"เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" หนังสือใหม่ของ "เล็ก-จรรยา ยิ้มประเสริฐ"
“เปลื้องผ้า และไม่ไทยเลย” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นและบทความที่กลั่นออกมาจากชีวิตจริงๆของผู้คนจริงๆ ที่ผู้อ่านอาจจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นผู้คนที่เป็นตัวละครในเรื่อง ซึ่งในชีวิตจริงเราอาจจะไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเจ็บปวดเท่าไหร่? คิดเห็นอย่างไร? และเยียวยาตนเองอย่างไร? กว่าจะกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งในวันนี้ แต่ในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ จะฉายภาพให้เราได้เห็นกันว่าผู้หญิงที่ต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์ยากลำบาก ทั้งในชีวิตคู่และความสัมพันธ์ทางเพศ ภายใต้บริบทของสังคมจารีตที่กดขี่และตราหน้าผู้หญิงให้ต่ำต้อยด้อยกว่าชาย ว่าพวกหล่อนมีวิธีคิดอย่างไร มีวิธีเยียวยาตนเองอย่างไรเพื่อจะได้หลุดพ้นจากกรอบอันบีบคั้นเหล่านั้น
สังคมจารีตใช่แต่จะกดขี่ผู้หญิงในการใช้ชีวิตคู่เท่านั้น แต่ยังลงลึกไปถึงความสุขหรือไม่สุขสมในเพศสัมพันธ์อีกด้วย โดยที่พวกเธออาจจะไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่าเพศสัมพันธ์ที่ผ่านไปในทุกค่ำคืนนั้น เป็นความสุขแล้วหรือไม่...?
“เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” จะเปิดเผยถึงเส้นทางชีวิตของผู้หญิงไร้สุขที่ต้องตกอยู่ภายใต้กรอบจารีตของสังคมในหลายๆมุมและหลายๆสถานการณ์ และฉายให้เห็นว่าพวกเธอเหล่านั้นทำอย่างไรจึงได้หลุดพ้นจากชีวิตที่ไร้สุขในกรอบจารีตมาสู่ชีวิตที่มีความสุขเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นตนเองในชีวิตไร้กรอบจารีต
คำว่าเปลื้องผ้าพร้อมภาพหน้าปกที่โป๊เปลือยอาจทำให้หลายคนหลงคิดไปว่าหนังสือเล่มนี้จะมีเพียงความอีโรติก รักๆไคร่ๆในเรื่องเซ็กส์เท่านั้น โดยละเลยที่จะมองไปถึงความหมายที่ว่า “เปลื้องผ้า” นั้นก็คือ การปลดเปลื้องมายาแห่งจารีตที่ปิดกั้นห่อคลุมจิตใจผู้หญิงทั้งหลายออกไปด้วย เมื่อผู้คนสามารถทำลายมายาภาพที่ถูกปลูกฝังกล่อมสมองมานานได้แล้ว ก็ย่อมจะทำให้เขาได้เห็นตัวเอง และได้รู้จักตนเอง ผู้คนที่รู้จักตนเองก็ย่อมจะสามารถเลือกได้ว่าตนจะเดินไปในทางใดที่เป็นความสุข ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวของเขาเอง
และแม้เนื้อเรื่องและภาพใน “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” จะกล่าวถึงผู้หญิงเสียเยอะ ก็ใช่ว่าผู้ชายจะอ่านไม่ได้ หรืออ่านแล้วจะไม่ได้เรียนรู้อะไร เพราะในสังคมจารีตที่สร้างกรอบสำหรับควบคุมพลเมืองอย่างเข้มแข็ง แน่นหนา ของสังคมไทย แม้ผู้ชายก็ยังติดยึดในกรอบที่ถูกฝังหัวมาเช่นกัน และพวกเขาก็ยังพยายามคงคุณค่าทั้งรักษากรอบจารีตนั้นไว้โดยมิพักฉุกคิดหรือสงสัยว่า กรอบที่ตนยึดมั่นว่าสูงส่งและเพียรพยายามรักษาอยู่นั้นมันทำให้คนที่ตนรักเจ็บปวดหรือเปล่า? มันสร้างการกดขี่และข่มขู่คนอื่นอยู่หรือเปล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรอบที่ว่า “ความดี ความเป็นคนดี" ในสังคมจารีตของไทย
