เพลงฉ่อยชาววัง

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สอาด จันทร์ดี เขียน “มหากาพย์การเมือง”

ทีมเสรีชน:
  สอาด  จันทร์ดี  เขียน “มหากาพย์การเมือง”  อ่านจุใจ ๑๒ บท
ชุด:  เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง

ตอนที่ ๑ :  ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กับ พวก
                   ตัวการ “ล้มล้าง” องค์รัชทายาท ร. ๙

 น
เจ็บใจที่สุดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนล้มเจ้า ...?
เจ็บใจที่สุดที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นภัยสถาบัน.... ?
         ถ้าเป็นจริงตามนั้น หมายความว่า ณ วันนี้มีคนไทยมากกว่า  ๒๘ ล้านคน เป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้าแผ่นดิน  ตัวเลข ๒๘ ล้านคน ประเมินมาจาก “คนเสื้อแดง” ที่โตวัน โตคืน...อันอาจจะกลายเป็น ๓๘ ล้านคน หรือ ๔๘ ล้านคน ในเวลาอันไม่นาน ถ้าเป็นเช่นนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์จะตั้งอยู่ได้อย่างไร
         มีคำถามว่าจริงหรือที่ว่า “คนเสื้อแดง” กำลังจะล้มเจ้า ? แล้วถามว่า ในประเทศนี้มีแต่ “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” สุเทพ เทือกสุบรรณ อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา กับ “เนวิน ชิดชอบ” เท่านั้นหรือที่มีเต็มเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี    คนอื่นไม่รักพระเจ้าแผ่นดินกระนั้นหรือ
         วันนี้...เรามาถกกันในปัญหานี้อย่างเปิดเผย  และชัดเจน  โดยหยิบเอาชื่อคนในสังคมที่ท่านรู้จักขึ้นมาเป็น “รางรถไฟ” ให้หัวรถจักรได้วิ่งไปบนตัวอักษรเพื่อการอธิบายที่ยิ่งใหญ่  เอาให้เห็นกันจะจะว่า  พวกคุณต่างหาก คือตัวการล้มเจ้าตัวจริง
         จึงขอหยิบเอาคนชื่อ “รศ. ดร. เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง” ขึ้นมาเป็นรางรถไฟ ที่ผมกล่าวหาว่าเป็นผู้ล้มล้าง องค์รัชทายาท เมื่อผมกล่าวหาเช่นนี้  คงจะทำให้ประเทศนี้สั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน เพราะมี
บุคคลอื่นเกี่ยวข้องมากมาย  โดยเฉพาะได้แก่ “มหาอำมาตย์” ทั้งหลาย
         ขอย้อนกลับไปที่ปี ๒๕๔๙  เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙  ที่พลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน  ผบ.ทบ. ในสมัยนั้นทำการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  ล้มล้าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร  นายกรัฐมนตรีคนที่  ๒๓ นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้คิด
         ผมตื่นเต้นที่มีทหารเข้ามา “ขัดขวาง” การพัฒนาประเทศอีกแล้ว  และยังได้ล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (๒๕๔๐) โดยอาศัยอำนาจของหัวหน้าปฏิวัติที่อ้างตัวว่าเป็น “เจ้าของอำนาจรัฐถาธิปัตย์”   (เป็นใหญ่กว่าพระเจ้าแผ่นดิน)  ทำการฉีก
รัฐธรรมนูญทิ้งโดยไม่มีความผิด
         ผมติดตามความเคลื่อนไหวตั้งแต่บัดนั้น  โดยได้ทำเสนอแนวคิดว่ารัฐธรรมนูญแบบไหนที่ประชาชนต้องการ  แล้วได้นำเอาไปมอบให้  น.ต. ประสงค์  สุ่นสิริ ที่ได้ยึดชายหาดบางแสน เป็นที่ประชุม  ผมไปกัน  ๒ คน คือผมกับมหากมล ศรีนอก  โดยหวังว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่  คงจะมีหมวดว่าด้วยการ “เวนคืนที่ดินจากคนรวย ที่หลวง และที่ราชพัสดุ” เอามาจัดสรรให้คนจน
        ผมขอเรียนว่า น.ต. ประสงค์  สุ่นสิริ  ต้อนรับดีมาก
        ดี...จนเชื่อว่า เขาจะหยิบยกเอาไปใช้ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ทว่า ...เหลวงทั้งเพ
        เมื่อรัฐธรรมนูญสำเร็จออกมา  ก็ได้เห็นต้นร่างที่ “คณะกรรมการยกร่าง” เพื่อจะได้นำเสนอแก่ สสร. และ สนช.  อันจะได้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  ที่จะถูกเอามาแทนรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี ๒๕๔๐
        ผมอ่านรัฐธรรมนูญใหม่ครบทุกมาตรา
        เมื่ออ่านจบ  ก็ตระหนักแก่ใจว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญในปลายสมัยรัชกาลที่ ๙  ที่มีเจตจำนงแน่วแน่ที่จะ “ขัดขวาง” องค์รัชทายาทมิให้ได้ขึ้นครองราชย์โดยง่าย  อันหมายถึงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับ “ปลายรัชกาล”! เมื่อผมเข้าใจเช่นนั้น  จึงได้ไปกราบท่าน “พระครูปลัดไพศาล”  ที่วัดแก้วฟ้าบางกรวย จังหวัดนนทบุรี  เพื่อการถวายความเห็น  ว่าจะพิมพ์หนังสือ “รัฐธรรมนูญ” ฉบับ  ล้มพุทธ ล้มเจ้า  หวังจะแจกจ่ายแก่มหาชนให้ได้อ่าน
        ในที่ก็ลงทุนพิมพ์ไป ๕๐,๐๐๐ เล่ม เป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แจกจ่ายโดยทุนของตนเอง  มิได้ซื้อขายแต่อย่างใด
 ท่านเอ๋ย...ไม่มีใครสนใจ
 อ่านก็อ่านไปอย่างนั้น  
 ไม่เข้มข้น และไม่มีใครเชื่อ
        ในที่สุด...วันเวลาผ่านไป   และผ่านไป  จนในที่สุดก็ได้มีการกล่าวหา “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร”  และกล่าวหา “คนเสื้อแดง”  ว่าเป็นภัยต่อสถาบัน  เป็นพวกล้มเจ้ารวมทั้งกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” ดังที่สังคมไทยทั้งในและนอกประเทศ ล้วนแต่เคยได้ยิน  อันมิใช่เรื่องที่พูดกันสนุกปากเล่น  เขาพูดใส่ร้ายอย่างจงใจ !
        เมื่อมันมาถึงขั้นนี้  ผมจึงตัดสินใจเขียนกระชากหน้ากากคนที่เลว   ตามความเชื่อของผมเท่าที่มีอยู่  แต่ก็นั้นแหละ  ผมจำเป็นต้องหยิบยกเอาตัวบุคคลที่น่าเชื่อถือ ... เอามาเอ่ยอ้างเป็นพยาน...แม้ท่านจะละโลกนี้ไปแล้วก็ตาม ท่านผู้นั้นได้แก่ ศาสตราจารย์ ธรรมนูญ  ลัดพลี
       “ท่านผู้นี้”  เล่าให้ผมฟังว่า  “มีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง  ไม่ยอมให้ฟ้าชายเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป  แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร  คนพวกนั้นกำลังคิดหาหนทางขัดขวางอยู่” ?!
        เรื่องราวสั้น-สั้นเรื่องนี้  ทำให้ผมมีอาการแทบว่าจะเนื้อดิ้น 
        แต่เนื่องด้วยตัวเองเป็นเพียงนักเขียนน้อยๆคนหนึ่ง  จะทำอะไรได้  จึงได้แต่จดจำเรื่องราวอันไม่น่าเชื่อเรื่องนี้ เอาไว้ในใจ...โดยได้ปล่อยให้กาลเวลาผ่านไปและผ่านไปโดยไม่เชื่อว่าจะมีใครขัดขวางได้  จึงมีความเชื่อเป็นทุนตั้งอยู่ในใจว่าในหลวงของคนไทยองค์ต่อไป  ได้แก่สมเด็จ “พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร” เมื่อเชื่อเช่นนี้ จึงได้ตั้งรูปไว้บูชาในห้องพระ๒ รูป  คือรูปในหลวง และรูปฟ้าชาย นั้นคือเรื่องเก่าๆที่ผมจำเป็นต้องนำเอามาทบทวน
         แล้วก็มาถึงเรื่องใหม่...เริ่มจากหนังสือ “รัฐธรรมนูญฉบับล้มพุทธ-ล้มเจ้า” ที่ได้พิมพ์แจกไปตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๐ ผ่านมาแล้ว ๔ ปี  โดยที่หนังสือเล่มนี้ มิได้ก่อกระแสให้สังคมได้รับรู้  ตรงกันข้าม  คนที่ทำความชั่วมิได้รับเคราะห์กรรม คนดี และทำแต่ความดี กลับถูกกล่าวหาอย่างร้ายเหลือ
         ผมจึงกลับไปที่หนังสือเล่มเก่าอีกครั้ง  ก็ได้พบว่า  “ข้อผิดพลาดในการนำเสนออยู่ที่การใช้คำว่ารัฐธรรมนูญฉบับล้มพุทธ-ล้มเจ้า”  ซึ่งมันกว้างเกินไป  ถ้าเอาตัวละครมาแฉ หรือเปิดโปงอย่างกล้าหาญ  ก็จะได้ “กระแส” ที่ดีขึ้น  จะมีคนสนใจมากขึ้น เปล่าครับ...ผมไม่สนใจต่อกระแสอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่สนใจมากกว่านั้นได้แก่การ “เปิดโปง”  คนที่ทำความผิดให้คนไทยได้รับรู้จะเป็นการ “ช่วยประเทศ” ให้หลุดพ้นจากสงครามแย่งชิงอำนาจ ได้ในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้นำเสนอ “มหากาพย์การเมือง”  ชุด “เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง”
         ตอนที่กำลังอ่านอยู่นี้เป็นตอนที่ ๑  ขอรับ
         ผมขอฟันธงให้สั้นเข้า และรวดเร็วเหมือนจักรผันว่า    “รศ. ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” กับ  น. ต. ประสงค์  สุ่นศิริ  กับพวกอีกหลายคน  เป็นกระขวนการ “ขัดขวาง”  ฟ้าชายมิให้ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ “ในรัชกาลต่อไป”  โดยได้รับใบสั่งให้มาดำเนินการ “ขัดขวาง” ด้วยการใช้รัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือระดับแผ่นดิน 
         ดังนั้น  จึงได้ตราเอาไว้ในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ตั้งแต่มาตรา ๒๐ ขึ้นไปจนถึงมาตรา ๒๕ ที่มีถ้อยคำวกไปวนมา  อ่านแล้วจับใจความว่า “ราชบัลลังก์หากว่างลง” ให้แต่งตั้ง “ประธานองค์มนตรี”  ขึ้นเป็น “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”  แล้วอ่านต่อไปจะพบว่า  “ถ้าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ไม่มีเวลาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานองค์มนตรี ก็ให้ “คัดเลือก” องค์มนตรีคนใดคนหนึ่งขึ้นมาเป็นประธานองค์มนตรีแทนตำแหน่งที่ท่านไม่มีเวลาทำงานให้
        ผมอ่านรัฐธรรมนูญจำนวน  ๖ มารตราด้วยความพินิจพิเคราะห์  ก็มีคำถามว่าเหตุไรจะต้องให้ “ประธานองค์มนตรี” ไปเป็นผู้สำเร็จ  เหตุไรไม่แต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง  ขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จ  (นี้คือคำถามที่เกิดในใจข้อที่ ๑) ?! ต่อมาก็มีคำถามอีกว่าหากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงจากไปตามพระชนมายุที่เดินทางมาถึงตามธรรมชาติอันไม่มีใครหลบให้พนไปได้   ย่อมไม่จำเป็นที่จะต้อง “คัดเลือก” หาองค์พระมหากษัตริย์ ให้ลำบาก มิใช่หรือ ?
        เพราะว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช” ทรงเป็น “สยามมกุฎราชกุมาร”  ตามกฎมณเฑียรบาลอยู่แล้ว  ฟ้าชาย จักได้ขึ้นครองราชย์  ไม่ว่าสุขภาพอนามัยของพระองค์จะเป็นอย่างไร และจะได้ขึ้นครองราชย์ทันที  โดยมิต้องให้ใครมาแต่งตั้งทั้งนี้ก็เพราะสิทธิในการสืบสันตติวงศ์ อยู่ในพระหัตถ์ของฟ้าชายฟ้าชายทรงเป็นที่รู้จักของพสกนิกรมาด้วยเวลาอันยาวนานจะหาความลี้ลับเพียงไรก็หาไม่ ทว่า  “คนพวกนั้น”  ไม่รักพระองค์ท่าน  แต่ไม่กล้าทูลทัดทานด้วยวาจา  พวกเขาขี้ขลาดตาขาว  แล้วหาหนทาง “เอาไปปักไว้” ในรัฐธรรมนูญ ด้วยการตั้งประธานองค์มนตรีให้ขึ้นมาเป็น “ผู้สำเร็จ”  อันหมายความว่า “จะมีการเสาะแสวงหา” พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ด้วยมือของ “ผู้สำเร็จ”  ซึ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้น
        ผมจึงกล่าวหา รศ.ค. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นต. ประสงค์  สุ่นสิริ  กับพวกอีกจำนวนหนึ่ง  ได้ทำหน้าที่ “ตามใบสั่ง”  เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมารับใช้อำมาตย์  เพียงเพี่อจะหาหนทาง “ขัดขวาง” สมเด็จฟ้าชายมิให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
        ท่านครับ  ผมเขียนหนังสือเปิดโปงไปแล้ว ๔ ปีเต็ม  ไม่อาจให้ค่า แต่ในโลกอินเตอร์เน็ตวันนี้...ผมขอทำหน้าที่ใหม่ ขอนำเสนอ “เนื้อหา” อันน่าทึ่งให้แก่พสกนิกรทั้งหลายได้รับรู้เอาไว้  แล้วจะตอบโต้อย่างไรก็ค่อยว่ากัน  สำหรับประวัติของ “ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” คนนี้ ท่านลองอ่านดู ...ดูเสียให้จะจะอ่านแล้วแทบไม่อยากเชื่อว่า เขาได้รับใบสั่งให้ยกร่างรัฐธรรมนูญ  เอาบทบัญญัติอันยิ่งใหญ่นี้มาเป็นกำแพงขวางกั้นสมเด็จฟ้าชายได้ถึงเพียงนี้
นี้หรือคือความจงรักภักดี ? 
 
