เพลงฉ่อยชาววัง

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567

7 สิงหา 2567 ความพยายามยุบพรรคการเมืองที่ไร้สาระและไร้จุดมุ่งหมายที่สุด


 และจะจบลงที่ตัดสินใจไม่ยุบพรรคก้าวไกล 

(1)หลังรัฐประหาร  19 กันยา 2549 ในรอบ 18 ปีที่ผ่านมามีพรรคการเมืองที่มีศักยภาพ

ถูกยุบมาแล้ว  6 พรรคประกอบด้วย

2550 พรรคไทยรักไทย

2551 พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย 

2562 พรรคไทยรักษาชาติ

2563 พรรคอนาคตใหม่

ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลในทางกฎหมายเช่นไร  แต่การยุบพรรคทั้ง 6 พรรคนั้นมีเหตุผลในทางการเมืองเป็นตัวชี้นำทั้งสิ้น 

พรรคไทยรักไทยในปี 2550  นั้นไม่มีอะไรมากว่ามันเป็นแผนบันได 4 ขั้นของคณะรัฐประหารที่ หัวหน้าคณะรัฐประหารได้เฉลยเอง

ตามมาด้วการยุบพรรคพลังประชาชนในปี  2551 คือความสืบเนื่องเพื่อปูทางให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ 

 และที่ตลกคือในปี  2551 มีพรรคโดนลูกหลงมาด้วย 2 พรรคคือ พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย ในปี  2551  เพื่อสร้างความชอบธรรมให้การยุบพรรคพลังประชาชนนั่นเอง 

(บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ผู้ล่วงลับได้เก็บความเจ็บแค้นชนชั้นนำที่หักหลังเขาไว้จนวันตาย)

และที่สำคัญกว่านั้นเพื่อให้มีการยุบพรรคพลังประชาชนได้ในวันที่  2 ธันวาคม  2551 ต้องมีการปิดสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม 2551 เพื่อสร้าง “วิกฤติที่สุดในโลก”  ซึ่งเป็นวิกฤติเทียมขึ้นมาอีกด้วย 

ผ่านไป  16 ปีความจริงในการยึดสนามบิน เพื่อสร้าง “วิกฤติที่สุดในโลก”  ในวันนั้นจึงเปิดเผยคือไม่มีความผิดในทางอาญาของผู้ยึดสนามบินเลย

ส่วนปี 2562  ยุบพรรคไทยรักษาชาติ  นั่นคือการหักหลังทักษิณ ทั้ง ๆ ที่ดีลร่วมกันมาตั้งแต่ต้น เพราะคิดเหิมเกริมจะกินรวบทั้งกระดาน

การยุบพรรคอนาคตใหม่ในปี 2563 นั้นไม่มีอะไรมากกว่าการประเมินความผิดว่ากระแสอนาคตใหม่เป็นเพียงกระแสชั่วคราว และจะหายไปเมื่อมีการยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมือง  

แต่กลายเป็นว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่วันที่  21 กุมภาพันธ์ 2563 คือการเปิดประตูสู่การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด 

(2)ความพยายามที่จะยุบพรรคก้าวไกลมาทันที่ที่ชนะเลือกตั้ง  14 พฤษภาคม 2566  พร้อม ๆ กับการทำสัญญาปีศาจของชนชั้นนำกับศัตรูเก่าในนามทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย  เพื่อหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่เราเห็นพรรคก้าวไกล “เสีย”  มาตลอดหลังชัยชนะในการเลือกตั้ง  14 พฤษภาคม 2566 คือ

1. MOU ทั้ง  2 ฉบับถูกฉีก

2.ไม่ได้ตำแหน่งประธานรัฐสภา (ที่จะกำหนดเกมในการเลือกนายกรัฐมนตรี)

3.พิธา  ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรคก้าวไกล ไม่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

4.พรรคก้าวไกลไม่ได้ร่วมรัฐบาล

และที่ตลกร้ายที่สุดคือ เพื่อให้พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาล แต่กลับทำให้ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย  ที่เป็นศัตรูมาร่วม  2 ทศวรรษ กลับ “ได้” ทุกอย่างที่เคยปรารถนา

1.ทักษิณ  ชินวัตร ได้กลับบ้าน แบบไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว

2.ทักษิณ ได้กลับมาเป็น “ผู้ช่วยหาเสียง” ให้กับพรรคเพื่อไทยได้แล้ว

3.พรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แม้ว่าจะแพ้การเลือกตั้ง และทักษิณคือผู้กำกับรัฐบาลอีกที

 สิ่งที่ทุกคนทราบกันดีคือ การที่จะยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิ กรรมการบริหารพรรค  ซึ่งคนสำคัญคือพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 10 ปี นั้นไม่มีอะไรมากว่าการที่จะหยุดยั้งพรรคก้าวไกล โดยจะให้พรรคเพื่อไทยซึ่งจะมีศักยภาพที่สุดเป็นตัวแทน 

ตรรกะง่าย ๆ ของชนชั้นนำคือ  เมื่อเห็นว่าศัตรูตัวใหม่ (ก้าวไกล) ร้ายแรงกว่า คุกคามกว่า
ชนชั้นนำก็ไปจับมือกับศัตรูเก่า  (เพื่อไทย /ทักษิณ) เสียเลยดีกว่า 🤣 🤣

