เพลงฉ่อยชาววัง

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเลือกตั้งเพื่อปฏิรูปก็ไม่มีค่าเท่า “ปฏิวัติประชาธิปไตย”

January 21, 2014 at 5:41pm

 ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเลือกตั้งเพื่อปฏิรูปก็ไม่มีค่าเท่า “ปฏิวัติประชาธิปไตย”

1.เหตุแห่งปัญหา

                “สงครามกลางเมือง” ที่เกิดขึ้นในบ้านในเมืองเราในขณะนี้นอกจากจะเกิดจากการ “ชิงตำแหน่ง แย่งอำนาจ” กันเอง ระหว่าง “ผู้ปกครองกับผู้ปกครอง” แล้ว ยังมีสาเหตุที่แท้จริงมาจาก “ต้นไม้พิษ” คือการปกครองแบบ “เผด็จการระบบรัฐสภา” ที่เปิดโอกาสให้ “ทุนผูกขาด” “ผู้อยู่เบื้องหลังการปกครอง” ได้มีโอกาสกดขี่ขูดรีดกรรมกร ชาวไร่ชาวนา และทำลายทุนขนาดกลางขนาดย่อมอย่างถูกกฏหมายอีกด้วย

ผลของการขูดรีดของ “ทุนผูกขาด” ภายใต้อำนาจรัฐเผด็จการทำให้ “ความยากจนของคนส่วนใหญ่” “ผกผัน” กับ “ความร่ำรวยของคนส่วนน้อย” อย่างรุนแรง ช่องว่างระหว่างชนชั้นดังกล่าวจึงทำให้ “คนส่วนใหญ่” จำต้องกลายเป็น “ทาส” ทางการเมืองและทาสทางเศรษฐกิจ ของคนส่วนน้อย ผู้ร่ำรวย“ทั้งทางตรงและทางอ้อม” ไปโดยพฤตินัย
การที่คนจนเป็นทาสคนรวยโดยพฤตินัยดังกล่าวนำมาซึ่ง
วัฒนธรรมเผด็จการ!

วัฒนธรรมเผด็จการคือ “ความสัมพันธ์ภายใน” ของการกดขี่ภายในสังคมทั้งระบบ เช่นหัวหน้างาน (หัวหน้าทาส) ต้องช่วยนายทุน (นายทาส) คุมทาส คุมกรรมกรทำงานหนัก เพื่อให้การ “ขูดรีดแรงงาน” เพื่อนายทาสเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนทาสใด กรรมกรใด ถ้าอยากจะอยู่รอดปลอดภัยในองค์กรได้ก็ต้อง “พินอบพิเทา” ต้องประจบ ต้องเลีย หัวหน้างานหัวหน้าทาส เพื่อหัวหน้างาน หัวหน้าทาสให้ความเมตตา มอบหมายงานดี เงินดีให้ทำ ในระบบราชการก็เกิดวัฒนธรรม “ถูกต้องครับนาย ใช่ครับผม” เพื่อการอยู่รอดและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การใช้ “เสน่หา” และการ “ซื้อขายตำแหน่ง” เป็นเครื่องมือในการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งในทุกกระทรวงทบวงกรม ทำให้คนไร้ความสามารถข้ามหัวคนมีความสามารถและซื่อสัตย์ขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ส่งผลทำให้เกิด “ความแตกแยก” ในองค์กร ความแตกแยกในองค์กรและความไร้ประสิทธิภาพของหัวหน้างาน ทำให้องค์กรอ่อนแอมากขึ้นๆทุกวัน

ยิ่งไปกว่านั้นวัฒนธรรมเผด็จการยังส่งผลให้ “ความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย” และ “ความเสมอภาคในโอกาส” ของคนรวยผู้ร่ำรวยผู้อยู่เบื้องหลังการปกครองกับคนจนผู้ถูกปกครอง มีสภาพที่แตกต่างกันดังฟ้ากับเหว ส่งผลทำให้เกิดอาชญากรรมมากมายตามมา การปล้นธนาคารเอย ปล้นร้านทองเอย ปล้นร้านสะดวกซื้อเอยเกิดขึ้นดังดอกเห็ด การหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยก คนติดยาเสพติดมีปริมาณมากจนคุกล้น สะท้อนภาพเลวร้ายของสังคมอันเกิดจากระบอบเผด็จการที่สะสมและบ่มปัญหาอย่างต่อเนื่องมาแล้วกว่า 80 ปีได้เป็นอย่างดี จนนำมาซึ่ง “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” และสงครามประชาชนในวันนี้
สงครามประชาชนคือสงครามที่ประชาชนทำสงครามกับผู้ปกครอง ไม่ว่าผู้ปกครองนั้นจะมีสีเหลืองหรือสีแดงเป็นสัญลักษณ์

วันนี้ฝ่ายทุนผูกขาดใหม่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนทุนผูกขาดเก่าที่ครองอำนาจมายาวนาน ดังนั้นเมื่อ “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” ตรงกับยุคที่ “ยิ่งลักษณ์” เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ยิ่งลักษณ์จึงต้องกลายเป็น “แพะรับบาป” ของระบอบเผด็จการ” มากกว่ารัฐบาลเผด็จการใดๆที่มีมาแต่ในอดีต เพราะเธอ ถูก 2 ศึกขนาบ