ประวัติ รศ. ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
        รองศาสตราจารย์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หรือที่นิยมเรียกกันว่า ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 ที่จังหวัดอ่างทอง จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนอำนวยศิลป์, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (รุ่นเดียวกับนายบุญคลี ปลั่งศิริ)[1] เศรษฐศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมดีมาก) (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต (ธรรมศาสตร์) และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้รับเลือกให้เป็นศิษย์เก่าดีเด่นของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
        [แก้] บทบาทอาจารย์และสื่อมวลชน รศ.ดร.เจิมศักดิ์ เคยเป็นอาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผู้ค้นคว้า วิจัย เชี่ยวชาญ ด้านการตลาดสินค้าเกษตร สินค้าโภคภัณฑ์ และการพัฒนาชนบท เป็นที่รู้จักในบทบาทผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ ประเภทการเมือง เศรษฐกิจ สังคมด้วย เช่น รายการเวทีชาวบ้าน, มองต่างมุม,เหรียญสองด้าน , ตามหาแก่นธรรม ทางช่อง 11, ฃอคิดด้วยฅนและลานบ้านลานเมือง ทางช่อง 9 ปัจจุบันมีรายการที่ออกอากาศ เช่น รู้ทันประเทศไทย ทาง ASTV ช่อง NEWS1 รายการ "ลงเอย..อย่างไร" ทุกวันพุธ เวลา 21.00 -22.00 น. และรายการ "คลายปม" ร่วมกับ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา และ วันชัย สอนศิริ ทุกวันอาทิตย์ เวลา 21.00 -22.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.) รายการ "มุมมองของเจิมศักดิ์" F.M.92.25 เวลา 08.00-09.30 น. ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ และรายการวิทยุ "พูดตรงใจกับ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง" ทุกวันอาทิตย์เวลา 10.00 - 12.00 น. ทาง F.M. 92.25 และเป็นคอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์แนวหน้าและในเว็บไซต์ผู้จัดการแบบไม่ประจำ อีกทั้งมีสำนักพิมพ์ของตนเองคือ สำนักพิมพ์ฃอฅิดด้วยฅน พิมพ์และจัดจำหน่ายหนังสือแนวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มีหนังสือของสำนักพิมพ์ฃอคิดด้วยฅน ที่ได้รับความนิยม เช่น รู้ทันทักษิณ 1-5,แปลงทักษิณเป็นทุน ,อยู่กับทักษิณ, การเมืองไทยหลังรัฐประหาร, รู้ทันภาษา รู้ทันการเมือง เป็นต้น
[แก้] การเมือง
        รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2543 ถึง พ.ศ. 2549 โดยได้รับการเลือกตั้งจากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรกของไทย ในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่ง รศ.ดร.เจิมศักดิ์ได้เบอร 144 และได้คะแนนไปทั้งหมด 196,897 ถือเป็นลำดับที่ 3 ของกรุงเทพมหานคร[2] และก่อนหน้านั้นก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2539 และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมการขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งในการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีประเด็นของการเรียกร้องให้มีการบรรจุพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่ง รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดความแตกแยกกับศาสนาอื่น จึงตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มผู้เรียกร้อง และเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น กรรมการและโฆษกประจำคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ด้วย
       ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ออกมาเปิดเผยถูกถอดรายการ "มุมมองของเจิมศักดิ์" ที่เคยจัดอยู่ในวิทยุคลื่น 105 F.M.MHz วิสดอมเรดิโอ ในช่วงเช้าวันธรรมดา โดยผู้บริหารบอกให้มีการเปลี่ยนแปลงผังรายการ ซึ่ง รศ.ดร.เจิมศักดิ์ บอกว่า เป็นคำขู่จากนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี[3]
[แก้] ชีวิตส่วนตัว
        ชีวิตส่วนตัวสมรสกับ ดร.จิตริยา ปิ่นทอง อดีตเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (นามสกุลเดิม ติงศภัทิย์ เป็นบุตรสาวของ ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ อดีตองคมนตรีในรัชกาลปัจจุบัน) มีบุตรสาวหนึ่งคนคือ นางสาวจารีย์ ปิ่นทอง
        ในปัจจุบัน รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราภิชาน จากมหาวิทยาลัยรังสิตอีกด้วย [4]
หมายเหตุ :
        คอยอ่าน “ตอน ๒”  รายชื่อ “กลุ่มเครือข่าย” ขัดขวางองค์รัชทายาท ? มหากาพย์เรื่องนึ้ จะมีความยาว ๑๒ ตอน
        แต่ละตอนเร้าใจ  สมกับที่เป็น “ลับ ลวง พราง”
        ที่จะเปิด “ห้องมืด” ให้ดูเป็นตอนๆ !

              “สอาด จันทร์ดี”



ทีมเสรีชน:
มหากาพย์การเมือง ชุด “เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง”
 ตอน  ๒ : รายชื่อ “กลุ่มเครือข่าย”  ขัดขวางองค์รัชทายาท 
                           ยึดโยงกับ ดร. เจิมศักดิ ปิ่นทอง !

เมื่อมหากาพย์การเมืองได้ปรากฏขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ต ตอนที่ ๑ ผ่านไป ผมเข้าใจเอาเองว่าคงจะมีคนสงสัยเป็นล้นพ้นว่า  คนอย่าง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งเป็น  “อนุรักษ์นิยม”ที่แสนดี ทำตัวคล้ายกับว่ารักเจ้ายิ่งกว่าอะไร และงดงามทั้งแท่ง    จะกลายเป็นผู้ไม่จงรักภักดีได้อย่างไร   ท่านผู้อ่านคงจะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
        ผมไม่ได้ชักชวนให้เชื่อ  
        แต่อยากให้อ่านและตามดูข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับ  ๒๕๕๐ที่ผมได้กล่าวไว้ในตอนที่ ๑ ว่ามีบทบัญญัติ อ่านวกไปวนมา      ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่ามีวัตถุประสงค์ที่จะตั้ง “ประธานองค์มนตรี” ขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จแทนพระองค์ เพื่อจะให้ไปทำหน้าที่ “เฟ้นหา” องค์พระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์หากว่างลง
         ท่านผู้อ่านโปรดใช้พิจารณาญาณเอาเองว่า  ทำไมจึงมีคำว่า “ราชบัลลังก์หากว่างลง”  ด้วยเล่า  ในเมื่อประเทศของเราก็ได้ประกาศแต่งตั้ง “องค์รัชทายาท” เอาไว้ตั้งหลายพระองค์ โดยเฉพาะ “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช” ทรงเป็นองค์รัชทายาทองค์ที่ ๑ ที่จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งจะเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลทุกประการ ถ้าหาก “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช”  สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นอะไรไปเสียก่อนต่างหากเล่า  ตำแหน่งพระราชา จึงจะไหลไปยัง “องค์รัชทายาท องค์ที่ ๒” หรือ ๓ ตามที่ประกาศต่อพสกนิกรเอาไว้แล้ว แต่ขณะนี้สมเด็จพระบรมยังไม่ทรงหายไปไหน
 แล้วทำไมจึงจะต้องมีผู้สำเร็จขึ้นมาแสวงหาพระราชาองค์ใหม่ด้วยเล่า ตรงนี้เอง คือรอยปริที่แตกออกเป็นร่องลึก ทำให้มองเห็น “กระบวนการลับ ลวง พราง”  กำลังเล่นละคร ลิงหลอกเจ้า  เพื่อจะ “ขัดขวาง” สมเด็จฟ้าชายมิให้ได้เป็นพระมหากษัตริย์  โดยพากันเขียนบทบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ  อันเชื่อได้ว่า “เขียน” หรือยกร่าง  “ตามใบสั่ง” อย่างแน่นอน คนที่สั่งให้กระทำเรื่องดังกล่าวนี้มิใช่ธรรมดา ?!
        เพราะว่ากว่าจะ “สั่งการได้”  ต้องวางแผนหลายชั้น เริ่มแต่การ    “กระชากเอานายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นเหยื่อ”  เพื่อจะหาทางสร้างปัญหาให้เกิดความขัดแย้งอย่างร้อนแรง  ถึงขั้นยกระดับขึ้นสู่กระแสสูง  จนทหารต้องลากรถถังออกมา หลังจากนั้นก็ได้ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง  เพื่อจะได้สร้างรัฐธรรมนูญใหม่
         รัฐธรรมนูญใหม่  คือเป้าหมายสูงสุดเพื่อจะทำการสกัด ?!
        คนที่ออกใบสั่งเพื่อจะหาทาง “สกัด” มิให้สมเด็จฟ้าชายได้เป็นพระมหากษัตริย์ เป็น “คณะบุคคล-กลุ่มเดียวกัน”  ที่ทำมาตั้งแต่การ “กระชากเอาทักษิณ” มาเป็นเหยื่อแล้วก่อกระแสให้เกิดการรัฐประหาร ต่อมาก็ได้ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ไปจนถึงการ “ตั้งรัฐบาลทหาร” (คมช.) ขึ้นมาบริหารประเทศ การบริหารประเทศในสถานการณ์ทั้งหมดคราวนั้น  มิได้มีเจตนาเพื่อประชาชนแต่อย่างใด และมิได้เกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองใดๆทั้งสิน   หากแต่มันเป็นปัญหา “ปลายรัชกาล” ที่มีคำว่ารัชกาลที่ ๑๐ เป็นโจทย์รออยู่ข้างหน้า บุคคลคณะนั้น เป็นคณะเดียวกันกับที่ได้ออกใบสั่งให้ สสร.และคณะกรรมการยกร่าง  และเป็นคณะเดียวกันที่เล่นเอาเถิดมาจนถึงวันนี้
         มีคำถามว่าบุคคลคณะนั้นเหตุไรจึงพยายามขัดขวาง “สมเด็จพระบรมฯ”  อย่างเอาเป็นเอาตาย  ก็จะมีคำตอบโดยไม่ยากว่า  “เป็นการแย่งอำนาจในปลายรัชกาล” ซึ่งเกิดมาจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และต้องการ “มีอิทธิเพลเหนือพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไป” (รัชกาลที่ ๑๐)  ซึ่งคนกลุ่มนี้ครองความมีอิทธิมาโดยตลอด เมื่อหวั่นไหวว่ากลุ่มของตนจะขาดอิทธิพล จึงสร้างสมมุติฐานนานาประการด้วยการก่อกระแสอย่างนั้น -  อย่างโน้น แล้วก็ลากเอาไปวาง “บนรางรถไฟ”  ให้มันวิ่งไปตามรางของมันโดยหวังว่าเมื่อได้วางบนรางรถไฟแล้ว รถด่วนขบวนนั้นก็จะวิ่งไปตามราง ไม่ต้องพะวงจะมีประชาชนเข้าใจผิด
พวกเขาทำงานเป็นกระบวนโดยเอาชาติเป็นเดิมพัน
         แต่ทว่า..เมื่อได้ทำไปแล้ว  แทนที่เรื่องมันจะจบอย่างเงียบเชียบ เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาพากันเดือดร้อนอย่างหนัก ถึงขนาดดิ้นสุดตัว  ต้องสังหารและเข่นฆ่าประชาชนขนาดนั้น [๑๐ เมษา-๑๙ พฤษภา ๒๕๕๓]
         วันนี้บ้านเมืองผันผวนอย่างหนัก  อำนาจที่พวกเขากุมอยู่ในอุ้งมือก็จะหลุด พวกเขาจึงแตกแขนง แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อหาทางป้องกัน  เช่นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ก็เล่นบททางการเมือง  ทหารเล่นบทความมั่นคง  พันธมิตรเล่นบทถวายคืนพระราชอำนาจ แต่ละกลุ่มแต่ละพวก ยังคงกระหน่ำทักษิณ กับฟาดฟันคนเสื้อแดงเฉกเช่นที่ได้ทำมาแล้ว
         สุดท้ายก็พุ่งเป้าไปที่พรรคเพื่อไทย จะหาทาง “ยุบพรรค” อีกแล้ว
         ปัญหาที่กำลังเกิดถึงขั้นคนไทยแตกแยกกันอย่างหนักในขณะนี้ grnjv เป็นปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นมาภายหลังโดยพวกเขาก็ไม่คาดคิดมาก่อน  ทำให้พวกเขาไม่อาจหยุดการกระทำได้  จำเป็นจะต้องควบคุมอำนาจให้อยู่ในมือ ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นฝ่ายล้มเหลวจนถึงขั้นพังทลายในที่สุด
         ผมอยากให้เรื่องที่ผมกำลังนำเสนออยู่นี้อธิบายต่อสถาบันต่างๆได้ทั้งในหลักวิชาและหลักตรรกศาสตร์อย่างถูกต้อง ผมจึงขอนำท่านกลับไปที่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ เพื่อจะขยายภาพให้มองปัญหาชัดมากขึ้น กล่าวคือเมื่อ คมช.ยึดอำนาจได้แล้วก็ได้หาทาง “จัดตั้ง”สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือมีชื่อย่อว่า“ส.ส.ร.”จำนวน ๑๐๐ คน  มีนายนรนิติ เศรษฐบุตร เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะให้เป็นผู้ “ยกร่าง” รัฐธรรมนูญ แต่เอาเข้าจริง สสร. จำนวน ๑๐๐ คนไม่มีใครได้ร่างรัฐธรรมนูญเลยแม้แต่มาตราเดียว  คนที่ยกร่างที่แท้จริงกลับเป็น “คณะทำงาน” อีกคณะหนึ่งเป็นผู้ยกร่าง มีอยู่ ๓๕ คน  แต่ใน ๓๕ คนนั้น มีคนทำงานจริงอยู่เพียง ๓ คน ไม่ใช่ทำงานทั้ง ๓๕ คน  ๓ คนที่ว่านั้นได้แก่
        ๑ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ   อดีตหัวหน้าซีไอเอไทย เป็นหัวหน้า
        ๒. รศ. ดร. เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง   นักวิชาการ
        ๓. นายจรัญ ภักดีธนากุล  ข้าราชการตุลาการ
        พวกเขาทั้ง  ๓  คนพากันเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ชั้นเทพ  หรือชั้นอ๋องดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญ (ปี ๒๕๕๐) ด้วยความขยันหมั่นเพียร ได้รัฐธรรมนูญ ๑๕ หมวด ๓๐๙ มาตรา  แล้วให้คณะกรรมการยกร่าง ๓๒ คน รับรองร่วมกัน  โดยมีเนื้อหาสาระแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ มากมาย โดยเฉพาะได้แก่มาตรา “ว่าด้วยราชบัลลังก์หากว่างลง”
        ความหมายของรัฐธรรมนูญมาตรานี้  ได้หนุนส่งให้ “ประธานองค์มนตรี”  ยกขึ้นสู่ระดับ “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”  ซึ่งไม่ได้ระบุดอกว่าเป็นพลเอกเปรม ติณสูลานนท์  แต่ในห้วงเวลานี้จะเป็นใครเสียเล่า  นอกจากพลเอกเปรม
        ผมได้นำรายละเอียดของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ปรึกษากับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ขอสงวนนาม  ท่านบอกว่า  “บุคคลคณะนี้มีหลายกลุ่ม”  แต่ละกลุ่มล้วนแต่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น เช่นกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์  มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ  นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นายชวน  หลีกภัย และพวก “สันติอโศก-พันธมิตร” เป็นต้น ผู้ใหญ่ท่านนั้นพูดว่า  พวกเขารู้ดีวาความมุ่งหมายในการยกร่างด้วยการเอาถ้อย คำว่า “ราชบัลลังก์หากว่างลง” มาใช้หมายถึงอะไร  แล้วเหตุไรพวกเขาจึงไม่ทักท้วงเลย รวมทั้งพลเอก สุรยุทธ์  จุลานนท์  พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็ไม่ทักท้วง  แสดงว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกันดังที่กล่าวมา
        ท่านครับ  การทำงานของกลุ่มเครือข่ายล้มล้างองค์รัชทายาทประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ด้วยการมีรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือเอาไว้ทำงาน แต่ทว่าเรื่องมันจะไม่ง่ายเสียแล้ว เพราะว่าหลังจากมหาชนได้รับรู้ความจริง จากการ “เปิดโปง” ของมหากาพย์การเมือง ก็จะทำให้ยุทธการของพวกเขา “ล้มครืน” ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
         ในขณะเดียวกันนี้ แผนชั่วของเขาที่รวมหัวกัน “กระชาก” เอาท่านทักษิณมาเป็นเหยื่อ   ได้กลายเป็นแผลบาดทะยัก  ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ของคนไทย อย่างไม่เคยมีมาก่อน   ความผิดพลาดในครั้งนี้  ได้ก่อความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวงโดยไม่อาจประมาณมูลค่าได้
         เจ้าของใบสั่งไม่ยีหระต่อความทุกข์ของประชาชน  เพราะพะวงอยู่กับขั้วอำนาจ
         ผู้รับใบสั่ง  คือ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จึงเป็นตัวยึดโยงเข้ากับกลุ่มอำมาตย์กับพวกเครือข่าย ตามกระบวนการที่ได้ทำเอาไว้ แต่มันไม่ง่ายเสียแล้ว  เพราะจะมีคนอยากรู้มากขึ้นว่ามหากาพย์เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี ?!
       