ในนามแห่งความดี ความเป็นคนดีของไทย เราจะเห็นพวกเขาใช้กรอบอันนี้มาวางกฎระเบียบ ทั้งใช้บังคับ ตีค่าหรือตราหน้าคนอื่นๆที่ไม่ยอมอยู่ในแบบแผนจารีตที่พวกเขาพยายามวางครอบงำสังคมไว้เสมอ และสังคมจารีตที่เข้มข้นอย่างสังคมไทยนี้มันก็มีพฤติการณ์ที่แปลกประหลาดอันหนึ่งคือ เมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งหรือสถาบันอันใดอันหนึ่งยกชูคุณค่าบางอย่างที่เขาชอบมาว่าเป็นความดี เขาก็จะสามารถใช้คุณค่าดังกล่าวนั้นมากดขี่ ขู่บังคับและข่มคนอื่นๆในสังคมได้เลยทันที โดยที่ไม่มีการถามหรือปรึกษากันก่อนเลยว่า คุณค่าความดีงามที่เขายกย่องเชิดชูนั้นในความเห็นของคนอื่นๆ คิดว่าเป็นเช่นไร? มันดีจริงๆ หรือมันไม่ดี? มันมีคุณค่าน่ายกย่องหรือมันไร้ค่าจนหาสาระไม่ได้...??
ไม่มีเลยที่สังคมไทยจะมีการไถ่ถามถึงความหมายในคุณค่าความดี-งามต่างๆเช่นนี้ มีแต่โยนลงมาและบังคับใช้กับผู้คนในสังคมเลยเท่านั้น สิ่งนี้บ่มเพาะและปลูกฝังมานานจนเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมไทยไปเสียแล้ว และตรงนี้มันก็บอกถึงความเป็นสังคมจารีตที่เข้มแข็งเข้มข้นของสังคมนี้ว่าอยู่ในระดับสูงเพียงใด...
(...การติดอันดับโลกของไทยทั้งด้านการท้องก่อนวัย การทำแท้ง การติดโรคทางเพศ และเอดส์ ควรจะทำให้รัฐบาลและสังคมตระหนักว่าที่ผ่านมา นโยบายในเรื่องสุขภาวะทางเพศที่มีปัญหา ได้นำสู่แนวนโยบายที่ผิดทาง ที่มุ่งไปที่การควบคุมและคุมเข้มเรื่องการห้ามการมีเพศสัมพันธ์ มากกว่าการให้ทุกสถาบัน และทุกเพศทุกวัยในสังคมตระหนักถึงความเป็นจริงและความเชื่อมโยงแห่งเสรีภาพวิถีเพศกับการดูแลตัวเองได้อย่างเข้มแข็ง ปลอดภัย และมีความสุข
ทั้งนี้ รัฐควรจะส่งเสริมให้คนในสังคม รู้จักเซ็กส์ที่ปลอดภัย และไม่อายที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะแห่งชีวิตคู่และเซ็กส์ที่สุขสม
ต้องหยุดการห้ามเยาวชนมีเซ็กส์ด้วยข้ออ้างอนุรักษ์นิยม ด้วยทัศนคติที่มองว่าเยาวชนเป็นกลุ่มเสี่ยง เป็นกลุ่มที่นำมาซึ่งปัญหาสังคม จึงต้องถูกสอดส่องในวันสำคัญต่างๆ อาทิ วาเลนไทน์ วันลอยกระทง ทำกันราวกับว่าเยาวชนหญิง-ชายเป็นดั่งอาชญากร
รัฐต้องเปิดรับเรื่องการทำแท้งได้อย่างเสรี เพื่อผู้หญิงที่มีครรภ์ในสภาวะไม่พึงประสงค์และไม่อยู่ในสภาวะที่จะดูแลบุตรได้ ทั้งทางเศรษฐกิจและสถานภาพในสังคม ไม่ใช่เฉพาะด้านสุขภาพเท่านั้น
