ครม.อิ๊งค์ 1/2
สู่โซน ทุ่งสังหาร
กองเชียร์รัฐบาลโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง หลังได้เห็นท่าทีแข็งกร้าว สีหน้าท่าทางที่ดูดุดันของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในการแถลงใช้นโยบาย “การปราบอาชญากรรมข้ามชาติพุ่งเป้าไปที่กัมพูชา” ช่วยลดอุณหภูมิร้อนแรงของ “ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล” ไปได้หลายองศา
หลังต้องทนเห็นผู้นำกัมพูชาใช้ “ชาตินิยม” เป็นเครื่องมือทางการเมือง กำหนดให้ไทย “จากเพื่อนบ้านเป็นผู้รุกรานเขตแดน” นานเกือบครึ่งเดือน ก็ยังไม่เห็นเจตจำนงที่จะตอบโต้ หรือชี้แจงกลับ
วิเคราะห์กันว่าท่าทีที่แข็งกร้าวของนายกฯ ที่คนบ่นกันว่า “รู้สึกช้า” แทบไม่มีมาตรการการเมืองใดๆ มา “ตอบโต้” ผู้นำกัมพูชาเลย จะไม่เกิดขึ้นหรอก หากไม่มีกรณี “คลิปหลุด” เสียงสนทนาของ น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ผู้มีบารมีแห่งการเมืองกัมพูชา
ความ “แข็งกร้าว” ก็เพื่อแก้เกมทางการเมือง จากอาการเสียความชอบธรรมจากการเมืองภายในของไทยเอง
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ในภาพรวมของรัฐบาลดีขึ้นนัก เพราะจนถึงวันนี้ 2 ผู้นำกัมพูชายังคงใช้ความเชี่ยวกรากทางการเมือง ทำสงครามข้อมูลข่าวสาร แม้แต่วิจารณ์แทรกแซงการเมืองไทยโดยตรงอยู่หลายครั้ง
ขณะที่ของไทยเอง วันนี้คนมองนายกฯไทยป้อแป้ ปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้คุมเกม อยู่ในบทฮีโร่ฉายเดี่ยวนโยบายชายแดนเสียอย่างนั้น
อันที่จริง เรื่องประเทศเพื่อนบ้านว่าปวดหัวแล้ว ยังเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลกที่คุกรุ่นอยู่ในขณะนี้
สงครามวันนี้ใกล้ตัวคนไทยกว่าที่คิด เพราะวิกฤตพลังงานส่งผลกระทบต่อ “ความเปราะบาง” ทางเศรษฐกิจและสังคมไทยแบบทันที ยังไม่นับปัญหา “กำแพงภาษีทรัมป์” ซึ่งไทยเราโดนเต็มๆ จนถึงวันนี้ยังมองไม่เห็นแสงสว่าง
ส่วนปัญหาภายในประเทศวันนี้อยู่ในระดับ “สาหัส” ภาพเศรษฐกิจระดับมหภาคไร้ความหวัง
“ครม.อิ๊งค์ 1/2” ขาดทรัพยากรในการขับเคลื่อนประเทศ นโยบายเรือธงของรัฐบาลหลายเรื่องไม่สามารถทำได้ตามที่หาเสียง การลงทุนเบาบาง ไร้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ มาขับเคลื่อน ตลาดหุ้นบอบบาง ไม่สามารถเป็นความหวังให้กับนักลงทุนได้
ขณะภาพเศรษฐกิจจุลภาคยิ่งหนัก ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ประเทศ มาตรการแก้หนี้ของรัฐบาลแม้เจตนาดี แต่จนวันนี้แล้วพิสูจน์ว่าไม่เพียงพอ หนี้ครัวเรือนไม่มีทีท่าลดลง คนมีเงินไม่กล้าใช้ คนไม่มีเงินก็ไม่รู้จะไปหามาจากไหน
ไม่นับปัญหารายวัน ทั้งยาเสพติด การศึกษา สาธารณสุข ส่องไปทางไหนก็เจอแต่ความ “เปราะบางของสังคม”
รัฐบาลเพื่อไทยครองอำนาจกว่า 2 ปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถบรรเทาปัญหาไปได้ จนมีคนเปรียบว่า “ผิดจากยุคไทยรักไทย”
แต่ที่หนักสุดสำหรับ “ครม.อิ๊งค์ 1/2” คือ “ปัญหาการเมือง”
1. ปัญหา “พรรคร่วมรัฐบาล”
