เพลงฉ่อยชาววัง

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หลักยึดในตน

โดย:
จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair
May 11, 2014

พี่น้องชาวประชาธิปไตยครับ ผมรู้สึกเข้าใจและเห็นใจพี่น้องมวลชนในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายตรงข้ามกำลังยั่วยุและยั่วยวนเราในทุกๆ ทาง เพื่อให้เราเกิดอารมณ์แตกหัก โหวกเหวกโวยวาย ลืมตัว ขาดสติ และเรียกร้องเอาความรุนแรงมาดับอารมณ์อันพลุ่งพล่าน เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก มนุษย์ผู้มิใช่พรหมทุกคนย่อมมีความรู้สึกโกรธแค้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ใครไม่รู้สึกอะไรเสียเลย คงไม่ใช่เสรีชนอย่างแท้จริง

แต่ขณะนี้เราต้องบินสูงกว่าฝ่ายเขา ขึ้นไปอยู่บนยอดเจดีย์นั้นเลย ด้วยการใช้พฤติกรรมพิสดารของฝ่ายเขามาจัดตั้งและเตรียมความคิดของฝ่ายเราให้เป็นระบบต่อเนื่อง เอาอารมณ์โกรธแค้นมาเติมเป็นพลังงานของขบวนรถประชาธิปไตยเสียเลยก็น่าจะมีประโยชน์กว่า

ผมเห็นด้วยกับ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ขอให้ทุกคนสงวนท่าทีในการแสดงออกและทำอะไรเป็นหนึ่งเดียว ขณะนี้เราคือฝ่ายที่ถูกรุมล้อมด้วยกุ๊ยอันธพาลหลายสายที่นัดกันมา หากเราต่างคนต่างสู้ ออกมาชกต่อยกุ๊ยอันธพาลทีละคนสองคน เราอาจพลาดท่าเสียขุนพลสำคัญ ก่อนสงครามอันแท้จริงจะมาถึง ไหนๆ ชาวประชาธิปไตยจะร่วมกันสู้ทั้งที เอาตัวใหญ่เสียเลยน่าจะสมศักดิ์ศรีของปวงชนชาวไทยมากกว่า

เมื่อเช้าตรู่วันนี้ผมคุยกับเพื่อนนักข่าวชาวอังกฤษที่กรุงลอนดอน เขาก็เห็นใจเรามากที่สภาพการณ์เมืองไทยกลายเป็นความไร้เหตุผลและเอาแต่คำพูดปลุกเร้าโดยไม่สนใจข้อเท็จจริง

เขาเห็นในยุโรปจนเอียนกันแล้วว่า ลัทธิคลั่งชาติ หรือคลั่งสถาบันกษัตริย์สามารถทำลายชาติบ้านเมืองได้ขนาดไหน ลัทธิอย่างนี้เขาเห็นมานักต่อนักในยุโรป เอียงขวารักกษัตริย์ หรือผู้นำเผด็จการอย่างฮิตเลอร์กันจนชาติพัง แล้วก็เอียงมาทางซ้ายสุดโต่ง กลายเป็นคอมมิวนิสต์กันจนชาติพังรอบสอง

กว่าจะหาที่เหมาะๆ ระหว่างทางที่เป็นสุดโต่งทั้งสองทางนั้นได้ ก็ไม่รู้ต้องทำสงครามมาแล้วกี่ครั้ง จนผู้คนตายไปเป็นล้านๆ เขาเอ่ยถึงนักปรัชญาฝ่ายซ้ายชาวอังกฤษคนหนึ่งที่ผมเคยศึกษางาน นั่นคือ อไนริน เบวาน (Aneurin Bevan) ซึ่งนั่งสังเกตการณ์สังคมอังกฤษในยุคนั้นแล้วก็เขียนอะไรจับใจออกมามากมาย ผมจะยกมาสัก ๓ ประโยคที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสามกลุ่มมวลชนในเมืองไทย ได้แก่ มวลชนขวาจัดอนุรักษ์นิยม นักการเมือง-นักธุรกิจ และผู้นำการเมืองทุกค่ายสี