                                       “สอาด จันทร์ดี

ทีมเสรีชน:
  มหากาพย์การเมือง ชุด “เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง”
 ตอน  ๓ :   ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แสบ ! ต้านพุทธ !

 ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทองในฐานะ “ผู้รับใบสั่ง”  ให้สร้างรัฐธรรมนูญเอาขึ้นมาเป็นกำแพงขวางกั้น “สมเด็จเจ้าฟ้าชาย”  ไม่ให้มีโอกาสขึ้นครองราชย์เป็นรัฐกาลที่ ๑๐  ที่มหากาพย์การเมือง ชุด “เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง” กำลังนำเสนออยู่นี้ นับว่าเป็นบท
ความทางการเมืองที่สะท้อนถึงปัญหา “ปลายรัชกาล ร.๙” ที่ฝ่ายอำมาตย์ที่เกรงกลัวว่าพวกตนจะสูญเสียอำนาจ  จึงพากันสร้าง “ค่ายกลขึ้น”  เพื่อจะขัดขวาง “ฟ้าชาย” ให้ถึงที่สุด  อันเป็นการ “รวมพละกำลัง” ล้มล้างองค์รัชทายาทด้วยการอาศัยรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ
        คนที่ยกร่างได้แก่ ๓ เกลอตัวแสบคนเก่านั้นแล
        ที่แสบที่สุดคือ รศ. ดร. เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง  กล่าวคือนอกจากได้รับใบสั่งเขียนรัฐธรรมนูญกบฏสำเร็จลุล่วงไปแล้ว ๑ เรื่อง ยังได้ทำตัวทรงอิทธิพล “แสบที่สุด” ไม่ยอมให้บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติอีก ๑ เรื่อง
        วันนี้ขอเขียนถึง “ดร. เจิมศักดิ  ปิ่นทอง”  เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนา  เพราะมันเป็นเรื่องแสบหัวใจชาวพุทธอย่างยิ่งที่ประเทศไทยไม่ยินยอมให้ศาสนาของคนไทยที่มีมาแต่ดั้งเดิมได้รับการ “รับรอง” เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ
         การที่จะเขียนถึงเรื่องพระพุทธศาสนา  จะต้องพรรณนาถึง “ชนชาติไทย” กับพระพุทธศาสนาก่อนว่าชาติไทยนั้น มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ  แต่ประเทศไทยมีศาสนาอื่นอีก ๕ ศาสนา ไทยจึงมี ๖  ศาสนา คือพุทธ  คริสต์ อิสลาม ซิก ฮินดูและพราหมณ์  โดยศาสนาพุทธมีผู้นับถือ  ๙๔.๒ เปอร์เซ็นต์ อิสลาม ๔.๘ เปอร์เซ็นต์ และคริสต์ ๐.๘ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นเปอร์เซ็นต์ของศาสนาอื่น ชาวพุทธเนื้อๆมีจำนวนประมาณ ๖๑.๐๐๐.๐๐๐ คน ในขณะอิสลามมีประมาณ ๔,๐๐๐.๐๐๐ คน  ส่วนคริสต์มีไม่ถึงล้าน
         ด้วยจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่สูงอย่างยิ่งเช่นนี้  ชาวพุทธจึงเรียกร้องขอให้ตั้งกระทรวงพุทธ  แต่ไม่อาจจะให้ตั้งกระทรวงได้ จึงมีได้เพียง “สำนักพุทธ”  ตั้งอยู่ที่พุทธมณฑลเมื่อมีสำนักพุทธแล้ว  ชาวพุทธก็อยากให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ  แต่ไม่อาจได้รับความยินยอมจาก ๓ เกลอ  แม้ว่าพระสงฆ์กับชาวพุทธจะชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเป็นเวลานานถึง ๒ เดือนก็ไม่ยอมรับฟัง
         คนที่มีบทบาทในการ “ยกร่าง” ก็คือ  น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ  ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทองและนายจรัญ   ภักดีธนากุล   ในขณะยกร่างอยู่นั้น  ฝ่ายชาวพุทธที่ชุมนุมเรียกร้องอยู่หน้ารัฐสภาก็ได้พยายามประสานงานติดต่อกับ “คณะผู้ยกร่าง” ตลอดเวลา  โดยมีแนวโน้มว่าจะยอมให้  ทำให้ผู้ชุมนุม  มีอารมณ์สดใส  เชื่อว่าคงจะได้รับข่าวดีเป็นแน่
        ผู้ที่ชุมนุมอยู่ที่หน้ารัฐสภา ประกอบด้วยพระสงฆ์ประมาณ ๑๘,๐๐๐ รูป ญาติโยมอีก ๕,๐๐๐ คน  รายนามของฝ่ายพระนั้นจะไม่นำเอามาเสนอ  แต่รายชื่อของฝ่ายชาวพุทธนั้น ประกอบด้วย “พลเอก ธงชัย  เกื้อสกุล” ดร. เมธาพันธุ์ โพธิธีระโรจน์ อาจารย์ ผศ. เสถียร  วิพรมหา และ สมาน  ศรีงาม เป็นต้น
       นักวิชาการฝ่ายพุทธได้ทำหนังสือชี้แจง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทองว่า   การบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ  จะทำให้ประเทศไทยได้รับเกียรติยศอันยิ่งใหญ่จากองค์การสหประชาชาติ  จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งโลก  จะทำให้ “ศาสนาพุทธ” ได้รับการคุ้มครองด้วยความเข้มข้น สมกับประเทศไทยเป็นประเทศพุทธ
        เอาเข้าจริง  ถึงคราวจะบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ  ดร. เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง ได้คัดต้านสุดเหยียด  โดยอ้างว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในชาติ  ไม่เห็นควรให้บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียว
        จากความแสบตรงนี้ได้ทำให้ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กับพวก มิใช่แต่จะเป็นจอมทัพสร้างรัฐธรรมนูญมา “ล้มล้าง”  องค์รัชทายาทเท่านั้นก็หาไม่   ยังได้ “เป็นผู้ลงดาบ”ประหารพระพุทธศาสนาด้วยมือของเขาเอง
        ดร. เจิมศักดิ์แสบจริงหรือไม่จริง ให้ไปกราบถามพระเถระดูขอรับ ?!

                                           สอาด จันทร์ดี



ทีมเสรีชน:
   ไขปัญหา  ดร. เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง “ลับ   ลวง  พราง” ?!

 มหากาพย์การเมือง ชุดเปิดห้องมืด “ลับ  ลวง  พราง” ได้เขียนถึง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กับพวกว่าเป็นตัวการ “ขัดขวาง” องค์รัชทายาท ติดต่อกันมา ๓ ตอน ก็ได้รับทั้งโทรศัพท์ และ “อีเมล์” จากท่านผู้อ่านว่ามีความสงสัยค้างคาอยู่ในใจ  และอยากรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ?
        นักอ่านท่านหนึ่งจากภาคเหนือถามว่า “กลุ่มเครือข่ายที่ขัดขวางองค์รัชทายาท” ขัดขวางอย่างไร ?  ขัดขวางเพื่ออะไร ? ถ้าขัดขวางได้แล้ว จะเป็นอย่างไร ? ถ้าขัดขวางไม่สำเร็จ จะเกิดอะไร ?  ใครอยู่เบื้องหลัง ?
         ท่านผู้นั้น  กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน  ข้อมูลเท็จปะปนกัน ?   สับสนจนแยกไม่ออก มันลับ  ลวง  พราง ต่อชาวบ้านนอกยิ่งนัก เพราะรับข่าวสารได้เพียงวิทยุกับทีวี ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก จนไม่รู้จะเชื่อใครดี    ประเทศของเรากำลังขาดผู้กล้าพูดความจริง  มีแต่เรื่องหลอกลวงเพื่อประโยชน์ของตนเอง อย่างเช่นนักวิชาการ อาจารย์ทั้งหลาย ก็ดูจะโดนเงินง้างปากให้โกหกกันทั้งนั้น
         มาเจอหนังสือของท่าน  อ่านดูแล้วมันเป็นเรื่องจริงที่น่าเชื่อถือ  มีที่มาชัดเจนเอามายืนยันประติดประต่อกันได้  จึงดีใจที่จะได้หลุดออกจากโลกของการหลอกลวงได้ซะที แต่ไม่รู้จะเป็นการรบกวนอาจารย์หรือไม่  ผมเป็น“ลีด” ของเครือข่ายเสื้อแดงแม่ออน สันกำแพง หากมีสิ่งใดแนะนำ จะขอบคุณมาก  ขอให้เขียนยาวๆหน่อยนะครับ  ตอน ๑ อ่านไม่จุใจ
         ป.ล.  ตอนนี้พ่ออุ้ยแม่อุ้ย งงๆ  จะหนุนเสี่ย  แล้วเสื้อแดงจะหลุดพ้นวงจรอำมาตย์หรือจะเดินหน้าอย่างไร  งงไปหมด ?  ท่าทีการนำก็ไม่ชัดจน  ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาไขให้หน่อยครับ  ...ลงชื่อ “อุ้ยคำ” ท่านผู้อ่านขอรับ...คำถามของ “คุณอุ้ยคำ”  มีความสำคัญต่อมหากาพย์การเมืองชุดนี้เป็นอย่างมาก  เพราะว่าสิ่งนี้ได้ทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศตกอยู่ในสภาวะวิกฤติทั้งทางด้านจิตใจ และยังเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสถาบันชาติ  ศาสนา พระมหากษัตริย์  อย่างไม่เคยมีมาก่อน นั้นก็คือสถาบันของชาติอันสูงส่ง  อันเป็นเครื่องหมายของความเป็นชนชาติไทยได้ถูก“พายุความขัดแย้ง”กระหน่ำถึงกับเซหลุนๆทำท่าจะล้มคว่ำลงต่อหน้าฝูงชน ความเลวร้ายมันรุนแรงขนาดนี้ แต่ก็มีความมืดบอดมองไม่เห็นปัญหา
        ดังนั้น เพื่อความกระจ่างของเรื่องนี้  ผมขอทำหน้าที่ “เปิดม่านตา” ให้ประชาชนชาวไทยทั้งแผ่นดินได้รับรู้ความจริง  โดยจะแยกเป็นข้อๆ ดังนี้
        ข้อที่ ๑  ถามว่าอะไรคือต้นตอของปัญหา ?
        คำตอบของเรื่องที่ ๑  นี้ได้แก่ประเทศไทยอยู่ใน “ปลายรัชกาล” ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  ซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่ารัชกาลนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดรู้แต่ว่า “รัชกาลที่ ๙  จะอยู่ได้ไม่นาน”  เสียแล้ว  แม้ว่าจะมีใครรักพระองค์เท่าขุนเขาก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้ แต่ก็เชื่อว่าพระองค์จะทรงอายุยืนและยาวนานมากกว่าที่คิด
       ในเรื่องเดียวกันนี้หากแม้นว่ารัชกาลที่ ๙ จากไป ณ เวลาใดก็ตาม  ก็มิใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นประเพณีของราชวงศ์จักรีที่ยึดถือเป็นแนวทางมาเนิ่นนาน  นั้นก็คือเมื่อพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ครองราชย์อยู่สิ้นสุดลง  พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ก็จะขึ้นเถลิงราชสมบัติสืบต่อทันที โดยการ“สืบสันตติวงศ์” อันหมายถึงองค์รัชทายาทจะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์     โดยมิต้องมีการเลือกตั้ง หรือต้องแต่งจากผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้น  กล่าวให้ชัด ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ  ไม่ต้องมีกระบวนการใดๆมาเกื้อหนุนก็จะเปิดโอกาสให้ “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช” ได้เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑๐  สืบต่อจากพระราชบิดาได้อย่างไม่มีปัญหา
         ข้อที่ ๒  มีคำถามว่าเหตุไร  จึงเกิดปัญหาปลายรัชกาล  ?
         คำตอบของข้อที่ ๒  เกิดจากพวกอำมาตย์กลุ่มหนึ่งไม่ประสงค์ที่จะให้ฟ้าชายได้เป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ทราบว่าเกิดมาจากสาเหตุอะไร  แต่ยืนยันได้แน่ชัดว่าอำมาตย์พวกนั้นไม่เอาพระองค์แน่ๆ  ดังจะเห็นได้จากปัญหาของชาติในขณะนี้ เป็นปัญหาปลายรัชกาลอันเกิดจากความพยายามที่จะขัดขวาง  เมื่อขัดขวางไม่สำเร็จ  จึงได้พยายามทำกันต่อ...และต่อ  โดยมิสนใจว่าประชาชนจะเกิดความแตกแยกกันเพียงไร
        ข้อที่ ๓  ถามว่าเขาขัดขวางด้วยวิธีใด ?
        คำตอบของข้อที่ ๓ ตอบว่าเขาใช้รัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือขัดขวาง   เพราะไม่มีวิธีอื่นที่จะขัดขวางได้ดีไปกว่านี้
        ข้อที่ ๔  ถามว่าใช้หลักการในรัฐธรรมนูญแบบไหน  ?
        คำตอบในข้อที่ ๔ ตอบว่า อำมาตย์ได้สร้างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้น  แล้วเขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่า “ราชบัลลังก์หากว่างลง” ให้แต่งตั้งประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  นี้คือจุดเริ่มต้น
        ข้อที่ ๕  ถามว่า “ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”  ไม่มีสิทธิ์แต่งตั้งพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๑๐  แล้วจะกล่าวหา “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้อย่างไร ?”
        คำตอบของข้อที่ ๕  ตอบว่า “นี้แหละ...คือลับ  ลวง  พราง”  ขนานแท้  ที่จะทำให้มหาชนมองไม่เห็นปัญหาที่เขาวางหมากเอาไว้  หมากมีอยู่ว่า ประธานองค์มนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์     แม้ว่าจะไม่มีสิทธิ์แต่งตั้งพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๑๐  “แต่จะมีอิทธิพลเหนือองค์กรต่างๆ”ประกอบด้วย มีอิทธิพลครอบงำองค์มนตรีทั้งหมด  ครอบงำกองทัพทั้งกองทัพ และยังจะมีอิทธิพลอยู่เหนือคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ....เมื่อมีอิทธิพล  จนสามารถชี้นกเป็นนก  ชี้ไม้เป็นไม้  ก็จะอาศัยองค์กรเหล่านั้น  นำเสนอพระนามองค์รัชทายาทให้ผู้สำเร็จราชการได้นำความขึ้นสู่สภาผู้แทนราษฎร  เพื่อจะให้รัฐสภาประกาศอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ ตรงนี้เองคือหมากที่แสนจะลับ  ลวง  พราง  ยากที่จะเข้าใจ แต่ถ้ายอมรับกันในแง่ข้อเท็จจริงว่า  หากผู้สำเร็จสาสามารถสั่งขวาหันซ้ายหันได้  ก็ไม่เป็นการยาก  ที่จะเสนอ “พระเจ้าแผ่นดินองค์อื่น”  ที่มิใช่สมเด็จฟ้าชาย
        คำถามข้อที่ ๖  ถามว่า...แล้วเรื่องมันเป็นอย่างไร ?
        คำตอบของข้อที่ ๖  ตอบว่า “หลังจากทหารได้ยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ คราวนั้น  มหาอำมาตย์เชื่อกินขนมได้เลยว่า  อำนาจทั้งปวงอยู่ในมือแล้วทุกประการ   กล่าวคือได้ทำลายพรรคไทยรักไทยสำเร็จ เป็นการ กำจัดก้างขวางคอได้ในระดับหนึ่ง  ต่อมาก็ได้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่  โดยหวังว่าเมื่อการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญผ่านไปก็จะได้ “พรรคประชาธิปัตย์” มาเป็นรัฐบาล ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล  ก็ไม่ยากที่จะสั่งการอะไรก็ได้ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น  หลังการเลือกตั้งใหญ่  ปรากฏว่าพรรคพลังประชาชน โดยนายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นรัฐบาล  ได้ทำให้ “มหาอำมาตย์” ถึงกับตะลึง  เพราะนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น   เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่เป็นไร  ถ้านายสมัครไม่เอาฟ้าชาย...เรื่องก็จะจบ
       แต่ปรากฏว่านายสมัคร  สุนทรเวช มีหัวใจอยู่กับสมเด็จฟ้าชาย  หากเกิดอะไรขึ้นในช่วงพรรคพลังเป็นรัฐบาล ก็จะ “ทูลเชิญ” สมเด็จฟ้าชายขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงเกิดข้อขัดข้องอย่างใหญ่หลวงระหว่าง “รัฐบาล”กับผู้ทรงอำนาจ  มีอิทธิพลสูงส่งในสังคมไทย การไล่บี้พรรคพลังประชาชน จึงต้องกระทำต่อ  ...ต่อจนกว่าจะกำจัดให้พ้นจากเส้นทางได้  ความเลวร้ายมันจึงไม่รู้จะจบลงได้อย่างไร
        ข้อที่ ๗  ถามว่าถ้ามหาอำมาตย์ทำไมสำเร็จ จะเกิดอะไรขึ้น ?
        ตำตอบของข้อที่ ๗ ได้แก่ความยุ่งยากจะยังมีอยู่ต่อไป  ทั้งนี้เนื่องจารกปัญหาที่เกิดขึ้นในคราวนี้ได้ประกาศชัดว่า  “มหาอำมาตย์ไม่เอาฟ้าชาย”  อันจะทำให้ความลับแตกดังโพละ  และหากแม้นว่าเกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝัน  หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล  และไปตรงกับแผ่นดินผลัดใบ  ก็จะมีการ “นำเสนอ”พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่โดยการลงมติของคณะรัฐมนตรี  ที่มหาอำมาตย์ไม่อาจชี้นำพรรคเพื่อไทยได้อีกแล้ว ตรงนี้ไง...ที่เป็นคำตอบว่า แม้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง  ก็จะไม่ยอมให้เป็นรัฐบาล  ไม่ว่ากรณีใดๆ  การขัดขวางก็จะมีหลายรูปแบบ  ขัดขวางจนพังเค้เก้
         ด้วยเหตุนี้ พวกอำมาตย์ (โดยมีทหารเป็นเครื่องมือ) จึงได้ละเลงขนมเบื้องชนิดเละตุ้มเป๊ะ  กล่าวหา “คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย”  เพื่อจะให้เกิดความเสียหายให้ถึงที่สุด  นอกจากการกล่าวหาให้เสียหาย  ยังมีการไล่ล่า  หาหนทางกำจัดให้อ่อนแรง โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมและคุณธรรม  ไม่ว่ากรณีใดๆ
        ท่านครับ  ผมจะขอจบเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน  ผมเชื่อว่ามหากาพย์การเมืองตอนที่ ๔ นี้ได้ไขให้เห็นลักษณะของ “ลับ  ลวง  พราง”  กระจ่างชัดยิ่งขึ้น   แต่ถ้าจะให้กระจ่างมากไปกว่านี้  ต้องปล่อยให้เรื่องในตอนที่ ๔ ผ่านสายตาไปก่อน แล้วจะเกิดคำถามใหม่ว่า  “จะขยายความให้กระจ่างกว่านี้ได้ไหม ?”
       ไขปัญหา ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ลับ ลวง พราง  ได้ทำให้คนไทยเข้าใจขึ้นเยอะ ?! แต่จะให้ชัด  ต้องตามอ่าน “ใครอยู่เบื้องหลัง” ...?!


