เพลงฉ่อยชาววัง

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2566

พระราชาผู้บ้าคลั่งการทหาร

  • ความโหดร้ายทารุณกรรมในหน่วยมหาดเล็กรักษาพระองค์ 

  • เลือกเข้าไม่ได้ 

  • เลือกออกไม่ได้  

  • หนีคือตายสถานเดียว  

---------------------------------

ณ ดินแดนอันไกลโพ้นแห่งนั้นอีกแล้ว 

พระราชาของดินแดนนี้มีความคลั่งไคล้ในการทหารมาตั้งแต่สมัยที่ทรงดำรงพระยศเป็นเจ้าชายรัชทายาท ทรงมีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายทารุณ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์พระราชบิดาของพระองค์หรือพระราชาตาบอดก็ได้วาดหวังจะส่งให้พระราชโอรสไปศึกษาเล่าเรียนต่อ ณ โรงเรียนนายทหารที่ดีที่สุด ดังที่สุด เก่าแก่ที่สุดของสหราชอาณาจักร นั่นก็คือโรงเรียนทหารแซนด์เฮิร์สต์ พระราชาตาบอดจึงได้ให้พระราชโอรสเดินทางไปเตรียมความพร้อมเข้าเรียนที่เมืองผู้ดีตั้งแต่ยังละอ่อน 

หากแต่ว่าเจ้าชายมีปัญญาที่ค่อนข้างทึบ ไม่มุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียน เอาแต่ใจตน ต้องมีคนคอยรับใช้ จนครูที่โรงเรียนประจำที่อังกฤษไม่สามารถที่จะเขียนจดหมายรับรองเข้าสมัครแซนเฮิร์สต์ได้ สร้างความปวดหัวให้กับพระราชาตาบอดเป็นอย่างมาก  ครั้นจะส่งเจ้าชายไปศึกษาในสถาบันการทหารชื่อดังในทวีปยุโรป ก็เป็นไปไมได้เพราะเจ้าชายไม่เอาถ่านด้านการศึกษา ประทับอยู่อังกฤษหลายปีก็ยังพูดภาษาอังกฤษได้เพียงกระท่อนกระแท่น หากจะให้ไปเรียนรู้ภาษายุโรปอื่น ๆ นั้นคงจะหวังอะไรมิได้ 

---------------------------------

ณ ยุคนั้น สำหรับบรรดานายพล ทหารยศใหญ่ กษัตริย์เมืองต่าง ๆ เป็นที่รู้กันว่ายังมีโรงเรียนการทหารอีกแห่งหนึ่งเป็นแหล่งรวบรวมลูกท่านหลานเธอในระบบที่เรียกว่า จ่ายครบ จบแน่ โรงเรียนแห่งนี้เป็นสถาบันทางการทหารที่คุณภาพก็นับว่าพอใช้ได้เพราะมีงบประมาณเหลือล้นจากการเก็บค่าแปะเจี๊ย นั่นก็คือโรงเรียนทหารดันทรูน ณ ประเทศออสเตรเลีย พระราชาตาบอดจึงไม่ลังเลที่จะให้รัฐบาลวางหมายกำหนดการจัดเดินสายให้พระองค์เสด็จเยือนประเทศออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ โดยมีจุดหมายหลักเพื่อติดต่อดันทรูน ให้รับเจ้าชายผู้โง่เขลาเข้าเรียนให้ได้

เมื่อเจ้าชายอยู่ที่ดันทรูน เจ้าชายกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านการบุลลี่กลั่นแกล้งเพื่อนร่วมชั้น จนทุกคนขยาดและรังเกียจเป็นอย่างมาก ในอีกหลายทศวรรษต่อมา เมื่อเจ้าชายขึ้นครองราชย์ เราจึงเห็นนายทหารเหล่านี้ผลัดกันออกมาแฉวีรกรรมต่าง ๆ ผ่านรายการโทรทัศน์ของออสเตรเลียอยู่เนือง ๆ 

เจ้าชายเป็นคนคลั่งกฎระเบียบ แต่พระองค์จะยอมรับระเบียบเหล่านั้นก็ต่อเมื่อเวลาที่พระองค์เป็นผู้บังคับบัญชาที่คอยบังคับใช้กฎระเบียบกับผู้น้อย พระองค์หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีและชาติกำเนิด ทรงทำตามอำเภอพระทัย ไม่ก้มพระเศียรให้ใคร จึงไม่น่าแปลกใจที่พระองค์จะแหกกฎแทบทุกข้อของดันทรูน ส่งผลให้ดันทรูนไม่สามารถอนุญาตให้พระองค์ศึกษาต่อจนจบหลักสูตรขั้นสูงสุดของโรงเรียนได้ 

พระองค์เรียนจบจากดันทรูนด้วยยศทางการทหารเพียงแค่ชั้นประทวน เป็นนายสิบ และขณะเรียนจบ พระองค์ก็มีพระชันษามากกว่าเพื่อนร่วมชั้นปีถึงราว 3 พรรษา เป็นที่อับอายแก่พระราชาตาบอดเป็นอย่างยิ่ง

---------------------------------

เมื่อข่าวแพร่สะพัด ไม่มีโรงเรียนทหารใดในโลกที่จะยอมรับพฤติกรรมอันเสื่อมทรามของพระองค์ เจ้าชายจึงจำต้องเสด็จนิวัติพระนคร เหล่าเสนาบดีองคมนตรีทั้งหลายจึงประชุมกันครั้งใหญ่ด้วยความหวังที่จะแก้เกมเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของพระองค์ คณะเสนาบดีจึงวางแผนจัดสร้างหลักสูตรต่าง ๆ ออกมาให้เจ้าชายกลายเป็นผู้บังคับบัญชาและผู้ฝึกสอนในทันที ถวายยศถาบรรดาศักดิ์ทางการทหารให้เจ้าชายกลายเป็นผู้บังคับบัญชาขั้นสูงสุดในทุกหลักสูตรที่ทรงเข้าร่วม
 

เพลานั้นเอง เจ้าชายก็ได้ลิ้มรสอำนาจที่พระองค์ไม่เคยได้พบขณะที่อยู่อังกฤษและออสเตรเลีย พระองค์เสพติดการใช้กำลังบังคับข่มเหงผู้น้อย และการทรมานผู้อื่นในรูปแบบต่าง ๆ พระองค์หลงใหลกับแสงสีและความวิลิศมาหราที่กองทหารสามารถสร้างสรรค์ให้พระองค์ได้ราวใช้ไม้กายสิทธิ์เสก พระองค์หมกมุ่นกับความหฤหรรษ์กับการปรนเปรอจากกองพันสตรีเปลือยกายที่ห้อมล้อมพระองค์อยู่แทบทุกขณะจิต 

แต่ใครจะรู้เล่าว่าการเสพติดรสชาติอันหอมหวานของอำนาจนี้ จะยกระดับไปสู่ความป่าเถื่อนโหดร้ายที่พระองค์ปฏิบัติต่อกองพันมหาดเล็กทั้งหลายในอีกหลายทศวรรษถัดมา  หมายเหตุ เพิ่มเติมจากผู้อ่าน ย้อนไปราว 60 ปีที่แล้ว สมัย ผกค.บุกยึดประเทศต่างๆเพื่อล้มล้างการปกครอง ทำให้บรรดาเศรษฐี และขุนนางชั้นสูงต้องเดือดร้อน บ้างก็หนีไปอยู่ประเทศอื่น(เขมร) บ้างก็ถูกจับเข้าค่ายกักกัน(ลาว) บ้างก็เอาใจทหารชายแดนจนมีข่าวแทบทุกวัน เพื่อให้กำลังใจต่อสู้ ปกป้องสถานภาพของตนเอง คำว่าทหารของพระราชาก็เกิดขึ้นในช่วงนั้น... ความใกล้ชิดต่อกองทัพ อำนาจต่างๆ จึงมุ่งเข้าหาสถาบัน จนพัฒนามาถึงขั้นมีกองทัพเป็นของตนเอง

---------------------------------

การปฏิรูปการทหารครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้นหลังจากพระราชาตาบอดได้ล้มป่วยหนัก พระราชินีและเจ้าชายได้เข้ามากุมบังเหียนการทหารของประเทศ ทรงร่วมมือกันก่อการปฏิวัติยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน โดยส่งผู้นำทหารคนสนิทที่สุดของพระราชินีเป็นนอมินีขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศ แต่ถัดจากนั้นเพียงไม่ถึงขวบปีพระราชินีก็เริ่มป่วยออดๆ แอดๆ ด้วยปัญหาสุขภาพและโรคอัลไซเมอร์ ทำให้อำนาจทั้งหมดตกมาอยู่กับเจ้าชายผู้เหี้ยมโหดเพียงผู้เดียว ใช้พระราชอำนาจผ่านทางนายพลทหารเสือราชินีผู้เป็นนายกรัฐมนตรีนั่นเอง

ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีในช่วงเปลี่ยนผ่านรัชสมัย ระบบการทหารของประเทศได้พลิกจากหลังมือเป็นหลังตีน จากเดิมที่ทหารมีอำนาจแทรกแซงการปกครองพลเรือนมากมายก่ายกองอย่างอีแอบที่ไม่คิดจะแอบ เคยชินกับกระทำการต่าง ๆ โดยประเจิดประเจ้อจนไม่เป็นที่ยอมรับจากนานาอารยประเทศอยู่แล้ว บัดนี้กลายเป็นหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศอย่างเป็นทางการและเปิดเผยโดยมิยี่หระต่อคำครหานินทาใด ๆ 

หากใครเคยเป็นเสี้ยนหนามขวางหูขวางตาของเจ้าชาย ก็จะถูกพระองค์กำจัดทิ้งอย่างไม่เกรงใจใคร แม้ข้าทาสบริวารเหล่านั้นจะเป็นข้าเก่าต่าเลี้ยงของพระราชาตาบอด มีอำนาจล้นฟ้าในรัชสมัยก่อน หรือแม้แต่จะเป็นพระญาติราชนิกูล ก็โดนถอดยศปลดศักดิ์ริบเครื่องราชอิสสิรยาภรณ์อย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น สำนักข่าวทั่วประเทศทยอยปล่อยรูปหลุดเพื่อแสดงให้เห็นบุคคลเหล่านี้ถูกจับโกนหัวเกรียนนำไปฝึกภาคสนามแม้ในวัยโรยราหกสิบกว่าปี สร้างความหวาดผวาให้กับทุกคนที่รู้ตัวว่าเป็นหอกข้างแคร่ของพระองค์ ให้รีบเกษียณอายุหรือลี้ภัยหนีออกนอกราชอาณาจักรกันไปตาม ๆ กัน  

เจ้าชายที่บัดนี้เป็นพระราชา ได้สร้างอาณาจักรอันเป็นวงจรแห่งอำนาจขึ้นมาใหม่โดยมีพระองค์เป็นศูนย์กลาง ห้อมล้อมด้วยกลุ่มมาเฟียสุดป่าเถื่อนโหดร้ายที่คอยแบ่งเค้กผลประโยชน์กันอย่างสำราญและแฝงตัวเป็นปรสิตอยู่แทบทุกวงการ มีเม็ดเงินหมุนเวียนรวมกันเป็นหมื่นล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นสลากกินแบ่ง จิตอาสา วัดและมูลนิธิต่าง ๆ โครงการก่อสร้างและงบประมาณเฉลิมพระเกียรติ การค้าอาวุธยุทโธปรณ์ เงินใต้โต๊ะจากสถานเริงรมย์ เหล้ายาสุราบุหรี่สิ่งเสพติด  ฯลฯ   

แผ่นดินกลายเป็นทุรยศ การบริหาราชการทหารถึงขั้นวิปริต พระราชผู้เหี้ยมโหดภาคภูมิใจมากที่พระองค์ได้คิดค้นระบอบการปกครองทหารแบบใหม่ รวมถึงบรรดาท่าทางพิสดารและคำตลก ๆ ที่ประชาชนไม่เคยได้เห็นก็ได้เห็น เช่น ท่าวันทยาหัตถ์แบบยก-อก-อุ๊ย  ท่าตะเบ๊ะย่อ การเหยียดนิ้วตรงตลอด 24 ชั่วโมง กองพันหญิงที่ต้องแก้ผ้าใส่บิกินี่ออกกำลังกาย 

---------------------------------

กิจการและโครงสร้างภายในของกองทัพ ก็ถูกปฏิรูปให้ขึ้นตรงกับพระมหากษัตริย์จนกระทรวงกลาโหมกับสำนักพระราชวังแทบจะเป็นหน่วยงานเดียวกันและใช้งบประมาณร่วมกัน รัฐบาลนายกรัฐมนตรีหรืออดีตนายทหารเสือราชินีผู้นั้นก็ดำรงวาระอยู่ได้โดยไม่มีที่สิ้นสุดและคอยอุดหนุนอนุมัติการเพิ่มงบประมาณสองหน่วยงานนี้

การขยายตัวครั้งใหญ่ของกองทัพเกิดขึ้นโดยประชาชนทั่วไปแทบไม่รู้เห็น ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปราวกับคลื่นสึนามิใต้น้ำที่รอเวลากระหน่ำพัดเข้าฝั่งเพื่อกวาดล้างประชาชนพลเรือนผู้ลุกขึ้นต่อต้านทหารและเผด็จการ แน่นอนว่าหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางของกองทัพในปัจจุบันมิใช่ใครอื่นนอกเหนือไปจาก กองพันทหารมหาดเล็ก ร.อ. รักษาพระองค์นั่นเอง 

ทั่วทั้งราชอาณาจักร กองทหารที่เคยเป็นกองทหารเชี่ยวชาญหรือหน่วยทหารจู่โจมพิเศษ หน่วยที่มีขีดความสามารถและคลังยุทโธปกรณ์พร้อมที่สุดของประเทศ ถูกโอนให้ขึ้นตรงกับหน่วย ร.อ. แทบทั้งหมด

เมื่อครอบครองทรัพยากรและบุคลากรแล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือการขยายกองกำลังไพร่พลให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรดังกองทัพนโปเลียนหรือนาซี หากแต่การซ่องสุมกำลังนี้มิใช่เพื่อเตรียมรบกับข้าศึกต่างด้าว แต่เพื่อรบกับประชาชนในประเทศ หน่วย ร.อ.จัดให้มีการบังคับเกณฑ์พลทหารเข้าหน่วย ร.อ. อย่างพิลึกพิลั่น สร้างความหวาดผวาให้กับนักเรียนนายสิบและนายร้อยแทบทั้งประเทศ


เดิมทีนั้นนักเรียนนายสิบและนายร้อยที่มุ่งมั่นเข้ากองทัพ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนจบเพื่อที่จะเลือกสังกัดให้กลับไปอยู่ในท้องถิ่นตามภูมิลำเนาของตัวเองเพื่ออยู่กับครอบครัว แต่ปัจจุบันพวกเขาไม่มีโอกาสในการเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตัวเองอีกต่อไป นับตั้งแต่การเข้ามาพัวพันของ ร.อ. ในโรงเรียนนายสิบและนายร้อย

ทุกปี นักศึกษาทหารจะถูกคัดตรงจากโรงเรียนทหารเพื่อเข้าไปประจำหน่วยต่าง ๆ ของ ร.อ. โดยตรง หากถูกคัดเลือกแล้วเขาจะไม่มีสิทธิปฏิเสธ หลังจากนั้นเขาก็จะได้รับปลอกคอสีแดง หรือที่เรียกว่า “คอแดง” เพื่อสวมใส่ให้ตระหนักว่าเขามีหน้าที่ทำตัวให้เชื่องราวกับสุนัขทรงเลี้ยง วัน ๆ


  • ฝึกเดินสวนสนามโง่ ๆ 

  • ฝึกยืนทำความเคารพ 

  • กลายเป็นหน่วยไอโอคอยตอบโต้ในโลกโซเชียล 

  • รับใช้คำสั่งต่าง ๆ จากพระราชวัง   

พวก “คอแดง” เหล่านี้จะมีอาร์ม (ตราที่ติดตรงแขน) สีต่าง ๆ แล้วแต่หน่วยงานภายใน ร.อ. ตามที่ตนสังกัด แม้จะต้องใช้ชีวิตทุกวันราวกับฝันร้ายอยุ่แล้ว แต่คงมิมีสิ่งใดสามารถเทียบเคียงกันได้กับความสยดสยองที่สุดที่ “คอแดง” เหล่านี้ต้องเผชิญทุก 6 เดือน เมื่อหน่วยทหารติดอาร์มสีแดงถูกส่งตรงมาจากกองบังคับบัญชาการ ร.อ. เพื่อมาคัดเลือกพวกเขา “เข้าวัง”



  • คุณไม่มีสิทธิสมัคร

  • คุณไม่มีสิทธิปฏิเสธ

  • คุณไม่มีสิทธิหนี 

ในวันคัดเลือก บรรดา “คอแดง” ติดอาร์มสีต่าง ๆ หลายพันนายจะต้องมาตั้งแถวต้อนรับการมาเยือนของบรรดา “อาร์มแดง” ที่พร่ำตะโกนบอกพวกเขาให้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและทำตัวให้พร้อมที่จะเป็นกลุ่มคนที่โชคดีที่สุดในประเทศที่จะได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท เมื่ออาร์มแดงถามว่า ท่านพร้อมหรือไม่ที่จะสนองพระเดชพระคุณ นายทหารคอแดงเรือนหมื่นก็จำต้องตะโกนพร้อมกันว่า “อยากไปครับ อยากไปครับ อยากไปครับ” 

หลังจากนั้นนายทหารอาร์มแดงจะสั่งให้คนที่มีปัญหาส่วนตัวอื่นที่ไม่สามารถถูกคัดเลือกให้แยกออกมาตั้งแถวใหม่ คอแดงหลายพันนายจะแยกตัวออกมาพร้อมใบรับรองแพทย์ถึงปัญหาสุขภาพจริงบ้างเท็จบ้าง ที่หลายคนเสียเงินเสียทองซื้อมาเพื่อช่วยไม่ให้ตนเองได้ถูกรับเลือก 

สำหรับคอแดงที่เหลือ นี่คือฝันร้ายของพวกเขา หากเขาหน้าตาผิวพรรณดูได้ รูปร่างสมส่วน ส่วนสูงผ่านเกณฑ์ 170 เซ็นติเมตร เขาจะถูกส่งเข้าวังในทันที เขาจะได้รับมอบหมายให้ติดเครื่องหมาย ทม.รอ. ที่มีพื้นสีดำ (“อาร์มดำ”) เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าจากนี้ไปพวกเขาคือสุนัขทรงเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ความปลอดภัยในการงานและชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับความเชื่องและความแสนรู้ที่จะปฏิบัติตัวไม่ให้ระคายตีนของเบื้องสูง

---------------------------------

อาร์มดำจะถูกส่งไปประจำตามเขตพระราชฐานต่าง ๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร (แคว้นปกครองพิเศษ ณ เยอรมนี) ที่มีอยู่เป็นร้อยเป็นพันแห่ง และกำลังขยายอาณาเขตขึ้นเรื่อย ๆ 

ตามตัวอักษรของกฎระเบียบพวกเขาจะต้องเข้าเวร 2 วันพัก 2 วัน แต่ในความเป็นจริงเขาจะเข้าเวร 3.5 วันและพัก 0.5 วัน พวกเขาไม่สามารถหยุดพักระหว่างการเข้าเวรได้เลย การละเมิดกฎระเบียบใด ๆ ของอาร์มดำ ถือเป็นกระทำผิดต่อราชสวัสดิ์และจะนำไปสู่ความโหดร้ายป่าเถื่อนที่คนภายนอกหากไม่ได้เห็นเองก็คงยากที่จะเชื่อว่าเป็นบทลงโทษที่พระราชาผู้โหดร้ายนั้นคิดค้นขึ้นมาด้วยพระอัจฉริยภาพของพระองค์เอง  

ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นต่อพวกอาร์มดำเป็นเรื่องลี้ลับที่ถูกห้ามพูดถึง แต่ก็มีข่าวลือหลุดออกมาอยู่เนือง ๆ ไม่ว่าจะเป็น


  • การถูกขังคุกมืดเพียงเพราะแอร์ไม่เย็นในขณะรับเสด็จพระราชาผู้เหี้ยมโหด 

  • การถูกจับโบยแล้วเอาไปแช่คลองน้ำเน่าเพียงเพราะเป็นลมแดดต่อหน้าขบวนเสด็จ 

  • หรือถูกรุมทำร้ายเพราะไปสบตากับทหารหญิงหน่วยพิเศษ  SAS ที่ว่ากันว่าเป็นแก๊งเจ้าจอม 


อาร์มดำ คือสุนัขทรงเลี้ยงที่ไม่สามารถลาออกจากตำแหน่งได้ หากคุณหนีหรือไม่กลับมาประจำ หน่วย ร.อ. จะส่งคนไปตามจับบิดามารดาของคุณเข้ามาขังคุกแทนจนกว่าคุณจะกลับมา กฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนเข้าไม่ถึงที่นี่ บ่อยครั้งจะมีข่าวเรื่องหน่วยอาร์มดำเลือกที่จะหนีปัญหาด้วยการแขวนคอตายคารั้ววัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นการกระทำอัตวินิบาตกรรมตามที่ข่าวรายงาน หรือเป็นการถูกสังหารอย่างเย็นชาจากการบุลลี่อย่างเป็นระบบในกองพันแห่งนี้ หัวเกรียนที่ถูกเกณฑ์ไปใส่เสื้อเหลืองผ้าพันคอฟ้าเพื่อต้อนรับเสด็จหรือทำจิตอาสา ตะโกนแหกปากทรงพระเจริญตามที่ต่าง ๆ บางทีเขาก็ไม่ได้เป็นสลิ่ม แต่เขาไม่มีทางเลือกเช่นกัน  

นี่คือเบื้องลึกเบื้องหลังตำนานความโหดร้ายของพระราชาผู้โหดเหี้ยมผู้นี้ 

---------------------------------

อย่าลืมนะคะว่านี่เป็นเพียงนิยายปรัมปราของดินแดนอันไกลโพ้น ประเทศไทยโชคดีแค่ไหนที่มีในหลวงทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาทุกพระองค์ 

ศฌป( สมเด็จพระนางเจ้าศศิเฌอปรางวัชรสุภางควดี พระบรมราชินีนาถ)

https://www.facebook.com/groups/634791290746287/posts/1375395733352502/ ขอบคุณค่ะ🙏🙏 เขียนดีใช้ภาษาเหมาะสมกับเรื่องเรียบเรียงเรื่องราวดีน่าสนใจมากค่ะขอบคุณนะคะ 💕🌹👏👏


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น