เพลงฉ่อยชาววัง

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2563

#อุ้มฆ่า เล่าโดย อจ.ปวิน

 #อุ้มฆ่า ตอนที่ 1


อยากเขียนเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ลี้ภัยต่างประเทศของเราค่ะ แต่คิดว่าเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวก่อน คือเรื่องของตัวเอง แม้จะยังไม่ใช่ประเด็นอุ้มฆ่า แต่ก็มีการใช้วิธีข่มขู่ให้กลัว เพื่อเป็นอุทธาหรณ์ให้กับผู้ลี้ภัยที่ยังมีชีวิตคนอื่นๆ

เริ่มจากวันที่ 28 มิถุนายน ที่แล้ว วันนั้น ตอนสายๆ ดิชั้นทำงานอยู่บ้าน ดิชั้นได้รับอีเมล์จากทางมหาลัยแจ้งว่า มีผู้ชายญี่ปุ่นคนหนึ่งโทรศัพท์ไปหาดิชั้น แจ้งชื่อของเค้าด้วย บอกว่า เค้าได้เคยพบกับดิชั้นที่เกียวโตเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว และอยากขอคุยกับดิชั้น โดยทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ บอกตรงๆ ว่างง เพราะ 1) ดิชั้นแทบไม่เคยได้รับการติดต่อจากคนญี่ปุ่นเลย และ 2) ดิชั้นไม่เคยไปเจอคนญี่ปุ่นที่ไหนเมื่อ 6 เดือนก่อนหน้านั้น หกเดือนก่อนหน้านั้น ดิชั้นยังอยู่ที่เมืองไลเด้น ของเนเธอร์แลนด์ เพราะรับทุนวิจัยของที่นั่นอยู่ จึงแปลกใจ ดิชั้นเลยตัดสินใจโทรไปหาคนนี้ จากมือถือของดิชั้น ตอนสายๆ ของวันนั้น

นั่นคือความผิดพลาดมากทีโทรไปหาคนๆ นั้น เมื่อโทรไปแล้ว สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง นี่คืองง เพราะถ้าเจอกันเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เค้าต้องพูดอังกฤษได้ แต่นี่คือพูดไม่ได้เลย แล้วภาษาญี่ปุ่นดิชั้นก็ไม่แข็งแรง เลยต้องวางหูไป และขอให้เจ้าหน้าที่มหาลัยโทรไปหาเค้าอีกทีเพื่อถามว่า เค้าต้องการอะไร จนได้เรื่องว่า เค้าจะโทรหาดิชั้นอีกทีตอน 2 ทุ่ม และจะให้เพื่อนเค้าที่พูดอังกฤษได้เป็นล่ามให้ พอตอน 2 ทุ่ม เค้าก็โทรมาจริง แล้วมีคนพูดภาษาอังกฤษ แต่เชื่อไหมคะ ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดีว่าเค้าต้องการอะไร เค้าพูดว่าเค้าทำร้านหนังสือ ไอ้เราก็คิดว่า เค้าคงอยากคุยเรื่องงานวิชาการของเรา แต่ก็คุยต่อไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเค้าต้องการอะไรจริงๆ ก็เลยวางหูไป (ความพลาดครั้งนี้คือ เมื่อเราโทรไปหาเค้า เค้าได้เบอร์มือถือเรา และการที่โทรคุยกับเราสองครั้ง และพยายามลากบทสนทนาออกไปยาวๆ คือการต้องการเช็คจุด GPS ของเรานั่นเอง)

หลังจากนั้น คนๆ นั้นก็หายไป ผ่านมาอีก 2 วัน ระหว่างที่สอนหนังสืออยู่นั้น มีโทรศัพท์อีกเบอร์เข้ามาอีก ไม่ได้รับ เพราะสอนหนังสือ แต่เมื่อจบคลาส ก็โทรกลับไป คนๆ นั้นไม่รับ แต่จำได้ว่า ดิชั้นเก็บเบอร์โทรศัพท์นั้นไว้ แล้วดิชั้นก็ลืมไป เหตุเกิดวันอังคาร ทีนี้ พอวันเสาร์ เบอร์นี้โทรกลับมาอีกตอนค่ำๆ โทรมาพูดญี่ปุ่นอย่างเดียว พูดเร็ว ดิชั้นไม่เข้าใจ และพยายามพูดกลับเป็นอังกฤษ สื่อสารไม่รู้เรื่อง ดิชั้นวางสาย แต่เค้ายังโทรกลับมาติดๆ กันอีก 2-3 ครั้ง จนดิชั้นโกรธ ต้องด่าใส่โทรศัพท์ไปว่าอย่าโทรมาอีก

ขณะเดียวกัน ดิชั้นได้รับการติดต่อจากมหาลัยอีกครั้ง บอกว่าคราวนี้ มีฝรั่งโทรมาหาดิชั้นที่ที่ทำงาน และทิ้งข้อความไว้ เค้าบอกว่าเค้าชื่อ ดร.เฮนรี่ กาซิเม่ จากเยอรมัน คราวนี้ดิชั้นสงสัยมากขึ้น เพราะดิชั้นไม่เคยรู้จักคนนี้ โดยเฉพาะโทรมาจากเยอรมัน ดิชั้นลองกูเกิ้ลดู ก็หาชื่อคนนี้ไม่เจอ สมัยนี้ คนที่เป็นด๊อกเตอร์ต้องสามารถหาค้นได้ในอินเตอร์เน็ตค่ะ แต่เริ่มรู้สึกตะงิดใจมากขึ้น จนกระทั่ง เช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ 7 ตอนประมาณดี 3 มีคนโทรศัพท์มา แต่ดิชั้นไมรับเพราะหลับอยู่ ครั้งนี้ไม่โชว์หมายเลย เมื่อมาพิจารณาย้อนหลังถึงรู้ว่า นี่คือการโทรครั้งสุดท้ายเพื่อเช็คว่า ตอนตี 3 ดิชั้นเข้านอนหรือยัง เพราะการทำร้ายดิชั้นมันเกิดขึ้นวันถัดมา คือเช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ 8 กค ตอนเวลา ตี 4:45 น.

ใครเคยอยู่ญี่ปุ่นก็จะรู้ว่า เนื่องจากประเทศนี้แม่งแทบไม่มีอาชญากรรมเลย เป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดในโลกก็ว่าได้ ไอ้เรื่องที่พัก อพารต์เม้นท์ เรื่องความปลอดภัย มันจึงต่างจากเมืองฝรั่งอย่างมาก อย่างดิชั้นอยู่ลอนดอน ประตูต้องมีกลอนหลายชั้น หรือตอนไปอยู่ที่ซานฟราน ก็ต้องระมัดระวังมาก แต่ของญี่ปุ่น มันเป็นประตูเลื่อนกระจกธรรมดา (ที่จะออกไประเบียง) และมีแค่กลอนที่ด้ามปัดขึ้นลงเป็นตัวล็อคเท่านั้น ห้องดิชั้นอยู่หัวมุม จึงมีระเบียงเป็นรูปตัวแอล และรูปห้องเป็นสี่เหลี่ยมทรงกระบอก ความโชคร้ายคือ ห้องทำงานอยู่ติดกับบันไดหนีไฟข้างนอก ซึ่งจากทางหนีไฟ มันสามารถกระโดดเข้ามาระเบียงได้อย่างสบายๆ

 

แล้วมันก็ทำอย่างนั้นจริง ก็คือการกระโดดจากบันไดตึกเข้ามาระเบียงดิชั้น ใช้ฆ้อนเหล็กอันจิ๋ว ทุบมุมกระจนมุมเล็กๆ แบบไม่ได้ยินเสียงเลย เลยเชื่อว่า คนร้ายแม่งเป็นตีนผีมืออาชีพ พอมันทุบเป็นมุมเล็กพอเอามือลอดได้ มันก็เอามือลอดมาปลดล็อก คือดันด้ามกลอนปัดขี้น ประตูก็เปิด มันเดินเข้ามาห้องทำงาน ซึ่งมีของมีค่าหลายอย่าง แต่มันไม่แตะต้องเลย แล้วมันเดินไปตรงประตูทางออก เพื่อปลดล็อคประตู สำหรับเป็นทางหนีออก เพราะมันจะไม่หนีออกทางที่เข้า จากนั้น มันเดินผ่านห้องครัว แล้วตรงมาห้องนอนดิชั้น ที่เป็นห้องตาตามิ ที่เป็นประตูไม้เลื่อนที่ไม่มีกลอนล็อค

เหตุการณ์ที่เกิดต่อจากนี้คือเกิดในช่วงเวลา 5-10 วินาทีเท่านั้น เมื่อมันเปิดประตูเข้ามา มันดึงผ้าห่มลง ทันใดนั้น แฟนดิชั้นที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นขึ้นทันที มันใช้สเปรย์ฉีดตรงมาที่เรา 2 คน ดิชั้นสะดุ้งตื่น เพราะรู้สึกว่าแฟนกระโดดออกจากเตียง และพบว่า ตัวเองรู้สึกแสบร้อนร่างกายท่อนบนทันที ตอนสะดุ้งตอนนั้น ดิชั้นยังเห็นคนร้าย รูปร่างสูง ใส่ชุดดำทั้งชุด หน้ากากแบบไอ้โม่ง ถุงมือดำ กำลังจะวิ่งออกจากห้อง แฟนดิชั้นวิ่งตามไปติดๆ ดิชั้นกระเด้งออกจากเตียงวิ่งตามไป แต่เพราะติดนิสัยฝรั่งมานาน ที่เวลานอนเราจะไม่ได้ใส่อะไรเลย กลายมาเป็นจุดอ่อน เพราะเมื่อคนร้ายผลักประตูใหญ่กำลังจะวิ่งพ้นออกไป มันหันมาฉีดสเปรย์แฟนดิชั้นเป็นครั้งสุดท้ายในร่างกายที่เปลือยเปล่า ถึงกลับทรุด และมันก็วิ่งออกไปได้ในความมืด อ้อ คนร้ายทำฆ้อนหล่นไว้ในที่เกิดเหตุด้วย

พรุ่งนี้มาเล่าต่อค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นค่ะ

...ปล: หมูหยองนอนในเตียงด้วย หลับปุ๋ย โชคดีไม่โดนสารพิษ มันอายุ 14 ตอนนั้น หูบอดไปแล้วค่ะ

-------------------------------------------------

#อุ้มฆ่า ตอนที่ 2

2

ในระหว่างที่ชุลมุนอยู่นั้น วิ่งไล่จับกันในบ้าน ดิชั้นกับแฟนส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือตอนตี 4:45 จนคนทั้งอพาร์ตเม้นท์ตื่นกันหมด ความดีของคนญี่ปุ่นคือ เค้าไม่มาเสือก จุ้นจ้านเป็นไทยมุง ไม่มีใครเสนอหน้าทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เค้าทำก็คือ โทรเรียกตำรวจทันที เพราะฉะนั้น ตำรวจมาเร็วมาก ระหว่างรอตำรวจ เราสองคนรีบชำระร่างกายด้วยน้ำสะอาด เพราะเราไม่รู้ว่ามันเป็นสารเคมีแบบไหน แต่จำได้ว่า ดิชั้นควบคุมสติได้ดีพอควร หลังจากล้างตัว ความแสบยังติดอยู่ที่ผิวหนัง (และอยู่ติดกับเราอีก 3 วัน) ดิชั้นได้โทรศัพท์ไปมหาวิทยาลัยเพื่อแจ้งให้ผู้อำนวยการศูนย์ทราบทันที 