     จาก....“สอาด จันทร์ดี”  

ทีมเสรีชน:
มหากาพย์การเมือง ชุด “เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง”
ตอน ๕ : ใครคือตัวการอยู่เบื้องหลัง... ?!



นายทหารใหญ่ ยศพลเอกท่านหนึ่งโทรบอกผู้เขียนว่าได้อ่านมหากาพย์การเมืองเรื่องนี้แล้วบอกว่าทุกอย่างที่ผมเขียนเป็นเรื่องจริงที่น่าตื่นเต้น เพราะไม่เคยมีใครเปิดเผยมาก่อน จึงนัดแนะให้ผมได้ไปพูดคุยเพื่อจะเล่าความลี้ลับให้ฟัง
        ผมรีบบึ่งไปพบโดยไม่ลังเล เพราะกำลังต้องการเขียนตอน ๕ ว่าด้วยเรื่องใครคือตัวการอยู่เบื้องหลัง  ...? 
        เมื่อไปถึง   นั่งจิบน้ำชาที่โรงแรมเจ้าพระยา  แล้วเราก็เริ่มคุยกัน   โดยท่านนายพลเป็นผู้เริ่มขึ้นก่อน  เล่าให้ฟังว่า       “เรื่องราวในมหากาพย์การเมืองจะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ  ถ้าคุณสอาดนำเสนอในแง่มุมที่ชี้ให้เห็นว่า ได้มีกระบวนการลับ ลวง พรางใช้วิธีการสกปรกเล่นงาน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร คู่แข่งทางการเมืองให้ย่อยยับ โดยมิคำนึงถึงศีลธรรมใดๆเลย”   เล่าจบ  ท่านนายพลนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง
        ครูต่อมา...จึงเล่าให้ฟังอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ดังนี้  ท่านเล่าว่าคนชั้นสูงหรือพวกอำมาตย์ดังที่คนเสื้อแดงเรียกขาน เขม่น พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร  มากที่สุด เพราะเป็นที่ปรากฏชัดแก่สายตาแล้วว่าคะแนนนิยมพรรคไทยรักไทย  เติบใหญ่และก้าวกระโดดสูงลิบ  ทำให้เชื่อได้ว่าพรรคไทยรักไทย  พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองในค่ายคิดใหม่ทำใหม่ จะครองความเป็นใหญ่  ยากที่จะหาใครมาล้มล้างพวกเขาได้ !
        อำมาตย์พวกนั้น จึงร่วมมือกับพรรคการเมืองใหญ่  ปรึกษาแนวทางล้มล้างพรรคไทยรักไทย  จึงเริ่มปล่อยออก “ข้อตำหนิติเตียน” กล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ดังที่ทุกคนทราบ นั้นคือการเริ่มต้นในกระบวนการ ลับ  ลวง  พราง ?
        มันประจวบเหมาะกับปัญหา “ปลายรัชกาล”  ว่าพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑๐ อย่าให้เป็น “องค์นั้น”  ขอให้เอาองค์อื่น  อะไรทำนองนั้น  จึงได้มีการ “วางแผน” ที่จะสร้างเงื่อนปมแบบ ลับ  ลวง  พราง  เพื่อจะให้การแต่งตั้งองค์รัชทายาทขึ้นเป็นรัชกาลที่ ๑๐ นั้น “ต้องผ่านคณะรัฐมนตี และสภาผู้แทนราษฎร” ทั้งๆที่ในกฎมณเฑียรบาลนั้นไม่ต้องผ่านกระบวนการไหนเลย  ทั้งนี้เนื่องจากได้มีการประกาศแต่งตั้งองค์รัชทายาทเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยเนิ่นนานแล้ว  ประกาศดังกล่าวไม่เคยหมดอายุ
       แต่ด้วยเหตุที่บุคคลกลุ่มหนึ่งต้องการ “มีอิทธิพล”  เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศ จึงวางแผนให้เกิดการหักเห  เปลี่ยนจากการ “สืบสันตติวงศ์” ตามจารีตนิยมให้มาเป็นคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอ  
       ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะมีบุคคล-คนหนึ่ง หรือคณะหนึ่ง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลอันจะก่อให้เกิด “อำนาจล้นพ้น” ในประเทศไทยราวกับได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง ตรงนี้แหละที่เป็นต้นเหตุต้องหาหนทาง “ล้มล้าง” รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐  เพื่อจะได้สร้างเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญใหม่เอามาเป็นเครื่องมือ 
        ท่านนายพลพูดมาถึงจุดนี้ก็ได้เปิดปมให้ฟังว่า “ในที่สุด คนสองกลุ่มก็มาพบกันต่างฝ่ายต่างมีปัญหาด้วยกัน จึงสนับสนุนให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙”
        ทว่า...หลังจากได้รัฐธรรมนูญใหม่  ได้เงื่อนไขในข้อที่ว่า “ราชบัลลังก์หากว่างลง”  อันจะทำให้ผู้ทรงอิทธิพลได้เข้าไปนั่งหัวโต๊ะ ทำหน้าที่เลือกองค์พระมหากษัตริย์ ตามที่ผู้ทรงอิทธิพลต้องการ  แต่สิ่งนั้นดูจะไม่ง่ายเสียแล้ว เนื่องจากการเลือกตั้งผ่านไป ปรากฏวาพรรคพลังประชาชนกลับเป็นผู้ชนะ ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช  ได้เป็นนายกรัฐมนตรี  
        ตรงนี้เองที่กระทบอำนาจผู้ทรงอิทธิพลทันที  เนื่องจากผู้ทรงอิทธิพลผู้นั้นจะไม่สามารถ “สั่งให้พรรคพลังประชาชน”  หมุนไปตามความต้องการได้  ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์หมดสิทธิ์ที่จะได้เป็นรัฐบาลด้วย จึงต้องเล่นงาน-บ่อนทำลายนายสมัคร สุนทรเวชต่อ อย่างสาหัสสากรรจ์  มิคำนึงถึงความถูกต้องแต่ประการใด  เมื่อทำลายนายสมัครแล้วก็ตาม แต่ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงฐานอำนาจได้  ก็จำเป็นต้องถล่มนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ต่ออีกคนหนึ่ง  ดังที่ทราบ
         ทั้งสองเรื่องกลายเป็นเรื่องเดียวกันอย่างน่าสังเวชใจเป็นที่สุด
         แล้วก็มาถึงวันนี้  มีข่าวออกมาอีกแล้ว...ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง  ไม่ว่าชนะแบบธรรมดา หรือท่วมท้นเพียงใดก็ตาม  ก็จะไม่ยอมให้เป็นรัฐบาล   มิใช่แต่เท่านี้  ยังมีกลุ่มพันธมิตร และสันติอโศก ออกมาชุมนุมยาวนานอีกแล้วที่สะพานมัฆวานรังสรรค์  มีการเสนอหลักการ เริ่มตั้งแต่ให้บุกเขมร  ยึดเขาพระวิหารคืน รวมไปถึงการ โหวต โน  [Vote No] ไปจนถึงการถวายคืนพระราชอำนาจ 
        ขอพระราชทานนายก มาตรา ๗ และให้ปิดประเทศ ๓ ถึง ๕ ปี ?!
        ท่านนายพลออกความเห็นเพิ่มเติมก่อนจบว่า  “บ้านเมืองสงบยาก”  ดีไม่ดี จะมีความยุ่งยากไม่น้อยกว่า ๗ – ๘ ปี  เพราะว่าไม่ว่าพรรคไหนเป็นรัฐบาล  ก็จะไม่ราบรื่น แม้พรรคเพื่อไทยชนะมาแบบถล่มทลาย ...สุดท้ายก็จะถูกพันธมิตรบุกอีกเช่นเคย
       ผมรับฟังแล้ว...มองเห็นภาพชัด...และรู้อยู่เต็มอกว่าใครอยู่เบื้องหลัง 
       ผมถามท่านนายพลว่า  แล้วจะให้ทำอย่างไร...?
       ท่านตอบว่า  “ประชาชนต้องปฏิวัติ...ไม่เช่นนั้นเรื่องไม่จบ ?!”

                                    “สอาด จันทร์ดี”
 


ทีมเสรีชน:
  มหากาพย์การเมือง ชุด “เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง”
ตอน ๖  : พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
                 กับความมั่นคงของสถาบัน  ?

