เพลงฉ่อยชาววัง

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

ขีดเส้น โดย.......จ้ักรภพ เพ็ญแข

January 20, 2014



ผมเข้าใจดีครับว่า พี่น้องที่อยู่ในเมืองไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครขณะนี้ มีแต่ความตึงเครียดในหัวใจ ไม่เฉพาะมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยที่อึดอัดขัดใจกับการยั่วยุท้าทายหยาบๆ คายๆ ของฝ่ายม็อบและไม่สนใจความรู้สึกของใครนอกจากของตัวเอง แต่ฝ่ายม็อบเองก็ตึงเครียดมากเพราะไม่รู้ว่าท่าทีอันแข็งกร้าวที่ดูน่าตื่นใจฝ่ายตน โดยเฉพาะจากฝีมือการแสดงระดับมืออาชีพของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะนำบทอวสานชนิดไหนมาให้กับเขากันแน่ 

ส่วนระเบิดสองสามครั้งนั้น เป็นเรื่องน่าเสียใจที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ แต่ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเสียแล้ว เพราะม็อบไม่สามารถระดมมวลชนในช่วงเสาร์อาทิตย์ได้ตามหวังเอาไว้ การโยนระเบิดมือจึงต้องเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องความสนใจและเร่งรัดเกม แต่เกมแบบนี้เป็นเรื่องปกติของการเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะในภาคใต้ ขนาดประชาชนที่อยู่ห่างการเมืองเขายังรู้วิธีที่นักการเมืองสายมารเขาเล่นกัน ทำไมมวลชนที่ติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิดทั้งสองฝ่ายจะไม่รู้ ผมห่วงอย่างเดียวว่า มิจฉาทิฐิว่าประชาชนโง่เง่าและรู้ไม่เท่าทันตนนั้น มันจะทำให้ “ชนชั้นนำ” ของไทยทำสิ่งที่ฝังตัวลึกลงไปอีกในหลุมดำที่ตัวขุดเอาไว้เอง เป็นต้นว่า แสดงความเห็นใจผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บโดยไม่ใส่ใจหรือแกล้งโง่ว่าบริบทของเหตุการณ์นั้นๆ คืออะไร 

ทุกวันนี้พวงหรีดพวงเดียวก็กระตุ้นการปฏิวัติประชาชนได้อยู่แล้ว แต่คนหลงโลกทั้งหลายก็ยังร่วมกระตุ้นความรู้สึกอันรุนแรงพลุ่งพล่านนั้นต่อไป ไม่ต่างอะไรจากคนตาบอดที่ถอนขนจากตัวเสือทีละเส้นเพราะไม่รู้ว่าเป็นเสือ จนเสือทนไม่ไหวและหันกลับมาขย้ำเข้าให้ ไม่แน่นะครับ การปฏิวัติประชาชนเมืองไทย อาจได้รับความสนับสนุนจากผู้ที่มิใช่มวลชนประชาธิปไตยจนประสบความสำเร็จ นั่นคือ “ชนชั้นนำ” และสาวกผู้คลั่งไคล้ขาดสติของเขาที่ขณะนี้ไม่รู้ตัวแล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่

ปัญญาชนฝ่ายประชาธิปไตยที่ออกมาหนุนการเลือกตั้ง ท่ามกลางความรุนแรงที่ทวีขึ้นนั้น ก็น่านิยมยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นคณะนิติราษฎร์โดย ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ หรือกลุ่มของ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ล้วนแสดงท่าทีที่สอดคล้องกันโดยมิได้นัดหมาย ได้แก่ หนุนให้มีการเลือกตั้ง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และวิจารณ์คณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างชัดเจนว่าทำตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นกลไกประชาธิปไตยเอาเสียเลย หากถามว่าแล้วเสียงแห่งปัญญาเหล่านี้กำลังสื่อสารกับใครอยู่หรือ คงมิได้พูดกับม็อบบ้าคลั่ง ที่ไม่ได้ยินอะไรยกเว้นเสียงด่าทอและเสียงนกหวีดที่เป่าเองฟังเองแน่ แต่เขากำลังพูดกับมหาประชาชนตัวจริงผู้ยังคงเงียบสงบรอดูสถานการณ์อยู่ทั่วประเทศ หรือ “พลังเงียบ” ที่จะแสดงตัวเมื่อถึงเวลาจริงๆ เท่านั้น 

พลเมืองเหล่านี้ไม่ใช่นักการเมือง เป็นคนทำมาหากินที่ดำรงชีวิตตามปกติ แต่เขากำลังดูว่าเหตุการณ์จะผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดไหน นี่ล่ะคือกลุ่มเป้าหมายที่เสียงแห่งสติและปัญญาเหล่านี้ต้องการจะสื่อสารด้วย แต่ถ้า “ชนชั้นนำ” ยังมีสติเหลืออยู่พอที่จะได้ยินได้ฟังและได้คิดไปด้วยก็นับเป็นผลพลอยได้ที่มีคุณค่า บางทีเวรกรรมอาจยังไม่หนักหนาถึงขั้นที่ความบอดกับความหนวกรุมถล่มโจมตีในคราวเดียวกันก็ได้ นี่ก็คือที่เราคาดหวังไปเรื่อย เพราะหวังจะเลี่ยงหรือลดขนาดการนองเลือดลงบ้างเท่านั้น

จากนี้ไปฝ่ายเราคงต้องขีดเส้นเอาไว้เหมือนกัน ถึงจะไม่อยากร่วมเกมล้างผลาญบ้านเมืองที่นายสุเทพฯ กำลังเป็นตัวแทนเล่นอยู่ในปัจจุบันก็ตาม เส้นนั้นคือการเลือกตั้ง การทำงานของสภาผู้แทนราษฎร และการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าเล่นกันถึงขนาดที่สามสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ฝ่ายประชาธิปไตยทั้งมวลควรแสดงท่าทีว่าเราหมดความอดทนกันบ้างไหม และเราจะแสดงออกด้วยวิธีใดเพื่อให้เขารู้กันทั้งนายทั้งบ่าว ตอนนี้เราเริ่มเตรียมการกันบ้างแล้วและหลายเรื่องก็เตรียมกันมานานพอสมควรแล้ว แต่เราต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในระยะต่อไปและไม่เข้าทางศัตรูในระยะสั้น การเลือกจังหวะเวลาที่จะทำอะไร จึงสำคัญและละเอียดอ่อนยิ่ง เอาเป็นว่า ถ้าสามสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น เราคงต้องทำอะไรมากกว่าที่กำลังทำอยู่ บ้านเมืองไม่ใช่ของตระกูลเดียว ที่ขึ้นไปนั่งขี่คอนักรบและพ่อค้าเพื่อขูดรีดเอาเปรียบและทำนาบนหลังคน แต่เป็นของมวลชนพลเมืองที่มีการเรียนรู้จากประสบการณ์ จนมีความมั่นคงทางใจว่าเราคือเจ้าของประเทศไทย ในประเทศไทยจากนี้ไปมีแต่ประชาชน ไม่มีชนชั้นอื่นๆ ไม่มีข้อยกเว้น และไม่มีระบอบอื่นใดนอกเหนือจากระบอบประชาธิปไตย 

ก็ขอขีดเส้นนี้ไว้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น