ศึกหนึ่งกับ “มวลชนที่ต้องการประชาธิปไตย”
ศึกสองกับ “เผด็จการเหลือง” ผู้ฉวยโอกาส

ศึกแรกมวลชนประชาธิปไตยแม้จะไม่ชอบเผด็จการเหลืองแต่ก็ “ยืมมือ” เผด็จการเหลืองมาโค่นเผด็จการแดงและใน “โอกาสเดียวกัน” “เผด็จการเหลือง” ก็ “ยืมมือ” มวลชนประชาธิปไตย “มาเป็นเครื่องมือ” ในการแย่งอำนาจคืน

แต่ความต่างใน 1.จุดยืน 2.ทัศนะ และ3.มรรควิธี (แนวทาง) ของคนในชาติ เมื่อเกิดสภาวะประฏิวติกระแสสูงจึงส่งผลทำให้ “ความขัดแย้ง” ระหว่าง “ผู้ปกครองกับผู้ปกครอง” “ประชาชน” กับ “ประชาชน” ลุกลามไปทุกสาขาอาชีพ ทุกครอบครัว และทุกภูมิภาค

คงไม่ต้องไปอธิบายถึงความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครอง (แดง)กับผู้ปกครอง (เหลือง) ว่าเกิดจากการแย่งอำนาจและผลประโยชน์อย่างไร

แต่ถ้าไปถามมวลชนเจตนาประชาธิปไตย “แต่ละฝ่าย” ที่รวมตัวกัน โค่นรัฐบาลเผด็จการให้เหลืองโค่นรัฐบาลเผด็จการเหลืองให้แดงว่า
เชื่อหรือไม่ว่า “ผู้นำมวลชน” ที่พวกเขายอมตัวเป็นเบี้ยทางการเมืองให้นั้น สามารถนำพาคนไทยทั้งมวลไปสู่สังคมประชาธิปไตยตามที่พวกเขาต้องการได้?

คำตอบคือ “ไม่รู้” และ “ไม่แน่ใจ”
พวกเขารู้อย่างเดียวว่าต้องโค่นรัฐบาลฝ่ายที่พวกเขาถูกชี้นำให้เชื่อว่า “เลวร้าย” ลงไปก่อน
บางคนถึงกับยอม “เซ็นเช็คเปล่า” ให้ผู้ที่สัญญาว่าจะปฏิรูป (ที่เขาไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร) “ไปกรอกอำนาจอธิปไตยกันเอง”

ส่วนมวลชนหลัง กลัวว่าทหารซึ่งเคยเป็นเครื่องมือของเผด็จการที่อยู่ในที่มืด จะทำการรัฐประหาร ยอมออกมาประกันการเลือกตั้ง ทั้งๆที่รู้ดีว่าการเลือกตั้งนั้นนำมาซึ่งอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยหรืออำนาจอธิปไตยทุนผูกขาดแท้ๆ
มวลชนแรกก็ไม่ผิด มวลชนหลังก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก ไม่ถูกที่ไม่เข้าใจว่าทั้งเหลืองทั้งแดงก็ล้วนแต่เป็นเผด็จการที่ต้องสลัดทิ้งทั้งคู่!

2.ทำลายสิ่งผิดลงแล้วต้องสถาปนาสิ่งถูกขึ้นมาด้วย
ในการแก้ไขปัญหาใดๆในโลกก็คือ “การลำลายสิ่งผิดลง” “สถาปนาสิ่งถูกขึ้น” สถาปนาสิ่งถูกแล้วยังไม่พอยังต้องรักษาสิ่งถูกนั้นให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนอีกต่างหาก (1.ทำลาย 2.สร้าง 3.รักษา)
เหตุแห่งทุกข์ของคนทั้งประเทศคือระบอบแบบเผด็จการ (Dictatorial Regime) ดังนั้นมวลชนประชาธิปไตยจึง

1.ต้องทำลายระบอบแบบเผด็จการลง ไม่ว่าระบอบเผด็จการเหล่านั้นจะเป็นระบอบเผด็จการที่ใช้สีแดง สีเหลืองหรือสีอะไรเป็นสัญลักษณ์ก็ตาม
2.ทำลาย “ระบอบ” “เผด็จการ” ลงได้แล้ว ก็ต้องสถาปนา “การปกครอง” “แบบประชาธิปไตย” (Democratic Government) ขึ้นมา “ทดแทน” “การปกครองแบบเผด็จการ” และ
3.มีมาตรการวิธีการที่จะรักษาการปกครองแบบประชาธิปไตยเอาไว้
4.สร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย (ทั้งในสังคมและในครอบครัว) ให้ระบบทั้งระบบเป็นระบบประชาธิปไตย ปัญหาชาติอันเกิดจากระบอบเผด็จการจึงจะคลี่คลายและหายไป
ปราบวัชพืชลงแล้ว ถ้าไม่ปลูกข้าว คนไทยทุกคนจะได้ข้าวมากินได้อย่างไร!
ถ้าเราไม่สลัด “ความเห็นผิด” ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ “เป็นของกู” แล้วเอา “ความเห็นถูก” ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ “เป็นของคนทุกคน” (และสรรพสัตว์) ลงเสียแล้ว
เราจะเข้าถึงความจริงแท้ได้อย่างไร!

