลประโยชน์ เป็นหัวใจที่คลอดมาจาก “อนุรักษ์นิยม” ที่มีแต่มีความเป็นอยู่โดดเด่นและสูงส่งราวหอคอยงาช้างปานนั้น
วันนี้ ผมขึ้นบทที่ ๔๓ ของใบปลิวกู้ชาติ ที่ยังคงเกาะติดดับสถานการณ์ของประเทศไทยที่มีปัญหาขัดข้องไม่รู้จักจบสิ้น เรียกว่าเกิดเป็นวันขึ้นมา จะหาโอกาสไปวัดด้วยหัวใจที่สงบเยือกเย็น แทบไม่ได้เลย ซึ่งมันแตกต่างจากอดีต ที่พ่อแม่จะพากันหยุดพักการทำงานในวันพระ แล้วพาลูก ๆ และหลานเหลนไปวัด โดยมีความสดชื่นซ่อนลึกอยู่ในหัวใจ แต่วันนี้ หัวอกมันรุ่มร้อน ระบมไปทั้งร่างกาย
ปัญหาของประเทศไทยจึงเป็นปัญหาที่ระทดระทวย อันจะนำพาประเทศให้จมลึกลงไปสู่ก้นเหวของอบายภูมิ ซึ่งหมายถึงประชาชนทั้งหลายจะตกเป็นเหยื่อของนรก ขุมเล็กขุมน้อย สุดที่จะแก้ไขให้กลับฟื้นคืนดีขึ้นมาได้ เรื่องของเรื่องเกิดมาจากอะไร ?
คำตอบของเรื่องนี้ ผมสามารถที่จะตอบให้ “โป๊ะเชะ” ได้เลย แต่ถ้าตอบแบบนั้น จะทำให้ “ตัวต้นเหตุ” ยอมรับหรือว่ายิ่งจะเกรี้ยวโกรธโกรธาขึ้นมา
ผมไม่อยากให้ตัวต้นเหตุได้รับความอับอายขายหน้า ไม่อยากให้ท่านโกรธ ผมจึงหาทางเลี่ยงด้วยการนะเสนอแบบ “บอกใบ้” ขอรับ เพราะว่าการ “บอกใบ้” จะช่วยลดอุณหภูมิลงได้มิใช่น้อย ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๓ จะช่วยแคะผงออกจากตาของประดาตัวเบิ้มในประเทศไทยได้
ขอเริ่มต้นด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน ไม่ต้องแปลว่า “คนไทยตัวเบิ้มๆคือตัวต้นเหตุของปัญหา” และคนไทย “ตัวเบิ้ม” เหล่านั้นมีอยู่ไม่เกิน ๗ คนที่ถือได้ว่าเป็นตัวการที่แท้จริง ที่มีหน้าที่รับผิด ชอบต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ และรับผิดชอบต่อ “ความมั่นคง” ของสถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัวเบิ้มๆที่ว่านี้ มีหน้าที่ตามรัฐธรรมมนูญก็มี ไม่มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญก็มี เรื่องมีอยู่ว่าตัวเบิ้มทั้ง ๗ พากันมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ ซึ้งแก่ใจว่ากลุ่มไหนมีอุดมกาณ์อย่างไร เรียกว่าไก่เห็นตีนงู-งูเห็นตีนไก่ กล่าวให้ชัดหมายถึงตัวเบิ้ม“พวกหนึ่ง”มีความจงรักภักดีจากหัวใจที่แท้จริง อีกกลุ่มหนึ่ง “ไม่มีความจงรักภักดี” อยู่ในหัวใจเลย
กลุ่มที่ไม่มีความจงรักภักดีมีความ “เกลียดชัง” ระบอบการปกครองแบบมีกษัตริย์เป็นองค์ประมุข มีอยู่ไม่เกิน ๓ หรือ ๔ คน ! แต่ด้วยเหตุว่าตัวเองมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสถาบันโดยตรง มีความเกี่ยวข้องกับสถานะความเป็นอยู่ โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนมากมายมหาศาล จึงไม่อาจที่จะแสดงตนเป็นศัตรูต่อสถาบันได้
อีกอย่างหนึ่งคนกลุ่มนี้ ตระหนักดีว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีความมั่นคง แข็งแกร่ง “อันเนื่องแต่ประชาชนยึดมั่นในระบอบกษัตริย์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง” ไม่มีวี่แววปรากฏให้เห็นเลยว่าสถาบันกษัตริย์จะสั่นคลอนโดยง่าย เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะกระทำสิ่งใดให้เป็นภัยแต่ตนเอง คนกลุ่มนี้จึงเก็บงำความรู้สึกอย่างมิดชิด
แต่ก็พากันคิดชั่ว มีความพยายามที่จะหาทาง “บ่อนทำลาย” ในหลายรูปแบบ ซึ่งได้พากัน กระทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หลายครั้งหลายหน
คนกลุ่มนี้ เป็นตัวเบิ้มคนสำคัญในระบอบการปกครอง
รูปแบบหลักๆที่ทำมาก่อนได้แก่การปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นมงคลทั้งหลาย ข่าวลือที่ปล่อยออกมาได้สร้างความงุนงงสงสัยแก่ประชาชนยิ่งนัก เพราะว่าประชาชนทั้งหลายนั้นอยู่ห่างไกลจาก ศูนย์ข่าวและข้อมูลประหนึ่งฟ้ามาดิน ไม่มีทางที่จะปั้นน้ำเป็นตัว หรือกระทำอะไรในทำนองรู้ดี รู้ไปหมดทุกอย่างได้ จึงอ่านได้เลยว่ามีแต่ “คนใกล้ชิด” เท่านั้น ที่สามารถดำเนินการปล่อยข่าวลือ ได้อย่างทรงอานุภาพยิ่ง
ต่อมา มีอีกกลุ่มหนึ่ง (๒ หรือ ๓ คน) ! เป็นกลุ่มที่มีความ “จงรักภักดี” ด้วยหัวใจอย่างยิ่งยวด แต่มีความอิจฉาริษยา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณชินวัตร ที่กำลังเป็น “ดาวรุ่ง” ดวงใหม่ ที่มีแสงสกาวสดใส มีแนวโน้มชัดจนว่าจะได้รับความรักจากประชาชนอย่างท่วมท้นทั้งแผ่นดิน คนกลุ่มนี้ได้ทำบาปอันโฉดชั่วด้วยการหาเรื่อง “ปั้นน้ำเป็นตัว” ใส่ร้ายป้ายสี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งมีความพยายามที่จะทำการ “ลอบสังหาร” [Assassination] แต่กระทำไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ได้ใช้กองกำลังทหารยึดอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒ !
คนตัวเบิ้มของประเทศไทยรวมแล้วไม่เกิน ๗ คน จึงเป็น “ตัวการใหญ่” ที่เป็นตัว “ต้นเหตุ” ก่อปัญหาให้แก่ประเทศชาติ และในจำนวนตัวเบิ้มทั้ง ๗ คนดังกล่าว แต่ละคนจะมีเครือข่ายเป็นสายสัมพันธุ์โยงใยยาวเหยียดนับเป็นร้อยเป็นพัน ทำให้กลุ่มของคนพวกนี้มีอำนาจอิทธิพลในพระราชอาณาจักรอย่างกว้าง
ใหญ่ไพศาล
มาถึงวันนี้ กลุ่มที่ไม่จงรักภักดี เห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงแผลงฤทธิ์กระโดดลงสู่สนามรบด้วยการตั้งกองกำลังทำ “สงครามตัวแทน” ร่วมรบกับกลุ่มที่มีความจงรักภักดีที่กำลังไล่บี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นการ “ประสานมือ” ใช้ทักษิณ เป็นเป้าล่อ
ขณะที่กำลังล่อกันนัวเนีย ก็ได้เร่งให้ประชาชนเกิดความเกลีดชัง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่ทว่าถึงแม้จะเร่งสุดเหยียดเพียงไรก็ไม่อาจทำให้ประชาชน (คนเสื้อแดง) เกลียดชังทักษิณได้
ตรงข้าม ประชาชนยิ่งเพิ่มความรัก ความเห็นใจ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรมากขึ้น
ตรงข้าม ประชาชนยิ่งเพิ่มความรัก ความเห็นใจ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรมากขึ้น
ถึงเวลานี้ กลุ่มบุคคลที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการทำสงครามตัวแทน ต่างออกมาใช้กลยุทธ์ใหม่ด้วยการ “กรีดน้ำตา” ระบายความคับแค้นใจบ้าง หรือไม่ก็พากันจัดงาน “สมานสามัคคี” บ้าง แต่ไม่ว่าจะจัดงานหรือจะทำอะไรก็ตาม สุดท้ายได้สรุปลงด้วยการ “ด่ากราด” คนเสื้อแดง หาว่าไปลุ่มหลงคารมของคนที่ไม่มีค่าเทียบเท่าองค์พระมหากษัตริย์ ในที่สุดได้กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นคอมมิวนิวนิสต์ !
ท่านผู้อ่านใบหลิวกู้ชาติทุกท่าน ผมกับคุณผึ้ง ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น นำเอาความจริงมาบรรยายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พร้อมกับได้เสนอแนะ “แนวทางแก้ไข” ให้อีกด้วย แต่ไม่ปรากฏ เลยว่า จะมีใครสนใจ โดยเฉพาะได้แก่พวกอำมาตย์เอาหูทวนลม
ยิ่งตอนนี้ เป็นช่วงของคนเสื้อแดงที่แตกออกเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันหลายล้านคน ยื่นหนังสือถวายฎีกา แต่ก็ได้มีอีกกลุ่มไม่เห็นด้วย ทำให้ได้พบเห็น “ความแตกต่าง” และ ความเหมือนในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่เหมือนก็คือ ได้มีการส่งเสียงสนับสนุนมากมายแก่คนทั้งสองกลุ่ม
สิ่งที่เหมือนก็คือ ได้มีการส่งเสียงสนับสนุนมากมายแก่คนทั้งสองกลุ่ม
แต่ก็แยกความแตกต่างออกได้ชัดเจนว่า มีผู้คนที่ต่างประเทศส่งเสียงนินทาสถาบันเบื้องสูงแบบไม่หวั่นเกรงว่าจะมีภัย เพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในประเทศไทย คนกลุ่มที่บังอาจตำหนิและนินทาเบื้องสูง ทำงานเข้าทางปืนของคนตัวเบิ้มจำนวน ๗ คน อย่างจัง ทำให้มีข้ออ้างได้ต่อไปว่าประเทศไทยมีคน “ไม่ประสงค์ดี” ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นความชอบธรรมของพวกเขาที่จะปราบปรามคนกลุ่มนี้อย่างไม่ไว้หน้าอีกต่อไป
ดังที่ผมกล่าวมา นับว่าเป็นการ “หักเห” ทิศทางได้อย่างแยบยลอย่างยิ่ง
แยบยลอย่างไร ? นี้เป็นคำถามที่สำคัญยิ่งนักที่จะต้องทำความเข้าใจต่อปัญหา นั้นก็คือ แรกเริ่มเดิมที ปัญหาของประเทศเป็นปัญหาความผิดพลาดในระดับนักการเมือง โดยมีการกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนไม่ดี ไม่ซื่อสัตย์สุจริต คดในข้อในกระดูก กระทำการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย และกล่าวหาขายหุ้นให้แก่ต่างชาติ หาว่าไม่เสียภาษี ซึ่งเป็น “ความผิด” ใน ระดับพรรคฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายรัฐบาล
ถ้าความขัดแย้งยืนอยู่ในระดับนี้ ก็จะแก้ได้โดยไม่ยาก
วิธีการแก้ก็คือ มีการแข่งขันทางการเมือง ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินด้วยการเลือกตั้งใหญ่ พรรคไหนชนะ พรรคนั้นเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล พรรคไหนพ่ายแพ้ก็ต้องไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน
แต่ปัญหาของประเทศไทยแก้ยากอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากพวกขุนนางพากันบิดประเทศให้บูดเบี้ยวด้วยการ“ยกระดับ" ปัญหาจากระดับการเมืองธรรมดา เอาประชาชนไปขัดแย้งกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการยกระดับที่แยบยลอย่างร้ายกาจและรุนแรงยิ่ง !