….ตำรวจมาเกือบ 15 นาย มาเร็ว มาตรวจสอบสถานที่ และสอบปากคำทันที มีล่ามที่พูดไทยมาด้วย ดิชั้นก็อธิบายทุกอย่างตั้งแต่มีคนโทรศัพท์มาถี่ๆ ก่อนหน้านี้ ตรงนี้ สอบสวนได้สักพัก ก็ถูกนำตัวไปส่งโรงพยาบาล เพื่อตรวจอาการที่เกิดจากการพ่นสเปรย์ ก็มีการตรวจเลือดและร่างกายทั่วไป สรุปว่า ไม่ได้มีอันตรายอะไรถึงชีวิต ณ จุดนั้น ดิชั้นเริ่มทะยอยบอกข่าวนี้กับคนสำคัญ คือทางบ้าน และสหายที่ไว้ใจได้ท่านหนึ่งที่อยู่ต่างแดน เพื่อแจ้งให้ทราบว่าเกิดอะไรชึ้น พอตรวจเสร็จ ตำรวจก็พาดิชั้นกลับอพาร์ตเม้นต์

…รอบนี้ ตำรวจมาอีกชุดหนึ่ง เป็นชุด forensic คือมาตรวจหาร่องรอยคนร้าย เมื่อมีการเอาแสงอัลตร้าไวโอเล็ตมาส่องห้องนอน จึงเห็นร่องรอยของสารเคมีที่ตกอยู่บนผ้าห่ม เตียง หัวเตียง พนังห้อง จนไปถึงเพดาน แสดงว่าไอ้การฉีดสเปรย์แม้ในระยะเวลาสั้น แต่มันก็ได้ผลมาก ตรงนี้ ตำรวจใช้เวลานานเหมือนกัน จนกระทั่ง มีตำรวจชุดสุดท้ายที่มา อันนี้คือกลุ่ม detectives พอเล่าได้สักพัก เค้าบอกว่าเค้าเข้าใจในสถานะของดิชั้น และการต้องเป็นผู้ลี้ภัยหลังจากปี 2014 การพูดแบบนี้ทำให้ดิชั้นเชื่อว่า แม้แต่ฝ่ายญี่ปุ่นเองก็รู้ว่า การทำร้ายร่างกายดิชั้นไม่ใช่โจรหัวขโมยทั่วไป เพราะมันไม่มีแบบนี้ในญี่ปุ่น จนกระทั่งเค้าบอกว่าเค้ามาจากหน่วยงานการก่อการร้ายสากล ซึ่งชี้ว่า มันเป็นเรื่องข้ามชาติ แต่พอดิชั้นเอาเรื่องนี้ไปบอกสื่อ ตำรวจออกมาแก้ข่าวทันทีว่าไม่ได้มาจากหน่วยงานก่อการร้ายสากล ดิชั้นเชื่อว่า เพราะญี่ปุ่นยังไม่ต้องการส่งสัญญาณว่ารู้ว่าต้นเหตุของการทำร้ายร่างกายคือมีผู้สั่งที่มาจากไทย

…จากนั้น ดิชั้นถูกพาตัวไปสถานีตำรวจเพื่อสอบปากคำทั้งบ่าย และเสร็จสิ้นประมาณ  4 ทุ่ม ในใจตอนนั้นโกรธมาก และต้องการแสดงให้เห็นว่า ดิชั้นไม่กลัวมึง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะเขียนเรื่องนี้ลงในเฟซบุ๊คหรือเปล่า แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากหายไปและต้องการให้เห็นว่าดิชั้นไม่เป็นอะไร เลยอยากให้มีความเคลื่อนไหวในเฟซบุ๊คเช้านั้น เพื่อให้ไอ้คนบงการมันรู้ว่า เหตุที่เกิดกับดิชั้นมันทำอะไรดิชั้นไม่ได้ ตอนนั้นมีเรื่องทาทายังทำอะไรสักอย่าง แล้วเราต้องการคว่ำบาตรคอนเสริต์ของมัน ดิชั้นเลยเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นรูปอีทาทา เพื่อให้รู้ว่า ดิชั้นยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ แต่โพสต์ได้ไม่นาน ตำรวจก็โกรธ และขอให้ยุติการเล่นโซเชี่ยลมีเดียเลยเพราะจะทำให้เสียรูปคดี ดิชั้นเลยลบรูปนั้น และเลิกเล่นโซเชี่ยลเป็นเวลาหลายสัปดาห์ตามคำสั่งตำรวจ จุดนี้ก็มีคนเอาไปด่าดิชั้นว่า ทำไมวันเกิดเหตุดิชั้นยังมีเวลามานั่งเล่นเฟซบุ๊ค อีดอก แล้วมึงจะให้กูนั่งร้องไห้อย่างเดียวในสถานีตำรวจหรอคะ

….ในระหว่างที่อยู่โรงพัก ได้ใช้โอกาสนั้นแจ้งเรื่องนี้ให้นักข่าวบางสำนัก อาทิ BBC ไทยและ Washington Post แต่ขอว่าอย่าเพิ่งลงข่าว เพราะตำรวจญี่ปุ่นสั่งเด็ดขาดห้ามสื่อสารอะไรทั้งสิ้น เสร็จสิ้นการสอบสวน จากนั้น ดิชั้นถูกพาไปพักที่เรียกว่าเป็น safe house และไม่สามารถกลับไปอยู่ที่อพาร์ตเม้นต์เดิมได้อีก จากนั้น ดิชั้นถูกเรียกตัวไปสอบสวนต่อเรื่อยๆ แต่มันดันมีทริประหว่างประเทศที่เตรียมการไว้แล้วล่วงหน้าหลายเดือน นั่นคือ การไปสัมภาษณ์คุณทักษิณที่ดูไบ ยังไงก็ยกเลิกไม่ได้ หนึ่งอาทิตย์หลังถูกทำร้าย ดิชั้นเดินทางไปดูไบ ตอนนั้นดิชั้นหายไปจากโซเชี่ยลได้อาทิตย์นึงแล้ว คนเริ่มแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น รวมถึงกลุ่มคนไทยที่ดิชั้นทำงานด้วย ที่ต้องเดินทางไปดูไบด้วยกัน จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องบอกคนไทยกลุ่มนั้น (มีแค่ 2 คน) ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา เพราะเราต้องไปทำงานด้วยกันที่ดูไบอยู่ดี ถึงจุดนั้น ยังมีคนไม่มากที่รู้เรื่องดิชั้น แต่เรื่องแบบนี้ ปิดยังไงก็ไม่อยู่ คนที่ ม เกียวโตก็เริ่มพูดกันแล้วจนนักเรียนไทยและอาจารย์ไทยเม้าท์กันแล้ว หนึ่งในคนที่สงสัยว่าดิชั้นหายตัวไปไหน แล้วเค้าไม่รู้เรื่องเลย คือนักข่าวขี้เหล้า แอนดรูว์ มาร์แชล 

…ไม่เคยคิดว่าอยากเขียนถึงคนๆ นี้อีก แต่วันนี้ ขอเขียนครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย เพื่อให้เรื่องมันจบตรงนี้ มาต่อกันในตอนหน้าค่ะ
-----------------------------------------------

#อุ้มฆ่า ตอนที่ 3



หลังจากเกิดเรื่อง ตำรวจญี่ปุ่นกำชับนักหนาว่า อย่าเพิ่งแพร่ข่าวนี้ออกไป เพราะกลัวเสียรูปคดี ในใจก็อึดอัด เพราะต้องการบอกให้คนที่มันทำร้ายเรารู้ว่า กูยังมีชีวิตรอด แต่ก็พูดไม่ได้ เมื่อไปถึงดูไบ ไปสัมภาษณ์คุณทักษิณ แม้ในกลุ่มที่ไปด้วย (มีทั้งหมด 3 คน รวมดิชั้น) ก็รู้เรื่องนี้ แต่ดิชั้นไม่ได้บอกคุณทักษิณ เพราะไม่อยากให้เรื่องมันกระจายไปตามคำสั่งของตำรวจ แต่จำได้ว่า ต้องระมัดระวังตัวจริงๆ ขนาดพักโรงแรม ยังต้องใช้ชื่ออื่นลงทะเบียน เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่า เราพักกันอยู่ที่ไหน


…หลังจากดูไบ ดิชั้นต้องบินต่อไปวอชิงตันดีซี เพื่อไปทำงานต่อ ตอนนั้น เวลามันล่วงเลยมาประมาณ 3 สัปดาห์หลังจากเกิดเหตุ ในที่สุด ข่าวก็รั่ว แล้วคนก็ชอบที่จะเม้าท์ข่าวแบบนี้ รั่วไปถึงผู้ลี้ภัยที่ปารีส จนส่งต่อไปที่คุณสุนัย จุลพงศธร แล้วเอาไปพูดในคลิปว่าดิชั้นถูกทำร้าย นั่นจึงเป็นประเด็นที่ในที่สุด ดิชั้นต้องออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะหากจะมีคนพูดเรื่องนี้  ควรจะต้องออกมาจากปากดิชั้นเอง ดิชั้นเลยบอกตำรวจญี่ปุ่นว่า ดิชั้นจะพูดเรื่องนี้ต่อสาธารณชน เพราะมันกลายเป็นข่าวแล้ว จึงเลือกเวลาที่ East West Center ที่ดิชั้นไปพูดที่วอชิงตัน ในการเล่าเรื่องนี้ ทันใดนั้น มันก็เป็นข่าวระหว่างประเทศ สำนักข่าวต่างๆ ก็รายงานกันกระหน่ำ

...มีคนเดียวเท่านั้นก็ตกข่าว นั่นคือ แอนดรูว์ มาร์แชล ก่อนหน้านี้ เมื่อดิชั้นหายตัวไป ด้วยความเสือกของมัน ก็พยายามก็สืบเสาะว่าดิชั้นหายไปไหน จนกระทั่งไปถามคนที่ดิชั้นเดินทางไปดูไบด้วย ซึ่งมันก็รู้จัก ทีนี้ ดิชั้นกำชับคนพวกนี้ว่า อย่าบอกใครเพราะตำรวจสั่งไว้ เมื่ออีนักข่าวขี้เมามันถาม คนพวกนี้เลยต้องบอกไปว่าดิชั้นสบายดี เพียงแต่ยุติการเล่นโซเชี่ยลชั่วคราว เพราะเค้าตอบอย่างอื่นไม่ได้ จะบอกว่าถูกทำร้าย ดิชั้นก็สั่งไม่ให้พูด จะปฏิเสธว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ เพราะพวกนั้นเค้าไปดูไบกับดิชั้น เมื่อรู้แบบนี้ อีนักข่าวมันเลยเอาไปเขียนก่อนใครว่าดิชั้นสบายดี จนอีจอม เพชรประดับเอาไปเขียนต่อ แบบล้อเล่นถากถางว่า ที่ดิชั้นหายตัวไปไม่มีอะไรมาก เพราะทะเลาะกับผัวนั่นเอง โอ้โห ตอนนั้นโกรธ เพราะกูรอดได้มาได้ แต่กลับเอาไปเขียนว่าเป็นเพราะเราทะเลาะกับผัว นี่หรอคนที่เรียกตัวเองว่าสื่อมวลชน