3.ไม่หลุดออกจากวงจรอุบาทว์
“เหตุแห่งปัญหาชาติ” ไม่ได้อยู่ที่ “รัฐบาล” (Cabinet) โดด เพราะรัฐบาลเป็นเพียง “ร่างทรง” ของ “อำนาจอธิปไตย” หรือ “ระบอบ” (Regime) ที่เป็น “นามธรรม”  
แต่การที่ “ระบอบ” หรือ “อำนาจ” (อธิปไตย) เป็น “นามธรรม” (Abstract) จึงทำให้คนทั่วไป “เห็นได้ยาก” เมื่อเห็นได้ยาก “ประชาชนคนทุกข์” จึงมุ่งแต่จะ ไป ขจัด “รัฐบาล” (ไม่ว่าจะใช้มวลชน Uprising หรือการ Coup d’etat โดยทหาร) ซึ่งเป็นร่างทรง โดยไม่ขจัดระบอบหลายต่อหลายครั้ง และเมื่อไม่ขจัดระบอบ (เพราะไม่รู้ว่าระบอบคืออะไร) ท้ายสุดก็ต้องหันกลับไป “พึ่งพา” “การเลือกตั้ง” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เหล้าเก่าในขวดใหม่” ตามที่นักตำราการไร้เดียงสา นักการเมืองเผด็จการเหลืองแดง “ชี้นำ” ว่า..
การเลือกตั้งคือประชาธิปไตยไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย! (ทั้งๆที่การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการประชาธิปไตยเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองวิธีหนึ่งเท่านั้น)
จนหลุดออกไปจาก “วงจรอุบาทว์ของการปกครองแบบเผด็จการ” ไม่ได้!

4.หลุดออกจากวงจรอุบาทว์
ก่อนอื่นต้องความหมายที่แท้จริงของคำว่าประชาธิปไตย (ประชา+อำนาจอธิปไตย) เสียก่อนว่า คืออำนาจอธิปไตยปวงชนเท่านั้น ส่วนเรื่องความเสมอภาค เสรีภาพบริบูรณ์ และการปกครองจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นอีก 3 หลักนั้นจะเกิดขึ้นมาทีหลัง หลังจากการสถาปนา “อำนาจอธิปไตยปวงชน” แล้ว

ดังนั้นถ้าเรา “ผู้ถูกปกครอง” ที่ถือหางทั้งเหลือง-แดงและไม่ถือหางทั้งเหลืองและแดง “ไม่เข้าใจ” ใน
1. Concept ของคำว่าประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
2.ไม่เข้าใจขั้นตอนการสร้างประชาธิปไตยว่า โค่นระบอบ (Regime) แล้วยังไม่พอ ยังต้องสถาปนาการปกครอง (Government) ด้วย สร้างการปกครองแล้วยังไม่พอ ยังต้องสร้างระบบประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและการใช้ชีวิตด้วยแล้ว เราก็ไม่มีทางได้สังคมประชาธิปไตยในอุดมคติตามที่เราหวังได้เลย ไม่ว่าเราจะมีความปรารถนาในประชาธิปไตยด้วยการทุ่มแรงกายแรงใจมากมายเพียงใด “ฆ่า” “คน” ที่เรา “เข้าใจผิด” ว่าเป็น “เหตุแห่งปัญหา” (ทั้งๆที่ระบอบซึ่งเป็นนามธรรมต่างหากที่เป็นปัญหา) ตายไปมากมายเพียงไหนก็ตาม

การยึดติดในตัวกูของกูไม่สามารถทำให้เรา “หลุดพ้น” ไปจากวงจร “ปฏิจจสมุปบาททางจิต” ได้ฉันใด อวิชชาทางการเมือง (หลงผิดคิดไปว่าเผด็จการฝ่ายเหลืองเผด็จการฝ่ายแดงคือสรณะ ติดรัฐธรรมนูญว่าเป็นประชาธิปไตย ติดการเลือกตั้งว่าเป็นประชาธิปไตย และติดว่าใครเห็นต่างกับตนไม่ได้ต้องทำลายลง) ก็ทำให้เราไม่สามารถหลุดออกไปจากวงจรปฏิจจสมุปบาททางการเมืองได้ฉันนั้น!

