เพลงฉ่อยชาววัง

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

SLAPPs การฟ้องปิดปาก


เครื่องมือหนึ่งของรัฐ นายทุนที่ใช้ในการแก้แค้น ข่มขู่ และสร้างความยุ่งยากต่อผู้ที่มีความคิดเห็นต่อต้านหรือขั้วการเมืองฝั่งตรงกันข้ามกับตน

ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “การฟ้องปิดปาก” ซึ่งตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Strategic Lawsuit Against Public Participation(การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อต่อต้านการมีส่วนร่วมของสาธารณชน) หรือที่เรียกย่อๆว่า SLAPPs ที่อ่านออกเสียงเหมือนกับคำว่า Slap ที่แปลว่า “ตบ” หรือ “ตบปาก” ซึ่งก็คือการฟ้องคดีเพื่อตบปากให้หยุดพูดหรือหยุดวิพากษ์วิจารณ์นั่นเอง อย่างไรก็ตามนอกจากคำว่า SLAPPs แล้ว ก็ยังมีอีกศัพท์อีกคำหนึ่งใกล้เคียงกันคือคำว่า Judicial Harassment ที่แปลว่าการยืมมือกระบวนการยุติธรรมเพื่อทำให้ตนเองบรรลุผล เช่น ทำให้คนที่เห็นต่างเลิกพูดด้วยเหตุแห่งความหวาดกลัวหรือมีภาระยุ่งยากกับการถูกดำเนินคดี เป็นต้น

ตัวอย่างที่รัฐใช้ SLAPPs เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีฝ่ายตรงกันข้ามมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการอาศัย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ,คำสั่งคสช.ที่ 3/2558 (ห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป),พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ,ปอ.มาตรา 116(ยุยงปลุกปั่น), ม.328(หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา),พ.ร.บ.ประชามติฯ, ฯลฯ ดำเนินการต่อผู้ที่เห็นต่างจากตนเอง เช่น คดีเวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร, คดีคนอยากเลือกตั้ง, คดี อ.ชาญวิทย์, คดี อ.วรเจตน์, คดีคุณเอกชัย, คดีทนายอานนท์ ล่าสุดก็คือ คดีแกนนำพรรคอนาคตใหม่ เป็นต้น ส่วนตัวอย่างคดีที่เอกชนใช้ SLAPPs ก็เช่น คดีของอานดี ฮอลล์ที่ถูกฟ้องฐานนำเสนอข้อมูลการละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติในโรงงานผลไม้กระป๋องหรือกรณีเหมืองทองเมืองเลย ที่บริษัททำเหมืองฟ้องทั้งข้อหาหมิ่นประมาทและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เป็นต้น

จริงอยู่อาจจะมีข้อโต้แย้งว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย แต่อย่าลืมว่าการใช้สิทธิตามกฎหมายต้องเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตที่เรียกเป็นภาษากฎหมายว่ามาศาลด้วยมือสะอาดนั่นเอง แต่การที่ใช้SLAPPsนั้นเป็นการฟ้องคดีโดยใช้ศาลเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งไม่ให้พูด โดยผู้ฟ้องคดีเพียงแค่ต้องการให้เกิดภาระทางคดีแก่ผู้ที่ถูกฟ้องแต่ไม่ได้หวังผลชนะในทางคดีแต่อย่างใด ซึ่งผู้ฟ้องคดีมีเจตนาให้ผู้ที่ถูกฟ้องคดีเกิดความวิตกกังวลในการพูดหรือใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น อีกทั้งระบบวิธีพิจารณาคดีแบบกล่าวหานั้นสร้างความยุ่งยากให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีในการพิสูจน์ตนเอง ซึ่งจะยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีกหากผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายได้


นอกจากการใช้สิทธิตามกฎหมายที่ต้องเป็นการใช้สิทธิที่สุจริตแล้ว กฎหมายที่นำมาใช้ต้องมีความชอบธรรมในการตราขึ้นว่ามีที่มาชอบธรรมหรือไม่ เป็นไปตามหลักของอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนหรือไม่ หรือว่ามาจากการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจ อีกทั้งเนื้อหาสาระของกฎหมายที่ใช้จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้น ต้องเป็นไปตามหลักความพอสมควรแก่เหตุด้วย ซึ่งก็คือ

(1) หลักความเหมาะสม ความสัมฤทธิ์ผล กล่าวคือมาตรการนั้นสามารถบรรลุความมุ่งหมายได้จริงหรือไม่และเข้ากันได้กับบริบทหรือสถานการณ์นั้นๆ หรือไม่