หลังภูมิใจไทยถอนตัว “ครม.อิ๊งค์ 1/2” มีสถานะเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แม้จะรู้กันว่ามี ส.ส.ฝ่ายค้านปันใจ พร้อมยกมือโหวตให้ ความอ่อนแอของรัฐบาลยังเกิดจากปัญหาภายในของพรรคร่วมรัฐบาลเอง ทั้งปัญหาภายในประชาธิปัตย์ และโดยเฉพาะ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่มีการแบ่งข้างเป็น 2 ก๊กใหญ่ ด้วยจำนวน ส.ส.ในมือใกล้เคียงกัน
ก๊กหนึ่งอยู่ในตำแหน่งมาก่อน แต่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองมาก หากถอนตัวรัฐบาลก็ล่ม อีกก๊กหนึ่งอำนาจต่อรองน้อยกว่า แต่ก็ช่วยงานค่ายสีแดงอย่างจริงจัง แต่ได้รับการตอบแทนด้อยกว่า เป็นอีกปัญหาที่รอวันปะทุ
ปัญหาของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำคือล้มง่าย อาจเจอกลเกมฝ่ายตรงข้ามให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้ง่าย
โดยรวมก็คือรัฐบาลส่อไร้เสถียรภาพ-อ่อนแอ นั่นเอง
2. ปัญหาจาก “ฝ่ายแค้น”
พรรคภูมิใจไทยและพลังประชารัฐ ต่างก็เคยร่วมรัฐบาลเพื่อไทยตามปฏิญญาช็อกมินต์ ก่อนจะออกจากการร่วมรัฐบาลกลางทางกลายมาเป็นฝ่ายแค้น
ขั้วสีน้ำเงินมีจำนวน ส.ส. นักการเมืองท้องถิ่นอยู่ในมือจำนวนมาก พลันที่พ้นจากรัฐบาลก็ยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันที ภายใต้การบัญชาการของ 2 น. เนวิน ชิดชอบ และ น.หนู อนุทิน ชาญวีรกูล ที่พกความแค้นมาเต็มอัตราจากการถูกชิงเก้าอี้ รมว.มหาดไทย
ต้องไม่ลืมอีกหนึ่งเครื่องมือของค่ายสีน้ำเงินคือ “สภาบน” ซึ่งวันนี้เปิดเกม เดินหน้าชน ครม.อิ๊งค์ 1/2 ด้วยการยื่นถอดถอนออกจากนายกฯ รวมถึงความสามารถในการสกัด ขัดขวางกฎหมายต่างๆของรัฐบาล ที่จะเข้มข้นระบายความแค้นหนักมากจากนี้
อีกหนึ่งฝ่ายแค้นคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ออกมาขี่คลื่นกระแสรักชาติถล่ม ครม.อิ๊งค์ 1/2 ล่าสุด ก็สั่ง ส.ส.ในสังกัด ร่วมลงชื่อเปิดอภิปรายรัฐบาลแบบสุดลิ่มทิ่มประตู
แน่นอนว่า “ฝ่ายแค้น” ไม่ได้มีศักยภาพแค่การเล่นงานเพื่อไทยผ่านการเมืองในระบบ แต่ที่ชำนาญจริงคือช่องทางนอกระบบที่ทำงานอย่างสอดประสานกันต่างหาก
3. ปัญหาจาก “ฝ่ายค้าน”
ครม.อิ๊งค์ 1/2 ยังต้องเจอกับการทำงานของขั้วสีส้ม ศัตรูทางการเมืองอันดับ 1 ของฝ่ายอนุรักษนิยม กับบทบาทฝ่ายค้าน ที่แม้จะถูกนิติสงครามเล่นงานจนต้องถูกยุบพรรคแต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อความนิยมทางการเมืองของค่ายสีส้ม
นี่คือเหตุผลที่ทั้งๆ ที่มีการกดดันให้ น.ส.แพทองธารลาออกรับผิดชอบมากมาย แต่นายจักรภพ เพ็ญแข หนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของ รบ.เพื่อไทย คนสนิทนายทักษิณ ชินวัตร ก็ออกมายอมรับตรงประเด็นเลยว่า ยุบไม่ได้
ถ้ายุบและเลือกตั้งใหม่ก็แพ้สีส้มขาดลอย การเดินหน้าอยู่ต่อ อย่างน้อยยังมี “โอกาสทำงาน” กู้คะแนนคืน
4. ปัญหาจาก “ม็อบฝ่ายขวา”
วันนี้การชุมนุมของฝ่ายอนุรักษนิยมเกิดขึ้นจริง มีการระดมทรัพยากรในการชุมนุมเกิดขึ้นแล้ว
แน่นอนว่าการชุมนุมเพียงครั้งเดียวยังวัดอะไรไม่ได้มาก คนชั้นกลางส่วนใหญ่ยังไม่ได้เข้าร่วม
แต่ประเด็นคือฝ่ายขวาไทยใช้โอกาสที่รัฐบาลผิดพลาดมาเป็นเงื่อนไขในการขยับ “รุกคืบในทางการเมือง” ต่อตระกูลชินวัตร
แน่นอนว่าหากรัฐบาลแก้เกมไม่ทัน พลังของม็อบฝ่ายขวาจะยิ่งขยายใหญ่ขึ้น
ซึ่งหากย้อนดูประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ความน่ากังวลของการเคลื่อนไหวเช่นนี้ก็คือ ความเสี่ยงในการเรียกร้องหาระบบที่ “ประชาธิปไตย” ลดน้อยลง