แต่สุดท้ายแล้วการตัดสินใจแบบนั้นก็ไม่ได้อะไรเลย

เมื่อศัตรูเก่า  (เพื่อไทย /ทักษิณ)  ได้ทุกอย่างแล้ว  ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีปัญหากับเพื่อไทย /ทักษิณ จะเห็นดีเห็นงามด้วย

กลับกันมวลชนที่เคยเป็นพันธมิตรกับชนชั้นนำ ก็จะกลับมาตั้งคำถามจนกลายเป็นศัตรูไปเลย เช่นเดียวกับมวลชนของเพื่อไทย /ทักษิณ 

เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วย้ายข้างแล้วพวกเขาเหล่านั้นจะไปไหน 


เราจึงไม่สามารถสรุปได้ว่ามวลชนผู้ผิดหวังทั้ง  2 กลุ่ม ทั้งหมดจะไปไหน  

แต่ส่วนหนึ่งจะมาก้าวไกลแน่ ๆ  (ไม่ว่าจะชื่อพรรคอะไรก็ตาม) 

สิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้ามีคำตัดสินยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค  10 ปีก็คือ

1.พรรคก้าวไกล ที่ชนะลือกตั้งในปี 2566 จะหายไปจากสารบบการเมืองไทย

2.กรรมการบริหารพรรค จะถูกตัดสิทธิ์  10 ปี หรืออาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่านั้น ประอบด้วยคนที่เป็น สส. ที่เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร 6 คนประกอบด้วย 

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล

ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล

ปดิพัทธ์ สันติภาดา กรรมการบริหาร สัดส่วนภาคเหนือ

เบญจา แสงจันทร์ กรรมการบริหารสัดส่วนภาคตะวันออก

อภิชาต ศิริสุนทร กรรมการบริหารสัดส่วนภาคเหนือ

สุเทพ อู่อ้น กรรมการบริหาร สัดส่วนปีกแรงงาน

จาก สส. 151  คนจากการเลือกตั้ง  2566   ถูกขับออกไป 3 คน   ถูกตัดสิทธิ  5  คน (ไม่นับซ้ำปดิพัทธ์ สันติภาดา)   
พรรคก้าวไกลจะมี สส. 143 คน ยังมากกว่าพรรคเพื่อไทยที่มี  สส. 141 คนเสียอีก

3. ถ้ามีงูเห่า ก็ไม่น่าจะเกิน 5 คนเพราะเสียงรัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้ปริ่มน้ำเหมือนรัฐบาลพลังประชารัฐปี  2563 อีกแล้ว และเนื่องจาก งูเห่าปี  2563 ทั้งหมดสอบตก 

4. ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรของปดิพัทธ์ สันติภาดา จะหลุดไป จะมีการเลือกตั้งซ่อม พิษณุโลก เขต 1

5. ต่อเนื่องกัน พรรคภูมิใจไทยก็จองเก้าอี้ตัวนี้ไว้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นการตรวจรับอาคารรัฐสภาที่ก่อสร้างโดยบริษัทชิโน ไทยก็จะดำเนินเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีก้างขวางคอแล้ว


แต่สิ่งที่จะดำรงอยู่แบบไม่เปลี่ยนแปลงคือ

1. จะมีสส.138-143  ย้ายไปพรรคใหม่

2. สาขาพรรคที่เคยมีอยู่จะเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนโลโกพรรคใหม่ 

3. การเลือกตั้งซ่อมพิษณุโลก เขต 1  ปดิพัทธ์ สันติภาดา น่าจะเป็นเวทีแรกที่รวบรวมแกนนำทั้งพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล และพรรคใหม่ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

4. กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล (ถ้าถูกตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง) ก็เหมือนกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ก็จะมีบทบาทเช่นเดียวกัน  เวทีแรกที่คนเหล่านี้จะมีบทบาทเป็นผู้ช่วยหาเสียงคือ นายก อบจ.


เราไม่รู้หรือกว่าเมื่อยุบพรรคก้าวไกลแล้ว พรรคใหม่จะเติบโตเหมือนยุบพรรคอนาคตใหม่แล้วเป็นก้าวไกลหรือไม่   

แต่ที่แน่ ๆ การยุบพรรคก้าวไกลคนที่จะได้ประโยชน์มีคนกลุ่มเดียวคือ เพื่อไทย /ทักษิณ ในฐานะคู่แข่งทางการเมือง 

(เหมือนกับที่ยุบพรรคเพือไทย และพลังประชาชน  คนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง)

เมื่อถึงจุดนี้แล้ว  ชนชั้นนำก็น่าจะคิดได้ว่าการยุบพรรคก้าวไกล จะไม่เกิดผลดีอะไร กับชนชั้นนำเลย  นอกจากจะทำให้ศัตรูเก่าของตัวเองได้ประโยชน์

และเมื่อคิดได้แบบนั้น  การยุบพรรคก็จะไม่เกิดขึ้น



CR: Thanapol Eawsakul 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น