นี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ได้มีข่าวขัดแย้งระหว่างประชาชนกับพระเจ้าแผ่นดิน โดยมีพวกตัวเบิ้ม ๗ คนพวกนั้น ทั้งผลัก ทั้งดันให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นตุ๊กตาตัวเอ้ ยืนตระหง่านเป็น “ขุนทัพ” เดินนำหน้าประชาชนให้ชนกับเจ้า แม้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะส่งเสียงปฎิเสธเพียงไรก็ไม่ยอมรับฟังส่งข้อความผ่านเว็ป Twitter @ Thaksinlive เพียงไรก็ไม่เป็นผล
เกิดเป็นวันขึ้นมา จะได้ยินถ้อยคำ ๒ – ๓ ประโยค ที่ดังออกมาจากปากของตัวเบี้ม ๗ คน กล่าวคือ
(๑) ให้ทักษิณ หยุดโฟนอินเสียที
(๒) ให้ทักษิณประกาศวางมือเสียเถิด
(๓) ทักษิณ อย่าหนีให้กลับมาติดเสียโดยดี
(๔) ต้องปราบทักษิณ พิษภัยร้ายกาจของสถาบันให้เสร็จสิ้น บ้านเมืองจึงจะปลอดภัย
ท่านผู้อ่านที่รักครับ ผมเขียนมาถึงจุดนี้ ก็พอจะอ่านออกแล้วใช่ไหมว่า “ตัวเบิ้ม ๗ คน” ที่ผมได้บอกใบ้แก่ท่านไปแล้ว ท่านจะอ่านออกว่าเป็นใครบ้าง ปัญหาก็จะเหลืออยู่เพียง ๒ ประเด็นที่ท่านอยากรู้
อยากรู้ว่า “ใคร...คนไหน” เป็นผู้จงรักภักดีแท้
และใคร (คนไหน) คือไอ้ตัวการที่ไม่จงรักภักดี
ท่านอ่านเข้าไปในมุ้งมหาอำมาตย์ กวาดสายตาไปรอบทิศ แล้วจะเห็นพวก ๗ คนโดยไม่ยาก บางคนหน้าตาเป็นคนหนุ่ม บางคนแก่งั่ก บางคนมีอำนาจราชศักดิ์ มีสายสะพายเต็มบ่า มากไปด้วยบริวาร ล้อมหน้าล้อมหลัง มีปาราชิก โพธิรักษ์คอยเป็นพระสังฆราชในดวงใจอีกด้วย
บอกใบ้ขนาดนี้ น่าจะรู้แล้วใช่ไหครับว่าคน ๗ คน ดังที่ว่าคือใครบ้าง ?!
จบบทที่ ๔๓ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ 44 ย้อนดูความเลวของพันธมิตรฯ (พธม.)
บทที่ ๔๔ ย้อนดูความเลวของพันธมิตรฯ (พธม.) ?!!
ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติผ่านมาแล้ว ๔๓ บทขอรับ ขณะนี้กำลังขึ้นบทที่ ๔๔ อีกบทเดียวก็จะจบแล้วครับ ผมกำลังคิดอยู่ว่าบทที่ ๔๕ จะเปิดเผย “รายชื่อ” บุคคลที่เป็นตัวการทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย (ดีหรือไม่ดี) ทั้งนี้ อาจจะมี “คุก” เป็นเดิมพัน ในข้อหา “หมิ่นประมาท” หรืออะไรก็ไม่ทราบ จึงได้แก่กราบเรียนเอาไว้ว่าจะเขียนให้จบลงอย่างมีประโยชน์แก่ประเทศชาติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รอคอยอีกไม่กี่วันก็จะได้อ่านบทที่ ๔๕ ภายในสัปดาห์หน้านี้ขอรับ
ผมขอเริ่มบทวิพากย์ในเชิงประวัติศาสตร์ในบทที่ ๔๔ ว่า แรกเริ่มเดิมที ผมคิดไม่ถึงว่าพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)พวกสันติอโศก และพรรคประชาธิปัตย์จะกลายเป็นม็อบ “ก่อกวนเมือง” ให้ปั่นป่วนทั้งประเทศ ?
แต่วันนี้ ความเลวร้ายได้ปรากฏขึ้นแก่แก่คนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ประชาชนคนรากหญ้าและพวกเศรษฐีทั้งหลายต่างพากันได้รับ “ชะตากรรม” ตกทุกข์ได้ยาก ร้านค้าต้องปิดตัวเอง โรงงานเลิกกิจการ คนงานถูกลอยแพ เศรษฐกิจของชาติปั่นป่วน เกิดความขัดแย้งในสังคมอย่างรุนแรง คนไทยแตกเป็นสองฝัก-สองฝ่าย มีเสื้อเหลือง เสื้อแดง และเสื้อสีน้ำเงิน ?!
เมื่อบ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนผวนผันร้ายกาจรุนแรง แทนที่จะรู้ว่าสาเหตุมันเกิดมาจากการกระทำของตัวเอง กลับพากันโยนความผิดให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” คนเดียว ด้วยการกล่าว ว่าถ้าไม่มีคนชื่อทักษิณ “เหลืออยู่ในโลกนี้” ประเทศไทยจะสงบ ? ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนพวกเผด็จการจะเหี้ยมโหดไม่รู้จักจบสิ้น แต่มันก็ได้เป็นไปแล้ว !
ท่านผู้อ่านทุกท่านก็ย่อมจะตระหนักแก่ใจว่า “คนที่ทำให้มันเป็นไปแล้วได้แก่พวกสันติอโศก – พันธมิตรฯพรรคประชาธิปัตย์ และ คมช.” ทั้งนี้เนื่องจากทุกท่านได้เห็นด้วยตา ได้สัมผัสด้วยตนเอง นับเป็นเวลาเกือบ ๖ ปีติดต่อกัน ผมจึงขอเสนอบันทึกย้อนหลังกลับไปในปีที่ผ่านมาว่า :
ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ! พวกพันธมิตร ที่เล่นเอาเถิดกับมาตรการโหดกับประเทศของตนเอง พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะสลายตัว ตรงกันข้ามมีแต่ความก้าวร้าว เหิมเกริม หนักข้อยิ่งขึ้น สิ่งที่พวกพันธมิตรฯกระทำหนักข้อที่สุดในขณะนั้น ได้แก่การยึดครองถนนมัฆวาน ไม่ยอมเปิดถนนให้เสด็จในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พันธมิตรระดมพลจัดตั้งกองกำลังไม่แตกต่างจากกองโจรก่อการร้าย “การแต่งตัวของกองกำลังน่าเกลียดและน่ากลัวมาก” !
นอกจากพันธมิตรจะยึดครองทำเนียบรัฐบาล ยังได้นำกำลังไปยึดสนามบินดอนเมืองและได้บุกไปยึดสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับได้ประกาศปิดสนามบินนานาชาติของตัวเอง กระทำกับสมบัติของชาติราวกับว่าพวกเขาเป็นกองโจรต่างชาติ ที่ได้ชัยชนะในประเทศไทย พวกเขากระทำไม่แตกต่างจากคนขายชาติ นักท่องเที่ยวบินกลับประเทศไม่ได้นับแสนคน พวกเขากล้าที่จะทำในสิ่งอันไม่ควรทำ ชาติย่อยยับต่อหน้าก็กล้าทำ ?!
ผมขอเล่าสั้น ๆ “เมื่อพวกเขาได้รับไฟเขียวจากทหารว่าจะไม่ขัดขวางม็อบไม่ว่ากรณีใด ๆ พวกพันธมิตรได้แสดงอาการดื้อรั้นมาก ไม่เกรงกลัวกฎหมาย” พันธมิตรแสดงตนเป็นผู้มีอำนาจพิเศษด้วยการจัดการกับตำรวจราชาเทวะอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตำรวจแทนที่จะเป็นฝ่ายปราบปรามม็อบพันธมิตร แต่กลับตกเป็นเหยื่อของม็อบพันธมิตร “ถูกจับถอดเครื่องแบบ” แถมถูกทุบตีอีกต่างหาก บังคับให้เดินเท้าเปล่ากลับโรงพัก ตำรวจนับพันนายไม่อาจบังคับให้พันธมิตรสลายการชุมนุมได้ ทำให้ภาพของพันธมิตรในเวลานั้นกลายเป็นองค์กรการเมือง “ใต้ดิน” ที่กำลังทำหน้าที่ปกครองประเทศแข่งกับรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๖
พันธมิตรประกาศออกมาว่าในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” นายกรัฐมนตรี จะไม่ได้เข้าเฝ้าในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ ! ใครไม่เชื่อว่าคำประกาศของพันธมิตรจะเป็นจริงไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากตามจารีตประเพณีของสังคมไทยนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะบุคคลที่กำลังเป็นรัฐบาล รวมทั้งฝ่ายค้าน ตลอดทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย จะพากันไป “ถวายพระพร”ในวันเฉลิมอย่างถ้วนหน้า ซึ่งในช่วงนั้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่ง มีหรือจะไม่ได้เข้าเฝ้า ?
ทว่า...ในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ศาลได้พิพากษาให้ยุบพรรคการเมือง ๓ พรรค เป็นผลให้พรรคพลังประชาชน (๑ ใน ๓) ถูกยุบ ! นายสมชาย วงศ์ในโอกาสเดียวกันนั้น พันธมิตรฯ ก็ได้ประกาศสลายม็อบในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ !
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ สังคมไทยจึงพากันถึง “บางอ้อ” ว่าคำพูดของพันธมิตรที่บอกใบ้เอาไว้นั้น ที่แท้เขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพรรคพลังประชาชน แสดงว่าพันธมิตรคือเจ้าของอำนาจพิเศษที่ได้มาจากอะไรบางอย่าง ถ้าไม่เช่นนั้นพันธมิตรจะไม่ “แม่น” ขนาดนี้ เมื่อพันธมิตรฯประกาศสลายม็อบ พรรคพลังประชาชนสิ้นสภาพตาม ทำให้เกิดพรรค “เพื่อไทย” ขึ้นมารองรับภารกิจ ก็ได้เกิด “งูเห่าภาค ๒” โดยการกระทำของนายเนวิน ชิดชอบ นำพานักการเมืองในอ้อมกอดจำนวน ๓๒ คนแห่ไป “ซบอก” พรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๗ อันเป็นการ “หักดิบ” ทางการเมืองที่เลวร้ายในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง
พวกงูเห่าได้รวมตัวกันตั้งพรรคภูมิใจไทย ใส่เสื้อสีน้ำเงินนายเนวิน ชิดชอบ ได้ชื่อว่าเป็นคน “อกตัญญู” เนรคุณพรรค เพราะเขาประกาศว่าเขา
พร้อมที่จะต่อสู้ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อการปกป้องสถาบันให้มั่นคง ว่าแล้วก็ร้องให้ในจอทีวี รำพันถึงความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณให้ประชาชนได้ชมทั้งแผ่นดิน
การหักหลังพรรคการเมืองในครั้งนี้ นายเนวิน ชิดชอบ มีอำนาจเต็ม กุมบังเหียนพรรค นับแต่บัดนั้น ประดาผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายต่างพากัน“กร่าง” แสดงอำนาจบาตรใหญ่ เล่นงาน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และข่มเหงรังแก “คนเสื้อแดง” หนักหน่วงยิ่งขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะหาทางปรองดองกันได้เลย ประเทศไทยทั้งประเทศจมดิ่งลงไปสู่ความขัดแย้งทั้งในทางความคิด ความเชื่อ และความไม่ลงรอย โดยมีพวกเผด็จการ-อำมาตย์ใหญ่ และพวกอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย ได้ทำตัวเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญ เป็นเจ้าของความ “จงรักภักดี” และเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ แต่ฝ่ายเดียว คล้ายกับว่าคนเสื้อแดง “มิใช่คนไทย” ทั้งๆที่อยู่ร่วมแผ่นดินสยามผืนเดียวกัน
น่าแปลกที่สุด ได้แก่คนที่ชั่วช้าที่สุด กลับไม่มีความเสียหาย ได้แก่“นายสนธิ ลิ้มทองกุล” และพวกแกนนำพันธมิตรทั้งหลาย รวมถึง “สันติอโศกโพธิรักษ์” พลตรี จำลอง ศรีเมือง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ! เป็นต้น คนที่ถูกตีไข่ใส่ความว่าได้ทำให้ชาติเสียหายได้แก่ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” และคนเสื้อแดง ตลอดทั้งนักการเมืองซีกฝ่ายค้าน หรืออดีตนักการเมืองที่ถูกเว้นวรรคทางการเมืองคนละ ๕ ปี นับเป็นร้อยคนขึ้น ตกเป็นเหยื่อของพวกเผด็จการ
ผมรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมประเทศไทยจึงมีคนใช้อำนาจเผด็จการควบคุมนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม โดยอ้าง “ความจงรักภักดี” เอาขึ้นมาเป็นเครื่องมือ แล้วเล่นงานคนในชาติว่ากำลังจะล้มล้างระบอบการปกครอง ผมรู้สึกสงสัยอย่างมากที่สุด ที่ชนชั้นผู้ปกครอง ได้ยกเอาประชาชน (พสกนิกร) ขึ้นมาเป็นศัตรูของกับพระเจ้าแผ่นดิน การกระทำเช่นนี้ มีเลศนัยน่าระทึกยิ่งนัก ?!
เลศนับที่น่าสงสัยมากได้แก่การแต่งตั้ง “แกนนำ” ของพันธมิตร คือนายกษิต ภิรมย์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต่อมา แม้จะถูกข้อหาว่าเป็นโจรก่อการร้ายก็ไม่มีการให้ออก รัฐบาลยังคง “อุ้ม” นายกษิต ภิรมย์ อย่างเหนียวแน่น นอกจากนี้ ยังมีการประสานเสียงไปทั่วแผ่นดินจากบุคคลสำคัญของประเทศ กล่าวหาคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อกล่าวหามีอยู่เรื่องเดียวที่ยืนกรานตลอดเวลาว่าไม่มีความจงรักภักดี เป็นฝ่ายตรงข้ามกับองค์พระมหากษัตริย์
คนที่กล่าวชัดถ้อยชัดคำที่สุด คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวหากลางสภาผู้แทนราษฎร มิใช่แต่เท่านี้ ยังมีข้อกล่าวหาจาก “องคมนตรี” อีกหลายคน ตามด้วยท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ พล.ต.อ. วสิษฐ์ เดชกุญชร ที่ออกมาร่ำให้ในจอ ทีวี ช่องหอยม่วง อันเป็นการ “ตอกย้ำ” เข็มหมุดให้ฝังลึกลงไปว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กับคนเสื้อแดง คือกลุ่มบุคคลที่กำลังจ้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
ย้อนกลับไปที่พันธมิตร ปรากฏว่าได้เกิดการ “ลอบสังหาร” [Assassination] นายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ช่างประหลาดยิ่งนัก กระสุนไม่อาจปลิดชีพเขาได้ คดีลอบฆ่านายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้สร้างปรากฏการณ์อันน่าระทึกใจ อยากรู้จังเลยว่าใครหนอเป็นคนลงมือสังหารคนชั่วคนนี้ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำ แต่ก็มีคนทำจนได้ ประเทศไทยในช่วงพรรคประชาธิปัตย์ได้อำนาจรัฐ ผมเชื่อว่าเป็นช่วงที่พวกเผด็จการกำลังหาทาง “จัดตั้ง” ฐานอำนาจถาวร เพื่อจะเกาะกุมอำนาจรัฐเอาไว้ไม่ให้หลุดไปจากมืออีกเรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องต่อการแต่งตั้ง “ผู้บัญชาการตรวจแห่งชาติ” คนใหม่ ที่จะมาแทน “ภัทรวาท” !
ผมเดาตามประสาของผมว่า ตำรวจใหญ่คนหนึ่ง กับนายตำรวจใหญ่อีกคนหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเลือกตั้งในวันข้างหน้า ที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่ “พรรคประชาธิปัตย์” ให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาล หรือไม่ก็เป็นการกระทำเพื่อจะบ่อนทำลาย “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ให้มีความสง่างามและไม่ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เรียกว่าพวกเดียวกันกำลังทำลายพวกเดียวกัน อันหมายถึง “นายกรัฐมนตรี” ในดวงใจของพวกเผด็จการในวันข้างหน้า ไม่มีคนชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหลงเหลืออยู่ต่อไป
การขับเคี่ยวจึงวิจิตรพิสดารอย่างยิ่ง ผมเดาว่า “ประเด็น” ทำลายนายอภิสิทธิ์ เป็นประเด็นหลัก แต่จะทำลายได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวการที่หนุนหลังกันอยู่ว่า ใครจะแน่กว่าใคร ?! เมื่อเป็นเช่นนี้ การวางตัวจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี เหมาะหรือไม่เหมาะ จึงเป็นหมากการเมืองที่มีมือ “ลึกลับ” ยื่นออกมาขยับจับเปลี่ยน ถ้าจับเปลี่ยนดีๆไม่ได้ ก็ได้ใช้วิธีการยึดอำนาจ การปกครองด้วยวิธีการป่าเถื่อนตามรูปแบบตามกลยุทธ์ที่พวกเผด็จการได้วางเป้าหมายเอาไว้ เรื่องดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทยมาแล้วตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ มาจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างครั้งหลังสุดคือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! ความเลวร้ายที่เกิดกับประเทศไทย ได้หยั่งรากลงนับแต่วัน คมช. ยึดอำนาจ หลังจากนั้น พวก คมช. ได้แสวงหารูปแบบที่จะทำให้ “อำนาจเผด็จการ” สามารถดำรงอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น พวก คมช. จึงได้สร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการขึ้นมา (๒๕๕๐) โดยมีพวกลูกมือวิ่งหน้าเริดเข้าซุกปีก คมช. อันมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นสมุนตัวเอ้ คอยรับลูกทั้งในทางกฎหมายและ “นอกกฎหมาย” ได้แก่การแสดงท่าทีเอาใจใส่แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ดังจะเห็นได้จากกรณี “นปช.” เรียกร้องให้ดำเนินคดีกับเรื่องเดียว เงียบยังกะคลื่นกระทบฝั่งปฏิบัติการเช่นนี้เข้าข่ายหาทางทำนอกกฎหมายให้กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง
วิธีการทำงานเพื่อให้เกิดเป็นคลื่นกระทบฝั่ง และสุดท้ายได้ปลุกกระแสเป็นครั้งเป็นคราวจนสามารถกำหนดยุทธ์ศาสตร์ได้อย่างกลมกลืน แม้แต่เรื่อง “ลูกหมีแพนด้า” ตัวเท่ากับลูกหมูก็สามารถนำเอามาใช้เป็นเครื่องมือกลบกระแสได้เป็นอย่างดี แต่ความเจ็บปวดของประชาชนนับวันแต่จะรุนแรงยิ่งขึ้น ประธานกลุ่มของคนเสื้อแดง “นายวีระ มุสิกพงศ์” ในนามของ นปช. หรือมีชื่อเต็มว่า “แนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” ได้แสดงให้เห็นชัดว่าพวกเผด็จการได้ใช้วิธีการอันแยบยลเพื่อจะกลบเกลื่อนการกระทำอันชั่วร้ายของตนเองอย่างไรบ้าง นายวีระ มุสิกพงศ์ได้ใช้รายการ “ความจริงวันนี้” ส่งภาพสนทนาระหว่าง ๓ เกลอหัวขวด ฉีกหน้ากากอันโสมมของพวกเผด็จการ ก็ไม่อาจทำให้พวกเผด็จการเกิดความอับอายขึ้นมาได้
อีกมุมหนึ่ง “นายอดิศร เพียงเกษ” ! นักการเมืองขวัญใจคนรากหญ้าแห่งที่ราบสูง ผู้มี “ต้นทุน” การต่อสู้กับเผด็จการถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลกมาแล้ว ได้แสดงตนในการนำอย่างองอาจกล้าหาญ ได้กล่าวคำปราศรัยฉีกหน้ากากนับครั้งไม่ถ้วน มันไม่ได้ทำให้เผด็จการสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย กล่าวให้ชัด “เผด็จการก็ไม่ได้อ่อนแรงลงเลย” !