5.ไม่ว่าใครจะเป็นสีใด ทุกคนคือพี่น้องเรา
ความขัดแย้งระหว่าง1.เผด็จการกับเผด็จการ 2.ประชาชนกับระบอบเผด็จการและ 3.ประชาชนประชาธิปไตยเหลืองกับมวลชนประชาธิปไตยแดง ที่ “จำแนก” กันออกมาตาม “จุดยืน” “ทัศนะ” และ “มรรควิธี” และภายใต้การปั่นจิ้งหรีดของนายทาสเพื่อให้ประชาชนจงเกลียดจงชังกันและกัน และความเห็นผิดว่า “คนคือปัญหา” ไม่ใช่ “ระบอบคือปัญหา” นั่นแหละ ซึ่งนำมาซึ่งการ “ชี้หน้า” “ด่ากันเอง” !
การชี้หน้ากล่าวหาซึ่งกันและกันอย่าง “อวิชชา” นั้นแหละที่ทำให้มวลชนแต่ละฝ่าย เกิดความ “เครียด” สะสม ไม่ต่างอะไรกับการ “กินยาพิษ” ทางอารมณ์เข้าไปทุกวันๆ ยิ่งได้เสพสื่อที่มีทัศนะเดียวกันบ่อยๆครั้ง ก็จะทำให้คนเหล่านั้น “เสพติด” ยาเสพติดทางอารมณ์ ที่ไม่แตกต่างอะไรกับ “คนติดยาเสพติด” ที่เป็นวัตถุที่..
“ใครเห็นต่างไม่ได้” นั่นเอง
ได้เสพข่าว (สี) ฝ่ายเดียว ซ้ำไปซ้ำมาบ่อยๆครั้งด้วยแล้ว นอกจากจะทำให้ผู้เสพ “งมงาย” จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ยังไปเพิ่มความ “กระเหี้ยนกระหือรือ” ของคนเสพในอันที่จะไป “ขจัด”  “คนอื่น” ที่ “มีความเห็นต่าง” ทั้งๆที่ “คนเห็นต่าง” นั้นก็คือคนที่เป็นญาติพี่น้องกับเรา มีเลือดสีเดียวกันกับเราและมีความต้องการสังคมอุดมคติเหมือนกันกับเรานั่นเอง!
การที่มวลมหาประชาชนในสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงแต่ละฝ่าย ต่างเอา “ฝ่ายที่ตนไม่ชอบ” เป็น “จำเลย”  เห็นฝ่ายซีกเดียวกับตนเป็น “โจทย์” ที่ชอบธรรม (ทั้งๆที่มีความปรารถนาในประชาธิปไตยเดียวกัน) อย่าง “สุดขั้ว” ย่อมนำมาซึ่งการ “ฆ่ากัน” ชนิด “เลือดนองแผ่นดิน” ด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าประเทศใดในโลก เมื่อเป็นดังนี้แล้ว....
เรายังจะมาฆ่ากันอีกทำไม?

6.แก้ไขปัญหาอย่างสันติ
ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า..เราจะแก้ปัญหาความขัดแย้งในชาติของเราอย่างสันติได้อย่างไร?
คำตอบคือ “ทุกฝ่าย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่สนับสนุนเผด็จการทั้งสองต้อง
1. “ดวงตาเห็นตรงตามความเป็นจริง” ว่า “เหตุแห่งทุกข์” ของชาติอยู่ที่. “ระบอบ”  ไม่ใช่ที่ “คน” หรือ “รัฐบาล” (ซึ่งเป็นเพียงตัวแสดงของระบอบเผด็จการ ประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์) เห็นแล้วก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเมื่อกำจัดระบอบเผด็จการลงไปแล้ว ก็ยังจะไป “เลือกตั้งไม่ได้” เพราะถ้าเลือกตั้ง (ในระบอบเผด็จการ) อีกเราก็ได้ “อำนาจอธิปไตยเก่าในขวดใหม่” เหมือนเดิม และ
2. จะปฏิรูปตามสุเทพก็ไม่ได้ ที่ไม่ได้ก็เพราะสิ่งที่สุเทพและคณะเสนอขึ้นมาเช่นสภาประชาชนที่ให้ประชาชนเซ็นเช็คเปล่าให้สุเทพไปกรอกอำนาจเอาเองก็ดี เลือกตั้งผู้ว่า (เพื่อให้ได้มาเฟียแต่ละจังหวัดขึ้นมาเป็นผู้ว่า และนำมาซึ่งการแบ่งแยกราชอาณาจักร) ก็ดี
ล้วนแต่ไม่ตอบโจทย์ด้วยกันทั้งคู่!
3.ที่เราประชาชนทุกคนต้องร่วมกันทำขึ้น นอกจากจะ “ทำลาย” “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย”ซึ่งเป็น “เหตุแห่งปัญหาชาติ” ลง แล้วเรายังจำเป็นต้อง “สถาปนาอำนาจอธิปไตยปวงชน” ขึ้น เพื่อเป็นหลักประกันความเสมอภาค เสรีภาพ ของประชาชนอีกด้วย และเพื่อเป้นการเปลี่ยนผ่านอำนาจอธิปไตยนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องสถาปนา “การปกครองเฉพาะกาล” ขึ้นก่อน เพื่อใช้การปกครองเฉพาะกาลนั้นไป “เปลี่ยนผ่าน” “การปกครองแบบเผด็จการ” ให้เป็น “การปกครองแบบประชาธิปไตย” ได้อย่างไม่มีอุปสรรค