 ผมขอกราบเรียนว่าผมเขียนเรื่องนี้ ตามต้นเรื่องมหากาพย์การเมือง ชุด “เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง” เพื่อให้เกิดความมั่นคง ไมใช่เขียนทำลาย จึงขอให้ “ทุกสถาบัน” ที่กำลังจับจ้องคนเสื้อแดงว่าเป็นคนล้มเจ้านั้น ขอให้อ่านด้วยสติปัญญาอันบริสุทธิ์ แล้วจะเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าปัญหา “ล้มเจ้า” เป็นอย่างไรกันแน่.. ?
            ข้อเขียนในวันนี้ ชื่อเรื่องว่า “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กับ ความมั่นคงของสถาบัน ..?” โดยขอเขียนถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี  ซึ่งก็ไม่มีความลับแต่อย่างใด แท้ที่จริง นี้คือบันทึกเปิดผนึก ที่มุ่งหมายจะให้  “ประธานองค์มนตรี” ได้อ่าน และได้พิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์ เพื่อจะได้เข้าให้ถึงข้อเท็จจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น บ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยความขุ่นมัวขนาดนี้
            จึงหวังเอาไว้ก่อนว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จะสนใจต่อบันทึกฉบับนี้
            ก่อนอื่น ผมขอกราบเรียนว่า ผมเคยเขียนบทความถึงพลเอกเปรมมาแล้วถึง ๒ ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ เขียนครั้งที่ ๑ ในคอลัมน์ “มองโลกในแง่ดี” หนังสือพิมพ์บ้านเมืองรายวัน เขียนครั้งที่ ๒  ในคอลัมน์ “แดงที่ราบสูง” นสพ. ไทยเร็ดนิวส์และครั้งนี้นำมาเขียนในเว็บของ “พีเพิ่ลแชนเนิ่ล ออน ไลน์”
            ข้อเขียนแต่ละครั้ง ล้วนแต่ได้ไตร่ตรองเป็นแรมเดือน ถามตัวเองว่าเหมาะไหมที่จะเขียนถึงบุคคลของชาติระดับผู้ใกล้ชิดองค์พระประมุขของแผ่นดิน
ผมไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีก เห็นว่าจำเป็นต้องเขียนเป็นครั้งที่ ๓ เพราะว่าบ้านเมืองตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย ถ้าขืนปล่อยไว้ไม่มีใครนำเอามาเตือนสติก็จะไม่มีใครรู้ความจริงว่าใครกันแน่คือตัวการล้มเจ้า (ตัวจริง) ? แล้วที่กำลังกล่าวหาคนเสื้อแดงอยู่นี้...เป็นเกิดมาจากอะไร ?!
            ขอรับ... เพื่อให้เข้าใจง่าย สาระไม่ตกหล่น ผมขอกล่าวว่าพระมหากษัตริย์นั้นทรงเป็น “หัวหน้าของชนเผ่าไทย” มาตั้งแต่เริ่มตั้งชาติ จะเริ่มตั้งแต่พระเจ้ามั่งตี่ หรือก่อนหน้านั้นกี่พันปีก็ตาม หัวหน้าของคนไทยก็คือพระมหากษัตริย์  ซึ่งได้ครองความเป็นหัวหน้าด้วยวิธีการ “สืบสันตติวงศ์” (โดยการรับมรดกตกทอด) มาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่เคยมีผู้ใดได้มาเป็นหัวหน้าของประเทศโดยการเลือกตั้งแม้แต่คนเดียว
            ในอดีตอันยาวนาน พระมหากษัตริย์กับประชาชน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันประหนึ่งพ่อกับลูก ประวัติศาสตร์ของพระมหากษัตริย์ไทยมีความยิ่งใหญ่ในแหลมทอง แม้ว่าจะมีการ “ยื้อแย่ง” อำนาจกันเอง หักหลังกันเองก็ตาม  แต่เมื่อได้เป็นกษัตริย์แล้วก็จะสร้างบ้านแปรงเมืองสุดความสามารถ
คนไทยภาคภูมิใจในองค์พระมหากษัตริย์อย่างสูงยิ่งโดยมีความเชื่อในหมู่คนไทยด้วยกันว่าประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้าครบทุกสิ่งทุกอย่างเช่นเดียวกับญี่ปุ่นและเกาหลีโดยไม่จำเป็นต้องเลือกตั้งประธานาธิบดี
            ซึ่งสอดคล้องกับความรู้สึกในหัวใจของคนไทยไม่มีใครเรียกร้องหาประธานาธิบดี จะมีเพียงไม่กี่คนที่มีรสนิยมแบบตะวันตก อยากให้ประเทศชาติเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนผ่านจากสังคมกษัตริย์ ไปสู่สังคมเพรสซิเดนท์
            คำว่ามีไม่กี่คนพวกนั้น รู้จักชื่อกันดีว่ามีใครบ้างซึ่งไม่จำเป็นต้องเอ่ยนาม
            เพราะว่าคนพวกนั้นจะไม่มาสั่นคลอนสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เลย
            แล้วเหตุไร...วันนี้สถาบันอันสูงส่งถึงได้สั่นคลอนอย่างหนัก สั่นคลอนขนาดทหารตบเท้าพรึบ ประกาศออกมาปกป้องสถาบัน และยังข่มขู่อีกว่าอย่าทำให้ทหารต้องจับปืน ?! ดังที่ได้ตกเป็นข่าวระหว่างวันที่ ๑๙ – ๒๕ เมษายน ๒๕๕๔ !
        ผมอยากให้พลเอกเปรม มีความเข้าใจเรื่องห้องมืด “ลับ ลวง พราง” ที่เป็นต้นเหตุทำให้สถาบันกษัตริย์สั่นคลอนขึ้นมาทั้งๆที่ไม่น่าจะสั่นคลอนเลย...ผมเชื่อว่าพลเอกเปรม คงจะอยากรู้ว่า “ตัวต้นเหตุนั้น” ได้แก่อะไร ?
            ผมขอแฉ (โดยย่อ) ให้ทราบ ดังนี้
        ขอเรียนว่าผมมีความรู้ได้...โดยการกราบถามอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรว่า “ในประเทศไทยมีคนคิดจะล้มเจ้าไหม...?” อาจารย์ประเสริฐตอบว่า “มีมากกว่าคิด เขาลงมือทำแล้ว.”   คำตอบของอาจารย์ประเสริฐ ทำให้ผมถึงกับมีอาการทึ่งและงง ซึ่งมีคุณวีระ ถนอมเลี้ยง นั่งอยู่ด้วย และยังมีคุณบุญเที่ยง เจริญพิทักษ์ (พขร.) อีกคนหนึ่งร่วมอยู่ตรงนั้น เราทั้งสามคนต่างพากันตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
            อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร พูดให้ฟังชัดถ้อยชัดชัดคำว่า “พวกที่ล้มเจ้ามีอยู่ ๔ กลุ่มใหญ่ (๑) กระทรวงศึกษาธิการ (๒) สำนักพระราชวัง (๓) สำนักนายกรัฐมนตรี (๔) และไส้ศึกในสำนักงานหน่วยข่าวกรอง”
แล้วท่านก็แยกให้ฟังว่าพวกไส้ศึกปนกับพวกเกลียดเจ้าในกระทรวงศึกษาเล่นกลกับหลักสูตรประวัติศาสตร์  “จงใจไม่สร้างตำราที่เป็นคุณแก่สถาบันพระมหากษัตริย์” ไม่มีหลักสูตรสอนประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ในเชิงรุก ไม่ทำให้ฮึกเหิม และไม่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ นี้แหละคือการวางแผนล้มล้าง ทางความเชื่อ ความศรัทธาให้ค่อยๆถูกลืมเลือนหายไป
กระทรวงศึกษาธิการคือตัวทำลายที่ร้ายกาจมาก และแยบยลที่สุดที่จะทำให้เกิดความผันผวนภายในไม่เกิน ๕๐ ปี (ท่านบอกพวกเราเมื่อปี ๒๕๑๘)
            คุณวีระ ถนอมเลี้ยง และคุณบุญเที่ยง เจริญพิทักษ์ ได้รับฟังคำบอกเล่าของอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรถึงกับอึ้งไปเลย
            ผมถามท่านอาจารย์เพิ่มเติมด้วยความอยากรู้ว่า “สำนักพระราชวัง เป็นอย่างไรครับอาจารย์ ?”
            อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ตอบว่า  “สำนักพระราชวัง มีแต่พวกหัวเก่าคร่ำครึ” ไม่รู้จักโลกภายนอก ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคม อยู่กันแบบโบราณ ก้าวไม่ทันโลก โดยเฉพาะพวกที่เป็นองคมนตรีทั้งหลาย ล้วนแน่ไดโนเสาร์ทั้งนั้น การที่มัวแต่คร่ำครึนี้แหละ คือความล้มเหลวที่ร้ายแรงมากอยู่ไปเป็นภัยต่อสถาบัน
        คุณบุญเที่ยง เจริญพิทักษ์ มีอาการตื่นเต้นกับคำอธิบายของอาจารย์ประเสริฐ จึงยกมือขึ้นไหว้ แล้วถามด้วยความเกรงใจว่า “แล้วพวกสำนักนายกเล่าครับ..?”
            อาจารย์ประเสริฐเปิดเผยให้ฟังว่า ในสำนักนายกรัฐมนตรีนี้น่ากลัวมาก เพราะมันจะเต็มไปด้วย “ไส้ศึก” นานาประเภท โดยเฉพาะได้แก่ไส้ศึกกลุ่มเดียวกับกระทรวงศึกษาธิการ ที่พากันทำงานเงียบๆคอยคุมเกม เพื่อจะให้บั่นทอนระบบการศึกษา ไม่ให้คนไทยก้าวหน้า ไม่ให้คนไทยฉลาด  คนพวกนี้มาจาก “องค์กร” จัดตั้ง ทำงานเป็นระบบ คล้ายพวกจาระชน  มีทั้ง ซีไอเอ เคจีบี และ “ไห้ไว่เฉียวหูต้า” ชื่อหลังนี้ผมไม่แน่ใจว่าจำมาถูกต้องหรือเปล่า  ?
            อย่าว่าแต่สถาบันพระมหากษัตริย์เลย ทุกสถาบันในประเทศไทย จะถูกพวกไส้ศึกแอบทำจารกรรมหามรุ่งหามค่ำ
            แล้วหน่วยข่าวกรองเล่าครับ...เป็นอย่างไร ? ผมถามขึ้น
            อาจารย์ประเสริฐตอบว่า “ตัวนี้ร้ายมากเช่นกัน” เขาจะรายงานแบบไหนก็ได้โดยได้ใช้ ศปก.(ศูนย์ปฏิบัติการ) มีทั้งสำนักงานข่าวกลาง  และ กอ.รมน. เพื่อจะทำให้หน่วยเหนือหลงเชื่อในข้อมูล จะมีการ “บิดเบือน” ให้เกิดความเข้าใจผิด สุดท้ายก็จะปั้นข่าวกล่าวหาคนไทยด้วยกัน หาว่าคนนั้นเกลียดเจ้า คนนี้รักเจ้า จะมีการทำให้คนไทยขัดแย้งกันเองด้วยเรื่องหมิ่นเจ้า หรือเป็นที่โปรดปรานของเจ้า
คนที่รายงานข่าวที่ทำให้คนไทยเข้าใจผิดต่อกันและกัน นั้นแหละคือตัวการใหญ่ คนพวกนี้เป็นพวกกระบวนการล้มเจ้า ตนเองก็ถูกรายงานผิดๆมามากต่อมาก  แต่ตนโชคดีเพราะได้เป็นที่ปรึกษา กอ. รมน. จึงได้รู้เยอะ
          ท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ขอรับ ผมนำเรื่องนี้มาเรียนให้ทราบก็เพราะว่าท่านรู้จักหน้าตาของคนที่ “ชี้หน้าด่ากราด พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” ว่าจะล้มเจ้า ไม่ว่าจะเป็นนายเนวิน ชิดชอบ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ล้วนแต่เป็นคนที่ท่านรู้จักดีทั้งสิ้น
            ผมอยากเรียนต่อไปว่า คนเหล่านี้มีความเคลื่อนไหวตรงตามตำราของอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรทุกประการ ผมจึงเกิดอาการตาสว่างตั้งแต่ตอนที่สนธิ ลิ้มทองกุล ประกาศยกย่อง “คนเสื้อเหลือง”ว่าเป็นผู้จงรักภักดี โดยประกาศในตอนเย็นที่เวทีทำเนียบรัฐบาล เมื่อครั้งชุมนุมยาวเหยียด ๑๖๓ วัน
            อีกคนได้แก่ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ประกาศในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ในท่ามกลางการประชุม โดยมีนายชัย ชิดชอบ เป็นประธานสภาฯ
            การกระทำของคนเหล่านั้น ก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างไพร่กับเจ้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน ถึงขั้น “สั่งฆ่า ๑๐ เมษา ๑๙ พฤษภา/๕๓”   ซึ่งเป็นการฆ่าโดยไม่มีใครมาห้ามเลย มันไม่เหมือนคราว พลเอกสุจินดา คราประยูร กับพลตรี จำลอง ศรีเมืองตีกัน
    พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จะจัดการกับความมั่นคงของสถาบันอย่างไร มิทราบ...?!                                                  
“สอาด จันทร์ดี”


ทีมเสรีชน:
มหากาพย์การเมือง ชุด เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง
ตอน ๗ : เจิมศักดิ์ รวมหัว รับใบสั่ง ..?


 แปลกไหมทั้งที่แน่ชัดว่า “ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” คือตัวการมือประสานงานทำหน้าที่นำหน้า “กลุ่มขัดขวางองค์รัชทายาท” มิให้ได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่มีสังคมไทยกลุ่มใดให้ความสนใจเท่ากับข้อกล่าวหา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ล้มเจ้า มันแปลกใจตรงนี้มาก จึงสรุปได้ว่า คนที่คิดขัดขวางทั้งโดยเปิดเผยและโจ่งแจ้ง แต่กลับไม่มีใครตำหนิติเตียน ส่วนคนที่ไม่ได้กระทำความผิดต่อราชบัลลังก์กลับได้รับการก่นด่า  ถูกใส่ร้ายป้ายสี แทบจะเสียผู้เสียคน
            มหากาพย์การเมืองชุดเปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง จึงขอทำหน้าที่ “เขียนเอาไว้ให้ลูกหลานได้อ่านเพื่อความทรงจำในประวัติศาสตร์ที่บูดเบี้ยว” จะได้รู้ว่าในสังคมไทยมันมีอำนาจเผด็จการอันน่ากลัวซุ่มซ่อนอยู่ในทุกแห่งหน ซึ่งเป็นอำนาจเผด็จการที่จะคอยเล่นงานคู่แข่งทางการเมือง ที่อยู่ในฐานอำนาจอันเดียวกัน
พวกเผด็จการพวกนั้น ตั้งใจบ่อนทำลายหวังจะเอาให้ย่อยยับไปกับมือ ประเภททำลายด้วยเล่ห์ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยเวทย์และคาถา เรียกว่าจะทำทุกวิถีทาง เพื่อจะกำจัดไปให้พ้นทาง ดังที่เคยมีตัวอย่างมาแล้วกับนักการเมืองคนสำคัญหลายคน
ดร. เจิมศักดิ์ ปื่นทอง เป็นผู้ประสานงานคนสำคัญที่ คมช. ไว้วางใจมอบหมายให้เป็นผู้เตรียมการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ (ฉบับปี ๒๕๕๐) ที่จะเอามาแทน รธน. (๒๕๔๐)ฉบับประชาชนที่ทหารฉีกทิ้ง เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ให้สำเร็จลุล่วงตามความประสงค์ให้ได้
จึงมีเรื่องน่ารู้อย่างยิ่งว่า “เรื่องอะไรเล่า” ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด
                ข้อเท็จจริง เป็นดังนี้
๑.     พวกอำมาตย์ผู้มีอำนาจยิ่งใหญในบ้านเมืองกลุ่มหนึ่ง รวมหัวกันตัดสินเรื่องราชบัลลังก์ในยุครัชกาลที่ ๑๐ วาจะไม่ให้ “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช” ได้รับการสืบสันตติวงศ์ จึงจะต้องหาทาง “ขัดขวาง” ให้สำเร็จให้ได้
๒.     หากแม้ขัดขวางแล้วล้มเหลว ก็จะต้องสร้าง “เงื่อนไข” ให้ฝ่ายอำมาตย์ผู้มีอำนาจได้เปรียบทาง “บุญคุณต้องตอบแทน” กล่าวคือการขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๑๐จักต้องเปลี่ยนจากการได้ขึ้นครองราชย์โดยการสืบสันตติวงศ์ เปลี่ยนมาเป็นการได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
ต่อจากนั้นก็ได้ปรึกษาหารือกันว่า จะทำตามหลักการ ๒ อย่างดังกล่าวให้ลุล่วงไปได้อย่างไร
ก็ได้รับความเห็นชอบตรงกันว่า “จะต้องฉีกรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ทิ้งอย่างไม่มีเงื่อนไข” ท้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ท้งเล่ม เป็นประโยชน์แก่องค์บรมโอรสาธิราช (อย่างยิ่ง) และในมุมตรงกันข้าม รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ เป็นก้างขวางคออำมาตย์ไม่ให้มีส่วนร่วมทางการเมือง เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ยินยอมให้คนนอกได้เป็นรัฐมนตรี กอรปกับยังผูกขาดตำแหน่ง สว. ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดอีกด้วย ทำให้ฐานอำนาจของ “ฝ่ายอำมาตย์” ถูกริดลอนแทบไม่มีอะไรเหลือ
            เมื่อฝ่ายอำมาตย์ผู้มีอำนาจทางการเมืองมีความเข้าใจตรงกันอย่างนี้แล้ว จึงถกเถียงกันว่าแล้วจะจัดการอย่างไร จึงจะเปลี่ยนเงื่อนไขทั้งหลายทั้งปวงได้
            คำตอบคือต้องปฏิวัติรัฐประหาร
          ยึดอำนาจรัฐ ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง
            ความเห็นว่าจะต้อง “ปฏิวัติรัฐประหาร” เป็นคำตอบสุดท้าย
            ท่านผู้อ่านขอรับ...โปรดรับทราบว่าข้อเขียนนี้ได้รับมาจาก “อำมาตย์ผู้น่ารัก” ที่เป็นคนกลุ่มเดียวกันกับอำมาตย์ผู้มีอำนาจทางการเมือง จึงทำให้ “มหากาพย์” เรื่องนี้มีคุณค่าอย่างยิ่ง ความมีคุณค่าดังกล่าวได้จิ้มให้เห็นความโฉดชั่วของพวกอำมาตย์ที่มองหาทางหนทางทำปฏิวัติรัฐประหารนั้น ได้โยนเข้าใส่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แบบไม่มีความผิดก็ต้องทำให้มีความปิด แต่จะโยนเข้าใส่อย่างไร จะต้องมีแง่มุมที่สมจริงสมจัง จึงจะทำให้การยึดอำนาจสำเร็จลุล่วงไปได้
            นี้คือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ “ลับ ลวง พราง” ที่สุดแสนจะโฉดชั่วหาที่เปรียบมิได้
            พวกอำมาตย์ จึงได้สร้างทฤษฎีชี้นำ ด้วยการเกาะเกี่ยวเอาพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเป็นพันธมิตรชุดที่หนึ่ง ให้พรรคประชาธิปัตย์ “ลงมือ” เล่นงานพรรคไทยรักไทยและพุ่งเข้าถล่ม พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการกล่าววิพากย์วิจารณ์ให้เกิดความเสียหาย พูดจาใส่ความ และป้ายสีต่างๆนานา ทำทุกอย่างเพื่อจะ “บดขยี้” พรรคไทยรักไทยให้ย่อยยับลงให้ได้
            ทั้งนี้ก็โดยความร่วมมือของสื่อต่างๆทั้งภาคภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ
            ขณะที่มีการกล่าวหา ใส่ความดังกล่าวนั้น พวกเขาก็ได้ “ปล่อยข่าว” ว่าพระเจ้าตากสินกลับชาติมาเกิด จะมาทวงคืนราชบัลลังก์ หากขืนปล่อยไว้ ราชวงศ์จักรีจักไม่เหลือ
            น่าสงสาร พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ เหลือเกินที่ไม่ประสีประสาว่าตัวเองถูกศัตรูเล่นงานด้วยวิธีการ
สกปรก ไร้ความเป็นธรรม จึงตกเป็นเหยื่อทางการเมืองทั้งๆที่ตัวเองไม่มีความผิดอะไรเลย แต่จะทำอย่างไรได้ เรื่องทั้งหลายมันเกิดมาจาก “ความซื่อ” และเกิมจากความเชื่อมั่นว่า คนไทยคงจะไม่โหดเหี้ยมอย่างไร้กติกา แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น มันทำสวนทางกับความเชื่อ สวนทางกับความถูกต้องแทบไม่มีอะรเหลือ
            ตัว พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ท่านก็พลาดไปอย่างสำคัญที่ไม่มี “สายข่าว” เป็นของตนเอง จึงทำให้งานด้านการข่าวล้มเหลว จนไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าศัตรูคือพวกไหน กำลังทำอะไร และล้มเหลวขนาดหนักจนไม่อาจทราบได้ว่าทหารกำลังรอจังหวะให้สุกงอม
            ความจริงแล้ว ผู้เขียนสังเกตุเห็นความผิดปกติอย่างกระจ่างชัด รู้สึกสงสารท่านนายกทักษิณจับใจ จึงได้ทำบันทึกพิเศษ “นำเอาไปส่งให้ พลเอก ชัยสิทธิ์ ชินวัตร” เพื่อจะให้ท่านส่งผ่านไปยังน้องชายของท่านรวมทั้งได้ทำเป็นเล่มพิเศษขึ้นมา ๑ เล่ม นำเอาไปมอบให้ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ส่งผาน “คุณหญิง” โดยได้มอบหมายให้มหากมล ศรีนอก เป็นผู้เอาไปส่ง
          เข้าใจว่าบันทึก (ลับ) ฉบับนั้นไม่ถึงมือท่านนายกทักษิณ
            ต่อจากนั้นไม่นานก็ได้พบกับ “กระบวนการ” ทำลายทักษิณอย่างเต็มระบบประกอบด้วยพันธมิตร
และสันติอโศก ออกมาเคลื่อนไหวอย่างร้อนแรง จนในที่สุดก็สามารถสร้างกระแสให้ พล.อ. สนธิ บุณยรัตกลิน ในฐานะ ผบ. ทบ. เอากำลังทหารยึดอำนาจรัฐด้วยปลายกระบอกปืน
            จากวินาทีนั้น ทหารในนามของ คมช.ก็ได้เข้ามากุมอำนาจทางการเมืองแล้วรีบริ่งสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทนฉบับเก่า เป็นที่ถูกใจโก๋ไปเลย
            รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สามารถกำหนดทิศทางให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ได้ในหลายเรื่อง แต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่ “เจ๋งเป้ง” ทั้งนั้น
๑.     เปลี่ยนเงื่อนไข องค์รัชทายาทต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
๒.     ได้บัญญญัติเอาไว้ในรัฐธรมนูญว่า “ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” มาจากประธานองค์มนตรีตัวของประธานองคมนตรี จะทำหน้าที่ “รับเอาความเห็นชอบ” ที่รัฐสภามีความเห็นร่วมกันประกาศแต่งตั้งองค์รัชทายาท
๓.     รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีช่องทางให้ “คนนอก” ได้เป็นรัฐมนตรี
๔.     รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้อำนาจแก่องค์กรอิสระตามนโยบายของ คมช. อย่างสูงส่ง
๕.     การได้มาซึ่ง สว. ก็ให้แบ่งเป็นเลือกตั้งโดยตรงกับการได้จากโควต้าสรรหา
๖.     รัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ได้สร้างอำนาจล้นฟ้าให้แก่คณะบุคคลกลุ่มหนึ่ง คณะบุคคลกลุ่มนั้นจะเนรมิตอะไรก็ได้ โดยมิแยแสต่อสายตาของพี่น้องร่วมชาติที่เฝ้าดูพฤติกรรมอยู่ด้วยความหดหู่และน่าสลดใจเป็นที่สุด