วันสงกรานต์ ๒๕๕๒ จึงเกิดวันสงกรานต์เลือด ! ดังจะได้เห็นภาพทหารจำนวนมาก ในมือถือปืนเอ็ม ๑๖ หันปลายกระบอกปืนใส่ประชาชน ทั้งยิงขึ้นฟ้า และยิงเข้าใส่ประชาชน
ใช่...! ประชาชนตายไม่มาก แต่ก็มีคนล้มตาย และมีคนสูญหาย ! มีการ “ขนศพ” เอาขึ้นรถแล้วขับบึ่งเอาศพไปเผาที่ไหน ไม่แน่ชัด มีแต่ข่าวลือว่าเผาในค่ายทหาร และเผาที่วัดสำคัญวัดหนึ่งใน กทม. พระภิกษุองค์หนึ่ง ที่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทุกครั้ง ในมือของท่านจะมีไม้เท้าและสะพายถุงย่าม จนเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาว่าพระภิกษุองค์นี้ท่านเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคนเสื้อแดง ทว่าหลังจากวันเกิดเหตุสงกรานต์เลือด ท่านอยู่แถวหน้า ร่วมสู้กับคนเสื้อแดง แล้วก็หายไปอย่างไม่มีร่องรอย เหตุเกิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เหลือแต่จีวรถูกถอดทิ้งอยู่บนถนนพร้อมกับบาตร
เหตุการณ์ในวันสงกรานต์เลือด เป็นการล้อมปราบประชาชนคนไทยในชาติเดียวกัน ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดมาจากชนชั้นผู้ปกครองเป็นผู้ก่อขึ้น โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้รับผิดชอบทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่การรับผิดชอบนั้นไม่แตกต่างจาก “สงครามตัวแทน” ทั้งนี้เนื่องจากเราเชื่อว่า มีมือเผด็จการ “คอยบงการ” อยู่เบื้องหลัง มือดังกล่าวนั้น ยังไม่ยอมปล่อยวางจนกระทั่งบัดนี้
เห็นได้ชัดจากการยื่นหนังสือถวายฎีกาเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! ที่มีมวลมหาประชาชนมากกว่า ๕ ล้านคน ส่งรายชื่อขอร่วมถวายฎีกา แม้จะคัดออกจำนวนมากก็ยังเหลือรายชื่อที่ถูกต้องอยู่มากกว่า ๓ ล้านคน ทันทีที่มีการถวายฎีกา ณ ท้องสนามหลวง พวกเผด็จการ “ออกมาต่อต้าน” ระงมไปทั่วประเทศ
ข่าวการถวายฎีกาถึงวันนี้ (๔ กันยายน ๒๕๕๒) ! ไม่มีวี่แววแม้แต่นิดว่าหนังสือถวายฎีกาจะได้รับการวินิจฉัยจากรัฐบาลว่าจะส่งกลับไปยังสำนักราชเลขาหรือว่าจะกักเอาไว้ ประเทศไทยนี้หนอ เหตุไรจึงเลวร้ายถึงเพียงนี้ ?!
ผมย้อนมองกลับไปยังการกระทำของพันธมิตร - สันติอโศก และพวกเผด็จการทั้งหลาย ผมพบกับการกระทำที่เลวร้ายมากมายหลายเรื่อง ขอนำเอาเรื่องที่เข้าใจง่ายมาเล่าว่าพวกเขาใส่ร้ายป้ายสี พ.ต.ต. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมา นับถึงวันนี้รวมแล้ว ๖ ปีกว่า !
แรกเริ่ม ประมาณ ๒-๓ ปีดูไม่ค่อยจะรุนแรง แต่นานวันเข้าก็ยกระดับขึ้นมากล่าวร้ายทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV และยังตีพิมพ์ในสื่ออีกต่างหาก หลังจากนั้นก็ได้ “เดินสาย” เล่นงานที่สวนลุมพินี และไปถล่มหนักที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี มีการตั้งม็อบเอามาด่า ขับไล่ ท๊ากสิน ออกไป –ท๊ากสิน ออกไป ! สื่อกระแสหลักของประเทศไทย คือหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ วิทยุ โทรทัศน์ พากันเสนอข่าว ขายดิบ ขายดี ไม่มีใครเฉลียวใจแม้แต่นิดว่าสื่อกระแสหลัก ได้เข้าร่วมกับพวกเผด็จการก่อความปั่นป่วนให้แก่ประเทศชาติโดยส่วนรวม ?!
ยิ่งสื่อกระแสหลักช่วยเสนอข่าวมากมายเพียงไร พวกม็อบเผด็จการยิ่งได้ใจมากมายเพียงนั้น มีคนอ้างตัวเป็นพระ แต่แท้ที่จริงพวกเขาคือเดียรถีย์ หุ่งห่มคล้ายพระ อ้างตัวเป็นศิษย์ของสำนัก “สันติอโศก” ยกกองทัพธรรม ปักกลด เล่นงานรัฐบาลด้วยข้อหาที่ใส่ร้ายป้ายสีล้วนแต่เป็นเท็จทั้งสิ้น แต่ก็น่าแปลกใจมากว่าทำไมนะ คนเสื้อเหลือง ทั้งที่เป็นไฮโซ และพวกนักวิชาการ กลับพากันเข้าข้าง “เดียรถีย์” เหล่านั้นอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
พวกม็อบพันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นประหนึ่งกองบัญชาการใหญ่สั่ง “ยึดอำนาจรัฐ” จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ! ทำเนียบรัฐบาลได้กลายเป็นดินแดนโสมม มีการ “สมสู่” คล้ายโรงแรมม่านรูด มีการแลกเปลี่ยนคู่ขากันอย่างสนุกสนาน ข่าวว่านักรบศรีวิชัยได้ “ข่มขืน” แม้กระทั่งหญิงแก่อายุ ๖๕ หรือว่าประดาสาวแก่แม่หม้าย หรือแม้กระทั่งคนที่ยังมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตน ยังพากัน “สำส่อน” โจ๋งครึ่ม ถุงอนามัยเต็มถังขยะ !
ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติผ่านมาแล้ว ๔๓ บทขอรับ ขณะนี้กำลังขึ้นบทที่ ๔๔ อีกบทเดียวก็จะจบแล้วครับ ผมกำลังคิดอยู่ว่าบทที่ ๔๕ จะเปิดเผย “รายชื่อ” บุคคลที่เป็นตัวการทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย (ดีหรือไม่ดี) ทั้งนี้ อาจจะมี “คุก” เป็นเดิมพัน ในข้อหา “หมิ่นประมาท” หรืออะไรก็ไม่ทราบ จึงได้แก่กราบเรียนเอาไว้ว่าจะเขียนให้จบลงอย่างมีประโยชน์แก่ประเทศชาติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รอคอยอีกไม่กี่วันก็จะได้อ่านบทที่ ๔๕ ภายในสัปดาห์หน้านี้ขอรับ
ผมขอเริ่มบทวิพากย์ในเชิงประวัติศาสตร์ในบทที่ ๔๔ ว่า แรกเริ่มเดิมที ผมคิดไม่ถึงว่าพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)พวกสันติอโศก และพรรคประชาธิปัตย์จะกลายเป็นม็อบ “ก่อกวนเมือง” ให้ปั่นป่วนทั้งประเทศ ?
แต่วันนี้ ความเลวร้ายได้ปรากฏขึ้นแก่แก่คนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ประชาชนคนรากหญ้าและพวกเศรษฐีทั้งหลายต่างพากันได้รับ “ชะตากรรม” ตกทุกข์ได้ยาก ร้านค้าต้องปิดตัวเอง โรงงานเลิกกิจการ คนงานถูกลอยแพ เศรษฐกิจของชาติปั่นป่วน เกิดความขัดแย้งในสังคมอย่างรุนแรง คนไทยแตกเป็นสองฝัก-สองฝ่าย มีเสื้อเหลือง เสื้อแดง และเสื้อสีน้ำเงิน ?!
เมื่อบ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนผวนผันร้ายกาจรุนแรง แทนที่จะรู้ว่าสาเหตุมันเกิดมาจากการกระทำของตัวเอง กลับพากันโยนความผิดให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” คนเดียว ด้วยการกล่าว ว่าถ้าไม่มีคนชื่อทักษิณ “เหลืออยู่ในโลกนี้” ประเทศไทยจะสงบ ? ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนพวกเผด็จการจะเหี้ยมโหดไม่รู้จักจบสิ้น แต่มันก็ได้เป็นไปแล้ว !
ท่านผู้อ่านทุกท่านก็ย่อมจะตระหนักแก่ใจว่า “คนที่ทำให้มันเป็นไปแล้วได้แก่พวกสันติอโศก – พันธมิตรฯพรรคประชาธิปัตย์ และ คมช.” ทั้งนี้เนื่องจากทุกท่านได้เห็นด้วยตา ได้สัมผัสด้วยตนเอง นับเป็นเวลาเกือบ ๖ ปีติดต่อกัน ผมจึงขอเสนอบันทึกย้อนหลังกลับไปในปีที่ผ่านมาว่า :
ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ! พวกพันธมิตร ที่เล่นเอาเถิดกับมาตรการโหดกับประเทศของตนเอง พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะสลายตัว ตรงกันข้ามมีแต่ความก้าวร้าว เหิมเกริม หนักข้อยิ่งขึ้น สิ่งที่พวกพันธมิตรฯกระทำหนักข้อที่สุดในขณะนั้น ได้แก่การยึดครองถนนมัฆวาน ไม่ยอมเปิดถนนให้เสด็จในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พันธมิตรระดมพลจัดตั้งกองกำลังไม่แตกต่างจากกองโจรก่อการร้าย “การแต่งตัวของกองกำลังน่าเกลียดและน่ากลัวมาก” !
นอกจากพันธมิตรจะยึดครองทำเนียบรัฐบาล ยังได้นำกำลังไปยึดสนามบินดอนเมืองและได้บุกไปยึดสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับได้ประกาศปิดสนามบินนานาชาติของตัวเอง กระทำกับสมบัติของชาติราวกับว่าพวกเขาเป็นกองโจรต่างชาติ ที่ได้ชัยชนะในประเทศไทย พวกเขากระทำไม่แตกต่างจากคนขายชาติ นักท่องเที่ยวบินกลับประเทศไม่ได้นับแสนคน พวกเขากล้าที่จะทำในสิ่งอันไม่ควรทำ ชาติย่อยยับต่อหน้าก็กล้าทำ ?!
ผมขอเล่าสั้น ๆ “เมื่อพวกเขาได้รับไฟเขียวจากทหารว่าจะไม่ขัดขวางม็อบไม่ว่ากรณีใด ๆ พวกพันธมิตรได้แสดงอาการดื้อรั้นมาก ไม่เกรงกลัวกฎหมาย” พันธมิตรแสดงตนเป็นผู้มีอำนาจพิเศษด้วยการจัดการกับตำรวจราชาเทวะอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตำรวจแทนที่จะเป็นฝ่ายปราบปรามม็อบพันธมิตร แต่กลับตกเป็นเหยื่อของม็อบพันธมิตร “ถูกจับถอดเครื่องแบบ” แถมถูกทุบตีอีกต่างหาก บังคับให้เดินเท้าเปล่ากลับโรงพัก ตำรวจนับพันนายไม่อาจบังคับให้พันธมิตรสลายการชุมนุมได้ ทำให้ภาพของพันธมิตรในเวลานั้นกลายเป็นองค์กรการเมือง “ใต้ดิน” ที่กำลังทำหน้าที่ปกครองประเทศแข่งกับรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๖
พันธมิตรประกาศออกมาว่าในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” นายกรัฐมนตรี จะไม่ได้เข้าเฝ้าในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ ! ใครไม่เชื่อว่าคำประกาศของพันธมิตรจะเป็นจริงไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากตามจารีตประเพณีของสังคมไทยนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะบุคคลที่กำลังเป็นรัฐบาล รวมทั้งฝ่ายค้าน ตลอดทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย จะพากันไป “ถวายพระพร”ในวันเฉลิมอย่างถ้วนหน้า ซึ่งในช่วงนั้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่ง มีหรือจะไม่ได้เข้าเฝ้า ?
ทว่า...ในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ศาลได้พิพากษาให้ยุบพรรคการเมือง ๓ พรรค เป็นผลให้พรรคพลังประชาชน (๑ ใน ๓) ถูกยุบ ! นายสมชาย วงศ์ในโอกาสเดียวกันนั้น พันธมิตรฯ ก็ได้ประกาศสลายม็อบในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ !
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ สังคมไทยจึงพากันถึง “บางอ้อ” ว่าคำพูดของพันธมิตรที่บอกใบ้เอาไว้นั้น ที่แท้เขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพรรคพลังประชาชน แสดงว่าพันธมิตรคือเจ้าของอำนาจพิเศษที่ได้มาจากอะไรบางอย่าง ถ้าไม่เช่นนั้นพันธมิตรจะไม่ “แม่น” ขนาดนี้ เมื่อพันธมิตรฯประกาศสลายม็อบ พรรคพลังประชาชนสิ้นสภาพตาม ทำให้เกิดพรรค “เพื่อไทย” ขึ้นมารองรับภารกิจ ก็ได้เกิด “งูเห่าภาค ๒” โดยการกระทำของนายเนวิน ชิดชอบ นำพานักการเมืองในอ้อมกอดจำนวน ๓๒ คนแห่ไป “ซบอก” พรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๗ อันเป็นการ “หักดิบ” ทางการเมืองที่เลวร้ายในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง
พวกงูเห่าได้รวมตัวกันตั้งพรรคภูมิใจไทย ใส่เสื้อสีน้ำเงินนายเนวิน ชิดชอบ ได้ชื่อว่าเป็นคน “อกตัญญู” เนรคุณพรรค เพราะเขาประกาศว่าเขา
พร้อมที่จะต่อสู้ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อการปกป้องสถาบันให้มั่นคง ว่าแล้วก็ร้องให้ในจอทีวี รำพันถึงความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณให้ประชาชนได้ชมทั้งแผ่นดิน
การหักหลังพรรคการเมืองในครั้งนี้ นายเนวิน ชิดชอบ มีอำนาจเต็ม กุมบังเหียนพรรค นับแต่บัดนั้น ประดาผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายต่างพากัน“กร่าง” แสดงอำนาจบาตรใหญ่ เล่นงาน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และข่มเหงรังแก “คนเสื้อแดง” หนักหน่วงยิ่งขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะหาทางปรองดองกันได้เลย ประเทศไทยทั้งประเทศจมดิ่งลงไปสู่ความขัดแย้งทั้งในทางความคิด ความเชื่อ และความไม่ลงรอย โดยมีพวกเผด็จการ-อำมาตย์ใหญ่ และพวกอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย ได้ทำตัวเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญ เป็นเจ้าของความ “จงรักภักดี” และเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ แต่ฝ่ายเดียว คล้ายกับว่าคนเสื้อแดง “มิใช่คนไทย” ทั้งๆที่อยู่ร่วมแผ่นดินสยามผืนเดียวกัน
น่าแปลกที่สุด ได้แก่คนที่ชั่วช้าที่สุด กลับไม่มีความเสียหาย ได้แก่“นายสนธิ ลิ้มทองกุล” และพวกแกนนำพันธมิตรทั้งหลาย รวมถึง “สันติอโศกโพธิรักษ์” พลตรี จำลอง ศรีเมือง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ! เป็นต้น คนที่ถูกตีไข่ใส่ความว่าได้ทำให้ชาติเสียหายได้แก่ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” และคนเสื้อแดง ตลอดทั้งนักการเมืองซีกฝ่ายค้าน หรืออดีตนักการเมืองที่ถูกเว้นวรรคทางการเมืองคนละ ๕ ปี นับเป็นร้อยคนขึ้น ตกเป็นเหยื่อของพวกเผด็จการ
ผมรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมประเทศไทยจึงมีคนใช้อำนาจเผด็จการควบคุมนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม โดยอ้าง “ความจงรักภักดี” เอาขึ้นมาเป็นเครื่องมือ แล้วเล่นงานคนในชาติว่ากำลังจะล้มล้างระบอบการปกครอง ผมรู้สึกสงสัยอย่างมากที่สุด ที่ชนชั้นผู้ปกครอง ได้ยกเอาประชาชน (พสกนิกร) ขึ้นมาเป็นศัตรูของกับพระเจ้าแผ่นดิน การกระทำเช่นนี้ มีเลศนัยน่าระทึกยิ่งนัก ?!
เลศนับที่น่าสงสัยมากได้แก่การแต่งตั้ง “แกนนำ” ของพันธมิตร คือนายกษิต ภิรมย์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต่อมา แม้จะถูกข้อหาว่าเป็นโจรก่อการร้ายก็ไม่มีการให้ออก รัฐบาลยังคง “อุ้ม” นายกษิต ภิรมย์ อย่างเหนียวแน่น นอกจากนี้ ยังมีการประสานเสียงไปทั่วแผ่นดินจากบุคคลสำคัญของประเทศ กล่าวหาคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อกล่าวหามีอยู่เรื่องเดียวที่ยืนกรานตลอดเวลาว่าไม่มีความจงรักภักดี เป็นฝ่ายตรงข้ามกับองค์พระมหากษัตริย์
คนที่กล่าวชัดถ้อยชัดคำที่สุด คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวหากลางสภาผู้แทนราษฎร มิใช่แต่เท่านี้ ยังมีข้อกล่าวหาจาก “องคมนตรี” อีกหลายคน ตามด้วยท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ พล.ต.อ. วสิษฐ์ เดชกุญชร ที่ออกมาร่ำให้ในจอ ทีวี ช่องหอยม่วง อันเป็นการ “ตอกย้ำ” เข็มหมุดให้ฝังลึกลงไปว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กับคนเสื้อแดง คือกลุ่มบุคคลที่กำลังจ้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
ย้อนกลับไปที่พันธมิตร ปรากฏว่าได้เกิดการ “ลอบสังหาร” [Assassination] นายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ช่างประหลาดยิ่งนัก กระสุนไม่อาจปลิดชีพเขาได้ คดีลอบฆ่านายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้สร้างปรากฏการณ์อันน่าระทึกใจ อยากรู้จังเลยว่าใครหนอเป็นคนลงมือสังหารคนชั่วคนนี้ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำ แต่ก็มีคนทำจนได้ ประเทศไทยในช่วงพรรคประชาธิปัตย์ได้อำนาจรัฐ ผมเชื่อว่าเป็นช่วงที่พวกเผด็จการกำลังหาทาง “จัดตั้ง” ฐานอำนาจถาวร เพื่อจะเกาะกุมอำนาจรัฐเอาไว้ไม่ให้หลุดไปจากมืออีกเรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องต่อการแต่งตั้ง “ผู้บัญชาการตรวจแห่งชาติ” คนใหม่ ที่จะมาแทน “ภัทรวาท” !
ผมเดาตามประสาของผมว่า ตำรวจใหญ่คนหนึ่ง กับนายตำรวจใหญ่อีกคนหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเลือกตั้งในวันข้างหน้า ที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่ “พรรคประชาธิปัตย์” ให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาล หรือไม่ก็เป็นการกระทำเพื่อจะบ่อนทำลาย “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ให้มีความสง่างามและไม่ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เรียกว่าพวกเดียวกันกำลังทำลายพวกเดียวกัน อันหมายถึง “นายกรัฐมนตรี” ในดวงใจของพวกเผด็จการในวันข้างหน้า ไม่มีคนชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหลงเหลืออยู่ต่อไป
การขับเคี่ยวจึงวิจิตรพิสดารอย่างยิ่ง ผมเดาว่า “ประเด็น” ทำลายนายอภิสิทธิ์ เป็นประเด็นหลัก แต่จะทำลายได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวการที่หนุนหลังกันอยู่ว่า ใครจะแน่กว่าใคร ?! เมื่อเป็นเช่นนี้ การวางตัวจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี เหมาะหรือไม่เหมาะ จึงเป็นหมากการเมืองที่มีมือ “ลึกลับ” ยื่นออกมาขยับจับเปลี่ยน ถ้าจับเปลี่ยนดีๆไม่ได้ ก็ได้ใช้วิธีการยึดอำนาจ การปกครองด้วยวิธีการป่าเถื่อนตามรูปแบบตามกลยุทธ์ที่พวกเผด็จการได้วางเป้าหมายเอาไว้ เรื่องดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทยมาแล้วตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ มาจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างครั้งหลังสุดคือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! ความเลวร้ายที่เกิดกับประเทศไทย ได้หยั่งรากลงนับแต่วัน คมช. ยึดอำนาจ หลังจากนั้น พวก คมช. ได้แสวงหารูปแบบที่จะทำให้ “อำนาจเผด็จการ” สามารถดำรงอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น พวก คมช. จึงได้สร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการขึ้นมา (๒๕๕๐) โดยมีพวกลูกมือวิ่งหน้าเริดเข้าซุกปีก คมช. อันมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นสมุนตัวเอ้ คอยรับลูกทั้งในทางกฎหมายและ “นอกกฎหมาย” ได้แก่การแสดงท่าทีเอาใจใส่แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ดังจะเห็นได้จากกรณี “นปช.” เรียกร้องให้ดำเนินคดีกับเรื่องเดียว เงียบยังกะคลื่นกระทบฝั่งปฏิบัติการเช่นนี้เข้าข่ายหาทางทำนอกกฎหมายให้กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง
วิธีการทำงานเพื่อให้เกิดเป็นคลื่นกระทบฝั่ง และสุดท้ายได้ปลุกกระแสเป็นครั้งเป็นคราวจนสามารถกำหนดยุทธ์ศาสตร์ได้อย่างกลมกลืน แม้แต่เรื่อง “ลูกหมีแพนด้า” ตัวเท่ากับลูกหมูก็สามารถนำเอามาใช้เป็นเครื่องมือกลบกระแสได้เป็นอย่างดี แต่ความเจ็บปวดของประชาชนนับวันแต่จะรุนแรงยิ่งขึ้น ประธานกลุ่มของคนเสื้อแดง “นายวีระ มุสิกพงศ์” ในนามของ นปช. หรือมีชื่อเต็มว่า “แนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” ได้แสดงให้เห็นชัดว่าพวกเผด็จการได้ใช้วิธีการอันแยบยลเพื่อจะกลบเกลื่อนการกระทำอันชั่วร้ายของตนเองอย่างไรบ้าง นายวีระ มุสิกพงศ์ได้ใช้รายการ “ความจริงวันนี้” ส่งภาพสนทนาระหว่าง ๓ เกลอหัวขวด ฉีกหน้ากากอันโสมมของพวกเผด็จการ ก็ไม่อาจทำให้พวกเผด็จการเกิดความอับอายขึ้นมาได้
อีกมุมหนึ่ง “นายอดิศร เพียงเกษ” ! นักการเมืองขวัญใจคนรากหญ้าแห่งที่ราบสูง ผู้มี “ต้นทุน” การต่อสู้กับเผด็จการถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลกมาแล้ว ได้แสดงตนในการนำอย่างองอาจกล้าหาญ ได้กล่าวคำปราศรัยฉีกหน้ากากนับครั้งไม่ถ้วน มันไม่ได้ทำให้เผด็จการสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย กล่าวให้ชัด “เผด็จการก็ไม่ได้อ่อนแรงลงเลย” !