....ทีนี้ เมื่อข่าวมันออกมาแล้วว่าดิชั้นถูกทำร้าย อีนักข่าวขี้เมาก็เลยโกรธ เพราะคิดว่าพวกเราไม่บอกความจริงกับเค้า แทนที่จะบอกว่าถูกทำร้าย กลับบอกว่าสบายดี แม้จะมีความพยายามจากนั้นที่จะอธิบายว่า ตำรวจสั่งไม่ให้พูด มันไม่ฟัง จากนั้น มันเลยตั้งท่าโจมตีดิชั้น หาว่าดิชั้นแต่งเรื่อง ทั้งๆ ที่ตอนนั้น ทั้ง BBC และ Financial Times ได้โทรศัพท์ไปคุยกับตำรวจญี่ปุ่นเพื่อคอนเฟิร์มเรื่องนี้แล้ว มันก็ยังแต่งเรื่องว่าดิชั้นโกหกต่อไป โดยพูดล้อเลียนว่า ดิชั้นกุเรื่องว่ามีนินจามาทำร้าย อะไรแบบนั้น ดิชั้นรู้นิสัยมันดี ถ้ามันอยากรู้ความจริง แค่โทรไปหาตำรวจหรือทางมหาลัยดิชั้น ก็จะได้คำตอบเลย แต่เค้าเลือกที่จะไม่ทำ หลังจากดิชั้นแถลงข่าวเรื่องนี้ที่วอชังตันดีซี ดิชั้นเดินทางต่อไปลอนดอน จำได้ว่าไปทานข้าวในเมืองกับเพื่อน และแวะถ่ายรูปแถวร้านอาหาร เป็นรูปที่ดิชั้นกำลังถือลูกทุเรียน (คือจะซื้อไปแดกค่ะ) อีนักข่าวขี้เมามันกลับเอารูปนี้ของดิชั้นไปเขียนด่าว่า นี่หนะหรอ คนที่เพิ่งถูกทำร้ายร่างกาย กลับออกมาจ่ายตลาดชิวๆ อีดอก ที่ดิชั้นทำอย่างนั้นเพราะต้องการให้คนร้ายมันรู้ว่า กูยังอยู่สบายดี ใช้ชีวิตปกติต่อไป และการขู่ของมึงไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตกู แต่ความอคติของแอนตรูว์ ดิชั้นเกินจะรับได้ จะให้กูนอนร้องไห้อยู่บ้านหรอคะ

....ดิชั้นรู้จักเค้ามานาน ตั้งแต่อยู่สิงคโปร์ ตั้งแต่ก่อนเค้าเอาวิกีลีคส์มาปล่อย จากนั้น ดิชั้นก็ช่วยส่งเสริมงานเค้ามาตลอด ใครๆ ที่เป็นเพื่อนเราก็จะรู้ ถึงขนาดจะจัดให้เค้ามาพูดที่สถาบันที่สิงคโปร์ด้วยซ้ำ พอเค้าออกหนังสือ The Kingdom in Crisis เค้าให้ดิชั้นเขียน endorse หนังสือให้ ซึ่งดิชั้นก็เขียนให้ที่ปรากฏอยู่ปกหลัง พอตัวเองต้องประสบปัญหาด้านการงาน และมาขอให้ดิชั้นเขียนหนังสือรับรองเพื่อไปสมัครงานที่ Green Peace (ออสเตรเลีย)ดิชั้นก็เขียนให้อย่างเลิศเลอ จน Green Peace ไม่เชื่อ ถึงขนาดต้องโทรมาถามดิชั้นว่า คนชื่อแอนดรูว์มันเก่งจริงหรอ ซึ่งดิชั้นตอบไปว่าจริง แต่เข้าทำงานไม่กี่เดือนก็เกิดเรื่อง เมื่อดิชั้นไปเที่ยวซิดนีย์ปีนั้น ได้เจอกับเค้า เค้าเดินมาบอกว่า ถูก Green Peace ไล่ออกเพราะไปเมาที่ทำงาน จนทำให้ชื่อเสียงดิชั้นย่อยยับป่นปี้ เพราะเป็นคนเขียนหนังสือรับรองให้ แต่ดิชั้นไม่โกรธ สงสารด้วยซ้ำ และยังคบเป็นเพื่อนต่อ

...จนหลังจากนั้น วิธีการทำงานของเค้ามันเริ่มทำให้ดิชั้นรำคาญใจ กล่าวคือ แอนครูว์ต้องการเป็นคนแรกในการเสนอข่าวเรื่องเจ้า โดยไม่สนว่าข่าวจริงหรือไม่ ยกตัวอย่าง ก่อนในหลวงตาย แอนดรูว์จะโพสต์ทุกวันว่าตายแล้ว เพราะอยากเป็นคนแรกที่ประกาศข่าวนี้ สำหรับดิชั้น มันมากเกินไป มันเสียความเป็นผู้สื่อข่าว แต่ในใจก็ไม่ได้โกรธอะไร เพียงแต่คิดว่า เราอาจต้องเอาตัวออกห่างจากเค้าดีกว่า

...ทีนี้ เดือนมกราคม 2017 ดิชั้นได้รับทุนมาหนึ่งก้อน เอาไว้ทำหนังสือ ดิชั้นเลยคิดโปรเจ็คของการทำหนังสือเรื่องการเปลี่ยนผ่านรัชสมัย และโชคดีที่มหาวิทยาลัย Stanford เสนอเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ ดิชั้นได้รับทุน Lee Kong Chiang ของ Stanford ในปี 2015 จึงคุ้นเคยกับอาจารย์ที่นั่น เราตกลงที่จะมี workshop ทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา และจะเป็น workshop แบบ closed door ที่เราจะเอาแต่คนที่จะมาเขียนให้เรามาสัมมนาร่วมกัน คืองานสัมมนามันมีหลายแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเปิดเสมอไป อีกอย่าง ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น ดิชั้นได้รับเชิญไปพูดที่ Stanford แล้วถูกสลิ่มแคลิฟอร์เนียมันประท้วงวุ่นวาย ทางมหาลัยเสียค่ารักษาความปลอดภัยไปมาก จึงขอให้การจัด workshop ครั้งนี้เป็นแบบปิด ซึ่งดิชั้นเห็นดีด้วย ทีนี้ อีนักข่าวขี้เมาได้รับข่าว และคงเคืองดิชั้นว่าทำไมไม่เชิญเค้า เออ อีดอก งงว่าทำไมต้องเชิญ นี่คือโครงการผลิตหนังสือ เราเอาแต่นักวิชาการมาเท่านั้น ไม่ต้องการนักข่าว ยกเว้น Paul Handley คนเดียวที่ดิชั้นเชิญมา ผู้เขียนเรื่อง The King Never Smiles เพราะดิชั้นไม่ได้มองเค้าว่าเป็นนักข่าวอีกต่อไป แต่เป็นนักวิจัยที่มีความสามารถ พออีแอนดรูว์รู้ว่าไม่ได้รับเชิญ สำคัญตัวผิดว่าทำไมถึงไม่ได้รับเชิญ ก็โกรธดิชั้น และก็ก่อเรื่องมากมายในระหว่างการจัดงาน โดยโทรศัพท์ไปก่อกวนที่มหาลัย โทรไปหาอธิการบดีของ Stanford เพื่อด่าว่า ทำไมถึงจัดงานแบบปิด โทรไปด่าฝ่ายประชาสัมพันธ์มหาลัยว่า ทำไมไม่มีการประชาสัมพันธ์งานนี้ โทรไปที่หน่วยรักษาความปลอดภัยถามว่า มันมีภัยจริงๆ หรอ ถึงต้องทำการสัมมนาปิด โอ้โห อาจารย์ที่ Stanford รีบวิ่งมาบอกพวกเราว่าอีแอนดรูว์โทรมาป่วน เราทุกคนในห้องนั้นงงมาก และโกรธแอนดรูว์มาก มีใครที่อยู่ในห้องบ้าง? มีอาจารย์ชาญวิทย์ David Streckfuss Tyrell Haberkorn Federico Ferrara Claudio Sopranzetti Paul Chambers Paul Handley อาจารย์กฤษณ์เลิศ ทุกคนส่ายหัว ยังไม่พอ นักข่าวขี้เมายังเอาเราไปด่าในเฟซบุ๊คของเค้าว่า เราเป็นแค่กลุ่มนักวิชาการกระจอก ไม่มีความกล้าหาญที่จะเปิดการสัมมนาแบบสาธารณะ และดูถูกพวกเราว่า ไม่มีใครกล้าเขียนด่าเจ้าแบบตรงไปตรงมา ตรงนั้นเองที่เป็นจุดแตกหัก ดิชั้นตัดสินใจตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับเค้าตั้งแต่บัดนั้น

....เดี๋ยวมาต่อ เพราะความเลวของมันยังไม่สิ้นสุดค่ะ อีนักข่าวเหี้ย


-----------------------------------------------

#อุ้มฆ่า ตอนที่ 4
คิดว่า ดิชั้นควรจะจบเรื่องของดิชั้นดีกว่า เพราะเมื่อเทียบกับระดับความรุนแรงแล้ว กรณีของดิชั้นยังน้อยมาก และยังโชคดีที่มีชีวิตรอดมาได้ แต่ขอจบตรงนี้ว่า หลังจากเรื่องเกิดกับดิชั้น ตำรวจก็ทำงานอย่างหนัก แต่ 1 ปีผ่านมา ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ แม้ว่าดิชั้นกับตำรวจญี่ปุ่นจะยังคงสื่อสารกันตลอดเวลา ในใจของดิชั้นเชื่อว่า ป่านนี้ ตำรวจคงรู้ตัวคนร้ายแล้ว ซึ่งคิดว่าเป็นคนญี่ปุ่นที่ถูกจ้างโดยฝ่ายไทย แต่คิดว่า การจับกุมอาจนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานกับทางฝ่ายไทย ญี่ปุ่นจึงอยู่ในสถานะที่ลำบาก ไม่ออกมาพูดเรื่องนี้ ก็ถูกสังคมญี่ปุ่นมองว่าไร้ความสามารถในการจับคนร้าย ออกมาพูดเรื่องนี้ ก็เป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่จะกระทบถึงไทย จึงใช้วิธีฆ่าเวลาแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก่อน คือยังสัญญาว่าการสอบสวนยังดำเนินอยู่ แต่ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ (เอาตามจริง ใครที่รู้ระบบการทำงานของตำรวจญี่ปุ่นจะพบว่า หากญี่ปุ่นไม่แน่ใจในตัวคนร้ายกว่า 95% เค้าจะไม่จับ เพราะกลัวจับผิด) เรื่องของดิชั้นจึงคาอยู่อย่างนี้
---------------------------------------------------------------------------------------
อิทธิพล สุขแป้น หรือดีเจซุนโฮ