 ทีนี้...เมื่อสรุปเรื่องราวทั้งหมด ก็ได้ความว่าฝ่ายอำมาตย์สมหวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าการแต่งตั้ง
องค์รัชทายาทขึ้นเป็นกษัตริย์ ได้เปลี่ยนจากการสืบสันตติวงศ์มาเป็นโดยความเห็นชอบของ
รัฐสภาเป็นที่เรียบยร้อยแล้วอันหมายความว่า “ฟ้าชาย” จักไม่ได้เป็นกษัตริย์อย่างแน่นอน แต่ในมุมเดียวกันนี้ หากรัฐสภายังยืนยันว่า “สมเด็จฟ้าชาย” เหมาะสมที่สุด พวกเขาก็จะประกาศแต่งตั้ง “ฟ้าชาย” ให้เป็นกษัตริย์โดยมิรังรอถ้าได้ทำแบบนี้ อามาตย์ก็จะมีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงแก่องค์พระมหากษัตริย์ที่อำมาตย์เป็นหัวเรือใหญ่ในการขอมติจากสภา
            ทั้งหลายทั้งปวง สำเร็จขึ้นมาได้จาก “ฝีมือ” ของนักวิชการในอ้อมกอดของอำมาตย์ ได้แก่ ร.ศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองนั้นเอง
            ในสายงานที่แท้จริงนั้น ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทองเป็น “ลูกน้อง” ของนาวาอากาศตรี ประสงค์ สุ่นศิริ (ซีไอเอเมืองไทย) ทั้งในรัฐสภาและนอกรัฐสภา แต่ในมุมห้องมืด ลับ ลวง พราง เขาคือ “หัวหน้าใหญ่” ของนักยกร่างรัฐธรรมนูญ เขาคือฟันเฟืองตัวเบิ้มที่สามารถวางเข็มหมุดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ (เผด็จการ) ฉบับนี้
          ใช่...ในมุ่มหนึ่ง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง คือมือทองที่เป็นตัวแปรรูปรัฐธรมนูญ
            ซึ่งได้ “เข่นฆ่า” กระบวนการ-การเมืองไทยให้พินาศย่อยยับ
            และยังได้ยึดทรัพย์ทักษิณ ๔.๖ หมื่นล้าน..อีกด้วย .ยังน้อยไป
          ว่าก็ว่าสิ่งเหล่านี้ยังน้อยไป....น้อยไปอย่างเทียบไม่ได้กับการพังทลายของประเทศไทย
รวมทั้ง “พังทางเศรษฐกิจ” สูญสิ้นรายได้ ทำลายการผลิต ทำลาย ความสงบสุข ทำให้คนไทยในชาติแทบจะฆ่ากันตาย ประมาณค่าความเสียหายมิได้เลย   แต่พวกเขาพึงพอใจที่จะทำ โดยหวังจะต่อรองกับพระมหากษัตริย์องค์ใหม่
และยังเล่นร้ายแรงเลยเถิดไปถึงข้อกล่าวหาว่า “สมเด็จพระเจ้าตากสินกลับชาติมาเกิด.มันสร้างเรื่องน่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง สร้างให้ความเชื่อเรื่องนี้ได้ออกฤทิ์ออกเดชจนแผ่นดินแทบลุกเป็นไฟ
            เจิมศักดิ์หนอเจิมศักดิ์ รวมหัวรับใบสั่งอย่างเดียวยังไม่พอ ยังได้รวมหัวที่จะหมุนประเทศไทยให้ไหลไปสู่ทิศทางที่พวกอำมาตย์ต้องการ   แบบไม่เกรงใจประชาชนแม้แต่นิด ?!      
                                                                             “สอาด จันทร์ดี”
                                                     E-mail:saard.chandee@yahoo.co,


ทีมเสรีชน:
  มหากาพย์การเมือง ชุด เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง
          ตอน ๘ : จำลองกับสันติอโศก ใช้เจิมศักด์ เป็นจิ๊กซอว์ ล้มเจ้า ?


 มหากาพย์การเมือง ชุดเปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง ได้เปิดไปแล้วว่า ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทองเป็นตัวการ “รับใบสั่ง” ขัดขวางองค์รัชทายาท ดังที่ได้บรรยายมาแล้ว ๗ ตอน แล้วก็มาถึงตอนที่ ๘ ที่กำลังมีคำถามว่า “เจิมศักดิ์ เป็นผู้รับใบสั่ง” เพียงคนเดียว หรือว่ามีใครเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ ?
            จากคำถามประโยคนี้ ผมขออาสาเปิดห้องมืดลับ ลวง พราง ให้ท่านทราบต่อไปว่า ขบวนการล้มเจ้านั้นมีมาก่อน ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ตั้งหลายปี คนที่เป็นเจ้าตำรับล้มเจ้าที่เราจะสามารถพูดถึงตัวตนได้อย่างเปิดเผย ก็คือ “โพธิรักษ์” และ “พลตรี จำลอง ศรีเมือง”
            เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อนายรัก รักพงศ์ หนีจากดารา ไปบวชที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรรปราการ ได้ไม่ถึงพรรษา ก็ได้ขึ้นแสดงธรรมให้ญาติโยมฟัง โดยมิได้ใส่ใจต่อหลักการของพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เนื่องจากโพธิรักษ์ เพิ่งจะบวชใหม่ ยังไม่รู้เรื่องพระธรรมวินัย   ท่านเจ้าอาวาสจึงได้ห้ามมิให้พระรักแสดงธรรมให้ญาติโยมฟัง เป็นเหตุให้พระรักไม่พึงพอใจ จึงหอบจีวรหนีจากวัดอโศการาม ไปอยู่จังหวัดนครปฐมโดยมิได้กราบลาพระอุปัชฌาย์แต่ประการใด
            เมื่อไปอยู่จังหวัดนครปฐมก็ได้แปลงจากพระธรรมยุติมาเป็นมหานิกาย แล้วก็ได้แสดงธรรมไปตามหลักการของตัวเองอีกคราวนี้แผลงอย่างร้ายแรงด้วยการประกาศตำหนิพระพุทธรูปว่าเป็นเพียงพระอิฐพระปูนจะกราบไหว้ทำไม ว่าแล้วก็บรรยายประกอบอีกหลายถ้อยกระทงความ ทำให้ท่านเจ้าคณะจังหวัดทนดูไม่ได้ จึงเรียกมาตักเตือน มีหนังสือแนะนำอย่างถูกต้องตามหลักการของคณะสงฆ์ทุกประการ
            คราวนี้ไปกันใหญ่ พระรักไม่ยอมเชื่อฟังด้วยประการทั้งปวง ประกาศทิ้งมหานิกาย ขอแยกตัวไปอยู่แบบนานาสังวาส ไม่ขึ้นกับคณะสงฆ์ เมื่อพระรักแยกต้วไปแล้วก็ได้ประกาศจัดตั้งแนวทางใหม่เอาขึ้นมาใช้กับตัวเอง เรียกว่า “สันติอโศก” แล้วเปิดอาศรม เทศน์สอนญาติโยมด้วยการกล่าวตำหนิติเตียนคณะสงฆ์ และตำหนิสมเด็จพระสังฆราช มีการเผยแพร่แนวทาง “สาธารณโภคี” ประกาศจัดตั้งปฐมอโศก จนเป็นปึกแผ่นแล้วขยายเข้ามาตั้งที่บึงกุ่ม กรุงเทพมหานครกลางใจเมืองหลวง
                   ณ สถานที่แห่งนี้ คือโรงงานสร้างบุคคลากรให้แก่สันติอโศก โดยได้พลตรี จำลอง ศรีเมืองเข้ามาเป็นสาวก พร้อมกับนักการเมือง นักการทหาร และบุคคลผู้มีชื่อเสียงอีกมิใช่น้อย จนสามารถทำให้ “สันติอโศกปีกกล้าขาแข็ง” ประกาศแข็งข้อกับคณะสงฆ์ มีการกล่าวจ้างจาบมากมายหลายร้อยชนิด ซึ่งเป็นการบ่งชัดว่าสันติอโศกต้องการ “ล้มล้าง” พระพุทธศาสนา “สายเถรวาท” แบบโจ่งแจ้ง มิได้มีความหวั่นไหวแต่อย่างใด  เขาได้พยายามทุกวิธีทางที่จะจุดประกายไฟให้ลุกโหมขึ้นในหมู่ชาวพุทธ เพื่อจะได้ทำให้เกิดการปฏิวัติใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถกระทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้
          ผู้เขียนกับพันเอก (พิเศษ) สิน อินทร์นรา ได้ใช้เวลายาวนานอยู่กับสันติอโศก คู่กับพันเอกสุทัศน์ โสฬส เพื่อต้องการเรียนรู้เจตจำนงอันแน่ทแท้จริงของสันติอโศกคืออะไร ?
            สิ่งที่ผมกับสองนายทหารใหญ่ค้นพบก็คือกระบวนการนี้เป็นกระบวน “ล้มพุทธแบบไทยดั้งเดิม” เพื่อจะสร้างสังคมใหม่ขึ้นให้เป็นสังคมแบบพระศรีอาริย์ กล่าวคือทรัพย์สมบัติของประชาชนทั้งปวง ไม่ให้เอาไปเป็นสมบัติส่วนตัว โดยมีคำขวัญยกย่องว่า ในโครงการสาธารณะโภคี จะทำให้ชาวสันติอโศก ไม่มีบาปด้วยประการทั้งปวง เพราะไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ไม่กินสิ่งที่มีชีวิต สิ่งของที่ผลิตได้จากไร่นา ก็จะเก็บเอาไว้ในกองกลาง (ฉางกลาง) อันจะทำให้ทุกคนมีอาหารกิน คนไหนเป็นคนทำ คนนั้นจะได้บุญมากกว่าที่ใจอยากได้ จะได้บริจาคมากกว่าทรัพย์สินที่มี ทั้งนี้ก็เพราะผลผลิตที่ผลิตได้ มิได้เก็บเป็นสมบัติส่วนตัว แต่ได้บริจาคให้แก่กองกลางจนหมดสิ้น ถือเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลยอดเยี่ยมสูงส่ง
            ผมกับคณะต่างมีความเห็นว่าแนวทางของสันติอโศก เป็นแนวทางล้มล้างระบอบการปกครองร้ายแรงถึงรากถึงโคน เพราะว่าถ้าลัทธินี้ขึ้นปกครองประเทศ   ประมุขของลัทธิจะเป็นเสมือนเจ้าผู้ปกครองแผนดิน ทั้งนี้ก็เพราะสันติอโศกส่งเสริมให้ ชาวสันติอโศกเป็นมวลชนการเมืองตั้งแต่ระดับฐานคะแนนไปจนถึง “แกนนำ” ที่สำเร็จจากโรงเรียนผู้นำเพื่อจะแข่งขันและเอาการเมืองมาเปลี่ยแปลงระบอบ ?!
            โรงเรียนผู้นำที่ว่านี้ มีพลตรี จำลอง ศรีเมืองเป็นประธานและครูใหญ่ ตั้งอยู่จังหวัดกาญจนบุรี คนที่จะได้เข้าเรียนนั้นมีอยู่ ๒ กลุ่ม ได้แก่กลุ่มที่สมัครเข้าไปเรียนเองกับกลุ่มที่สันติอโศกส่งไปเรียน
            เมื่อครั้งสันติอโศกได้เข้าร่วมรัฐบาลในนามของพรรคพลังธรรมคราโน้น และในคราวพลตรีจำลอง
ศรีเมืองเป็นผู้ว่า กทม. ได้อาศัยอำนาจของผู้ว่า คัดเลือกข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ส่งเข้าไปเรียนโดยมีเบี้ยเลี้ยงจ่ายให้เหมือนกับโครงการของรัฐบาล จึงทำให้ “ฐานแกนนำ” ของสันอโศกเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีคนยที่จบจากโรงเรียนผู้นำมาถึงวันนี้รวม ๖๐๖ รุ่นๆละ ๑๐๐ คน (๖๐,๖๐๐ คน)
            ทีนี้...มีคำถามว่าพลตรี จำลอง ศรีเมือง กับสันติอโศก เกี่ยวข้องอะไรกับ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ? ซึ่งเป็นคำถามที่สังคมไม่อยากจะเชื่อ เพราะไม่เคยมีความสัมพันธ์อันใดมาก่อน ตัวของ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทองนั้น ดังในสื่ออย่างแรงในรายการ “ตามหาแก่นธรม” ที่ทุกท่านได้ทราบมาก่อนแล้ว
            ผมขอเรียนว่าเรื่องนี้เกิดเดินทางมาพบกันในคราว พลเอกกสนธิ บุณยรัตกลิน ลากรถพถังและปืนใหญ่ออกมาทำการล้มล้างรั้ฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ แล้วก็มีใบสั่งให้ ดร. เดิมศักด์ ปิ่นทอง เตรียมยกร่างรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐
            ตรงนี้เองคือ “รอยเชื่อมต่อ” ระหว่าง คมช. กับ “สันติอโศก” เดินทางมาพบกัน อันเนื่องจากการต่อสู้เพื่อการล้มล้าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก่อน ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ มีพันธมิตร-สันติอโศก อันมีกองทัพธรรมเป็นหัวหอก ซึ่งก็ได้แก่โพธิรักษ์ พลตรี จำลอง ศรีเมือง สนธิ ลิ้มทองกุลเป็นแม่ทัพ
            สรุปแล้ว...พวกเขาเป็นผู้คนคณะเดียวกัน ซึ่งได้อาศัยเส้นทางการต่อสู้อันยาวนาน ปฏิบัติการไม่หลับไม่นอน เพื่อจะทำเป้าหมายสุดท้ายให้เป็นจริง และในที่สุดก็เดินทางมาบรรจบพบกันจนได้
            แต่มันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่าง “ดร. เจิมศักดิ์” กับ “พลตรี จำลอง ศรีเมือง  สนธิ ลิ้มทองกุล   กล่าวคือ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง รับใบสั่งเพื่อจะขัดขวางฟ้าชายมิให้ได้เป็นองค์รัชทายาท“ซึ่งไม่เกี่ยวกับการล้มเจ้าแต่ประการใด” ส่วน “สันติอโศก” โพธิรักษ์ และพลตรี จำลอง ศรีเมืองมีโครงสร้างรื้อระบอบของประเทศ โดยตัวโพธิรักษ์ประกาศในทีวีเพื่อมนุษชาติ [FM TV]ว่าไม่ใช่คิดจะล้มล้าง แต่คิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองให้ดีขึ้น ถ้าเปลี่ยนแปลงสำเร็จ จะได้แต่คนมีศีลมาปกครองประเทศ แล้วสรุปว่าปัจจุบันนี้มีแต่คนชั่วปกครองแผ่นดิน อาตมาจึงจำเป็นต้องออกมากอบกู้ยังไงล่ะ...ฟังเข้าใจหรือเปล่านี้คือคำพูดของท่านพ่อโพธิรักษ์
            ผมจึงเขียนให้อ่าน จะได้ร่วมกันศึกษาว่านี้เป็นการใส่ความหรือว่าเป็นเรื่องจริง..?!
                                   สอาด จันทร์ดี