วันสงกรานต์ ๒๕๕๒ จึงเกิดวันสงกรานต์เลือด ! ดังจะได้เห็นภาพทหารจำนวนมาก ในมือถือปืนเอ็ม ๑๖ หันปลายกระบอกปืนใส่ประชาชน ทั้งยิงขึ้นฟ้า และยิงเข้าใส่ประชาชน
ใช่...! ประชาชนตายไม่มาก แต่ก็มีคนล้มตาย และมีคนสูญหาย ! มีการ “ขนศพ” เอาขึ้นรถแล้วขับบึ่งเอาศพไปเผาที่ไหน ไม่แน่ชัด มีแต่ข่าวลือว่าเผาในค่ายทหาร และเผาที่วัดสำคัญวัดหนึ่งใน กทม. พระภิกษุองค์หนึ่ง ที่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทุกครั้ง ในมือของท่านจะมีไม้เท้าและสะพายถุงย่าม จนเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาว่าพระภิกษุองค์นี้ท่านเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคนเสื้อแดง ทว่าหลังจากวันเกิดเหตุสงกรานต์เลือด ท่านอยู่แถวหน้า ร่วมสู้กับคนเสื้อแดง แล้วก็หายไปอย่างไม่มีร่องรอย เหตุเกิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เหลือแต่จีวรถูกถอดทิ้งอยู่บนถนนพร้อมกับบาตร
เหตุการณ์ในวันสงกรานต์เลือด เป็นการล้อมปราบประชาชนคนไทยในชาติเดียวกัน ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดมาจากชนชั้นผู้ปกครองเป็นผู้ก่อขึ้น โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้รับผิดชอบทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่การรับผิดชอบนั้นไม่แตกต่างจาก “สงครามตัวแทน” ทั้งนี้เนื่องจากเราเชื่อว่า มีมือเผด็จการ “คอยบงการ” อยู่เบื้องหลัง มือดังกล่าวนั้น ยังไม่ยอมปล่อยวางจนกระทั่งบัดนี้
เห็นได้ชัดจากการยื่นหนังสือถวายฎีกาเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! ที่มีมวลมหาประชาชนมากกว่า ๕ ล้านคน ส่งรายชื่อขอร่วมถวายฎีกา แม้จะคัดออกจำนวนมากก็ยังเหลือรายชื่อที่ถูกต้องอยู่มากกว่า ๓ ล้านคน ทันทีที่มีการถวายฎีกา ณ ท้องสนามหลวง พวกเผด็จการ “ออกมาต่อต้าน” ระงมไปทั่วประเทศ
ข่าวการถวายฎีกาถึงวันนี้ (๔ กันยายน ๒๕๕๒) ! ไม่มีวี่แววแม้แต่นิดว่าหนังสือถวายฎีกาจะได้รับการวินิจฉัยจากรัฐบาลว่าจะส่งกลับไปยังสำนักราชเลขาหรือว่าจะกักเอาไว้ ประเทศไทยนี้หนอ เหตุไรจึงเลวร้ายถึงเพียงนี้ ?!
ผมย้อนมองกลับไปยังการกระทำของพันธมิตร - สันติอโศก และพวกเผด็จการทั้งหลาย ผมพบกับการกระทำที่เลวร้ายมากมายหลายเรื่อง ขอนำเอาเรื่องที่เข้าใจง่ายมาเล่าว่าพวกเขาใส่ร้ายป้ายสี พ.ต.ต. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมา นับถึงวันนี้รวมแล้ว ๖ ปีกว่า !
แรกเริ่ม ประมาณ ๒-๓ ปีดูไม่ค่อยจะรุนแรง แต่นานวันเข้าก็ยกระดับขึ้นมากล่าวร้ายทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV และยังตีพิมพ์ในสื่ออีกต่างหาก หลังจากนั้นก็ได้ “เดินสาย” เล่นงานที่สวนลุมพินี และไปถล่มหนักที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี มีการตั้งม็อบเอามาด่า ขับไล่ ท๊ากสิน ออกไป –ท๊ากสิน ออกไป ! สื่อกระแสหลักของประเทศไทย คือหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ วิทยุ โทรทัศน์ พากันเสนอข่าว ขายดิบ ขายดี ไม่มีใครเฉลียวใจแม้แต่นิดว่าสื่อกระแสหลัก ได้เข้าร่วมกับพวกเผด็จการก่อความปั่นป่วนให้แก่ประเทศชาติโดยส่วนรวม ?!
ยิ่งสื่อกระแสหลักช่วยเสนอข่าวมากมายเพียงไร พวกม็อบเผด็จการยิ่งได้ใจมากมายเพียงนั้น มีคนอ้างตัวเป็นพระ แต่แท้ที่จริงพวกเขาคือเดียรถีย์ หุ่งห่มคล้ายพระ อ้างตัวเป็นศิษย์ของสำนัก “สันติอโศก” ยกกองทัพธรรม ปักกลด เล่นงานรัฐบาลด้วยข้อหาที่ใส่ร้ายป้ายสีล้วนแต่เป็นเท็จทั้งสิ้น แต่ก็น่าแปลกใจมากว่าทำไมนะ คนเสื้อเหลือง ทั้งที่เป็นไฮโซ และพวกนักวิชาการ กลับพากันเข้าข้าง “เดียรถีย์” เหล่านั้นอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
พวกม็อบพันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นประหนึ่งกองบัญชาการใหญ่สั่ง “ยึดอำนาจรัฐ” จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ! ทำเนียบรัฐบาลได้กลายเป็นดินแดนโสมม มีการ “สมสู่” คล้ายโรงแรมม่านรูด มีการแลกเปลี่ยนคู่ขากันอย่างสนุกสนาน ข่าวว่านักรบศรีวิชัยได้ “ข่มขืน” แม้กระทั่งหญิงแก่อายุ ๖๕ หรือว่าประดาสาวแก่แม่หม้าย หรือแม้กระทั่งคนที่ยังมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตน ยังพากัน “สำส่อน” โจ๋งครึ่ม ถุงอนามัยเต็มถังขยะ !
ผมไม่แน่ใจว่า “โพธิรักษ์” มีสาวิกาคอยปรนนิบัติหรือไม่ ?!
ที่ทำเนียบรัฐบาล : สาวเอ๊าะเอ๊าะ พากันตั้งท้องหลายคน! นอกจากนี้ยัง มีการซ้อมรบ คล้ายกองกำลังโจรก่อการร้าย ประเทศไทยในยามนั้นไม่แตกต่างจากบ้านเถื่อนเมืองเถื่อน หลังจากพวกม็อบได้ถอนตัวออก จึงได้รู้ว่าม็อบผีบ้าผีบุญทำปูยี่ปูยำกับทำเนียบรัฐบาลถึงขั้น “อึ” ใส่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ทำลายข้าวของกระจุยกระจายไม่แตกต่างจากโจรป่าบุกเข้าปล้น บ้านเรือน ปล้นแล้วขี้ใส่ก่อนอำลา พร้อมกับกวดเอาทรัพย์สินไปจนเกลี้ยง ?!
ต่อมาได้ทราบว่าเครื่องมือเก็บรักษาความลับได้ถูกรื้อค้นและทำลายป่นปี้ ข้อมูลพวกค้ายาบ้า ยาอี ยาไอช์ หายเรียบ ข้อมูลเจ้ามือหวยใต้ดิน ซุ้มมือปืน ไม่มีเหลือ ข้อมูลบ่อนเถื่อนทั่วประเทศ ตลอดทั้งข้อมูล นักเลง อันธพาล ถูกทำลายเละ ?! ทั้งนี้ยังไม่รวมข้อมูล “ความมั่นคง” การค้าขายระหว่างประเทศ ตลอดทั้งเอกสารประวัติศาสตร์ตั้งแต่โบราณกาล ได้ถูกฉีกขาด และฉกเอาไปจากห้องเก็บเอกสารชิ้นสำคัญของแผ่นดิน
ความเลวของพันธมิตร สาหัสสากรรจ์ ที่มีมือ “ลี้ลับ” เป็นผู้บงการให้กระทำปูยี่ปูยำแก่ประเทศอันไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุไร จึงโกรธแค้นชิงชังถึงขั้นจ้องทำลายความมั่นคงของประเทศไทยทั้งประเทศ ? โดยไม่มี ทหารและตำรวจ กล้าแสดงตนออกมาขัดขวาง
วันนี้ เศรษฐกิจของชาติฟุบจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ต่างชาติขาดความไว้วางใจ ยากที่จะมีความกล้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ถึงจะมีต่างชาติบางคนมีความกล้า ก็จะมีแต่ในกลุ่ม “พวกมาเฟีย” ด้วยกัน ที่ถือว่าที่ไหนมีสงคราม ที่นั่นย่อมจะมีบ่อน้ำมันให้เอื้อมมือตัก สิ่งหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้า คือลูกค้าโรงแรมหายไป กิจการท่องเที่ยวพังกราวรูด โรงงานผลิตสินค้า “ส่งออก” ประสบชะตากรรม อันเนื่องมาแต่ไม่มีใบสั่งซื้อ ทำให้รายได้ของประเทศจมหายไปกับความวิบัติมากกว่า ๑ ล้าน-ล้านบาท จึงเป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องขึ้นภาษีน้ำมัน กู้เงิน ๔ แสนล้าน บวกอีก ๔ แสนล้าน รวมเป็น ๘ แสนล้านบาท !
เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้ออกพันธบัตร ขอกู้เงินพ่อแม่ผู้อยู่ในวัยสูงอายุ ได้เงินไป ๕ หมื่นกว่าล้านบาท ทำให้ประชาธิปัตย์มีเงินเอาไปวิ่งแจกคนมีเงินเดือน คนละ ๒,๐๐๐ บาท และอื่น ๆ
สรุปแล้ว พรรคประชาธิปัตย์กำลังเอาประเทศเป็นสนามแก่งแย่งเกมอำนาจโดยมิได้สนใจว่าประเทศชาติจะแตกเป็นกี่เสี่ยงต่อกี่เสี่ยง ?!จบบทที่ ๔๔ / สอาด จันทร์ดี
บทที่ ๔๕ บทสุดท้าย “ตอนจบ” ใบปลิวกู้ชาติ
ผมได้ทำงานรับใช้ “ท่านผู้อ่าน” มาถึงวันอำลาแล้วครับ
ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้เป็นฉบับตอนจบ (๘ กันยายน ๒๕๕๒) !