เปิดเสรีภาพการเลือกวิถีเพศ การเลือกคู่ครอง ปรับแก้กฎหมายให้มีกระบวนการรับรองสิทธิการเลือกเหล่านั้น ไม่ว่าจะเรื่องเพศ และการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่ว่าจะระหว่างเพศหรือเพศเดียวกัน
เปิดรับข้อเสนอด้านนโยบายที่ก้าวหน้าทั้งหลาย เพื่อคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจาก “ความรุนแรงในครอบครัว” ทั้งมี “มาตรการป้องปรามการทารุณเด็กและการค้าประเวณีเด็กและผู้หญิง” ที่มีประสิทธิภาพ
ส่งเสริมแนวนโยบายให้สังคมตระหนักในเรื่อง “เซ็กส์ที่มีความสุข” “เซ็กส์ด้วยความรับผิดชอบ” และ “เซ็กส์บนฐานของการเข้าใจมัน” เคารพตนเองและคู่ครองหรือคู่นอน และไม่ใช้กำลังบังคับการมีเพศสัมพันธ์...)
หลายคนคงประหลาดใจว่าทำไม ข้อเสนอเพื่อปฏิรูปสังคมจากหนังสือ “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” ที่ผมยกมาจึงเป็นเรื่องราวของเซ็กส์และเพศสัมพันธ์ ที่จริงแล้วข้อเสนอเพื่อปฏิรูปสังคมจากหนังสือเล่มนี้นั้นมีหลากหลายแง่มุม(ผู้สนใจควรจะเข้าไปศึกษาเองจากในเล่ม) แต่ที่นำเสนอการปฏิรูปเรื่องเซ็กส์ก็เพราะ เรื่องนี้เป็นพื้นฐาน เป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่อยู่คู่กับมนุษย์ เป็นเรื่องอารมณ์พื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกต่อมันด้วยกันทั้งนั้น
แต่... ด้วยความที่อยู่ในสังคมจารีตจึงทำให้คนในสังคมถูกกด ถูกปิดการรับรู้และเรียนรู้กับเรื่องพื้นๆของมนุษย์เช่นนี้ไป ทำให้การรับรู้ในเรื่องเซ็กส์และเพศวิถีของผู้คนในสังคมจารีตแห่งนี้บิดเบี้ยวและเกิดความเข้าใจผิดๆต่อๆกันมา และเป็นต้นธารให้เกิดความรุนแรงในหลากหลายมิติขึ้นในสังคม จากความเก็บกดในจิตใจของผู้คนในสังคม การจะปฏิรูปสังคม เราย่อมหลีกไม่พ้นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักสังคมที่ตนอยู่อย่างถูกต้อง และก่อนที่จะรู้จักสังคมของตนได้อย่างถูกต้องก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะต้องรู้จักตนเองให้ถ่องแท้เสียก่อน
ความน่าอ่านของหนังสือ “เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย” คือ การที่หนังสือเล่มนี้ช่วยสะท้อนภาพสังคมพร้อมทั้งตัวตนของเราออกมาอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา และเปลื้องเปลือย เพื่อที่เราจะได้รู้จัก ได้เรียนรู้ตนเอง เรียนรู้สังคม จะได้เข้าใจตนเองและสังคม เพื่อจะได้ช่วยกันทลายกรอบกฎเกณฑ์ที่มันกดขี่ บีบคั้น และบังคับความเป็นคน ความเป็นมนุษย์ของเราให้หมดสิ้นหรืออย่างน้อยก็ลดน้อยลงไป เพื่อที่เราจะได้อยู่ในสังคมมนุษย์ที่เทียมหน้าเสมอภาค เข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น และเข้าใจสังคมร่วมกัน
*****************************************************************************************************
เจ้าของหนังสือ : จรรยา ยิ้มประเสริฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น