ทีมเสรีชน:
มหากาพย์การเมือง เปิดห้องมืด ลับ ลวง พราง
ตอน ๙ :        ยุทธการมุมกลับ อำมาตย์ล้มเจ้า ?

 กราบเรียนท่านผู้อ่านว่า “มหากาพย์การเมือง” เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่จะถูกเอาขึ้นมาเขียนเพียงเพื่อจะปลุกกระแสหามุขขบขัน ก็หามิได้ แต่นี้คืองานเขียนที่เอาเลือดและวิญญาณในความเป็นคนไทย หรือจะเรียกให้ชัดว่าเขียนในฐานะของ “พสกนิกร” ที่มีพระเจ้าอยู่หัวสถิตย์อยู่ในดวงใจ อันถือเป็นการเขียนในขณะพวกมหาอำมาตย์ต่างยื้อแย่งกัน “ยกเอา” พระเจ้าอยู่หัวมาเป็นเครื่องมือแสวงหาความดีและความชอบใส่ตัวเอง แล้วก็ได้ทำร้ายคนอื่นด้วยหัวใจอันอำมหิต ขนาดตั้งข้อหา “หว่านแห” หมายจะปราบปรามฝ่ายตรงกันข้ามให้อยู่หมัด ดังกรณีสั่งควบคุมตัว “จตุพร พรหมพันธุ์”กับ “นิสิต สินธุไพร” เมื่อเวลา ๑๐.๓๘ น. ของเช้าวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ !
          นี้คือการกระทำที่อ้างว่าทำไปเพื่อความจงรักภักดีของพวกยุทธการมุมกลับ ?
มันแสนจะสลับซับซ้อน ลึกลับและน่าฉงน ว่าผู้คนในประเทศไทยนี้ มีแต่อำมาตย์และพวกเสนาบดีเท่านั้นหรือที่จงรักภักดีหาที่เปรียบมิได้ โดยไม่มีใครเฉลียวใจแม้แต่นิดว่า บางคนเป็นพวกจงรักภักดีเทียมที่ซุกซ่อนความชั่วเอาไว้อย่างลึกลับ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพวกเขาพากันเป็นนักรบ “ยุทธการมุมกลับ” ซึ่งตรงกับคำว่า “พวกหน้าไหว้หลังหลอก พวกใส้ศึก หรือพวกทรราชย์” ?! มีแผนการ “ล้มเจ้า” อยู่ในหัวใจ
เป็นพวกยุทธการมุมกลับที่ฟั้กตัวมายาวนาน !
          ผมเคยเขียนเรื่องแบบนี้เอาไว้หลายครั้งในสถานที่หลายแห่ง เขียนลงใน นสพ. มติไทย ออกที่หาดใหญ่ เขียนใน นสพ. ไทยเร็ดนิวส์ ของ ดร. วิบูลย์ แช่มชื่น และเคยพูดออกอากาศหลายครั้ง
            ผมขอทบทวนอีกครั้งเพื่อจะทวนความจำดังนี้ว่า  ครั้งหนึ่ง ผมได้ยินเครือข่ายของอำมาตย์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันที่ซอยหมอเหล็ง กรุงเทพมหานคร ว่าทำอย่างไรหนอจึงจะกำจัดพระเจ้าแผ่นดิน (ร. ๙) ให้หมดไปได้ จะได้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีกันเสียที
          คู่สนทนาได้พูดขึ้นมาว่า “คนไทยทั้งแผ่นดินรักพระราชาเสมือนเทพเจ้า ไม่มีทางที่จะกำจัดได้เลย จะทำได้เพียงทางเดียวคือต้องหาทางทำให้ประชาชนแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ถ้าทำได้สำเร็จ ก็จะเป็นชนวนไปสู่การต่อสู้ได้” นั้นคือบทสนทนาในครั้งนั้น
            เมื่อผมได้รับฟังเรื่องราวดังกล่าว ก็รีบรายงานให้คุณทองทิว สุวรรณทัตทราบ แล้วคุณทองทิว ก็ได้นำผมไปพบพลเอกทวนทอง สุวรรณทัต ให้ผมได้รายงานให้ทราบด้วยตนเอง
            ผลของการพูดคุยกันในวันนั้น พลเอกทวนทวง สุวรรณทัต กล่าวสรุปว่า มันเป็นการยากที่จะเล่นงานเขาได้ ขนาด ส. ศิวลักษณ์ เขียนตำหนิโจ่งแจ้ง ยังเอาเรื่องไม่ได้เลย ต่อจากนั้นพลเอกทวนทองก็ได้แสดงความเห็นว่าข่าวนี้ดีมาก จะได้เฝ้าสังเกตุว่าจะมีใครทำให้ประชาชนเกิดความขัดแย้งกัน
            นั้นคือเรื่องเก่าที่ผมเคยเขียนหลายครั้งหลายหน
            และแล้ว...เรื่องเหล่านั้นก็มาเกิดในวันนี้ จู่ๆก็มีข้อกล่าวหาจากม็อบพันธมิตรประกาศเสียงดังในทำเนียบรัฐบาลว่าพวกเขาเป็นผู้จงรักภักดี ส่วนพวก นปช. เป็นพวกล้มเจ้า ข้อกล่าวหาล้มเจ้า ดังการะหึ่มขึ้นนมายังกะไฟลามป่า สุดท้าย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เอาไปประกาศในสภาผู้แทนราษฎร
            นับแต่วินานั้น มันทำให้ภาพเก่าๆที่ผมเคยรายงานให้พลเอกทวนทอง สุวรรณทัพได้รับทราบ มันผุดขึ้นมาในความทรงจำยังกะได้เห็นภาพเมื่อวันวาน เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ได้มีการ “วางแผน” อย่างเป็นขั้นเป็นตอนที่จะทำให้ “พสกนิกร” กับองค์พระประมุข “พระเจ้าแผ่นดิน” แตกเป็น ๒ ซีกตามแผนการของพวกเขาซึ่งพวกเขาสามารถทำสำเร็จ
            ผมสยองอยู่ในใจสุดจะบรรยาย เพราะว่านับแต่ฝ่ายอำมาตย์ได้โยนข้อกล่าวหาใส่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรนั้น ได้ถูกโยนต่อภายในพริบตาไปยังคนเสื้อแดงนับล้านคน อันล้วนแต่เป็นพสกนิกรขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสิ้น
            แล้วผมก็ได้เห็นร่องรอยของความเพียรพยายามที่จะทำ “ความสัมพันธ์หลายพันปี” ของคนไทยที่ไม่เคยแตกความคิดไปจากพระเจ้าแผ่นดิน ได้ถูก “ฆ้อนยักษ์ร้อยปอนด์” ตีกระหน่ำจนหัวหมุดยุบและฝังลึกลงไปในแผนหิน
            ขอถวายฎีกา ก็ถูกพวกอำมาตย์ขัดขวาง ?!
            ยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง ล้มแล้วล้มอีกก็ยังไม่พอใจ
            ไม่ได้ทำความผิดร้ายแรง ก็ถูกพิพากษาให้จำคุก ๒ ปี
            ทีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผิดแล้วผิดอีก กลับลอยนวลอยู่ได้
            ยึดเงินของเขา ๔.๖ หมื่นล้านบาทยังน้อยไป
            สุดท้าย รัฐบาลสั่งปราบปรามประชาชน “ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง” บาดเจ็บอีกเป็นพัน ไม่อาจได้พึ่งความเมตตาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งผิดกับเหตุการณ์ในอดีตที่นิสิตนักศึกษาได้รับชะตากรรมก็มีพระองค์ท่านเป็นที่พึ่ง รวมทั้งกรณีสุจินดากับจำลอง ก็ได้รับฟังพระบรมราโชวาทด้วยหัวใจอันอิ่มเอิบ ทำให้คนไทยที่กำลังฆ่ากันสนั่นเมือง แยกออกจากกัน แล้วต่างคนต่างกลับบ้าน
            แต่คราวนี้...ตายเลือดเนืองนอง มือปืนไล่ยิงกลางท้องถนนหลวง  คนที่ล้มตาย มิใช่ใครที่ไหน ล้วนแล้วแต่เป็นพสกนิกรผู้น่าสงสารทั้งสิ้น
            เหตุการณ์ในวันนั้น ได้กลายเป็น “บาดแผล” ที่บาดลึกเข้าไปในหัวใจของคนไทยสุดจะพรรณนา จนในที่สุดมันได้แบ่งคนไทยออกเป็น ๒ กลุ่มดังที่เห็นในปัจจุบัน
            มีผู้คนออกมาเรียกร้องความรักความสามัคคีของคนในชาติ มีบทเพลงดังเจื้อยแจ้วในสถานีวิทยุทั้งกลางวันและกลางคืน ประหนึ่งจะขับกล่อมให้คนไทยลืมวันที่ ๑๐ เมษายน และลืมวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ พร้อมกับให้ยอมรับชะตา “ผู้ก่อการร้าย” อย่างไม่มีเงื่อนไข แถมไม่ให้ส่งเสียงร้องขอความเมตตาใดๆ   เพราะมันเป็นวามผิดที่ใหอภัยไม่ได้
            การไล่ลา การจับกุมคุมขังจึงเป็นภารกิจที่พวกเขารีบเร่งทำ
           ท่านครับ...ผมหยิบปากกาขึ้นมาเขียนด้วยวามปวดร้าว และเสียใจจนบอกไม่ถูก นึกไม่ถึงว่าคนไทยจะถูก “อำมาตย์” เล่นละครตบตาอย่างโจ่งแจ้งกลางลานบ้าน
            สรุปแล้ว คนที่ต้องการล้มเจ้าตัวจริง นอกจากจะวางแผนสำเร็จ ทำให้คนไทยตีกันเองได้สมใจนึก   ยังได้เสวยผลประโยชน์ทั้งขาขึ้นและขาล่อง โดยไม่มีใครล่วงรู้ยุทธการมุมกลับ ลับ ลวง พราง อันแสนโฉดชั่ว กระทำมาอย่างได้ผลด้วยการ หลอกให้ “พสกนิกร” ทะเลาะกันเอง แล้วตัวเองก็นั่งอยู่บนอคอยงาช้าง คอยโอกาสส้มหล่นใส่ฝ่ามือ
            ผมขอทำนายเอาไว้ว่า ประเทศไทยกำลังเดินมาถึงทาง ๒ แพร่ง
            แพร่งหนึ่ง   ถ้าประชาชนรู้ทัน ประชาชนจะได้เป็นเจ้าของอำนาจรัฐ
            อีกแพร่งหนึ่ง ถ้าอำมาตย์รวดเร็วกว่า...ประเทศไทยจะเหมือนพม่า
            มหากาพย์เรื่องนี้ กำลังเผยให้เห็นว่าใครคือตัวการล้มเจ้าตัวจริง..?!

                                                          สอาด จันทร์ดี
                                                E-mail:saard.chandee@yahoo.com



ทีมเสรีชน:
  สอาด จันทร์ดี .....เขียน 
เปิดห้องมืด ลับ วง พราง  
        
ตอน ๑๐ : เปิดบทบัญญัติ รธน. ๓ มาตรา !