(2) หลักความจำเป็น เมื่อเหมาะสมแล้วก็ต้องเป็นมาตรการที่กระทบต่อสิทธิของประชาชนน้อยที่สุด ไม่มีมาตรการอื่นอีกแล้วที่กระทบต่อสิทธิของประชาชนน้อยกว่ามาตรการนี้ เพราะหากมีมาตรการอื่นที่บรรลุความมุ่งหมายได้แล้วกระทบสิทธิของประชาชนน้อยกว่า มาตรการนั้นถือว่าขัดกับหลักความจำเป็นนี้

(3) หลักความได้สัดส่วน หรือหลักความสมดุล กล่าวคือจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์สาธารณะกับผลกระทบต่อเอกชนว่าอยู่ในสัดส่วนที่สมดุลกันหรือไม่ ถ้ากระทบต่อเอกชนมากแต่ได้ประโยชน์สาธารณะน้อยไม่คุ้มกันก็เป็นการขัดต่อหลักความได้สัดส่วน

อย่างไรก็ตามทางฝ่ายศาลโดยสำนักงานศาลยุติธรรมเองก็ได้มองเห็นปัญหา “การฟ้องปิดปาก”นี้โดยสำนักงานศาลยุติธรรมได้เสนอขอแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยให้ระบุไว้ในมาตรา 161/1 ว่า

“มาตรา 161/1 ในกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ก่อนไต่สวนมูลฟ้อง หากความปรากฏต่อศาลว่า โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้ง หรือเอาเปรียบจำเลยหรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ ศาลจะมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องนั้นก็ได้ และห้ามโจทก์ยื่นฟ้องคดีนั้นอีก คำสั่งเช่นว่านี้ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่”

พฤติกรรมที่เข้าข่ายข้อกฎหมายข้างต้น อาทิ การฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา มีการไปฟ้องในที่ไกลๆ โดยอ้างว่ารับทราบเรื่องที่นั่น ลักษณะนี้อาจเข้าข่ายฟ้องเพื่อกลั่นแกล้ง ไม่ได้ฟ้องเพราะมุ่งหวังชนะคดี แต่ต้องการให้คู่กรณีรู้สึกกลัวเพื่อทำการต่อรองบางอย่าง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การเสนอแก้กฎหมายครั้งนี้เน้นไปที่ “เอกชนใช้สิทธิฟ้องเอง”เท่านั้น  ส่วนการฟ้องโดยพนักงานอัยการยังมีความเชื่อว่าได้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วจากกระบวนการในชั้นสอบสวน จึงยังให้สิทธิพนักงานอัยการฟ้องได้ ซึ่งผมเห็นว่าแม้จะเป็นการยื่นฟ้องโดยพนักงานอัยการก็ตาม แต่ศาลก็ควรมีอำนาจตรวจสอบและสั่งไม่ฟ้องได้เช่นเดียวกับกรณีบุคคลยื่นฟ้องเอง เพราะในบางเรื่องพนักงานอัยการก็มีเวลาตรวจสอบสำนวนน้อย เช่น มีเวลาเพียงไม่กี่วันในการสั่งฟ้อง อัยการก็ต้องรีบสั่งฟ้องไปก่อน เป็นต้น

อนึ่ง ใน พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 21 ได้ให้อำนาจพนักงานอัยการสามารถสั่งไม่ฟ้องได้ในกรณีฟ้องแล้วไม่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ ซึ่งพนักงานอัยการสามารถใช้ดุลยพินิจตีความได้กว้างขวางมาก ดังเช่นในหลายคดีที่เกี่ยวกับการชุมนุมของฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหลายแต่ก็ยังมีการใช้ดุลพินิจนี้ในจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนคดีที่มีอยู่

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า “การฟ้องปิดปาก”นั้นเป็นเรื่องที่เราจะต้องให้ความสำคัญและให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะสังคมใดที่มีการใช้ “การฟ้องปิดปาก”มากก็แสดงให้เห็นว่าสังคมนั้นปราศจากความเป็นนิติรัฐ นิติธรรม สังคมโลกก็จะพากันรังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย

เช่นเดียวกันไม่ว่าใครก็ตามที่ใช้การ “ฟ้องปิดปาก”เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งผู้อื่นโดยไม่สุจริตย่อมมีโอกาสที่จะถูก “ฟ้องกลับ”ได้เช่นกัน และโดยเฉพาะอย่างผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมได้รับโทษทัณฑ์เพิ่มขึ้นอีกเป็นของธรรมดา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น