สำหรับมวลชนขวาจัดอนุรักษ์นิยม อย่าง กปปส. คปท. หรือพุทธอิสระ ในปัจจุบัน เบวานเคยกล่าวไว้ว่า
“Fascism is not in itself a new order of society. It is the future refusing to be born” ซึ่งพอแปลได้ว่า “ลัทธิคลั่งไคล้ไม่ใช่ระเบียบใหม่ของชาติ แต่เป็นการกดอนาคตไว้มิให้เกิด” ความหมายนี้ตรงเผ็งทีเดียวกับความต้องการลึกๆ ของกปปส. และมวลชนเทือกนี้ หลับตาท่องคาถากันว่าจะต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แต่เอาจริงแล้วก็คือ กลัวสถาบันหลักๆ ของชาติจะตกรถขบวนใหญ่เพราะแพ้เลือกตั้งแบบไม่มีอนาคตต่างหาก จึงต้องขอเวลาตีตื้นหรือเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อนที่จะให้เลือกตั้งอีกครั้ง มวลชนฝ่ายขวาจะรู้ตัวหรือไม่ว่า ตนเองเป็นเครื่องมือหาง่ายของผู้นำที่ทำท่าจะเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม แต่ที่แท้เป็นเพียงสัตว์การเมืองตัวใหญ่ที่สุดของบ้านเมือง ที่กำลังกลัวจะสูญเสียป่าดงดิบที่เคยใช้ซ่อนตัวอย่างได้ผลเท่านั้นเอง ประชาธิปไตยที่เปรียบได้กับมีดที่เอามาถางป่า จึงต้องถูกทำลายลงอย่างราบคาบ
สำหรับนักการเมือง-นักธุรกิจ เบวานเขียนฝากไว้ว่า “How can wealth persuade poverty to use its political freedom to keep wealth in power? Here lies the whole art of Conservative politics in the twentieth century” แปลได้ว่า “คนรวยเขาไปจูงคนจนมาใช้คำว่าเสรีภาพเพียงเพื่อรักษาความรวยของพวกตนไว้ได้อย่างไร? นี่ล่ะคือศิลปะของการเมืองฝ่ายอนุรักษ์ตลอดช่วงศตวรรษที่ ๒๐” นี่เขาก็เตือนทั้งสองสีในเมืองไทย เงินและความร่ำรวยนั้นมีอยู่ทั้งสีเหลืองและสีแดง ประชาชนลุกขึ้นมาสู้ก็เพื่อสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นมนุษย์ของตน แต่ท้ายที่สุดก็มักกลายเป็นเหยื่อของคนรวยทั้งสองฝั่งที่ต่อสู้ประหัตประหารกัน เบวานก็เขียนไว้ให้ประชาชนได้รู้เท่าทันทุกฝ่าย
ส่วนผู้นำทุกคน ทุกสี และทุกกลุ่มผลประโยชน์ในบ้านเมืองนั้น ผมคิดว่าประโยคสุดท้ายที่ยกมาวันนี้ น่าจะจิกเตือนคนที่มีหัวคิดและมียางอายได้ทั้งหมด อไนริน เบวาน เขียนเอาไว้ว่า:
“The hero's need of the people outlasts their need of him”
“วีรชนต้องการมวลชนนานกว่ามวลชนต้องการวีรชนเสมอ”
วีรชนทั้งหลายจึงควรคิดตาม อย่าบีบคั้นมวลชน และระลึกรู้ในหลักพระไตรลักษณ์.

*******************************************

May 11, 2013 (2)

What the Hell?

Thailand is now under a different form of coup d’tat. A slow-moving and different-looking one. Military presence is next to nothing, though ready to be on call. However, almost all elected bodies ceased to exist: House of Representatives (dissolved and denied a chance to hold a new election), the elected part of the Senate (charged and convicted with a violation), and the Prime Minister of the land, plus cabinet members. In the overall, one can see quite clearly that there is such a contempt for democratic elements in the society. What is the alternative then? Well, Mr. Suthep Tueksuban, who has terrorised Thailand for several months with his aggressive and violent-prone rally, has hinted to us not so long ago. He said on stage, loud and clear, that “people” needs a political regime in which King Bhumibol Adulyadej of Thailand will enjoy “absolute powers”. The proposal is echoed often enough, with no denial from the royal palace. We thus understand that Thailand is now systematically forced to give up democratisation for an absolute monarchy, much like Siam (Thailand’s old name) before the 1932 Revolution that put the monarchy under the constitution. It seems complex, and yet it is so simple. 

Suthep’s rally is the front, making charges. Independent state agencies are to legalise all the charges towards convictions. Some courts are doing the same. The national media organisations with state concessions are to subtly support the attempt. Intellectuals with ties to palace-sponsored scholarships and military establishments are to intellectualise and legitimise the new kind of coup. And the military establishment is to guard Suthep’s rally. Their partnership is well-assigned, well-functioned, and intensely anti-democracy. 

All in all, the philosophy is pure and simple. A democracy that brought about the Thaksin Shinawatra most successful experiment, that almost spelled the death to Thailand’s old and outdated regime, will never allow to prosper again. The old regime’s interests are too valuable for the people of Thailand to be given the human rights of their own ever again. 

This is why, for millions of Thai people, it is time to fight back. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น