จบลงด้วยการ “ขมวดปม” ให้เข้าใจง่ายขึ้นว่าปัญหาของชาติคืออะไรบ้าง พร้อมกับมีข้อเสนอแนะที่เข้าใจง่ายอีกเช่นกัน เพื่อทุกฝ่ายจะได้นำเอาไปใช้เป็น “แนวทาง” แก้ปัญหาของชาติโดยส่วนรวม ให้หลุดไปจากวิบากต่างๆที่เผชิญหน้าประเทศไทยอยู่ในขณะนี้
ผมขอกราบเรียนกับท่านว่า “บทสุดท้าย” อันเป็นตอนจบของใบปลิวกู้ชาติ จะมีความยาวไม่มาก ผมจะรีบย่นย่อให้กระชับ ดังนี้
ปฐมเหตุที่ ๑ : สาเหตุหลัก ๕ ประการ
ประการที่หนึ่ง : ที่ทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหาร้ายแรงจนแทบว่าแผ่นดินจะแตกเกิดจากพวก “ขุนนาง” และพวกอำมาตย์ใหญ่ “ทั้งอำมาตย์หลวงและอำมาตย์เอกชน” เป็นคนไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบต่อประเทศ มีความทะเยอทะยานอยากในอำนาจมากมาย กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติโดยส่วนรวม ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมความเป็นอยู่ เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกบคนจน-จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก
ผมได้ทำงานรับใช้ “ท่านผู้อ่าน” มาถึงวันอำลาแล้วครับ
ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้เป็นฉบับตอนจบ (๘ กันยายน ๒๕๕๒) !
จบลงด้วยการ “ขมวดปม” ให้เข้าใจง่ายขึ้นว่าปัญหาของชาติคืออะไรบ้าง พร้อมกับมีข้อเสนอแนะที่เข้าใจง่ายอีกเช่นกัน เพื่อทุกฝ่ายจะได้นำเอาไปใช้เป็น “แนวทาง” แก้ปัญหาของชาติโดยส่วนรวม ให้หลุดไปจากวิบากต่างๆที่เผชิญหน้าประเทศไทยอยู่ในขณะนี้
ผมขอกราบเรียนกับท่านว่า “บทสุดท้าย” อันเป็นตอนจบของใบปลิวกู้ชาติ จะมีความยาวไม่มาก ผมจะรีบย่นย่อให้กระชับ ดังนี้
ปฐมเหตุที่ ๑ : สาเหตุหลัก ๕ ประการ
ประการที่หนึ่ง : ที่ทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหาร้ายแรงจนแทบว่าแผ่นดินจะแตกเกิดจากพวก “ขุนนาง” และพวกอำมาตย์ใหญ่ “ทั้งอำมาตย์หลวงและอำมาตย์เอกชน” เป็นคนไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบต่อประเทศ มีความทะเยอทะยานอยากในอำนาจมากมาย กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติโดยส่วนรวม ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมความเป็นอยู่ เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกบคนจน-จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก
ประการที่สอง : พวกขุนนางและอำมาตย์พากันกระทำความผิดต่อตัวบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วยความไม่เป็นธรรม เป็นการ “กลั่นแกล้ง” ทางการเมืองที่โฉดชั่วด้วยการใช้กำลังทหารเผด็จการ “ยึดอำนาจการปกครอง” แล้วกุเรื่องอันเป็นเท็จ ใส่ความ กล่าวหา ตั้งข้อหาราวกับว่าเขาผู้เป็นโจรร้าย เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้หยิบยื่นข้อกล่าวหา “หาว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” อันเป็นการตั้งข้อหาของพวกเผด็จการที่บ่อนทำลายความสามัคคีอย่างร้ายแรงที่สุด
ประการที่สาม : แม้ข้อกล่าวหาจะร้ายแรงเพียงไร พวกเผด็จการหาได้หยุดการกระทำไม่ ยังคง “เดินหน้า” กล่าวหาต่อไปด้วยการแยกคนพวกหนึ่ง (คนเสื้อเหลือง) รักเจ้ามากที่สุด อีกพวกหนึ่ง (คนเสื้อแดง) ถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำจะล้มล้างระบอบการปกครอง อันเป็นการแยกคนในชาติให้เกิดความแตกแยกที่ไม่เคยมีมาก่อน
ประการที่สี่ : ทั้งหลายทั้งปวง ปรากฎว่ามีคนอยู่เพียง ๒ กลุ่มเท่านั้น ที่ปฏิบัติเป็นศัตรูต่อกัน คือพวกเสื้อเหลือง – เป็นฝ่ายกระทำ พวกเสื้อแดง เป็นฝ่ายถูกกระทำ คนที่กระทำ ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาให้ตาย คนที่ถูกกระทำ ฮึดสู้ด้วยการจัดตั้งมวลชนคนเสื้อแดงขึ้นมายัน ทำให้ “การต่อสู้” เกิดการประจันหน้า จวนเจียนจะเกิดสงครามนองเลือด ดังตัวอย่างเช่น เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๑ – ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ (วันสงกรานต์เลือด) ที่คนเสื้อแดง นำโดย นปช.
รวมตัวกันขับไล่เผด็จการ รัฐบาลได้สั่งให้ทหารออกมาปราบด้วยมาตรการเด็ดขาด หากใครขัดขืน จะไม่มีการละเว้น ดังที่ได้ปรากฏเป็นข่าวอันน่าสะเทือนใจ
เหตุการณ์ในวันนั้น จบลงได้ภายในเวลาอันไม่นาน เนื่องจากฝ่ายแกนนำ “นปช.” ตัดสินใจยุติการขับเคลื่อนด้วยการยินยอมมอบตัวแก่เจ้าพนักงาน โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ กับเพื่อนแกนนำยอมเป็นผู้ต้องหา ไม่วิตกว่าจะได้รับโทษร้ายแรงเพียงไร
สมมติว่า แกนนำ นปช. ต้องการเอาชนะการต่อสู้ในวันนั้น ก็จะไม่มีการ “ลดราวาศอก”ใดๆทั้งสิ้น อันจะเป็นเหตุให้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารกับประชาชน ถ้ามีการปะทะกันในวันนั้น เชื่อได้เลยว่าโฉมหน้าของประเทศไทยจะพลิกจากซีกหนึ่งไปอีกซีกหนึ่ง อันจะเป็นต้นเหตุให้ประชาชนทะลักออกมาสู้บนท้องถนนมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ มันจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองก็ได้ หรือจะกลายเป็น “สงครามล้างเผ่าพันธุ์” ก็ได้
ประการที่ห้า : ปัญหาที่เกิดในประเทศไทยดังกล่าวมา เกิดจากระบบสังคมของประเทศนี้เป็นระบบ “อนุรักษ์นิยม” ที่พากันแอบอิง “ระบอบ” เป็นที่พึ่งอาศัยแล้วพากันใช้อำนาจเผด็จการเข้าครอบงำสังคมเอาไว้ การครอบงำแต่ละครั้งล้วนแต่ได้ใช้วิธีกาอันไม่เป็นธรรมกับประชาชน เช่นการปฏิวัติเงียบ การใช้กำลังทหารยึดอำนาจการปกครอง เป็นต้น พวกเขากระทำกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปรากฎว่าได้รับความสมหวัง (ชนะ) ทุกครั้ง นับแล้วมากกว่า ๒๘ ครั้ง ครั้งสุดท้ายคือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว ๑๘ ฉบับ ดังนั้น พวกเขาจึง “ย่ามใจ” ไม่เคยมีความละอายใจว่าได้กระทำความผิดต่อประเทศชาติและประชาชน ทำให้พวกเขากลายเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับประชาชนคนเสื้อแดง
ปฐมเหตุที่ ๒ : ประเทศไทยเป็นประเทศ ๒ อำนาจ ๒ เจ้าของ ?!
สาเหตุทั้งหลายทั้งปวง เกิดมาจากปัญหาเดียว ปัญหานั้นได้แก่ “อำนาจอธิปไตย” มีหลายเจ้าของ กล่าวคือที่ว่าประเทศไทยมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจนั้น แท้ที่จริง คำพูดดังกล่าวนี้ยังไม่เป็นความจริงได้เลย ความจริงที่แท้จริงได้แก่อำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ในมือของอำมาตย์และพวกขุนนางน้อยใหญ่ รวมไปถึงอำนาจอธิปไตยทั้งปวง ไม่ได้เป็นของคนรากหญ้าโดยสมบูรณ์ แต่อำนาจทั้งปวงเป็นของคนรวยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
วิธีการทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ สำรวจได้จากสถานะของคนรวยนั้น จะได้อำนาจทางการเมืองจากการลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนรวยสามารถครอบครองปัจจัยการผลิต ปัจจัยการครองชีพได้มากมายไม่มีขอบเขต คนรวยและคนมีอำนาจจะสามารถเกาะกุมอำนาจ วาสนา และผลประโยชน์ที่เป็นไม่เป็นธรรม โดยไม่มีใครขัดขวางเขาได้ กล่าวให้เห็นชัดมากขึ้น โปรดดู
(๑) “อธิปไตยของปวงชน” ว่าเป็นจริงหรือไม่ ?
(๒) “เสรีภาพของประชาชน” มีความเป็นจริงเพียงไร ?
(๓) อำนาจใน “กรรมสิทธิ์” ต่างๆนั้น ประชาชนพากันมีได้จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นแต่เพียงคำยกย่องสรรเสริญให้หลงเข้าใจผิดว่าประชาชนได้ทุกอย่างเท่านั้น ?
สรุปแล้ว เจ้าของอำนาจที่อยู่เหนือกว่าประชาชนคนรากหญ้า ได้แก่พวกขุนนาง-อำมาตยาและพวกคนรวยทั้งหลายที่มีอยู่ในประเทศนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงพิเคราะห์ได้เลยว่าประชาชนมิได้เป็นเจ้าของอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประเทศนี้มีผู้ถืออำนาจเหนือประชาชน .. ?!
ปฐมเหตุที่ ๓ : ประเทศไทยเป็นเผด็จการซ่อนรูป ?!
ดังที่กล่าวมา ทำให้เราได้พบความจริงว่า“พวกขุนนาง-อำมาตย์และคหบดี” ทั้งหลายพากันอาศัยโครงสร้าง “อำนาจนิยม” แบ่งเป็นพวกใครพวกมัน ตั้งตัวเป็นใหญ่ในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรม เกาะกุมผลประโยชน์อย่างกว้างใหญ่ไพศาลทั่วแผ่นดิน แต่ด้วยเหตุว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข พวกเผด็จการทั้งหลายจึงพากัน “ซ่อนรูป” ในระบอบประชาธิปไตยด้วยความอบอุ่นและฮึกเหิมอย่างยิ่ง แล้วพากัน “กบดาน” ตักตวงผลประโยชน์ใส่ตัวโดยมิได้พะวงว่าประเทศชาติจะเกิดความเสียหายร้ายแรงเพียงไร ดังจะเห็นได้จากกรณีข้อขัดแย้งของคนไทยในวันนี้ พวกเขายังคงเดินหน้าก่อความเดือดร้อน ไม่ยอมหยุดการกระทำ แม้จะมีความแตกแยกเกิดขึ้น พวกเขาหาได้มีความวิตกกังวลแต่ประการใดไม่ ?!