ในการตัดชุดสากล เราต้องตัดชุดสากลให้เข้ากับรูปร่างของคนแต่ละคนแต่ละชาติอย่างไร การสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย เราก็ต้องประยุกต์ประชาธิปไตยให้เข้ากับสังคมไทยฉันนั้น
ดังนั้น ในการสร้างประชาธิปไตยของคนไทยจึงต้องเข้าใจในเรื่องนี้ให้อย่างถ่องแท้ หลังจากนั้นเราจึงจะเอา “การเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นหลักสุดท้ายของหลักประชาธิปไตยขึ้นมาทำ (แต่เลือกตั้งครั้งหลังจะเป็นการเลือกตั้งภายใต้อำนาจอธิปไตยปวงชน (ระบอบประชาธิปไตย) ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ “แตกต่าง” ไปจาก “การเลือกตั้ง” ภายใต้อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย (เผด็จการ) อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
และเมื่อ “เข้าใจถูก” ตาม “หลักวิชา” เช่นนี้แล้ว เราก็เอา “ความเข้าใจถูก” ของ “มวลมหาประชาชน” มา.“ร้อยเรียง” “ความคิดถูก” เข้าด้วยกันจนเป็น “เอกภาพ” (แบบแม่เหล็กเรียงโมเลกุลของผงเหล็ก) แล้วเอา “เอกภาพของความเห็นถูก” ที่มีพลัง (แบบแม่เหล็ก) นั่นแหละไป.. “แก้” “เหตุแห่งทุกข์” คือ “ระบอบผิด” (เผด็จการ)ให้เป็น “ระบอบถูก” (ประชาธิปไตย) สร้างการปกครองผิด (Dictatorial Government) ให้เป็นการปกครองถูก (Democratic Government) เพื่อนำไปสู่ “ระบบประชาธิปไตย (Democratic System) ก็จะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาชาติและมวลมนุษยชาติได้อย่างสันติและยั่งยืน
แต่ถ้าเราเข้าใจผิด โค่นรัฐบาล (Cabinet) ของระบอบเผด็จการ (ซึ่งเป็นเงื่อนไขสงคราม) กันไปกันมาแบบอวิชชา โดยไม่ต่อยอดไปถึงสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย (Democratic Government) หันไปเลือกตั้งในระบอบเดิมก็เท่ากับว่า

มวลชนนั่นแหละที่ไปหมุนวงจรอุบาทว์ทางการเมืองให้หมุนอยู่ต่อไป.แบบเรานั่นแหละที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา!
พระพุทธเจ้าไม่ได้ฆ่าองคุลีมาร (ที่เป็นคนหรือรูปธรรม) แต่พระพุทธเจ้าฆ่า “มิจฉาทิฐิ” ขององคุลีมารที่เป็นนามธรรม (Abstract) ลง แล้วสถาปนา “สัมมาทิฐิ” (นามธรรม) ในจิตขององคุลีมารขึ้นใหม่ไม่ใช่หรือ จึงทำให้องคุลีมารนอกจากจะไม่ฆ่าคนแล้ว ยังกลายเป็น “อรหันต์” ที่ยังประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ชาติอีกต่างหาก!

7.รู้จักสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง
สถานการณ์ที่คนในชาติต้องการการมีชีวิตที่ดีกว่า ด้วยการ “เปลี่ยนระบอบ” จากระบอบเผด็จการให้เป็นระบอบประชาธิปไตย (ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) อย่างยิ่งยวดในขณะนี้ ทางวิชาการทางการเมืองเรียกสถานการณ์นี้ว่า    “สถานการณ์ปฏิวัติ (Revolution) กระแสสูง”

สถานการณ์นี้เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย” ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนนายทุนและชนชั้นสูงไม่ว่าจะเหลือง แดงหรือสีใดๆ เมื่อเข้ามาใช้อำนาจในการปกครองประเทศแล้ว ก็ล้วนแต่ใช้อำนาจเหล่านั้น ไป “แสวงหากำไร” หากินบนหยาดเหงื่อแรงงานที่ทุกข์ยากของราษฎรอย่างไม่แบ่งปันจนเกิดความไม่เสมอภาคขึ้นอย่างรุนแรงในสังคมจนถึงขั้น
1.ประชาชนไม่ยอมรับการปกครอง
2.ผู้ปกครองปกครองไม่ได้ (ไม่ว่าเหลืองแดงหรือสีใด)
3.ประชาชนล้าหลังตื่นตัว เพราะเศรษฐกิจชาติพังพินาศจึงไขว่คว้าทางออก (แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในเวลานี้) ท้ายสุดก็เกิดการรวมตัวทางการเมืองขึ้นทั้งที่อยู่ภายใต้มิจฉาทิฐิและสัมมาทิฐิ ส่วนที่เป็นสัมมาทิฐิจะนำมาสู่
4.ในส่วนที่เป็นมิจฉาทิฐิจะทำลายตัวเองลงไป ส่วนที่เป็นสัมมาทิฐิก็จะนำมาสู่การเป็นพรรคปฏิวัติที่เข้มแข็ง นำพาประชาชนไปสู่สังคม Developing Country เพื่อนำไปสู่ Developed Country ในท้ายที่สุด

8.บ่อเกิดของระบอบเผด็จการยุคใหม่ 
ระบอบเผด็จการยุคใหม่เกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและเกิดระบบทุนนิยม นายทุนระยะแรกจะไม่ผูกขาด แต่ครั้นสั่งสมทุนไปนานเข้า กดขี่และขูดรีดมากเข้าจนเป็นทุนผูกขาด ทุนผูกขาดเหล่านั้นก็แยกย้ายกันเข้าไปร่วมหรือไม่ก็ไปโค่นการปกครองเก่าลง หลังจากนั้นก็ใช้อำนาจทางการเมืองที่ตนถือครองมาเอาไป “กดขี่ขูดรีดแรงงาน” และ “ขจัดคู่แข่งทางการค้า” ของตนลง จนนำมาซึ่ง 1.การต่อสู้ของประชาชน (Civil War) และ 2.Conflict of Interest ระหว่าง “ทุนผูกขาด” กับ “ทุนผูกขาด” เพื่อแย่งอำนาจรัฐกัน (ดังที่เกิดซ้อนกันในเมืองไทยเวลานี้)
โดยมี “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” VS “เลือกตั้งเพื่อมาปฏิรูป” เป็นหัวข้อของความขัดแย้งแบบผิดๆ (ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาชาติได้ทั้งคู่) ในเวลานี้ 
โดยบรรษัทค้าการเมือง “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” กับบรรษัทค้าการเมือง “เลือกตั้งเพื่อปฏิรูป ต่างก็ไป “ปั่นจิ้งหรีด” มวลชนที่ “ต้องการประชาธิปไตย” มาเป็น “เบี้ยชีวิต” ในการ “โค่นคู่ต่อสู้” เพื่อเหยียบศพคนตายของทั้งคู่ขึ้นมาครองอำนาจ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการต่อสู้ระหว่าง “เผด็จการกับเผด็จการ” จะนำมาสู่ความทุกข์ยากของมวลชนทั้งชาติก็จริง แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็น “มุมกลับ” ที่ทำให้
อำนาจเผด็จการของทั้งสอง “ทรุดลง”  “ผกผัน” กับการเติบโตทางการเมืองของประชาชนในอันที่จะนำไปสู่การปกครอง ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
นับเป็น “โอกาสในวิกฤติ” ของประชาชนโดยแท้!