อิทธิพล สุขแป้น (เบียร์) เป็นคนจังหวัดปราจีนบุรี เกิดเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2529 ต่อมาในปี 2550 เบียร์เข้าเรียนที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเริ่มสนใจการเมือง โดยเข้าร่วมกับกลุ่มเสรีปัญญาชน ต่อสู้กับร่วมกับคนเสื้อแดงในระดับแนวหน้า ที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงทางการเมือง จากการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมในปี 2552 และ 2553 ทำให้เบียร์เกิดความรับรู้ใหม่ ไม่ใช่แค่ตาสว่าง แต่ยังกล้าที่จะพูดถึงปัญหาที่สำคัญที่มาจากสถาบันกษัตริย์อีกด้วย โดยการปราศรัยและการแสดงความคิดเห็น นำเสนอไปถึงการปฏิวัติสังคม
….ในวันที่ 24 มิถุนายน 2552 เมื่อกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ได้จัดงานทวงคืนวันชาติไทย ที่ท้องสนามหลวง เบียร์นำตำราของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มาที่หลังเวที แล้วขอขึ้นพูดปราศรัยว่า “ผมกำลังศึกษาเรื่องวิวัฒนาการของสังคม หลังจากผ่านยุคมืด สมัยกลางความเจริญหยุดลง ประชาชนในยุโรปต่างไม่มีที่พึ่ง เจ้าผู้ครองแต่ละเมืองตั้งตัวเป็นใหญ่ เกิดระบบศักดินาสวามิภักดิ์ สังคมแบ่งเป็นกษัตริย์-ขุนนาง กดขี่เอารัดเอาเปรียบทาส-ไพร่ ออกกฎหมายห้ามใครดูหมิ่นหรือต่อต้าน หากฝ่าฝืนจะถูกจับกุมเข่นฆ่า แต่ประชาชนก็ลุกขึ้นสู้ จนสังคมเสื่อมทรามในที่สุดสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปเข้าสู่ยุครุ่งเรืองทางปัญญา ความคิดวิทยาศาสตร์และความเจริญก้าวหน้ามาแทนที่ยุคเก่าจนเกิดการปฏิวัติสังคมเข้าสู่ระบอบสาธารณรัฐและประชาธิปไตยเกิดขึ้นที่ยุโรปและอเมริกา” คือเบียร์สามารถปราศรัยให้ผู้มาชุมนุมฟังอย่างเร่าร้อน และการพูดถึงไอเดียของสาธารณรัฐ นั่นคือการปฏิเสธระบอบกษัตริย์นั่นเอง
…กลุ่มเสรีปัญญาชนเติบโตอย่างรวดเร็วมีสมาชิกถึง 50 คน และที่ขยายตัวเป็นเครือข่ายอีกนับพันคน แต่ละคนล้วนแล้วแต่กระตือรือร้นที่จะใช้ความรู้ทั้งจากตำราและจากประสบการณ์ที่เป็นจริงในสังคมไทย เพื่อสร้างสังคมใหม่ใหม่ ตามวิวัฒนาการสังคมที่พวกเขาเรียนรู้มา พร้อมๆกับเทคโนโลยีการสื่อสารที่ได้สร้างเครื่องมือทันสมัย ในการเผยแพร่ความรู้ใหม่ชนิดที่เรียกว่าถึงเวลาที่จะรื้อถอนโครงสร้างสังคมยุคเก่าให้หมดไป
…ภายหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เบียร์จึงถูกเรียกให้ไปรายงานตัว และถูกตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา112 เขาจึงต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศลาว ระหว่างที่ใช้ชีวิตเป็นผู้ลี้ภัยนั้น เค้าทำหน้าที่เป็นสื่อจัดทำรายการวิทยุ-โทรทัศน์ผ่านยูทูป เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนเสื้อแดงที่รับฟังข่าวสารผ่านยูทูปในนามของ ”ดีเจซุนโฮ” ซึ่งชื่อนี้เป็นความคล้องจองกับตระกูลเดิมของพ่อแม่เขาที่ปราจีนบุรี แต่อย่าวงที่เราๆ รู้ การลี้ภัยไปต่างแดน ไม่ได้สุขสบายทุกคน ดิชั้นโชคดีมีงานทำ แต่หลายคนต้องทุกข์ทรมานจากความอัตคัตขัดสนในการดำรงชีพ และต้องคอยหลบภัยจากการถูกไล่ล่าจากทางการรัฐบาลไทย ผู้ลี้ภัยในลาวจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนกลุ่มละ 4-5 คน กระจัดกระจายตามที่หลบภัยหลายแห่งด้วยกัน ส่วนเบียร์ต้องหาเลี้ยงชีพตนเองด้วยการทำปลาร้าทรงเครื่องขายจึงอยู่ในนครเวียงจันทน์ เริ่มแรกอยู่ร่วมกับ “ใหญ่ พัทยา“ ตอนหลังจึงแยกตัวออกจากกัน
…ในวันที่ 21 มิถุนายน 2559 เบียร์เดินทางออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารคนไทย ที่บ้านโพธิ์ศรี ห่างจากที่หลบภัยของเบียร์ราว 5 กิโลเมตร ระหว่างนี้มีสายเรียกเข้าจากใหญ่ พัทยา มาชวนกินเบียร์ต่อที่ร้านเนื้อย่างเกาหลี KK จากนั้น ประมาณเวลา 21.00 น. จึงแยกย้ายกันกลับ แต่เพียงแค่ระยะทางห่างจากร้านที่กินเบียร์อยู่ด้วยกันราว 800 เมตร ก็เกิดเรื่องขึ้น เบียร์ถูกทำร้าย ปรากฏให้เห็นร่องรอยการต่อสู้ มอเตอร์ไซต์ของเบียร์ล้มลง ปราร้าทรงเครื่องแตกกระจาย และเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเบียร์ที่เงียบหายไปในความมืด เบียร์ถูกอุ้มหายตัวไปในคืนวันนั้น
…การอุ้มฆ่าครั้งนี้ใช้ “นกต่อ” ให้ตัวเขาออกมาจากบ้านพัก หลายคนอาจหมายถึงใหญ่ พัทยา แต่ใหญ่ได้ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเบียร์ ในเวลาต่อมา ได้ปรากฏเป็นบทสนทนาผ่านไลน์ที่เก็บบันทึกไว้ได้ และมีการเปิดเผยออกมาอย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในบทสนทนานี้ ระบุถึงการรับจ้างทำงานด้วยเงิน 300,000 บาท และได้เตรียมอุปกรณ์ในการปฏิบัติการครั้งนี้นั่นก็คือ ตาข่ายดักปลา และอุปกรณ์ในการจัดการศพสำหรับถ่วงน้ำนั่นเอง
…แต่บทสนทนาทางไลน์ ไม่อาจนำมาใช้เพื่อติดตามการหายตัวไปของเบียร์ได้ และ ก็ไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก เพราะเป็นเหยื่อรายแรก มีการปล่อยข่าวกันในหมู่คนเสื้อแดงด้วยนซ้ำว่า เบียร์หนีไปเอง (เหมือนกับปที่มีคนใส่ร้ายวันเฉลิมเรื่องค้ายา) จนกระทั่งเมื่อศพของสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ โผล่ขึ้นทึ่บ้านท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ศพของภูชนะ หรื ชัชชาญ บุปผาวัลย์ โผล่ขึ้นที่ ต. ธาตุพนม ศพของกาสะลอง โผล่ที่บ้านสำราญ ต.อาจสามารถ โดยศพทั้งสามห่อหุ้มด้วยตาข่าย แต่ไม่ใช่ตาข่ายดักปลา แต่เป็นตาข่ายใช้ทำเล้าไก่ที่ปรากฏมีจำหน่ายในตลาดของจังหวัดนครพนม (ปล แต่จนทุกวันนี้ เรายังไม่ได้ศพของสุรชัย แซ่ด่านคืน)
…“ตาข่าย” จึงมีความหมายได้ว่า การอุ้มฆ่าผู้ลี้ภัยที่ประเทศลาวทั้ง 5 คนนี้ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน อย่างแยกกันไม่ออก โดยมีจุดร่วมอยู่อันหนึ่งนั่นคือ “ตาข่ายกับสายน้ำ” ส่วนการอุ้มฆ่าแต่ละคนนั้นใช้วิธีการที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดทำแบบแนบเนียน ไร้ร่องรอย รวดเร็ว จึงเชื่อว่าเป็นปฏิบัติการทางการทหารระดับสูงจากฝีมือการอุ้มฆ่ามืออาชีพ ขณะเดียวกัน กระแสข่าวจากตำรวจในพื้นที่ฝั่งประเทศลาวระบุว่า เบียร์ถูกอุ้มข้ามฝั่งมาที่ไทยและถูกสังหารในค่ายทหารแห่งหนึ่งแล้ว นำศพทิ้งหายไปกับกระแสน้ำของแม่น้ำโขง

-------------------------------------------------

#อุ้มฆ่า ตอนที่ 5

โกตี๋
ในภาพอาจจะมี 3 คน, แว่นกันแดด, หมวก, สถานที่กลางแจ้ง และภาพระยะใกล้

…เราเรียกเค้าสั้นๆ ว่า “โกตี๋” แต่ชื่อจริงคือ วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ เกิดเมื่อปี 2512 ที่จังหวัดปทุมธานี เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มปทุมธานีรักษ์ประชาธิปไตย ในปี 2552 เพื่อต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเป็นดีเจวิทยุเสื้อแดง สถานีวิทยุประชาชน เอฟเอ็ม 104.10 คลองสาม ปทุมธานี เป็นเจ้าของสถานีวิทยุเพื่อมวลชน เรดการ์ด เรดิโอ และแกนนำ นปช.ที่มีบทบาทในจังหวัดปทุมธานี
….โกตี๋ นับได้ว่าเป็นกลุ่มแดงฮาร์ตคอร์ ในระดับเดียวกับกลุ่มของนายขวัญชัย สารคำ ประธานชมรมคนรักอุดร สร้างผลงานเข้าตานายใหญ่ จากการนำมวลชนเสื้อแดงปฏิบัติการร่วมล้มการประชุมอาเซียน ซัมมิต ที่พัทยา เมื่อปี 2552 แต่หลังจากการปฏิบัติการกระชับพื้นที่ที่สี่แยกราชประสงค์ของกองทัพ ในปี 2553 จึงทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงต่างๆ รวมถึงกลุ่มของโกตี๋ต่างกระจัดกระจายกันไป
….เส้นทางของโกตี๋ก่อนเป็นที่รู้จักในทุกวันนี้ เริ่มมาจากการเป็นผู้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ และกลุ่ม 24 มิถุนา ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่ต่อต้านการรัฐประหารเมื่อปี 2549 นอกจากนี้ ยังเคยเป็นการ์ดให้กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อีกด้วย จากนั้นได้ผันตัวเองมาเป็นแกนนำคนเสื้อแดงปทุมธานีในนาม “กลุ่มปทุมธานีรักษ์ประชาธิปไตย” พร้อมกับตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงที่ปทุมธานีเมื่อปี 2554
…การเป็นแกนนำเสื้อแดงปทุมธานีนี่เองที่ทำให้คนส่วนใหญ่รู้จักโกตี๋มากขึ้น เช่น เมื่อปี 2555 โกตี๋ได้นำคนเสื้อแดงปิดถนนวิภาวดีรังสิตบริเวณสำนักงานเขตดอนเมือง เพื่อทวงถามเงินช่วยเหลือจากกรณีผู้ประสบอุทกภัย แต่นั่นยังไม่ทำให้ชื่อเสียงของโกตี๋เป็นที่รู้จักมากเท่ากับการนำมวลชนเสื้อแดงออกไล่ล่าพรรคประชาธิปัตย์ไปทุกแห่งที่พรรคมีการจัดเวทีผ่าความจริงเพื่อโจมตีการทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระหว่างปี 2555-2556 โดยมีอยู่หลายครั้งที่เวทีดังกล่าวของพรรคต้องล้มเลิกกลางคัน เพราะไม่สามารถทนต่อกระแสกดดันของคนเสื้อแดงกลุ่มโกตี๋ได้
….ในช่วง กปปส.ชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลุ่มโกตี๋กลายมาเป็นดาวเด่นของขบวนการเสื้อแดง แทน นปช. แต่ใช้แนวทางฮาร์ดคอร์จนถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “อริสมันต์สอง” ในหลายวีรกรรม เช่น พามวลชนไปรบกับพุทธอิสระบริเวณเวทีแจ้งวัฒนะ จนเกิดการปะทะกันหลายครั้งและมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝั่ง นอกจากนี้ ยังท้ารบกับประยุทธ์ จันทร์โอชา (ผบ.ทบ.ขณะนั้น) และยังนำป้ายผ้าสนับสนุนการแบ่งแยกประเทศขึ้นที่เขตดอนเมือง จนกระทั่งถูกกองทัพบกแจ้งความให้เอาผิดกับโกตี๋ รวมถึงการประกาศจะจัดการกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แบบถึงลูกถึงคน ที่เตรียมชี้มูลความผิดยิ่งลักษณ์
….ถึงแม้ว่าโกตี๋จะระบุว่าไม่เกี่ยวข้องกับแกนนำ นปช.อย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โดยอ้างว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดกระทำในนามส่วนตัว แต่เขาก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแกนนำพรรคเพื่อไทย และเดินทางไปมาหาสู่ถึงที่ทำการพรรคเพื่อไทยหลายครั้ง และเคยให้สัมภาษณ์พิเศษ เมื่อปี 2555 ถึงสาเหตุที่ทำไมต้องเคลื่อนไหวแบบฮาร์ดคอร์ว่า “เพราะ นปช.ถอยเกินไป คุณสันติ อหิงสาไง พวกเราถึงตาย แต่วันนี้ผมสันตินะ แต่ผมไม่อหิงสา ผมจะสู้แบบนี้ คุณดีมาผมดีไป แต่ถ้าคุณแรงมาผมแรงไป คุณยิงหนังสติ๊กมาผมเอาก้อนหินไป คุณเอาดาบมาผมซามูไรไป คุณจุดสามแปดผมจุดสี่ห้า อะไรที่มีต้องสู้ไปจะสู้ไปกราบไปไม่ได้ สู้ไปถอยไปไม่เอา ต้องสู้ไปต่อยไป สู้ไปตีเข่าไป สู้ไปแทงคอไป นั่นแหละมันถึงจะชนะ”
….ในสงครามรบของขบวนเสื้อแดง-เพื่อไทย กับเครือข่าย กปปส.-พรรคประชาธิปัตย์ โกตี๋ อาจถูกมองว่าเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งที่ไม่มีราคา หากแต่เลือกต่อกรกับผู้นำเหล่าทัพ เพื่อถีบตัวเองขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักจนสามารถ “ต่อกร-ก่อกวน” กับฝ่ายต้าน ยิ่งลักษณ์ ได้ดุเด็ดเผ็ดร้อน โดยเฉพาะการใช้แนวทางฮาร์ดคอร์ แต่หลังจากที่เค้าไปให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศพาดพิงสถาบัน จนรัฐบาลต้องลอยแพให้ตำรวจดำเนินคดีกับโกตี๋ มิฉะนั้นถ้ายังอุ้มอยู่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่อยู่ใน “สภาพเป็ดง่อย” ก็อาจพังพาบเร็วกว่าที่คาด จนไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีนายกรัฐมนตรีสิ้นสภาพ โกตี๋เองถึงกับรับรู้ชะตากรรมก่อนเปรยถึง ยิ่งลักษณ์ว่า “กำลังฆ่าคนที่ศรัทธาไม่ต่างจากเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึก ฆ่าขุนพล”
….ทั้งหมด นำไปสู่แผนการอุ้มฆ่า โดยเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากคนที่ใกล้ชิดกับโกตี๋ว่า เค้าได้ถูกกลุ่มชายชุดดำ ประมาณ 10 คน คลุมหน้าด้วยหมวกไหมพรหม พร้อมอาวุธครบมือบุกเข้าจับตัวไป เมื่อเวลา 9.45 น. ตามเวลาท้องถิ่นในลาว เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2557 ขณะที่โกตี๋กำลังจะลงจากรถ เพื่อจะเข้าบ้านพร้อมเพื่อนอีก 2 คน โดยกลุ่มชายชุดดำดังกล่าว ได้แอบซุ่มตัวอยู่ข้างบ้านก่อนที่ โกตี๋จะมาถึง และเมื่อโกตี๋กำลังจะก้าวลงจากรถพร้อมเพื่อนอีก 2 คน กลุ่มชายชุดดำดังกล่าวก็ได้กระจายกำลังกัน เข้าจับกุมทั้ง 3 คน โดยเอาผ้าคลุมหน้าทุกคน พร้อมเอาผ้ายัดปาก และมัดมือไพล่หลัง จากนั้นก็แยก โกตี่ พาไปขึ้นรถที่เตรียมไว้ ส่วนเพื่อนโกตี๋อีก 2 คน ถูกลากมาขังไว้รวมกันไว้ภายในบ้าน จากนั้น กลุ่มชายชุดดำก็ออกจากบ้านไป
….หลังจากเพื่อนโกตี๋ทั้ง 2 คน ดิ้นหลุดจากการถูกมัด ก็ได้เรียกให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงช่วย โดยแจ้งให้ตำรวจในพื้นที่ทราบแล้ว เพื่อนโกตี๋ที่ถูกจับเล่าให้ฟังว่า ชายชุดดำที่เข้ามาจับกุมพวกตนนั้น พูดภาษาไทย และใช้ที่ช๊อร์ตไฟฟ้าช๊อร์ตเข้าที่ต้นคอตน จากนั้นก็ซ้อมแต่ละคน พร้อมขู่ไม่ให้พูด ไม่ให้ร้อง ขณะเดียวกันเขาบอกว่า ยังได้ยินเสียงโกตี๋พูดว่า "โอ้ย หายใจไม่ออก" จากนั้น เสียงโกตี๋ ก็เงียบไป ซึ่งเพื่อนทั้งสองคนได้แจ้งความกับตำรวจในพื้นที่แล้ว จนถึงวันนี้ ไม่มีใครรู้เบาะแสการอุ้มหายของโกตี๋ไปมากกว่านี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า เค้าถูกนำตัวข้ามไปฝั่งไทย และถูกสังหารไปเรียบร้อยแล้ว

--------------------------------------------------

#อุ้มฆ่า ตอนที่ 6

สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน)

ชัชชาญ บุปผาวัลย์ หรือ ”สหายภูชนะ”

ไกรเดช ลือเลิศ หรือ “สหายกาสะลอง”


สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ เกิดวันที่ 24 ธันวาคม พ. ศ. 2485 ที่ตำบลท่าพระยาอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จบการศึกษาจากสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ก่อนจะเข้าสู่แวดวงการเมือง มีอาชีพซ่อมวิทยุและโทรทัศน์มาก่อน ต่อมา สุรชัยเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการเมือง หลังช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม จากการเป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่เคลื่อนไหวแบบยุทธวิธีกองโจรในป่า จากนั้น สุรชัยได้เข้าร่วมการเมืองในระบบรัฐสภา ด้วยการเป็นสมาชิกพรรคความหวังใหม่ จากการชักชวนของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลงสมัครสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดนครศรีธรรมราช และผู้สมัครพรรคไทยรักไทย แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง นอกจากนี้ สุรชัย ได้เคยเข้าร่วมชุมนุมขับไล่ คมช. ที่สนามหลวง และต่อมาได้แยกตัวออกมาจัดตั้งกลุ่มแดงสยามร่วมกับจักรภพ เพ็ญแข โดยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกลุ่ม นปช. อีกต่อไป

…ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 สุรชัย ถูกตำรวจจับตามหมายศาลอาญาเลขที่ 27/2554 ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังจากปราศัยบริเวณท้องสนามหลวง ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุก 7 ปี 6 เดือน หลังปล่อยตัวออกจากเรือนจำ สุรชัยก็เคลื่อนไหวทางการเมืองน้อยลง มีเพียงการนำสิ่งของ สัญลักษณ์ การต่อสู้ทางการเมือง เช่น หมวก เสื้อยึด ไปจำหน่ายตามที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง และเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) ก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 สุรชัย ก็ตัดสินใจลี้ภัยการเมืองไปยังประเทศลาว จนศาลทหารได้ออกหมายจับในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.

….ผ่านมาจนถึงปี 2561 สุรชัยและผู้ติดตามรวมสามคนหายตัวจากที่พักในลาวในวันที่ 12 ธันวาคม ข่าวความคืบหน้า มีเพียงการพบศพสองศพที่ริมแม่น้ำโขง จากการตรวจดีเอ็นเอ ผลออกมาตรงกับ ‘สหายกาสะลอง’ และ ‘สหายภูชนะ’ สองผู้ติดตามที่หายตัวไปพร้อมกับสุรชัย ย้อนหลังกลับไปในวันที่ 12 ธ.ค. วันนั้น ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเป็นวันที่สุรชัย จะได้มีโอกาสติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆ ได้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่วันถัดมา เพื่อนผู้ลี้ภัยทางการเมืองซึ่งอยู่ในลาวจะเดินทางไปหาเขาที่บ้านพัก และพบว่าสุรชัย พร้อมผู้ติดตามอีกสองคนคือไม่อยู่ที่บ้าน กระทั่ง 10 วันให้หลัง เพื่อนผู้ลี้ภัยอีกคนได้เดินทางไปหาพวกเขาที่บ้านพักอีกครั้ง ก็ได้สังเกตพบว่า ไม่มีใครอยู่ในบ้านเช่นเดิม นอกจากนี้ยังพบว่า บ้านพักไม่ได้ล็อคกุญแจ ส่วนรถตู้ที่เคยใช้งานประจำก็ยังจอดอยู่ และเครื่องใช้ส่วนตัวก็ไม่ได้หายไป พบแต่เบาะแสของการดื่มกิน คือมีเบียร์ที่เปิดไว้หลายขวด และอาหารที่ยังเหลือบนโต๊ะ คาดว่า การอุ้มหายอาจจะมาจากนกต่อ เช่นเดียวกับในกรณีของเบียร์ หรือดีเจซุนโฮ

….ไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่ในช่วงที่สุรชัยและผู้ติดตามหายตัวไปนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเดินทางไปเยือนนครเวียงจันทร์ของประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วยประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเวลานั้น นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องที่รู้กันในหมู่ผู้ลี้ภัยว่า ช่วงเวลานี้จะต้องหลบจากที่อยู่เดิมสักพักหนึ่งก่อน ทว่าสุรชัยเลือกที่จะไม่หลบไปไหน และเลือกที่จะอยู่ในบ้านโดยไม่ออกไปไหน

….ข่าวคราวของสุรชัยและผู้ติดตามทั้งสองคน เงียบหายไปเกือบครึ่งเดือน จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในจังหวัดนครพนม และสื่อหลักอย่างข่าวสด และสำนักข่าวไทย เผยแพร่ข่าวการก่ออาชญากรรมโหด ฆ่าผ่าท้องควักไส้ออก และนำแท่งปูนยัดเข้าไปในร่างกายเพื่อนำไปทิ้งถ่วงลงแม่น้ำโขง สภาพศพถูกมัดแขนและขา รัดคอ ถูกทุบจนใบหน้าเละ เนื้อหาในข่าวช่วงนั้นระบุว่ามีการพบศพทั้งหมด 3 ครั้ง การรายงานข่าววันแรกคือวันที่ 26 ธ.ค. ที่บ้านท่าจำปา อ.ท่าอุเทน แต่กลับมีข่าวต่อมาว่า ศพดังกล่าวได้หลุดลอยไปตามกระแสน้ำแม้จะมีเชือกขนาดใหญ่ผูกที่ศพ ถัดมาอีกวัน 27 ธ.ค. มีการพบศพที่หน้าวัดหัวเวียง ต.ธาตุพนม และวันที่ 29 ธ.ค. ที่ บ้านท่าสำราญ ต.อาจสามารถ มีการพบศพอีก 2 ศพ อย่างไรก็ตามยังไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า ศพที่พบในสองวันหลังเป็นหนึ่งในศพที่ถูกอ้างว่าหลุดลอยไปกลับกระแสน้ำ กระทั่งวันที่ 21 ม.ค. 2562 ผลการพิจสูจน์ DNA ได้ยืนยันชัดเจนว่า ศพทั้งสองที่ถูกพบนั้นคือสหายภูชนะ และสหายกาสะลอง ขณะที่สุรชัย ยังไม่ใครพบว่ายังมีชีวิตอยู่ หรือเสียชีวิตไปแล้ว และหากเสียชีวิตไปแล้วก็ยังไม่มีใครพบว่าศพของเขาอยู่ที่ใด

….การเคลื่อนไหวทางการเมืองของสุรชัย ในช่วงที่ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในประเทศลาวนั้น เขาได้จัดรายการวิทยุลงใน You Tube หรือที่เรียกในหมู่ผู้ฟังว่า “วิทยุใต้ดิน” นำเสนอเนื้อหาที่พิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย รัฐบาลเผด็จการ และสถาบันกษัตริย์ กระนั้นก็ตามต้องบอกก่อนว่าในกลุ่มผู้ลี้ภัยเองแม้จะมีจุดร่วมกันที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และการใช้อำนาจนอกระบบเข้าแทรกแซงการเมือง แต่กรอบมุมมองต่อสถานการณ์ และแนวทางการเคลื่อนไหวและการต่อสู้ทางการเมืองจากนอกประเทศก็แตกต่างกันไป และการเคลื่อนไหวของสุรชัยเองก็เป็นคนละส่วนกับการเคลื่อนไหวต่อสู้ของกลุ่ม "สหพันธรัฐไท"

....มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า การหายตัวไปของสุรชัย และการพบศพผู้ติดตามทั้งสองคนซึ่งลอยมาติดตลิ่งแม่น้ำโขงนั้น อาจมีเป็นผลจากปฏิกิริยาโต้กลับจากเหตุการณ์ที่กลุ่มสหพันธรัฐไท ได้เชิญชวนให้คนที่ติดตามวิทยุของกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวโดยใส่ชุดดำ และติดธงสัญลักษณ์ของกลุ่มซึ่งมีลักษณะคล้ายธงชาติไทย แต่เป็นธงที่มีเพียงสีขาวและสีแดง ไม่มีสีน้ำเงิน ในวันที่ 5 ธ.ค. 2561 ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานคร เช่นบริเวณสกายวอล์คเชื่อมห้างมาบุญครอง และต่างจังหวัด จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมีผู้ที่ถูกจำกุมดำเนินคดีไปหลายราย

….ทางด้านป้าน้อย หรือปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ ภรรยาของสุรชัย ได้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า สุรชัยเสียชีวิตแล้วจริงๆ โดยศพ 1 ใน 3 ที่พบเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.61 ที่ ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนมนั้น เป็นศพของสุรชัย เพราะดูจากสภาพศพและขาขวาที่งอเพราะเคยโดนรถชน อีกทั้งเป็นศพที่หายไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะไปพิสูจน์พลิกศพ จึงเหลืออยู่แค่ 2 ศพ จึงเชื่อว่า เป็นการทำลายหลักฐาน และน่าจะมีการนำศพไปฝังไว้ในที่ใดที่หนึ่ง คงไม่ใช่นำไปเผาเพราะศพเปียกทำลายยาก มีการสันนิษฐานว่าสุรชัย และพวกอีก 2 คน อาจจะถูกนำตัวออกมาจากฝั่งลาวแล้วนำตัวมาสังหารอย่างโหดเหี้ยมในฝั่งไทย เพราะหากสังหารในฝั่งลาวแล้วโยนศพลงแม่น้ำโขง ศพคงไม่ลอยมาไกลถึงฝั่งไทยและลอยขึ้นในสถานที่ที่ใกล้เคียงกันแบบนี้.... สุรชัยเคยบอกว่า หากตัวเองเสียชีวิตแต่ไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ขออย่าเพิ่งเผาศพ แต่ให้แห่ไปทุกจังหวัด มาวันนี้ ศพที่จะแห่ยังไม่มีให้เห็น

…ตอนหน้าจะกลับมาเล่าเรื่องการสังหารคนทั้งสาม ที่มีวิชาไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวพันด้วย

------------------------------------------------

#อุ้มฆ่า ตอนที่ 7


ศพที่ลอยขึ้นมาเหนือลำน้ำโขงนั้น ถือเป็นความป่าเถื่อนอย่างถึงที่สุดกับคนที่ทำร้ายผู้ลี้ภัยทั้งสามคน ที่โหดร้ายกว่านั้น ในกรณีของคุณสุรชัย แซ่ด่าน แม้แต่ศพก็ยังไม่คืนครอบครัวของเค้า มันทำให้การไว้ทุกข์ไม่มีวันจบสิ้น ในจุดนี้ ดิชั้นขอประนามของร้ายที่กระทำการอุกอาจได้ถึงเพียงนี้

...อย่างที่เราทราบกัน สภาพศพที่ลอยเหนือน้ำนั้น ถูกห่อด้วยกระสอบสีน้ำตาล เมื่อเปิดห่อก็จะพบกับศพที่ถูกมัดมือ มัดเท้า ใบหน้าถูกตีจนเละ สภาพที่ถูกมัดอยู่ในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งยืน หรือเรียกว่าอยู๋ในท่าคุกเขาก็ได้ มือไผล่หลัง นอกจากนี้ ท้องถูกผ่า เอาไส้ออก แล้วเทปูนซีเมนต์ลงไป ก่อนที่จะมัดด้วยกระสอบและเอาตาข่ายมัดอีกทีเพื่อเอาไปถ่วงน้ำ เรื่องการสังหารแบบนี้มีผู้ให้ความเห็นในหลายทฤษฎี อาทิ การเอาซีเมนต์เทใส่ท้องนั้นก็เพื่อให้การถ่วงน้ำมันเป็นไปได้ง่ายขึ้น หรือเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับศพ แต่เอาจริงๆ แล้ว ท้องคนเราจะรับซีเมนต์ได้เท่าไหร่ ซึ่งเมื่อสภาพศพขึ้นอืดเต็มที่ ซีเมนต์ตรงนั้นก็เอาไม่อยู่ ดังนั้น มันเลยมีการวิเคราะห์กันว่า หรือคนร้ายจงใจให้ศพลอยขึ้นมาเพื่อข่มขู่ผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ว่า หากไม่ยุติการพูดเรื่องเจ้า จุดจบต้องเป็นแบบนี้เช่นกัน แต่ส่วนตัวแล้ว ดิชั้นไม่ค่อยเชื่อทฤษฎีนี้เท่าใด เพราะในกรณีของเบียร์และโกตี๋ คนร้ายจงใจที่จะทำให้ศพสาบสูญ แล้วทำไมถึงอยากให้ศพทั้งสามลอยขึ้นมาเหนือน้ำ แต่ขณะเดียวกัน หากไม่จงใจให้ศพลอยเหนือน้ำ ก็เท่ากับเป็นความผิดพลาดในเรื่องการอำพรางศพ อันนี้ก็ไม่น่าเชื่อถืออีก เพราะดิชั้นค่อนข้างมั่นใจว่า คนที่ลงมือสังหารล้วนเป็นมืออาชีพ จะอยู่ในกองทัพหรือฝ่ายตำรวจก็ตาม ดังนั้น การปล่อยให้ศพปรากฏต่อสาธารณชน จึงยังเป็นที่ถกเถียงกันมากว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

...หลังจากข่าวนี้ปรากฏต่อสาธารณะไม่นาน ดิชั้นได้รับโทรศัพท์จากนักการทูตประเทศยุโรปประเทศหนึ่ง ที่โทรศัพท์มาถามจากกระทรวงการต่างประเทศของเค้า เพื่อสอบถามความเห็นของดิชั้นเรื่องการตายของบุคคลทั้งสาม เอาจริงๆ ดิชั้นไม่รู้อะไรมากไปกว่าที่ปรากฏในสื่อ จึงทำให้การสนทนาวันนั้น นักการทูตท่านนั้นไม่ได้อะไรมากไปจากดิชั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น นักการทูตคนนั้นต่างหากที่ให้ข้อมูลดิชั้นมากมาย ส่วนหนึ่งมาจากงานทางด้าน intelligence (ข่าวกรอง) โดยบอกกับดิชั้นถึงขั้นตอนการสังหาร ดังนี้

...เหยื่อทั้งสามถูกอุ้มจากบ้านพักในลาว จากนั้น ข้ามไปสังหารฝั่งไทย ในช่วงเวลาของการสังหาร เหยื่อทั้งสามถูกบังคับให้คุกเข่า มือไผล่หลัง ถูกมัดมือและเท้า ในเหตุการณ์ทั้งหมด มีการบันทึกภาพไว้ (จริงๆ มีการบันทึกภาพไว้ทั้งหมดในการสังหารเหยื่อแต่ละคน เพื่อนำไปให้วชิราลงกรณ์ดู อันเนื่องมาจากวชิราลงกรณ์ชอบดู และเพื่อเป็นการยืนยันว่าเหยื่อเสียชีวิตจริง) จากนั้น ให้เหยื่อแต่ละคนกล่าวคำขอโทษราชวงศ์ที่เคยล่วงเกินมาก่อน เมื่อมีการขอโทษแล้ว คนร้ายได้เดินไปด้านหลังของเหยื่อ แล้วใช้เชือกรัดคอจนขาดใจตาย วิธีการรัดคอก็เป็นวิธีที่ใช้กับเหยื่อรายอื่นๆ รวมถึงต้าร์ วันเฉลิมด้วย จนเสียชีวิตในท่านั่งคุกเข่าแบบนั้น จึงเป็นที่มาว่าทำไมเมื่อศพลอยเหนือน้ำ ก็อยู่ในท่าคุกเข่าแบบเดียวกัน นอกจากนี้ ก่อนถ่วงน้ำ ยังมีการเอาไม้ตีใบหน้าจนเละ ส่วนหนึ่งเพื่อต้องการปกปิดรูปพรรณสัณฐานของเหยื่อ ให้จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร

....นักการทูตฝรั่งท่านนั้นเล่าด้วยว่า การผ่าท้องยัดคอนกรีตอาจมีที่มาที่ลึกล้ำกว่านั้น กล่าวคือ อาจไม่เป็นเพียงแค่การต้องการถ่วงน้ำเท่านั้น มันมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่าลืมว่าเจ้าไทย โดยเฉพาะวชิราลงกรณ์ เชื่อถือเรื่องไสยศาสตร์ โชคลางอย่างมาก นักการทูตให้ความเห็นว่า การคว้านท้องออก เอาอวัยวะภายในออก มาจากความเชื่อที่ว่า เป็นการเอา identity ออกจากร่างกาย หมายความว่า เมื่อวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว จำร่างตัวเองไม่ได้ เพราะอวัยวะภายในไม่เหลือแล้ว เมื่อกลับสู่ร่างเดิมไม่ได้ ทำให้ต้องร่อนเร่ และไม่สามารถกลับมาชำระความแค้นได้อีก นี่บอกตรงๆ ดิชั้นไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เลย แต่ไม่แปลกใจที่เจ้าไทย ผู้นำไทย เชื่อเรื่องพวกนี้อย่างงมงาม อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ผู้นำไทยหลายคนมักเดินทางไปขอให้หมอดูอีทีที่พม่าดูเรื่องไสยศาสตร์เรื่องพวกนี้อยู่มาก วชิราลงกรณ์เชื่อเรื่องแบบนี้แบบหัวปักหัวปำ

....สุดท้าย ทำไมไม่คืนร่างสุรชัยให้ครอบครัว หลังจากที่ได้พบศพ ซึ่งตอนแรกไม่เป็นข่าวใหญ่ แต่พอผู้สื่อข่าวในท้องถิ่นกระพือข่าว ทำให้ทางการต้องออกมาพูดเรื่องนี้ ในแง่การสอบสวนและการชันสูตรศพ โดยออกมายอมรับว่าสองศพแรกคือสหายของคุณสุรชัยจริง ส่วนนี้อาจเพื่อรอดูการตอบสนองจากสาธารณชนด้วย และก็เป็นอย่างที่คาด สังคมโกรธแค้น ที่ทำไมต้องทำกับผู้เห็นต่างขนาดนั้น จนนำไปสู่การชุมนุมประท้วง ณ แยกราชประสงค์ ทั้งๆ ที่ในระหว่างนั้นมีการห้ามมิให้ชุมนุมใดๆ ทั้งสิ้น ทุกคนร้องขอความเป็นธรรมให้กับเหยื่อ จนในที่สุด ทางการตัดสินใจที่จะไม่เดินหน้าต่อใดๆ เรื่องนี้ เพราะเชื่อว่า การคืนศพสุรชัยให้ครอบครัว จะยิ่งทำให้สร้างความโกรธมากขึ้น เลยคิดว่า การทำให้ศพหายไปเลยจะเป็นทางออกที่ดีกว่า


---------------------------------------------------------------

#อุ้มฆ่า ตอนที่ 8

ลุงสนามหลวงและสหาย


นับตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค.62 ผู้ลี้ภัยการเมืองของไทยและนักจัดรายการ ‘วิทยุใต้ดิน’ 3 คน ถูกส่งตัวจากเวียดนามมายังประเทศไทยเมื่อ 8 พ.ค.62 แม่ของหนึ่งในนั้นคือสยาม ธีรวุฒิ ก็ตระเวนยื่นหนังสือยังหน่วยงานต่างๆ เพื่อตามหาลูก และจนบัดนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดเกี่ยวกับสามคนนี้ ทั้งสามคน ประกอบไปด้วย ลุงสนามหลวง หรือ ชูชีพ ชีวสุทธิ์, กฤษณะ ทัพไทย หรือ สหายยังบลัด และ สยาม ธีรวุฒิ หรือ สหายข้าวเหนียวมะม่วง

….มีรายงานข่าวว่า ทั้งสามหลบหนีออกจากลาวไปยังเวียดนาม หลังจาก สุรชัย แซ่ด่าน, ไกรเดช ลือเลิศ หรือกาสะลอง, ชัชชาญ บุปผาวัลย์ หรือ ภูชนะ ถูกอุ้มหายจากบ้านพักในลาว ก่อนจะพบศพกาละลองกับภูชนะถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม และนำอวัยวะในช่องท้องออก แทนที่ด้วยเสาปูน ลอยอยู่ในแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากหายตัวไปนานถึง 16-17 วัน จากนั้น รายการของลุงสนามหลวงและพรรคพวกก็ยุติลง แหล่งข่าวหลายคนให้ความเห็นว่า พวกเขาต่างแยกย้ายกบดานหนีการไล่ล่า โดยต่อมา ลุงสนามหลวงแจ้งข่าวว่าขอยุติการจัดรายการชั่วคราว

…ก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมดังกล่าว ทาง คสช.พยายามเจรจากับทางการลาวหลายครั้ง เพื่อขอตัวผู้ต้องหาคดี 112 แต่ทางนั้นไม่ส่งตัวให้ เพราะเขาไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับ 112 ขณะที่สื่อมวลชนรายงานว่า ช่วงที่สุรชัยและพวกหายตัวไปนั้น เป็นห้วงเวลาเดียวกับที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะเดินทางเยือนลาวเพื่องานประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ความห่วงใยในสวัสดิภาพของผู้ลี้ภัยเหล่านี้ทวีขึ้นในหมู่ผู้เคลื่อนไหวด้านประชาธิปไตยและนักสิทธิมนุษยชน เนื่องจากทั้งสามคนนี้ก็ล้วนมีบทบาทเคลื่อนไหวจัดรายการทาง Youtube เช่นเดียวกับกลุ่มสรุชัย ทั้งยังโดดเด่นกว่า

.สำหรับลุงสนามหลวง เขาเป็นผู้ที่มีประวัติการต่อสู้ทางการเมืองยาวนาน เป็นที่รู้จักในหมู่ ‘สหายเก่า’ ในหมู่ประชาชนที่ตื่นตัวต่อต้านรัฐประหาร คมช. ปี 2549 และเป็นศัตรู (ทางความคิด) ลำดับต้นๆ ของฝ่ายความมั่นคงไทย ชื่อจริงเค้าคือชูชีพ ชีวสุทธิ์ เกิดปี 2496 เข้าศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2515 เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป และเป็นรุ่นพี่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช 1 ปี เขาเป็นคนหัวดี แม้ตอนสอบเข้าจะรุ่งโรจน์แต่ต่อมาความสนใจทางการเมืองก็เปลี่ยนชีวิตเค้า

…หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็เข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในเขตอีสานใต้ เขาเป็นนักสู้ เรียกได้ว่าฝ่าวิกฤติต่างๆ มามาก สมัยอยู่กับ พคท.ได้รับมอบหมายให้ไปบุกเบิกเขตจันทบุรีซึ่งค่อนข้างยากลำบากเพราะมีการสู้รบกัน 3 ฝ่ายระหว่างเขมรแดง เขมรเสรี และ พคท. แต่เขารอดชีวิตกลับมาได้ เมื่อสิ้นสุดยุค พคท.นักศึกษาคืนเมือง เขากลับมาศึกษาต่อที่คณะสาธารณสุขศาสตร์จนสำเร็จ แล้วต่อมาก็ทำธุรกิจด้านส่งออกจนตั้งเนื้อตั้งตัวได้” เพื่อนชูชีพระบุ

….เพื่อนๆ เห็นว่าเขาไม่เคยหยุดอุดมการณ์ประชาธิปไตย และพยายามเผยแพร่ความคิดผ่านเวทีต่างๆ เสมอ เช่นในพันทิป และมีบทบาทต่อเนื่องจนถึงช่วงรัฐประหาร 2549 จากนั้นเจอคดี 112 จึงหลบไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ เคยถูกจับขังคุกขี้ไก่ในลาว ระยะหลังเขาเลี้ยงชีพด้วยการขายเรื่องทาง Youtube คุณชูชีพเป็นที่รู้จักกันดีตามสถานีวิทยุข่าวสารและการจราจร นามที่เขาใช้เพื่อโฟนอินตามรายการต่างๆ คือ "ชูชีพ" ไม่มีผู้จัดรายการข่าวทางวิทยุคนไหนไม่เคยรับสายชูชีพ และไม่มีคนฟังวิทยุข่าวคนไหนไม่รู้จักชูชีพ ทุกเรื่องที่เขาเล่าล้วนมีแต่สาระ และวาระที่เขาโฟนอินล้วนแต่ถูกจังหวะเวลา เสียงที่เขาพูดมีเอกลักษณ์จดจำง่าย เป็นคนฉลาดหลักแหลม เป็นผู้แสวงหาข้อมูลทุกๆ ด้านและบ้าการเมือง

….ปี 2548-2549 หลังเป็นนักวิเคราะห์การเมืองลึกลับมานาน ชูชีพตัดสินใจเปิดตัวอย่างชัดเจนในฐานะประธานชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เดินสายพิทักษ์รัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นอยู่ในบริบท “ก่อน” รัฐประหาร 2549 ช่วงเวลานั้น กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และภาคีเครือข่ายในทุกสายงานเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังไม่เชื่อในระบบเลือกตั้งและเรียกร้องนายกพระราชทาน ชูชีพออกมาแสดงจุดยืนว่าต้องยึดถือในระบอบประชาธิปไตย ต้องให้ประชาชนได้เลือกตั้ง องคาพยพต่างๆ ต้องไม่ขัดขวางการจัดเลือกตั้ง 2 เม.ย.2549 ทั้งยังฟ้อง พธม.ในข้อหามาตรา 112 เพราะนำสถาบันกษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

…เค้าได้พูดถึงสถาบันกษัตริย์อย่างโจ่งแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าต่อสู้กับอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อธำรงสถาบัน สถาบันสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพวกเขา เค้าคือหนึ่งในกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สำคัญในยุควิกฤตทางการเมืองไทย ในวันที่ 20 สิงหาคม 2551 ศาลอาญากรุงเทพใต้ อนุมัติหมายจับชูชีพ ชีวสุทธิ์ ในความผิดมาตรา 112 แต่นับตั้งแต่ปลายปี 2551 เป็นต้นมาก็ไม่มีใครเห็นชูชีพปรากฏตัว ข้อมูลบางแหล่งระบุว่า เขาได้หลบหนีไปจีนอยู่พักหนึ่งก่อนจะเข้าไปที่ลาว มีการเล่าว่า “เท่าที่ฟังในช่วงแรก กลุ่มลุงสนามหลวงใช้คำหยาบคายน้อย ส่วนใหญ่ออกไปในทางเสียดสีล้อเลียนให้ชนชั้นนำดูตลกขบขันเสียมากกว่า... พวกนี้ไม่ได้มองตัวเองเป็นสื่อที่ต้องมีมาตรฐานวิชาชีพ เขากำลังต่อสู้กับอำนาจรัฐที่เขาเห็นว่าเป็นเผด็จการและอันตรายต่อเสรีภาพและชีวิตประชาชน เขาเป็นองค์กรเคลื่อนไหว การพูดจาที่ก้าวร้าวหยาบคายอาจจะเพื่อตอบสนองความรู้สึกกดดันคับข้องใจไม่มีทางออกของประชาชนกลุ่มหนึ่งอยู่

ผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหววิทยุใต้ดินอีกคนหนึ่งบอกว่า ในช่วง 1-2 ปีแรกนั้น กลุ่มเหล่านี้ยังไม่มีการนำเสนอทางออกทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐอย่างเป็นเรื่องเป็นราว การพูดถึง “สาธารณรัฐ” เริ่มมีประปรายในช่วงปลายปี 2558

ขณะที่สื่ออย่างเนชั่น-คมชัดลึกซึ่งมักรายงานข้อมูลฝ่ายความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ระบุว่า กลุ่มของลุงสนามหลวงได้พูดถึง “สหพันธรัฐไท” ในปลายปี 2559 หลังจากที่โกตี๋ไปร่วมจัดรายการด้วย ต่อมาราวกลางปี 2560 โกตี๋ถูกอุ้มหาย หลายคนคาดว่าเป็นเพราะสไตล์การปลุกระดมดุเดือดและรุนแรงของเขา ต่อมาในเดือนกันยายน 2561 ปรากฏข่าวการกวาดจับประชาชนที่เกี่ยวพันกับ ‘สหพันธรัฐไท’ หลายคน พวกเขาถูกทหารควบคุมตัวเข้าค่ายทหารหลายวัน ก่อนส่งตำรวจเพื่อแจ้งข้อหาตามมาตรา 116 (ยุงยงปั่นป่วนให้กระด้างกระเดื่อง) และมาตรา 209 (อั้งยี่)