  ปมมืดที่เป็นความลับ ความหลอกลวง และความอำพราง มิใช่คิดปุ๊บก็ทำปั๊บ แท้ที่จริงแล้ว ได้มีการวางแผนโดยผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดกับการเมืองอย่างยาวนานเป็นตัวต้นคิด ซึ่งผู้เขียนได้สังเกตเห็นตอนที่ตนเองเป็น “กรรมาธิการ” ในสภาผู้แทนราษฎร ทำงานในนามของพรรคประชากรไทย ในฐานะเป็นคนของพรรคและเป็นกรรมการบริหารหารพรรค ที่แพ้เลือกตั้ง (ส.ส. สอบตก) เมื่อครั้งลงสมัคร ส.ส. เขต ๖ ยานนาวา บางคอแหลม ทุ่งมหาเมฆ คลองเตย แต่ได้รับเกียรติจากพรรคให้เป็นกรรมาธิการแรงงาน
            ในขณะร่วมประชุมด้วยแต่ละครั้ง เพื่อจะแก้กฎหมายในแต่ละถ้อยคำ จักต้องถามผู้เชียวชาญด้านกฎหมายก่อนว่าถ้อยคำที่จะใช้จะไปขัดกับ “กฎหมายเก่า” มาตราไหนบ้าง   เหตุที่ต้องถามก็เพราะกรรมาธิการไม่มีความทรงจำกฎหมายของประเทศซึ่งมีอยู่มากมายได้เลย จึงต้องพึ่งพาอาศัยผู้เชี่ยวชาญให้มาช่วยดูแลก่อนตัดสินใจ
            ผู้เชี่ยวชาญดูไม่ถึงนาที ตอบได้เลยว่าได้หรือไม่ได้
            ดังนั้น ในกรณีการ “บิดเบือน” หมกเม็ดรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ ที่ต้องการเขียนขึ้นมาเพื่อจะขัดขวาง “สมเด็จฟ้าชาย” มิให้ได้ขึ้นครองราชย์โดยง่าย หรือหากจะได้ขึ้นครองราชยก็จักต้องอาศัยความเห็นชอบของ “ผู้จัดการใหญ่” ผู้อยู่ในตำแหน่งที่ได้รับตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นผู้เสนอ
            อันเป็นแผนการที่จะสร้างบารมีให้แก่คณะของพวกอำมาตย์
            รศ. ดร. เจิมศักดิ ปิ่นนทอง เป็นผู้รับใบสั่ง ที่จะปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข และโดยไม่ต้องคิดว่าจะไปขัดกับกฎหมายฉบับไหนบ้างทั้งนี้ก็เพราะผู้ที่ออกใบสั่งนั้น จะมีคณะทำงาน “หามรุ่งหามค่ำ” คอยให้คำแนะนำ และจี้ไชให้เขียนรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการ “หมกเม็ด” ที่แยบยลที่สุด คอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา
          คนกลุ่มนั้น คือคณะทำงานที่อยู่เบื้องหลังการร่างรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ?
            รัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ เป็นรัฐธรรมนูญของปีศาจเวหา  ที่เหาะเหิรเดินอากาศ มุดน้ำดำดิน เพื่อจะสร้าง “กฎเกณฑ์” เอาขึ้นมาบังคับให้คนไทยเชื่อและปฏิบัติตาม โดยเฉพาะการเขียนรัฐธรรมนูญที่ยกเอาถ้อยคำอันน่าตื่นเต้นมาบัญญัติขี้น...ถ้อยคำนั้นได้ถ้อยคำในมาตรา ๒๓ ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลง” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ซ่อนเร้น หมกเม็ดอย่างแยบยล
            ที่ว่าซ่อนเร้นก็เพราะว่าคนยกร่างต้องการให้มีการกล่าวถึงในกรณีหากราชบัลลังก์หากว่างลง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งหลายจะไม่ตั้งข้อสงสัย ซึ่งซ่อนเร้นอย่างเปิดเผย และคำว่า “หมกเม็ด” อย่างแยบยลนั้นหมายถึงการ “หมกเม็ก” หาหนทางให้ “ประธานองคมนตรี” ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ถูกต้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
            พวกเขาเชี่ยวชาญสุดยอด
            ดังนั้น เพื่อท่านผู้อ่านจะได้พบกับบทบัญญัติที่สมบูรณ์ของงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผมจึงคัดมาให้ท่านได้อ่านในมาตรา ๒๓ – ๒๔ – และมาตรา ๒๕ ดังนี้
มาตรา๒๓  ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์พระพุทธศักราช ๒๔๖๗แล้วให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ
ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา๒๒ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ  ในการนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้  เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไปแล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ
ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาในการรับทราบตามวรรคหนึ่งหรือให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง
 มาตรา๒๔  ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ตามมาตรา๒๓ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน  แต่ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงในระหว่างที่ได้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ตามมาตรา๑๘หรือมาตรา๑๙หรือระหว่างเวลาที่ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา๒๐วรรคหนึ่งให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น ๆแล้วแต่กรณีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไป  ทั้งนี้จนกว่าจะได้ประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์
ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งไว้และเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไปตามวรรคหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ประธานองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน
ในกรณีที่ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่งหรือทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวตามวรรคสองให้นำบทบัญญัติมาตรา๒๐วรรคสามมาใช้บังคับ
มาตรา๒๕  ในกรณีที่คณะองคมนตรีจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา๑๙หรือมาตรา๒๓วรรคสองหรือประธานองคมนตรีจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา๒๐วรรคหนึ่งหรือวรรคสองหรือมาตรา๒๔วรรคสองและอยู่ในระหว่างที่ไม่มีประธานองคมนตรีหรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้คณะองคมนตรีที่เหลืออยู่เลือกองคมนตรีคนหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ประธานองคมนตรีหรือปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา๒๐วรรคหนึ่งหรือวรรคสองหรือตามมาตรา๒๔วรรคสามแล้วแต่กรณี
หมายเหตุ (การหมกเม็ด) ที่หลอกลวงประชาชนทั้งประเทศได้แก่การบัญญัติเอาไว้ในมาตรา ๒๓ วรรคที่เขียนเอาไว้ว่า  และเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ “มิได้” ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลเป็นพระมหากษัตริย์ตามมาตรา ๒๓ให้ประธานองคนตรีเป็นผู้สำเร็จการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน  ซึงเป็นบทบัญญัติที่ฉ้อฉลกลางแดด ทั้งนี้เนื่องจากการแต่งตั้งองค์รัชทายาทได้ทำเอาไว้หลายปีแล้ว ซึ่งประชาชนทั้งแผ่นดินต่างรู้เห็นทั่วประเทศ  โปรดทราบตรงนี้ด้วย !

ทีมเสรีชน:
ตอนที่ ๑๑ :  พลิกแพลงการลงประชามติ รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐
            รัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ ไม่ได้รับการยอมรับจากคนรากหญ้ามาตั้งแต่ต้น ทั้งคณะสงฆ์ก็ผิดหวังกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เนื่องจากคณะของ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไม่ยอมให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
            ชาวพุทธเสียใจจนไม่อาจบรรยายได้
            ไม่ใช่เข้าใจเหมือนกันว่า “เหตุไร ผู้ปกครองจึงไม่ยอมรับฟังเสียงของคนข้างมาก (ร้อยละ ๙๔.๘ เปอร์เซ็นต์) แต่กลับไป “อ่อนยวบ” ให้กับฝ่ายร้อยละ ๔ มันพิลึกพิลั่นตรงนี้มาก
จากความคิดที่ผิดเพี้ยนไปเช่นนี้ ทำให้ฐานอันแข็งแกร่งของประเทศ (ร้อยละ ๙๔.๘) มีอันอ่อนยวบประหนึ่งไม้ไผ่ถูกไฟป่าเผาผลาญ  จนกลายเป็นเหตุให้รัฐอ่อนแอ
          ดังนั้น จึงได้มีการขอประชามติจากประชาชน โดยมีการ “ร้องขอ” ว่าก่อนลงประชามติขอให้รับไปก่อน แล้วค่อยแก้ในภายหลังก็ได้ โดยขู่ว่าถ้าไม่ยอมรับ รธน. ปี ๒๕๕๐ แล้วละก็...ทางคณะยกร่างและ คมช. จำเป็นจะต้องไปเอารัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งมาประกาศใช้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการลงประชามติ สิ่งที่ขู่ออกมาเยี่ยงนี้ มีผลกระทบต่อการตัดสินใจของประชาชนอย่างยิ่ง
            ถึงกระนั้น ผลของการลงประชามติ   ปรากฏว่ายอมรับกับไม่ยอมรับ มีตัวเลขใกล้เคียงกันมาก จึงได้คัดตัวเลข ผลการออกเสียงตามรายงานผลอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2550ดังนี้
ผลการออกเสียง:
จำนวนผู้มาใช้สิทธิ  25,978,954 คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้      57.61%จำนวนผู้ไม่มาใช้สิท 19,114,001                               42.39%
ผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 45,092,955

การลงคะแนน:
บัตรที่นับเป็นคะแนน                                          25,474,747   คิดเป็น    98.06%
บัตรที่ไม่นับเป็นคะแนน (บัตรเสีย/การคืนบัตร/อื่น ๆ)         504,207                 1.94%
รวม 25,978,954


การเห็นชอบและไม่เห็นชอบ:

เห็นชอบ                                                         14,727,306    คิดเป็น     57.81%
ไม่เห็นชอบ                                                      10,747,441                 42.19%
รวม
25,474,747

เสียงที่เห็นชอบ ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคใต้และ กทม.            [ รวม 57.81%]
เสียงที่ไม่เห็นชอบ ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคเหนือ และอีสาน        [รวม 42.19 %]

           หลังจากได้ลงประชามติแล้ว ก็ได้กำหนดวันเลือกตั้ง โดยนายสมัคร สุนทรเวช ได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพรรค “พลังประชาชน” ขับเคี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีความเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะลอยลำเข้าสภาอย่างแน่นอน   แต่ที่ไหนได้ หลังจากการเลือกตั้งผ่านไป ปรากฏว่าพรรคพลังประชาชนชนะมาที่ ๑พรรคประชาธิปัตย์ตามมาห่างๆ
           

   ผลการเลือกตั้ง
ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550 มีดังนี้

พรรค                                       หัวหน้าพรรค                 แบ่งเขต          สัดส่วน                    รวม
พรรคพลังประชาชน                  นายสมัคร สุนทรเวช           199                 34                       233
พรรคประชาธิปัตย์                    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ        132                 33                      165
พรรคชาติไทย                         นายบรรหาร ศิลปอาชา         33                  4                         37
พรรคเพื่อแผ่นดิน                      นายสุวิทย์ คุณกิตติ               17                  7                        24
พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา            พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร       8                   1                          9
พรรคมัชฌิมาธิปไตย                    นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน       7                  0                          7
พรรคประชาราช                         นายเสนาะ เทียนทอง            4                 1                           5
รวม                                                                        400                 80                       480

เมื่อผลผิดไปจากรความคาดหมาย...มันทำให้ “หัวใจ” ของอำมาตย์แทบจะแตกปริ จึงได้เริ่มปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง พยายามสุดความสามารถที่จะ “สร้างปีศาจ” การเมืองให้ขึ้นมาครองอำนาจ โดยมิได้ใส่ใจต่อประเทศชาติว่าจะเกิดความวิบัติเพียงใด และมิได้คำนึงถึงความยุติธรรมใดๆทั้งสิ้น?!
 [/size][/b]

ทีมเสรีชน:
ตอนที่ ๑๒ : อวสาน ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

            รศ. ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง  เป็นเสมือนตัวแทนของนักวิชาการในประเทศไทย ซึ่งมีต้นทุนทางสังคมสูง แต่ทว่าหลังจากเขาได้เอาตัวเข้าไปรับใช้ “อำมาตย์” ด้วยการรับเป็นหัวหอก ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “ปีศาจ” ครองเมือง ได้ทำให้ “โฉมหน้า” ของนักวิชาการผู้น่ารัก ได้หลุดตกไปจากความนิยมชมชอบของประชาชนมิใช่น้อย โดยเฉพาะได้แก่หัวใจของผู้เขียนไม่มีความเลื่อมใสศรัทธาหลงเหลืออยู่เลย
            ผมมีคำถามว่าเหตุไร สติปัญญาของคนระดับ ดร. กลับไม่ระแคะระคายเลยว่าแนวทางเขียนรัฐธรรมนูญในหมวด ๒ [หมวดพระกษัตริย์] มิได้มีเจตนาบริสุทธ์ที่จะพิทักษ์รักษาราชบัลลังก์ หรือกล่าวกันให้ชุดได้แก่ “การไม่มีความจงรักภักดี” นั้นแล
            ผมถามต่อไปว่า “เหตุไร...ในเมื่อตัวเองก็มีสติปัญญา กลับเพิกเฉยต่อการเสนอแนะ และเพิกเฉยต่อความกล้า ด้วยการก้มหน้าก้มตาโปรยยาพิษลงบนเรือนร่างและหัวใจของประชารชน กล่าวคือแทนที่จะแก้ปัญหา “ความไม่อยากได้สมเด็จฟ้าชายให้เป็นพระมหากษัตริย์” ด้วยการกราบบังคมทูล ความจริงให้ทรงทราบกลับเอาปัญหาทั้งหมดไปโยนใส่ “พรรคไทยรักไทยและ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” หลังจากโยนใส่แล้วก็ยังแก้ไม่ได้ แทนที่จะหยุดอยู่เพียงแค่ปล่อยให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้บริหารประเทศชาติตามกติกา ถ้าทำได้อย่างนั้น ก็จะไม่มีเรื่องร้าวฉานในชาติเกิดขึ้น
            หรือว่าหากแม้นได้มีการเยียวยาข้อขัดแย้ง ไม่ปล่อยให้เกิดการฆ่าใหญ่กันขึ้น ก็จะเกิดความสงบอย่างแน่นอน หรือว่าแม้จะเกิดการฆ่าใหญ่ในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ขึ้น แล้วก็ตาม แต่ได้รีบเร่งลงมาเยียวยาให้ทันกับเหตุการณ์เช่นเดียวกับกรณี พลตรีจำลอง ศรีเมือง กับพลเอก สุจินดา คราประยูร   ก็จะเกิดความชุ่มฉ่ำไปทั่วหล้าอย่างแน่นอน !
            ทว่า...สิ่งเหล่านั้นไม่มีวี่แววเลย  มันเย็นชา มันปล่อยให้เกิดความร้าวฉานจนเป็นเหตุทำให้ประเทศไทยได้เปลี่ยนทัศนะคติ...เปลี่ยนหัวใจคนไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่าคนถูกฆ่าตาย คือคนชั่ว
            ทหารที่ฆ่าคนไทยด้วยกันได้ลงคอ   คือคนเก่ง?!
          สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติในเรื่องดังกล่าวนี้ มีรากเหง้ามาจากรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๓ ทั้งสิ้นโดยมีนักวิชาการใหญ่ (ดร. เจิมศักดิ์) ประกบอยู่ตลอดเวลา
            ถึงวันนี้ เมื่อจำเป็นต้องเลือกตั้งใหญ่ อันเป็นการต่อสู้ระหว่ารงพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย แทนที่จะเปิดโอกาสให้สองพรรคได้หาทางปรองดองกันด้วยการแข่งขันทางการเมืองด้วยความเป็นธรรม กลับพากัน  “เปรยออกมา” อย่างเปิดเผยว่าจะไม่ยอมให้พรรคเพื่อไทยให้ได้รับชัยชนะ แถมมีการ “ข่มขู่” เอาไว้ว่าถึงแม้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งก็จะไม่ได้เป็นรัฐบาล
            แล้วกล่าวหาการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ว่าจุดยืนของพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นการเลือกตั้งเพื่อคน-คนเดียว คือเลือกตั้งเพื่อช่วยให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับประเทศไทย ซึงเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ยอมยกเอานโยบายที่ดีมาพิจารณาแม้แต่เรื่องเดียว
            ถ้าเช่นนั้น ผมก็จะกล่าวหาบ้างว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะ ก็จะเป็นการเลือกตั้งเพื่อจะรักษา” นายกอำมหิต” ที่สั่งฆ่าคนในชาติเดียวกันได้ลงคอ ให้กลับมามีอำนาจอีก
            ถึงจุดนี้ จึงสงสัยในจิตสำนึกของ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไปไกลสุดกู่ ไม่เคยพูดจาให้เกิดการร่วมมือร่วมใจกันไปเลือกตั้ง ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง มิได้ตั้งอยู่กับประชาชนแต่อย่างใด หากแต่ยังคง “เกาะกุม” อยู่กับเจ้าของใบสั่ง เพื่อจะดันทุรังสร้างฐานอำนาจบนปลายยอดของสถาบันชาติ ให้ตกอยู่ในกลุ่มของพวกตนให้ได้
เขาได้โยนข้อกล่าวหาใส่คนในชาติเดียวกันว่าเป็นก่อการร้ายและกล่าวหาเลยไปถึงคนเสื้อแดงว่าเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งๆที่หลายระเทศในโลกเขาเลิกเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้ว
มันจึงเป็นอวสานด้านวิชาการของ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นำหน้านักวิชาการคนอื่นๆที่เดินตามหลังด้วยมาดของฝูงอำมาตย์ที่เห็นประชาชนในชาติเดียวกันเป็นไพร่
                                                 จบบริบูรณ์
  สอาด จันทร์ดี
                                            E-mail: saard.chandee@yahoo.com

                                                          ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น