5. ปัญหาจาก “นิติสงคราม”
รอบนี้ ครม.อิ๊งค์ 1/2 เดินหน้าสู่สมรภูมินิติสงครามแบบเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะกับกรณีคลิปเสียง กลายเป็นคำร้องทั้งทางตรงและทางอ้อมหวังล้มให้ลงจากเก้าอี้นายกฯ
ด่านแรกเริ่มจาก ส.ว.ยื่นเอาผิดจริยธรรมผ่านช่องทางองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. พร้อมๆ กับประธานวุฒิสภาใช้ช่องทางยื่นศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้พ้นจากหน้าที่ และขอให้สั่งยุติปฏิบัติหน้าที่กรณีรับคำร้อง ยังไม่นับสารพัดนักร้องที่ต่อคิวยื่นเอาผิดนายกฯ
ขณะที่ตัวนายทักษิณในฐานะผู้นำจิตวิญญาณเพื่อไทยก็กำลังถูกรุกคืบอย่างหนักจากกรณีชั้น 14
ผลจากนิติสงครามนี้เองที่เป็นเรื่องน่าห่วงสำหรับเพื่อไทย เพราะหากย้อนอดีตรัฐบาลไทยรักไทย พลังประชาชน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทั่งนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ถูกนิติสงครามประหารชีวิตทางการเมืองทั้งสิ้น
ชัดเจนว่าวันนี้ค่ายสีแดงเลือกเดินหน้าต่อ ด้วยมั่นใจว่ายังหวังใช้งบประมาณทำผลงานกอบกู้คะแนนนิยมคืนมาบ้าง แต่ก็มีคำถามตามมาว่า คะแนนนิยมจะกลับคืนมาทันไหม เมื่อเทียบกับความชอบธรรมที่เสียไป ไม่นับสารพัดปัญหาที่รออยู่
ตรงกันข้าม ด้วยเงื่อนไขการเมืองวันนี้ อดคิดไม่ได้ว่ามีโอกาสจะ “ดิ่งลงยิ่งกว่าเดิม”
ครม.อิ๊ง 1/2 จะมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพตามมา ความอ่อนแอของฝ่ายการเมือง จะยิ่งทำให้ฝ่ายข้าราชการเกียร์ว่าง ฝ่ายอำนาจนิยมเข้มแข็ง
วิกฤตยิ่งลุกลาม เมื่อถึงวันนั้น การเลือกยุบสภาก็เสี่ยงว่าอาจจะสายเกินไปเช่นกัน
จากนี้ของ ครม.อิ๊งค์ 1/2 จึงไม่ง่าย จะทำอะไรก็กลัวไปหมด จะถอยหลังก็ไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วยศัตรูเคยทำร้าย จะเดินหน้าต่อก็เป็นการเดินฝ่าดงระเบิด ไม่รู้จะไปได้ไกลแค่ไหน
ไม่ใช่แค่กับดักระเบิดที่รอเล่นงานรัฐบาล วันนี้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลได้ยกระดับ เปิดหน้าออกมายืนถือระเบิดมือให้เห็นชัดๆ พร้อมเขวี้ยงใส่รัฐบาลได้ตลอดเวลา
ครม.อิ๊งค์ 1/2 วันนี้จึงเปรียบเสมือนกำลังอยู่ใน “ทุ่งสังหาร” ในทางการเมืองหากมองให้กว้าง ที่น่าห่วงมากกว่ารัฐบาลก็คือ “ระบบการเมืองประชาธิปไตย”
บทเรียนที่ผ่านมาเห็นชัดว่า ฝ่ายอำนาจนิยมไม่เพียงสร้างเครื่องมือเพื่อกำจัดรัฐบาลเพื่อไทย แต่เป้าหมายจริงๆ ของการสร้างสภาวะ “ทุ่งสังหารทางการเมือง” คือ “สังหารประชาธิปไตยทั้งระบบ” นั่นเอง
CR:
https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_848760
ประชาชนกำลังจับตามองว่าปรับคณะรัฐมนตรีแล้วบ้านเมืองจะดีขึ้นหรือทรุดหนักลงกว่าเดิม
ตอบลบพรรคเพื่อไทยควรจะตระหนักได้แล้วว่า การปรับคณะรัฐมนตรีควรถือปัญหาประเทศชาติเป็นตัวตั้งไม่ใช่ถือเอา การแต่งตั้งคนในบ้านหรือพวกข้ารับใช้ ซึ่งมีแต่จะทำลายพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรเสียเอง
ถ้าปรับวิธีคิด สรรหาคนดีมีฝีมือ เข้ามาบริหารบ้านเมือง ให้ครองใจประชาชนได้ สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป