- ก่อตั้ง 6 เมษายน 2489 ตรงกับวันจักรี มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
ปราโมช เป็นแกนนำก่อตั้ง มีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค
โดยจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูซากเดนศักดินาให้กลับมาเรืองอำนาจอีกหน
ภายหลังคณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
- หลังกรณี ร.8 สวรรคตเมื่อ 9 มิถุนายน 2489
สมาชิกพรรคบางรายไปตะโกนในโรงหนังว่า ”ปรีดีฆ่าในหลวงร.8”
จากนั้นเปิดอภิปรายยำใหญ่รัฐบาลหลวงธำรงฯ 7วัน
7คืน แต่โค่นรัฐบาลไม่ลง
- เกิดรัฐประหาร 8 พ.ย. 2490 คณะรัฐประหารได้ให้ประชาธิปัตย์
ซึ่งเป็นแนวร่วมพันธมิตรช่วยให้เกิดการรัฐประหารหนนั้น ตั้งรัฐบาลร่างทรง
นายควงขึ้นเป็นนายกฯ และไม่กี่เดือนก็โดนจี้ออกกลางทำเนียบ
เพราะหัวหน้าคณะรัฐประหารจะขึ้นเป็นซะเอง
นายควงกับชาวพรรคประชาธิปัตย์ก็ยอมให้แต่โดยดี
- เป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้งในยุคจอมพลป.เป็นรัฐบาล
หม่อมคึกฤทธิ์เลยต้องไปออกหนังสือพิมพ์สยามรัฐด่าเช้าด่าเย็น เหน็บว่าจอมพล.ป เป็น
"โจโฉนายกฯ ตลอดกาล" แต่ก็ไม่ระคายผิวจอมพล
- พรรคประชาธิปัตย์เว้นวรรคทางการเมืองในยุคจอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหาร
พ.ศ.2500
ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกองหน้าทวงคืนประชาธิปไตยแต่อย่างไร
และเว้นวรรคยาวมาจนถึงราวปี 2511 ร่วมๆ 10 ปี ดังนั้นหากใครจะนับอายุพรรคนี้ว่ายืนยาว60กว่าปี
กรุณานำจำนวน 10 ปีนี้ไปลบออกด้วย
เพื่อให้ถูกต้องตรงความเป็นจริง
- พรรคประชาธิปัตย์มาโผล่อีกทีตอนจอมพลถนอมเปิดให้เลือกตั้งในปี
พ.ศ.2511 ครั้นพอจอมพลถนอมยึดอำนาจตัวเอง
พรรคประชาธิปัตย์ก็เว้นวรรคทางการเมืองไป มีสมาชิกพรรคไม่กี่คนเคลื่อนไหวคัดค้านในนามส่วนตัว
เช่น นายอุทัย พิมพ์ใจชน แต่พรรคนั้นไม่รับรู้อะไรด้วย
- เป็นรัฐบาลในปี 2518 โดยหม่อมเสนีย์ ปราโมช
เป็นอยู่ไม่กี่วันก็โดนหม่อมน้องที่ออกไปตั้งพรรคกิจสังคมใช้นโยบายประชานิยมเขี่ยตกเก้าอี้
- กลับมาเป็นรัฐบาลอีกทีในกลางปี
2519 ก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ
แทนที่จะระงับเหตุร้าย แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ก็กลับหลอกแกนนำนักศึกษานำโดยสุธรรม
แสงปทุม ไปพบที่บ้านหม่อมพี่ แต่ไปไม่ถึงให้ตำรวจลากเข้าคุกซะก่อน
ส่วนที่ธรรมศาสตร์ก็มีการปราบปรามนักศึกษาอย่างโหดเหี้ยม ส่วนนายกฯ
หม่อมพี่เป็นแค่ฤาษีเลี้ยงลิงไปพลางๆ และโดนยึดอำนาจในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้นเอง
แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ตัวนายกฯ
เสนีย์ถูกทหารกุมตัวเอาไว้ในค่ายทหารระยะหนึ่ง
พอเหตุการณ์ควบคุมได้ก็ถูกปล่อยตัวออกจากค่ายทหารไปเงียบๆ
ขณะที่มีการฆ่าฟันปราบปรามนักศึกษาอย่างรุนแรง
- ช่วงปี 2523 เกิดบรรยากาศสะตอสามัคคีขึ้น เมื่อประชาธิปัตย์กลายเป็น ”พรรคของเรา คนของเรา” ของชาวปักษ์ใต้
เมื่อสนับสนุนค้ำจุนบัลลังก์พลเอกเปรม ขวัญใจคนปักษ์ใต้ในเวลานั้นอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่รัฐบาลเปรม 1 ยันเปรม 5
แม้ว่าบางคราวเช่นปี 2529 พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งท่วมท้น
นายพิชัย รัตตกุล หัวหน้าพรรคเวลานั้นก็ไม่อาจกล้าหาญเป็นนายกฯ
แต่ยอมศิโรราบให้พลเอกเปรม แต่ก็ได้แลกกับการอุ้มลูกชาย คือ ดร.โจขึ้นเป็นรัฐมนตรี
จนเกิดบรรยากาศแตกแยกในพรรคของกลุ่ม 10 มกราฯ
นำโดยไข่มุกดำวีระ มุสิกพงษ์และคณะ
- ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2535 หลังพฤษภาทมิฬ ประชาธิปัตย์อาศัยวลี ”จำลองพาคนไปตาย”
และชูว่าชวน หลีกภัย เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา เข้ามาเป็นรัฐบาล
ซ้ำยังนำรูปของนายปรีดี พนมยงค์กับรูปนายป๋วย อึ๊งภากรณ์
ซึ่งเคยได้รับผลกระทบจากการกระทำของชาวพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาโฆษณาหลอกลวงคนไทยด้วยว่า
พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับแนวทางสันติวิธีของทั้ง 2
ท่านนี้ (ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจนว่า 2
ท่านนี้ต้องไปตายในต่างแดนทั้งคู่ก็เพราะผลพวงจากการกระทำของประชาธิปัตย์ทั้งนั้น)
แต่ไม่นานก็ถูกตีตกเวทีด้วยเรื่อง สปก. ของเลขาธิการพรรคเทพเทือก
- ในการเลือกตั้งคราวต่อมา
พรรคชาติไทยชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล
แต่ชาวพรรคประชาธิปัตย์ก็นำเอกสารปลอมมากล่าวหาเรื่องสัญชาตินายบรรหารและบิดา
เล่นกันถึงโคตรเหง้า ไม่ได้เกี่ยวกับผลงานหรือนโยบายใดๆ
จนนายบรรหารลาออกและยุบสภาฯ
- ในการเลือกตั้งปี 2538 พรรคความหวังใหม่ของพลเอกชวลิตมาแรง
พรรคประชาธิปัตย์สร้างกระแสเกลียดชังและไม่น่าไว้วางใจพลเอกชวลิตหลายเรื่อง
ตบท้ายด้วยสโลแกน ”ไม่เลือกเรา เขามาแน่” แต่ในที่สุดเขาก็มาจริงๆ โดยนายชวนใช้วาทะเชือดเฉือนว่า ”ฝ่าม่านสีม่วงของบิ๊กจิ๋ว” เข้ามาเป็นรัฐบาลไม่ไหว
- หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 พลเอกชวลิตลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปลายปี
พรรคประชาธิปัตย์สร้างตำนาน ”งูเห่า” ขึ้นมา
ด้วยการฉกลูกพรรคประชากรไทยของนายสมัคร สุนทรเวช
มาหลายคนเพื่อให้เสียงสนับสนุนพอเพียงในการตั้งรัฐบาล
ตัดหน้าพลเอกชาติชายไปแบบคนอึ้งทั่วประเทศ นายชวนคัมแบ็คเป็นนายกฯอีกครั้ง
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงทุกด้าน
มือดีทางเศรษฐกิจที่หามาประดับพรรคอย่างธารินทร์กับศุภชัยก็กินเกาเหลากันไป
คนรุ่นใหม่อย่างนายอภิสิทธิ์ได้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักฯ
ชนิดที่เป็นรัฐมนตรีที่โลกลืม
- เมื่อสบจังหวะนายชวนประเมินว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความได้เปรียบทางการเมืองก็ประกาศยุบสภาในปี
2543 เตรียมการการเลือกตั้ง
และมีวาระซ่อนเร้นให้นายกล้าณรงค์ จันทิก อดีตลูกพรรคประชาธิปัตย์ ในนาม
ปปช.ไปเล่นงานทักษิณ ชินวัตรที่ทำท่าจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง แต่ก็สกัดทักษิณไม่อยู่
- ทักษิณเป็นนายกฯ
สมัยแรกในปี 2544
และเป็นกระแสต่ำอย่างแท้จริงของพรรคประชาธิปัตย์ จนคนในพรรคส่วนหนึ่งนำโดยสนั่น
ป่าลั่น ต้องออกไปตั้งพรรคมหาชนขึ้นใหม่มาสู้ เพราะชื่อประชาธิปัตย์ขายไม่ออก
และต้องแพ้การเลือกตั้งในต้นปี 2548 ให้ทักษิณอย่างย่อยยับ
- ประชาธิปัตย์ยุคอภิสิทธิ์สืบตำนานเป็นพันธมิตรแนบแน่นกับทหารเหมือนครั้งยุคหม่อมน้อง + นายควง สมัยแรกเริ่มตั้งพรรคอีกครั้ง ด้วยการขัดขวางการเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549 ทุกวิถีทาง และเป็นผลบั้นปลายให้เกิดรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 จากนั้นก็แสดงความเป็นพันธมิตรออกมาอย่างชัดเจน
.- ดร.สมศักดิ์
เจียมธีรสกุล นักวิชาการภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อดีตผู้นำนักศึกษายุค 6 ตุลาฯ
เขียนบทความชิ้นหนึ่งในสถานการณ์ล่าสุดที่ประชาธิปัตย์กำลังมีพฤติการณ์
"งูเห่าภาค 2" ว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์
จะเป็นความอัปยศและความไม่ยุติธรรมครั้งใหญ่ของประเทศไทยดังนี้....
ผมเสนอว่าต้องพยายามช่วยกันรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลว่า
ที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ ได้ร่วมมือ สนับสนุน ให้ท้ายพันธมิตรอย่างไรบ้าง
ไม่เพียงแต่กรณีที่ สมเกียรติ เป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรคเท่านั้น
แต่การเข้าร่วมด้วยในรูปแบบอื่นๆ การให้ท้ายในรูปแบบอื่นๆ ประเภท
พันธมิตรเป็นฝ่ายชงเรื่อง และประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่ายรับลูกมาเล่นต่อในสภา
โดยเฉพาะเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เรื่องปลุกกระแสคลั่งชาติ ดังตัวอย่างเช่น
พันธมิตร ชง เรื่อง หมิ่นฯ ......ปชป.
เสนอให้เพิ่มโทษ ขยาย ม.112 และแก้
พรบ.คอมพิวเตอร์
พันธมิตร ชง เรื่อง เขาพระวิหาร
......ปชป. เอามาอภิปรายต่อในสภา
ดังนั้น การละเมิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง
และทำความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศนับหมื่นล้านบาทของพันธมิตร
จึงเป็นความรับผิดชอบของประชาธิปัตย์ด้วย การที่ประชาธิปัตย์จะได้จัดตั้งรัฐบาล
จึงเป็นการให้รางวัลคนที่ทำผิดกฎหมาย ทำความเสียหายแก่ส่วนรวม
ให้รางวัลกับการแบล็กเมล์นั่นเอง
เรื่องราวทั้งหมดที่ผมถลกหนังพรรคนี้ก็เพื่อจะบอกว่า....
1. อย่าใหลหลงไปกับวาทะกรรมที่ว่า....พรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นในระบบรัฐสภา
หรือยึดหลักประชาธิปไตย
- เพราะพรรคนี้นับแต่ตั้งต้น
ระหว่างกลาง และบั้นท้ายสุดนั้น
หาได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกเขาอวดโอ้โฆษณาแม้แต่นิด
2. อย่าใหลหลงไปกับวาทะกรรมที่ว่า....พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมือง
ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ
- เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าพรรคนี้ตั้งขึ้นด้วยอุดมการณ์เฉพาะกิจเพื่อทำลายล้างคณะราษฎร์
สนับสนุนค้ำจุนซากเดนศักดินา และเป็นเบี้ยให้ขุนศึกเผด็จการมาทุกยุค
3. อย่าใหลหลงไปกับวาทะกรรมที่ว่า....พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของประชาชาติไทยทั้งมวล
- เพราะเขาประกาศตัวชัดเจนมานานนับหลายสิบปีแล้วว่า
”พรรคของเรา(ชาวใต้) คนของเรา(คนปักษ์ใต้)” และไม่ว่าคนใต้คนนั้นจะดีเลวอย่างไร พรรคนี้ก็พร้อมจะอุดหนุน
และขอแรงอุดหนุนจากพวกสะตอสามัคคีด้วยกันทั้งในแวดวงสื่อ แวงวงวิชาการ แวดวงขุนศึก
(ทั้งนี้ผมหมายถึงเฉพาะพวกสะตอสามัคคี
ส่วนคนปักษ์ใต้ที่คิดถึงหลักการประชาชาติไทยมาก่อน ภูมิภาคมาทีหลังนั้น ผมต้องกราบขออภัย
ผมไม่ได้ว่าแบบเหมารวม)
.4. อย่าใหลหลงไปกับวาทะกรรมที่ว่า....พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายพรรคเทพ
นอกนั้นเป็นฝ่ายมาร
- เพราะตลอดเวลาของพรรคการเมืองนี้ไม่เคยเล่นงานปฏิปักษ์หรือคู่แข่งขันทางการเมืองแบบใสสะอาด
หรือแข่งขันที่นโยบาย แต่ไปเอาประเด็นอ่อนไหวที่ยังไม่ชัดแจ้งไปกล่าวร้าย เช่น
กรณี ”ปรีดีฆ่าในหลวง”, กรณี ”เอกสารปลอมสัญชาตินายบรรหาร” ,กรณี ”ฝ่าด่านสีม่วงบิ๊กจิ๋ว” หรือล่าสุดกรณี”ทักษิณโกงชาติ” เป็นต้น
....แต่พอประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลนั้นถูกเล่นงาน มักมีหลักฐานที่ชัดแจ้ง อย่างกรณี
สนั่นป่าลั่น,กรณี สปก.,กรณี ปรส.
เป็นต้น
..... หรือแม้แต่ในยุคของอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ก็จะมีเรื่องของ GT200, โครงการต้นกล้าอาชีพ,
ทุจริตนมโรงเรียน, โกงเรื่องปลากระป๋องเน่า
ข้าวสารเน่า, รถเมล์ 4,000 คัน,
ทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง ฯลฯ (โอย.... เยอะแยะมากมาย)
5. อย่าใหลหลงไปกับวาทะกรรมที่ว่า....ประชาธิปัตย์เป็นเสาเอกของระบบรัฐสภา
- เพราะประชาธิปัตย์จะเก่งก็แต่กับรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
และเข้าตำรา "ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ" ทุกกรณี
.........แต่กับเวลาเผด็จการทหารมา
ประชาธิปัตย์จะหายตัวไร้ร่องรอย หรือไม่ก็สวมรอยร่วมมือกับเผด็จการมาโดยตลอด
ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของพรรคนี้
เมื่อปี 40 ก็ครั้งหนึ่งที่ประชาธิปัตย์อ้างว่า ไปกู้เงิน IMF มาเป็นหลายหมื่นล้านบาท
หากเป็นเช่นนั้นจริง.... ไหนล่ะ
หลักฐานกู้เงิน ????
แถมพอทักษิณโผล่มาเป็นนายกรัฐมนตรี
ก็ออกมาบอกว่า ปลดหนี้ IMF เรียบร้อยแล้ว
ประชาธิปัตย์ คงกล่าวได้ว่า....
"....พวกผมกราบขอโทษพี่น้องชาวไทยทุกคน
ที่ต้องมาเป็นหนี้จากการที่ประเทศไทยต้องไปกู้เงินจากนอกประเทศ
ด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้ว
พวกผมไม่ได้ต้องการสร้างหนี้ให้กับประชาชนคนไทย แต่พวกผมจำเป็นที่ต้องใช้เงิน
และพวกผมก็คิดกระทำการอย่างไรไม่เป็น
นอกจากการกู้เงิน เพราะอย่างน้อย พวกผมก็ได้กินเหนาะๆแล้ว 5%
อย่างไรก็ตาม
พวกผมกราบขอบพระคุณพี่น้องชาวไทยทุกคนที่ช่วยชดใช้หนี้ เยี่ยงทาส
จากการก่อหนี้ของพวกผม
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกผมจะได้กลับมารับใช้พี่น้องประชาชนชาวไทยอีกนานเท่านาน...."
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น