9.อำนาจอธิปไตยเป็นของชนชั้นใดก็ให้ประโยชน์แก่ชนชั้นนั้น

 “ชนชั้นใดร่างกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น”

“อำนาจอธิปไตยเป็นของชนชั้นใดก็ให้ประโยชน์แก่ชนชั้นนั้น”

ประเทศไทยแม้ว่าอำนาจอธิปไตยมาจากการเลือกตั้งทั่วไปก็จริง แต่อำนาจอธิปไตยเหลือง-แดงที่ผ่านมาและยังคงดำรงอยู่ ก็ล้วนแต่เป็น “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย” (ทุนผูกขาดหรือตัวแทนทุนผูกขาด) ทั้งสิ้น

อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยย่อมเอื้อประโยชน์ให้แก่คนส่วนน้อยเป็นอิทัปปจยตา คนยากคนจนแม้จะมีความต้องการที่จะเข้าไปสะท้อนปัญหาของกลุ่มผลประโยชน์ของพวกตนในองค์กรอำนาจอธิปไตย คนเหล่านั้นก็ไม่มีทางผ่านด่าน “พรรค” ที่เป็นศูนย์กลางของทุนผูกขาดไปได้ แม้คนที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนอย่างกว้างขวางก็จริง กว่าที่จะก้าวเข้าสู่ประตูการเมืองของพรรคได้ เขาก็ต้องถูกคัดแล้วคัดอีก ครั้นจับพลัดจับผลูได้รับเลือกตั้งเข้าไป ถ้าไม่เข้าไปสังกัด “มุ้ง” ของก๊วนการเมืองก๊วนใดก๊วนหนึ่งที่รวมตัวกันต่อรองเรื่องตำแหน่งและผลประโยชน์ในพรรค (ต้องยกมือโหวตในสภาตามคำสั่งของหัวหน้าก๊วนเพื่อที่จะได้มีอำนาจต่อรองในพรรคเสมอไป) ส.ส.คนนั้นก็จะถูกโดดเดี่ยวไม่ให้มีบทบาททางการเมืองไป
ผลของการปกครองโดยอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย เพื่อคนส่วนน้อย โดยคนส่วนน้อยไม่ว่าเหลือง,แดงหรือสีใดย่อมไปทำให้ราษฎร “มือสั้น” จนลงๆทุกๆวัน เพราะถูก “ทุนใหญ่” ที่มี “ส่วนได้ส่วนเสีย” จากการปกครองทั้งลับและแจ้ง ใช้ “ทุน”และองค์ความรู้ในเรื่อง “การบริหารจัดการ” ที่ “เหนือกว่า” ทำลายลง (ตามกฎหมาย)

ผลของการล่มสลายของคนยากจนและนำมาซึ่งสองมาตรฐานในสังคมนั่นเอง ที่เป็นสาเหตุว่าทำไม การต่อสู้ของเหลืองVSแดง จึงมีประชาชนผู้สูญเสียและประชาชนผู้รักความเป็นธรรมหนุนช่วยอยู่ทั้ง 2 ฝ่าย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเหลืองและแดงที่วันนี้ “อยู่ได้” ก็เพราะมวลชนประชาธิปไตยที่ ต่างจุดยืน ต่างทัศนะและต่างมรรควิธี “หนุนช่วย” อยู่นั่นเอง (ในขบวนเหลือง ขบวนแดงก็มีความต่างในจุดยืน ทัศนะและมรรควิธีที่นำมาซึ่ง “ความต่างเฉด” ในสีเดียวกันและแตกแยกกันอยู่ในที)

                ดังนั้น ถ้าเราไม่ขจัด “เงื่อนไขสงคราม” คือระบอบเผด็จการที่เป็นปฐมเหตุแห่งความยากจนและ Double Standard ในสังคมลง แล้วสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นเพื่อเฉลี่ยรายได้แห่งชาติและความเสมอภาคให้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมแล้ว ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ระหว่าง “กลุ่มทุนเก่า” กับ  “ทุนใหม่” ”และ “สงครามประชาชน”ก็ไม่มีทางยุติลงได้ ไม่ว่าจะหาวิธีใดๆมา “กลบเกลื่อน” ปัญหา ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือการกดดันด้วยมวลชนเพื่อให้เกิดการปฏิรูป (โดยไม่ปฏิวัติประชาธิปไตย) ก็ตาม

การแก้ปัญหาใดๆในโลกก็ไม่สามารถแก้ได้ด้วยเจตนาดี เพราะเจตนาเป็นเพียงแค่ความต้องการที่เป็นนามธรรม การแก้ไขจึงต้องอาศัยรูปธรรมในการแสดงนั่นคือต้องมี “มรรค” หรือ “แนวทาง” ในอันที่จะนำไปสู่นิโรธหรือความดับทุกข์ แต่มรรคหรือแนวทางดังกล่าวก็ต้องเป็น “สัมมามรรค” หรือมรรคที่ตั้งอยู่บนหลักวิชาด้วย จึงจะนำพาประชาชนและชาติบ้านเมืองไปสู่สังคมอารยะหรือสังคมนิพพานได้
วันนี้มวลชนแต่ละฝ่าย “โค่นรัฐบาลเหลืองให้แดง” “โค่นรัฐบาลแดงให้เหลือง” โดยหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่า โค่นแล้ว..
ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นตรงไหน!
โค่นแล้วคนรวยก็รวยมากขึ้น คนจนก็จนลงไม่ว่ารัฐบาลที่ผ่านมาจนปัจจุบันจะสีอะไร โค่นแล้วอาชญากรรมก็ยังเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่อย่างนี้หรือ?
เราได้ประชาธิปไตยกันจริงหรือ?
ทั้งสองแนวทางแก้ปัญหาชาติได้ตรงไหน?
และถ้าปล่อยให้ประชาชนแสวงหาทางออกกันอย่างไม่รู้วิชาอย่างนี้
เลือดจะท่วมบ้านท่วมเมืองอย่างไร?

10.เราจะสร้างประชาธิปไตยกันอย่างไร
คำตอบเบื้องต้นก็คือต้อง “ยุติบทบาทของพรรคเหลืองและพรรคแดง “สารก่อปัญหา” “ความขัดแย้ง” ในชาติ ลงไปก่อน ยุติบทบาทของทั้งคู่ลงได้แล้ว ก็ต้องตั้ง “รัฐบาลเฉพาะกาล” (Provisional Government) ขึ้น เพื่อทำการ “เปลี่ยนผ่านการปกครอง” จากเผด็จการให้เป็นประชาธิปไตย (อำนาจอธิปไตยของปวงชน) เสีย ปัญหาต่างๆก็จะหมดไป

อำนาจอธิปไตยปวงชนมาจากไหน? 
ก่อนอื่นผู้ที่เข้าไปแก้ไขปัญหาต้องเข้าใจ “โครงสร้าง” ของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ “งำ” โลกทั้งใบเอาไว้เสียก่อนว่า โครงสร้างนี้ประกอบไปด้วยนายทุนและกรรมกรที่หลากหลาย (อาชีพ) ระบอบเผด็จการนั้นอำนาจอธิปไตยเป็นของชนชั้นนายทุนแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่มีกรรมกรซึ่งเป็นอีกชนชั้นหนึ่งเข้าไปคานอำนาจด้วยมันจึงทำให้อำนาจและผลประโยชน์ตกไปอยู่กับนายทุนผูกขาดแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นรัฐบาลเฉพาะกาลที่กำเนิดขึ้นในอนาคต จึงมีความจำเป็นต้องเอา “ตัวแทนอาชีพ” ที่ประกอบส่วนด้วยฝ่าย “ทุน” และฝ่าย “กรรมกร” เข้ามาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรพร้อมๆกับผู้แทนเขต (จังหวัดต่างๆ) อย่างสมดุลกันอย่างลงตัว

การที่ต้องให้มีผู้แทนสาขาอาชีพทั้ง “ฝ่ายทุนและฝ่ายกรรมกร” มาบวกกับ “ผู้แทนเขต” ไปด้วย ก็เพื่อให้คนต่างอาชีพและต่างเขตที่มีวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันคานอำนาจ กระจายรายได้และให้คุณค่าแก่ชนทุกชั้น ทุกอาชีและทุกวัฒนธรรมความเป้นอยู่อย่างรอบด้านนั่นเอง

 รัฐบาลเฉพาะกาลมาจากไหน
1.มาจากประมุขแต่งตั้งก็ได้ หรือ
2.จะมาจากพรรคปฏิวัติที่เข้ามาควบคุมอำนาจอธิปไตยไว้ในกำมือก็ได้

ถ้าประมุขทำก็สันติ ถ้าประชาชนทำก็รุนแรง ปัญหาว่าในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ คนไทยจะเลือกเอาวิธีไหน?
วันนี้มีแนวโน้มว่าการแก้ไขปัญหาของผู้มีอำนาจที่ “ไม่มีดวงตาเห็นธรรม” กำลังจะไปทำ Caretaker Government หรือรัฐบาลรักษาการ (แบบรัฐบาล พล.อ. สุรยุทธ จุฬานนท์หรือรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์) เพราะผู้มีอำนาจไม่ต้องการเปลี่ยนระบอบหรือต้องการการเปลี่ยนระบอบแต่ทำไม่เป็น แทนที่จะทำ Provisional Government ตามหลักวิชาการ “แก้ทุกข์” ด้วยการ “ขจัดเหตุแห่งทุกข์” (คือระบอบเผด็จการ) ของพระพุทธเจ้ากลับไป “เพิ่มเหตุแห่งทุกข์” ซ้ำซ้อนขึ้น ซึ่งจะทำให้ความขัดแย้ง “บานปลาย” มากขึ้นอีกแบบเดียวกับพวก Constitutionalism กระทำมาในอดีต

ในทางหลักวิชาทางการเมือง การรัฐประหารด้วยกำลังทหารหรือการ Uprising ของมวลชน (ด้วยการหลอกของเผด็จการเหลืองหรือแดงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง) แล้วมาตั้ง Caretaker Government แบบ พล.อ.สุรยุทธ จุฬานนท์หรือสัญญา ธรรมศักดิ์ขึ้น โดยไม่เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยให้เป็นอำนาจอธิปไตยปวงชน สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยตามมาก็ย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองอันเกิดจากอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยได้ เพราะมันเป็นเพียงแค่การ “แย่งอำนาจ” กันไปพลางและเพื่อการผลักภาระความขัดแย้งไปสู่ประชาชนไปพลาง เพื่อลด “แรงกดดัน” ของประชาชนที่มีต่อระบอบเผด็จการของพวกเขานั่นเอง

วันนี้ หลายคนเรียกร้องรัฐบาลแห่งชาติ รัฐบาลสามัคคีธรรมแห่งชาติแบบไม่รู้วิชา!
ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาแบบ
ลิงแก้แห!

11.สื่อในสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงควรทำอย่างไร
จุดมุ่งหมายในการทำงานของบุคคลากรในองค์กรสื่อสารมวลชนมีจุดมุ่งหมายซ้อนกันอยู่ 2 ประการก็คือ
1.เพื่อการให้ได้มาซึ่ง “ผลกำไร” ของธุรกิจการสื่อ กับ
2.ใช้ไปช่วยแก้ไขปัญหาชาติ
วันนี้ชาติบ้านเมืองกำลังประสบปัญหาและส่งผลมาถึงธุรกิจทุกๆธุรกิจในชาติรวมทั้ง “ธุรกิจการสื่อ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาร่วมก็เหมือนกับไฟไหม้บ้านร่วมกันทุกคน และไฟก็ไม่เว้นหรอกว่าในบ้านหลังนั้นมีใครที่เก่งกว่าใครหรือใครเป็นอรหันต์มากกว่าใคร  
ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนที่อยู่ในบ้านที่ไฟกำลังไหม้ “ต้องกระทำร่วมกัน” ก่อนสิ่งอื่นใดก็คือ การช่วยกัน “ดับไฟ” ที่กำลังไหม้ “สมบัติร่วม”ชิ้นนี้

การดับทุกข์ต้องดับที่เหตุฉันใด การดับไฟที่กำลังไหม้ชาติก็ต้องดับที่เหตุแห่งทุกข์ฉันนั้น ก็ในเมื่อปฐมบทหรือเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้คือระบอบเผด็จการแล้ว ทำไม่สื่อจึงไม่ช่วยกัน “ชี้นำความคิดถูก” ให้ประชาชนที่กำลังตื่นตระหนกกับไฟที่ไหม้บ้านไหม้เมือง เข้ามาร่วมในการแก้ไขปัญหาชาติอย่างถูกหลักวิชา ซึ่งก็คือการยุติระบอบเผด็จการ ยุติการปกครองแบบเผด็จการ ยุติระบบเผด็จการ แล้ว สร้างระบอบประชาธิปไตย สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย สร้างระบบประชาธิปไตยขึ้น เพื่อคนไทยทุกคนได้กินดีอยู่ดี มีความเสมอภาคและเสรีภาพอย่างแท้จริง

นั่นเป็นเพียงวิธีการเดียวที่ “สื่อ” ในระยะ “เปลี่ยนผ่าน” ทางการเมืองกระทำได้ โดยไม่ต้องรอให้เกิดการฆ่ากันตายเป็นแสนเป็นล้านอย่างการปฏิวัติตามประเทศต่างๆในโลก

ทำไมเราจึงไม่ฉวยโอกาสเข้าไปช่วยประชาชาชนเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อความไพบูลย์ของชาติเหมือนกับสื่อหลายๆสื่อที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชาติบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยในโลกในอดีตกันเล่า

นี่เป็นโอกาสเดียวในหลายร้อยปีที่สื่อจะมีโอกาสเป็น ฐานันดรดีที่ 4
อย่าหลงไปเป็นเครื่องมือให้เผด็จการเหลือง เผด็จการแดงกันอยู่เลย เพราะนอกจากจะไม่ใช่ทางออกของชาติแล้ว ยังเป็นการไปช่วยเผด็จการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้สลับกันเข้ามา "ประกอบอาชญากรรม” ต่อทุกคนในชาติของเราเองอีกต่างหาก


จำลอง บุญสอง
chamlongboonsong@gmail.com

จำลอง บุญสอง
chamlongboonsong@gmail.com  
094 483 4740
จำลอง บุญสอง chamlongboonsong@gmail.com 094 483 4740

2 ความคิดเห็น:

  1. เห็นด้วยทุกประการครับ

    ต่อรอง หมอบกราบ ถวายบังคมไม่เอาครับ

    ตอบลบ
  2. เป็นบทความที่สุดยอด

    ตอบลบ