แนวทางแก้ปัญหา :
(๑) วิธีการและ
(๒) ความหวัง
ผมอยากกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่าคนไทยจะต้องร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งที่สุด เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปแบบอ้อยอิ่ง ไม่จริงใจ อันรังแต่จะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมา
๑ : แนวทางแก้ปัญหามีวิธีการอยู่ ๒ อย่าง
แนวทางที่ ๑ : แก้โดยฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐ อันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาล ทหารตำรวจ ข้าราชการและนักวิชาการทั้งหลาย ยอมรับรู้ความจริง แล้วรีบสร้างกฎหมายปรองดองแห่งชาติขึ้นมาโดยด่วน เพื่อจะได้จัดการให้คนไทย “ปรองดอง” กันทั่วประเทศ ประการสำคัญได้แก่การยอมรับความจริงว่าพวกตนได้กระทำกับ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” อย่างไร เมื่อรู้แล้วก็ย่อมไม่เป็นการยากที่จะแก้ปัญหาของชาติได้
แนวทางที่ ๒: ในเวลาเดียวกัน ก็จะต้องเป็นภาระของคนเสื้อแดงที่จะต้อง “ระดม”สรรพกำลังให้ได้คนเสื้อแดงถึงร้อยละ ๗๐ – ๗๕ ของประเทศ พลังเสื้อแดงมุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ให้พรรคการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะเด็ดขาดให้ได้ เพื่อจะได้มีโอกาสผลักดันให้เกิดการ “ยกเครื่อง” ประเทศไทยให้หลุดพ้นไปจากอำนาจเผด็จการ
๒ : ความปรารถนาและความสมหวัง ?
ผมเชื่อว่า ทุกท่านมีความปรารถนาอย่างร้อนแรงอยากเห็นประเทศไทยได้รับการแก้ปัญหา แต่ทุกท่านก็ทราบดีว่าฝ่ายเผด็จการมีจุดยืนเป็นเสื้อเหลืองเกือบเต็มร้อยที่ ๑๔ จังหวัดภาคใต้ และอีกหลายพื้นที่ในภาคอื่น ยังคงทรงอิทธิพลอยู่ คนกลุ่มนี้มีผลประโยชน์อันอบอุ่น เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายครอบครองปัจจัยการผลิต และปัจจัยการครองชีพ พวกเขามีคนไทยเป็นลูกค้าทั้งประเทศ เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่ได้กับได้ คนกลุ่มนี้จึงเป็นฝ่ายกันข้ามคนเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงจะเข้าไปลดอำนาจเถื่อนของพวกเขา ถ้าผมกล่าวเช่นนี้ ก็จะมองเห็นได้เลยว่า เป็นการยากที่จะได้รับความสมหวัง แล้วเราจะทำอย่างไร ?
คำตอบก็คือคนเสื้อแดงต้องเดินหน้าเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ทำงานให้เกิดเอกภาพมากยิ่งขึ้น
มุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ ต้องคว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งให้ได้
ผมขอเรียนกับท่านผู้อ่านว่าเหตุที่ผมเรียกร้องหา “แนวทางการเลือกตั้ง” ก็เพราะว่าแนวทางนี้เป็นแนว “ปฎิวัติสันติ” ตามต้นแบบของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกถ้าประเทศไทยไม่ใช้การเลือกตั้งเป็นแนวทางแก้ปัญหา แต่พากันไปใช้ “ทหารเข้ามายึดอำนาจ” หรือกระทำด้วยวิธีการอื่นเช่น “โกงการเลือกตั้ง” เป็นต้น ก็จะทำให้คนไทยต้องเผชิญกับวิบากกรรมในการพัฒนาปรชาธิปไตยด้วยการกระบวนการ “โค่นล้ม” ด้วยพลังประชาชน”ปฎิวัติ” อันไม่พึงปรารถนา
ถ้าเป็นเช่นนั้นเมื่อไร เมื่อนั้นจะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์..!
เผด็จการจะเลือกเอาทางไหน...ขึ้นอยู่ที่พวกขุนนางทั้งหลาย ?!
จบบริบูรณ์ / สอาด จันทร์ดี
สาเหตุทั้งหลายทั้งปวง เกิดมาจากปัญหาเดียว ปัญหานั้นได้แก่ “อำนาจอธิปไตย” มีหลายเจ้าของ กล่าวคือที่ว่าประเทศไทยมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจนั้น แท้ที่จริง คำพูดดังกล่าวนี้ยังไม่เป็นความจริงได้เลย ความจริงที่แท้จริงได้แก่อำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ในมือของอำมาตย์และพวกขุนนางน้อยใหญ่ รวมไปถึงอำนาจอธิปไตยทั้งปวง ไม่ได้เป็นของคนรากหญ้าโดยสมบูรณ์ แต่อำนาจทั้งปวงเป็นของคนรวยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
วิธีการทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ สำรวจได้จากสถานะของคนรวยนั้น จะได้อำนาจทางการเมืองจากการลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนรวยสามารถครอบครองปัจจัยการผลิต ปัจจัยการครองชีพได้มากมายไม่มีขอบเขต คนรวยและคนมีอำนาจจะสามารถเกาะกุมอำนาจ วาสนา และผลประโยชน์ที่เป็นไม่เป็นธรรม โดยไม่มีใครขัดขวางเขาได้ กล่าวให้เห็นชัดมากขึ้น โปรดดู
(๑) “อธิปไตยของปวงชน” ว่าเป็นจริงหรือไม่ ?
(๒) “เสรีภาพของประชาชน” มีความเป็นจริงเพียงไร ?
(๓) อำนาจใน “กรรมสิทธิ์” ต่างๆนั้น ประชาชนพากันมีได้จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นแต่เพียงคำยกย่องสรรเสริญให้หลงเข้าใจผิดว่าประชาชนได้ทุกอย่างเท่านั้น ?
สรุปแล้ว เจ้าของอำนาจที่อยู่เหนือกว่าประชาชนคนรากหญ้า ได้แก่พวกขุนนาง-อำมาตยาและพวกคนรวยทั้งหลายที่มีอยู่ในประเทศนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงพิเคราะห์ได้เลยว่าประชาชนมิได้เป็นเจ้าของอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประเทศนี้มีผู้ถืออำนาจเหนือประชาชน .. ?!
ปฐมเหตุที่ ๓ : ประเทศไทยเป็นเผด็จการซ่อนรูป ?!
ดังที่กล่าวมา ทำให้เราได้พบความจริงว่า“พวกขุนนาง-อำมาตย์และคหบดี” ทั้งหลายพากันอาศัยโครงสร้าง “อำนาจนิยม” แบ่งเป็นพวกใครพวกมัน ตั้งตัวเป็นใหญ่ในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรม เกาะกุมผลประโยชน์อย่างกว้างใหญ่ไพศาลทั่วแผ่นดิน แต่ด้วยเหตุว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข พวกเผด็จการทั้งหลายจึงพากัน “ซ่อนรูป” ในระบอบประชาธิปไตยด้วยความอบอุ่นและฮึกเหิมอย่างยิ่ง แล้วพากัน “กบดาน” ตักตวงผลประโยชน์ใส่ตัวโดยมิได้พะวงว่าประเทศชาติจะเกิดความเสียหายร้ายแรงเพียงไร ดังจะเห็นได้จากกรณีข้อขัดแย้งของคนไทยในวันนี้ พวกเขายังคงเดินหน้าก่อความเดือดร้อน ไม่ยอมหยุดการกระทำ แม้จะมีความแตกแยกเกิดขึ้น พวกเขาหาได้มีความวิตกกังวลแต่ประการใดไม่ ?!
แนวทางแก้ปัญหา :
(๑) วิธีการและ
(๒) ความหวัง
ผมอยากกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่าคนไทยจะต้องร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งที่สุด เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปแบบอ้อยอิ่ง ไม่จริงใจ อันรังแต่จะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมา
๑ : แนวทางแก้ปัญหามีวิธีการอยู่ ๒ อย่าง
แนวทางที่ ๑ : แก้โดยฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐ อันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาล ทหารตำรวจ ข้าราชการและนักวิชาการทั้งหลาย ยอมรับรู้ความจริง แล้วรีบสร้างกฎหมายปรองดองแห่งชาติขึ้นมาโดยด่วน เพื่อจะได้จัดการให้คนไทย “ปรองดอง” กันทั่วประเทศ ประการสำคัญได้แก่การยอมรับความจริงว่าพวกตนได้กระทำกับ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” อย่างไร เมื่อรู้แล้วก็ย่อมไม่เป็นการยากที่จะแก้ปัญหาของชาติได้
แนวทางที่ ๒: ในเวลาเดียวกัน ก็จะต้องเป็นภาระของคนเสื้อแดงที่จะต้อง “ระดม”สรรพกำลังให้ได้คนเสื้อแดงถึงร้อยละ ๗๐ – ๗๕ ของประเทศ พลังเสื้อแดงมุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ให้พรรคการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะเด็ดขาดให้ได้ เพื่อจะได้มีโอกาสผลักดันให้เกิดการ “ยกเครื่อง” ประเทศไทยให้หลุดพ้นไปจากอำนาจเผด็จการ
๒ : ความปรารถนาและความสมหวัง ?
ผมเชื่อว่า ทุกท่านมีความปรารถนาอย่างร้อนแรงอยากเห็นประเทศไทยได้รับการแก้ปัญหา แต่ทุกท่านก็ทราบดีว่าฝ่ายเผด็จการมีจุดยืนเป็นเสื้อเหลืองเกือบเต็มร้อยที่ ๑๔ จังหวัดภาคใต้ และอีกหลายพื้นที่ในภาคอื่น ยังคงทรงอิทธิพลอยู่ คนกลุ่มนี้มีผลประโยชน์อันอบอุ่น เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายครอบครองปัจจัยการผลิต และปัจจัยการครองชีพ พวกเขามีคนไทยเป็นลูกค้าทั้งประเทศ เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่ได้กับได้ คนกลุ่มนี้จึงเป็นฝ่ายกันข้ามคนเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงจะเข้าไปลดอำนาจเถื่อนของพวกเขา ถ้าผมกล่าวเช่นนี้ ก็จะมองเห็นได้เลยว่า เป็นการยากที่จะได้รับความสมหวัง แล้วเราจะทำอย่างไร ?
คำตอบก็คือคนเสื้อแดงต้องเดินหน้าเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ทำงานให้เกิดเอกภาพมากยิ่งขึ้น
มุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ ต้องคว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งให้ได้
ผมขอเรียนกับท่านผู้อ่านว่าเหตุที่ผมเรียกร้องหา “แนวทางการเลือกตั้ง” ก็เพราะว่าแนวทางนี้เป็นแนว “ปฎิวัติสันติ” ตามต้นแบบของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกถ้าประเทศไทยไม่ใช้การเลือกตั้งเป็นแนวทางแก้ปัญหา แต่พากันไปใช้ “ทหารเข้ามายึดอำนาจ” หรือกระทำด้วยวิธีการอื่นเช่น “โกงการเลือกตั้ง” เป็นต้น ก็จะทำให้คนไทยต้องเผชิญกับวิบากกรรมในการพัฒนาปรชาธิปไตยด้วยการกระบวนการ “โค่นล้ม” ด้วยพลังประชาชน”ปฎิวัติ” อันไม่พึงปรารถนา
ถ้าเป็นเช่นนั้นเมื่อไร เมื่อนั้นจะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์..!
เผด็จการจะเลือกเอาทางไหน...ขึ้นอยู่ที่พวกขุนนางทั้งหลาย ?!
จบบริบูรณ์ / สอาด จันทร์ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น