เพลงฉ่อยชาววัง

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ไม่อยากวิจารณ์ธีรยุทธ แต่ขอเปรียบเทียบตัวเขากับเสกสรร


คืนวันที่ 13 ตุลาคม 2516 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ขณะที่เสกสรร ประเสริฐกุล และพรรคพวกจากหลายมหาวิทยาลัยอยู่กลางแดดมาแล้วหลายวัน ทั้งที่ธรรมศาสตร์และถนนราชดำเนิน เพื่อจัดการและควบคุมการเคลื่อนขบวนของนักศึกษาประชาชน ไม่ให้มีแขกไม่รับเชิญมาปั่นป่วน จนขบวนมาพักยาวที่ลานพระรูป ธีรยุทธถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกบางเขน เขา สมบัติ ธำรงค์ธัญวงษ์ กับกรรมการศูนย์อีกสองสามคน ประกาศผ่านไมโครโฟน ด่าเสกสรร และทีมงานว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเพิ่งหลุดคุกมาจากข้อหาเดียวกันที่ถนอมประภาส ยัดให้ ธีรยุทธและแม้แต่สมบัติไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการเคลื่อนไหวขบวนมวลชนนับแสนเดิน​มาจากธรรมศาสตร์เลย สมบัตินั้นชิ่งรอจำนวนคนอยู่นานกว่า ศนท.จะยอมเป็นเจ้าภาพการประท้วง แต่เมื่อธีรยุทธได้รับอิสรภาพ เขากลับพร้อมที่จะด่าทอเพื่อนมิตรและประชาชนที่ร่วมใจกันกดดันเพื่อตัวเขา จนถนอมประภาสยอมปล่อยออกมา

เมื่อออกจากป่า ธีรยุทธเปิดบริษัทโฆษณารับสร้างภาพพจน์ มีคนบอกว่ามีลงทุนหลายล้านบาทอยู่ ซึ่งคงไม่ใช่ธีรยุทธเองลงทุนไหวหรอก แต่เงินใครเราไม่รู้ (ตอนนั้นใครจดทะเบียนบริษัทใหม่ ๆ ด้วยทุนจดทะเบียนหนึ่งล้านบาทขึ้นไป และชำระเต็มนั้นถือว่าหรูและมั่นคงมาก) ไม่ปรากฏว่าบริษัทเติบโตไปถึงไหน ไม่มีใครรู้ว่า บริษัทนั้นทำงานอะไร มันหายวับไปอย่างรวดเร็ว ในยามที่เพื่อน ๆ วิ่งหางานทำกันแทบบ้า เพราะถ้าบอกว่าออกจากป่าแล้ว หางานไม่ง่ายนัก

ในขณะที่เสกสรรออกจากป่าพร้อมกับคำพูดที่ว่า เขาเป็น “สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์” เก็บตัวเงียบอยู่นานมาก และด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์ที่เคารพนับถือ เขาได้ทุนไปเรียนต่อจนจบปริญญาเอกจากคอร์แนล ขณะที่ธีรยุทธไปเรียนโทมาจากฮอลแลนด์ และไม่รู้ว่าได้ทุนอะไรไป

ธีรยุทธมาเป็นอาจารย์ที่คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา อยู่อย่างเงียบเหงามาก จนไม่มีใครเคยพูดถึงเลยอยู่หลายสิบปี ในขณะที่เสกสรรกลับมาสอนหนังสือ มีลูกศิษ์ลูกหามากมาย จนตำแหน่งสูงสุดทางการศึกษาของเขาคือ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์

แต่อยู่ ๆ ธีรยุทธก็โผล่มาวิจารณ์รัฐบาลทักษิณ และถูกสร้างให้คำพูดของเขาสำคัญเสียเหลือเกินจนน่าประหลาดใจ จากบรรดาสื่อมวลชนอำมาตย์ทั้งหลาย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยออกมาวิจารณ์สังคมเลยสักครั้งก่อนหน้านั้นในสมัยรัฐบาลเก่า ๆ จะเรียกว่าตัวเขาเองจมดิ่งอยู่ในกรุจนฝุ่นเกาะหนาเป็นนิ้วไปแล้วก็ว่าได้ อยู่ ๆ ก็ถูกเอาออกมาล้างปัดฝุ่นวิจารณ์รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยไม่มีใครรู้ว่าโผล่มาได้อย่างไร เหมือนตอนนี้ที่ไม่เคยออกมาวิจารณ์อภิสิทธิเลย แต่แร่ดออกมาทันทีที่มีรัฐบาลนายกปู

ส่วนเสกสรร เขามีบทบาททางวิชาการสูง บรรยายแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณชนมาโดยตลอด เขียนหนังสือหลายเล่ม แต่เขาวิจารณ์การเมืองน้อยมาก นี่อาจจะเป็นเพราะเขายังติดอยู่กับวลีที่ว่า เขาเป็น “สิ่งชำรุดทางการเมืองและประวัติศาสตร์” ก็ได้

เเสกสรรอาจจะไม่ได้มีบทบาทในการต่อสู้ยุคนี้ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเลย แต่เขาไม่เคยออกมาต่อต้านการเคลื่อนไหวของประชาชนเลย และไม่ได้ยอมเป็นสมุนรับใช้อำมาตย์ในการสร้างภาพให้กับคนพวกนั้น แล้วทุกคนก็เซอร์ไพรส์กับการร่วมลงนามเป็นหนึ่งใน ครก. 112 และไม่ใช่เฉพาะเขาเท่านั้น ลูกชายด้วย แต่ไม่ใช่ธีรยุทธ สมบัติ และอีกหลายคนใน 13 กบฏรัฐธรรมนูญแน่นอน คนพวกนี้กลายเป็น“สิ่งชำรุดทางการเมืองและประวัิติศาสตร์ของประเทศไทย” ที่แท้จริงไปแล้วทุกคน ไม่ใช่เสกสรร ที่เขาเคยประเมินตัวเองตอนออกจากป่ามาหรอก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น