….ไม่มีใครรู้เป็นแน่แท้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีความเป็นไปได้ว่า หลังจากที่ประยุทธ์ เดินทางไปประเทศลาว มีกำลังทหารจากประเทศไทยเข้าไปในประเทศลาวจำนวนมาก ในขณะที่ทีมงาน กองกำลังไม่ทราบฝ่าย ติดตามไล่ล่าจนลุงสนามหลวง และทีมงานอีกสองคนคือ สยาม ธีรวุฒิ กับกฤษณะ ทัพไทย ต้องหลบหนีเดินทางออกจากลาวไปที่ สิงคโปร แล้วเดินทางกลับมาที่เวียดนามราววันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 ถูกทางการเวียดนามจับกุมทั้งสามคนในข้อหาใช้พาสปอร์ตปลอม ถูกขังอยู่ในนครโฮจิมินห์ จนกระทั่งถูกส่งตัวกลับไทยเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ด้วยความร่วมมือจากสถานทูตไทย ณ กรุงฮานอย ส่วนชะตาชีวิตของคนทั้งสามนั้น ไม่ทราบได้  เพราะรัฐบาลได้ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ว่าไม่รู้ไม่เห็น และปฏิเสธว่ายังไม่มีการส่งตัวกลับ หรือไม่มีการจับกุมแต่อย่างใด ส่วนตัวคิดว่า คงเสียชีวิตไปแล้ว 

…หลังการนั้น มีการจับภรรยาและลูกชายของชูชีพเข้าค่ายทหาร 7 วันก่อนปล่อยตัว และเมื่อมีข่าวว่า ชูชีพ-สยาม-กฤษณะ ถูกส่งตัวกลับมาไทยและยังเงียบหายอยู่จนปัจจุบัน ครอบครัวของชูชีพยังคงเงียบเสียง มีเพียงแม่ของสยามที่ตระเวนยื่นหนังสือ ส่วนกฤษณะนั้นไม่เป็นที่รู้จักและยากจะสืบค้นประวัติของเขา

---------------------
11 พฤษภาคม 2019  · 
#สหายยังบลัด (กฤษณะ ทัพไทย)
   ถ้าพูดถึงผู้ชายคนนี้ รุ่นๆแยมคงไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นรุ่นยุคสหายเก่า จะต้องรู้จักเขาดี เขามีชื่อจัดตั้งมากกว่าหนึ่งชื่อ แต่แยมจะเรียกเขาว่า “น้ายัง” เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด ฉายาเขาในกลุ่ม แยมตั้งฉายาแกว่า “พูดน้อยต่อยหนัก”บ้าง “เสือยิ้มยาก” บ้าง
   แยมได้รู้จักน้ายัง เมื่อปลายปี 59 ลุงสนามหลวงเชิญน้ายังมาร่วมงานกัน. ทันทีที่แยมได้เห็นหน้าเขา. แยมนึกในใจ “หู้ยยย น่ากลัวจัง” เขาเป็นคนรูปร่างใหญ่ ดูผิวเผินเหมือนจะดุๆ แยมก็พยายามทักทายเขา ชวนเขาคุยนั่นนี่ไปเรื่อย..จนเขาเล่าสมัยตอนที่เข้าป่าให้ฟัง แยมก็นั่งฟังด้วยความสนใจ..
   น้ายังจริงๆแล้วเขาไม่ดุ ไม่ถือตัวนะ เท่าที่แยมได้สัมผัสแล้ว เพียงแต่เขาเป็นคนพูดน้อยก็เท่านั้นเอง. และเขาเปรียบเสมือนมือขวาลุงสนามหลวง แยมชอบมากเวลาที่ลุงสนามหลวง แกแซวน้ายัง น้ายังก็ได้แต่ยิ้มอายๆ..
    เขาเป็นคนที่ทำให้แยมแปลกใจได้อยู่บ่อยครั้ง. คือด้วยลักษณะที่เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่เวลาเราคุยกันแล้วเป็นประเด็นที่เขาสนใจ เขาจะพูดและอธิบายได้อย่างลึกซึ้งและรอบรู้มากๆ. ตรงนี้ทำให้แยมแซวเขาบ่อยๆว่า “โอ้โห สุดยอดอ่ะ น้ายังนี่ก็ไม่ธรรมดาแฮะ”
    ส่วนใหญ่ที่แยมคลุกคลีกับน้ายัง ก็คงจะเป็นเรื่องการฝึกทฤษฎีในการต่อสู้ แยมเคยบอกกับน้ายังว่าแยมอยากยิงปืนเป็น..น้ายังก็อธิบาย สอนแยมโดยที่เปิดรูปในกูเกิลให้ดูระหว่างการสอน แยมได้แต่ทฤษฎีจากน้ายัง แต่แยมไม่เคยได้ปฏิบัติจริงสักครั้งเดียว..
    น้ายังแกเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่มีปัญหากับใครในบ้าน เขาจะเป็นคนที่คอยเลี่ยงปัญหาที่เกิดในบ้าน รวมถึงคอยเกลี้ยกล่อมเวลาคนในบ้านมีปัญหากัน..และด้วยตัวเขาเองเป็นสหายร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลุงสนามหลวงมานาน แกก็ไม่เคยทิ้งลุงสนามหลวง จนถึงวันนี้ 
แยมขอให้ทั้งสามคน. สยาม ลุงสนามหลวง น้ายัง ปลอดภัย 
#SaveSanamluangTeam
----------------------------
13 พฤษภาคม 2019  · 
ผู้ลี้ภัยสูญหาย 3 ราย


ไม่กี่วันที่ผ่านมามีการรายงานเกี่ยวกับสถานะของผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทย 3 ราย ถูกเจ้าหน้าที่รัฐของประเทศเวียดนามจับกุมและส่งกลับมาที่ประเทศไทย โดยผู้รายงานสถานการณ์ดังกล่าวคือ "เพียงดิน รักไทย" หนึ่งในผู้ลี้ภัยทางการเมืองอีกคนหนึ่งที่โพสต์ข้อความลง facebook
ผู้ลี้ภัยทั้ง 3 คนที่สูญหายไปนั้นได้แก่
นายชูชีพ ชีวสุทธิ์ (ลุงสนามหลวง)
นายสยาม ธีรวุฒิ (สหายข้าวเหนียวมะม่วง)
นายกฤษณะ ทัพไทย (สหายยังบลัด)
ผู้ลี้ภัยทั้ง 3 คนล้วนแล้วแต่ต้องโทษทางการเมือง และมีคดีความเกี่ยวกับความมั่นคงหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 แต่นี่ไม่ใช่กรณีแรก จากข้อมูลที่รวบรวมไว้โดย iLaw และ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พบว่ามีกรณีที่ผู้ลี้ภัยสูญหายไประหว่างที่รัฐบาล คสช. เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง และมีผู้ลี้ภัยสูญหายอย่างน้อย 8 คน และ 2 คนในที่นี้พบภายหลังว่าถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายทารุณด้วยการผ่าท้องยัดเสาปูนใส่กระสอบโยนทิ้งแม่น้ำโขง
ผู้ลี้ภัยทางการเมืองจำนวนมากล้วนถูกมาดร้ายหมายหัวจากรัฐไทย และ คสช. ด้วยคดีทางการเมืองอันเกิดจากทัศนคติที่แตกต่าง หลายคนต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย และความเสมอภาคเท่าเทียม แต่กลับต้องเผชิญชะตากรรมที่ไม่อาจคาดเดา เรื่องราวเหล่านี้ไม่อาจถูกทำให้เงียบหรือหลงลืมไปได้
ถ้าพวกเขาไม่ถูกกล่าวถึง ไม่ถูกจดจำ ในอนาคตอาจจะเป็นเราคนใดคนหนึ่งที่ถูกบังคับสูญหายไปเช่นกัน และเมื่อนั้นอาจไม่มีใครเหลืออยู่เพื่อทวงถามหาความยุติธรรมให้กับเราอีกต่อไป กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group - DRG จึงอยากเชิญชวนทุกคนร่วมกันส่งเสียงถามหาผู้สูญหายไปยังรัฐบาลไทย และประเทศที่พวกเขาเหล่านี้ต้องสูญหาย หรือเผชิญชะตากรรมที่โหดร้ายร่วมกัน เพื่อไม่ให้ชื่อของพวกเขาถูกลบเลือน และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการเช่นนี้ขึ้นอีก

-----------------------

เพิ่มเติมจากแหล่งอื่น

บทเรียนของ “วัฒน์” ชะตากรรมผู้ลี้ภัย 112
เมื่อสองสามวันมานี้ “จอม เพชรประดับ” สื่ออิสระที่ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ ได้สัมภาษณ์ข้ามทวีปกับ “วัฒน์ วรรลยางกูร” นักเขียนรางวัลศรีบูรพา

ที่เดินทางออกจากลาวไปลี้ภัยอยู่ในนครปารีส ฝรั่งเศส เผยแพร่ผ่านช่องยูทูบ และเฟซบุ๊ค

“วัฒน์” เล่าให้จอมฟังว่า หลังจากได้ลี้ภัยการเมืองอยู่ลาวระยะหนึ่ง ก็ไม่คิดว่าจะย้ายไปอยู่ประเทศที่สามอะไร แต่เมื่อมีการลอบสังหารโหดกลุ่มสุรชัย แซ่ด่าน ทำให้ต้องตัดสินใจหาทางติดต่อสถานทูตหลายประเทศในกรุงเทพ จนได้รับการช่วยเหลือให้สถานะผู้ลี้ภัยการเมือง จึงออกจากลาวได้

เทคนิคการขอสถานะผู้ลี้ภัยการเมือง นอกจากจะต้องเก็บเป็นความลับ เพื่อไม่ให้กระบวนการถูกกดดันจากประเทศที่หนีออกมาแล้ว เอกสารหลักฐานทุกอย่างต้องยืนยันได้ชัดเจนว่า ชีวิตไม่ปลอดภัย หากต้องกลับประเทศไทย

วัฒน์ใช้เวลาทำเรื่องขอลี้ภัย ตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค.2561 จนถึงกลางเดือน พ.ค.2562 จึงได้เดินทางออกจากสนามบินสากลวัดไต นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว

เมื่อ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ rue Jean Lantier75001 Paris ”จรัล ดิษฐาอภิชัย" ได้เปิดตัว “สมาคมนักประชาธิปไตยไร้พรมแดน” พร้อมกับต้อนรับสมาชิกใหม่คือ วัฒน์ วรรลยางกูร

หลังรัฐประหาร 2557 “วัฒน์” หลบไปอยู่ที่พนมเปญ กัมพูชา ก่อนจะเดินทางไป สปป.ลาว ในระยะแรก เขาไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง

ต้นปี 2559 “โกตี๋” หนีจากเขมรมาอยู่ลาว ได้มาร่วมงานกับ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ ทำวิทยุใต้ดินผ่านยูทูบในนาม สถานีไทยเสรีเพื่อสาธารณรัฐไทย โดยโกตี๋ หรือ “สหายหมาน้อย” และชูชีพ หรือ “ลุงสนามหลวง” เอาจริงเอาจังกับการจัดรายการมาก เพราะมีแฟนคลับทางเมืองไทยติดตามฟังจำนวนมาก

5 ธ.ค.2559 โกตี๋-ชูชีพ ประกาศจัดตั้ง “องค์กรสหพันธรัฐไท” เพื่อการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองในประเทศไทย โดยสมาชิกสหพันธรัฐไท มีอยู่ 7 คน รวมทั้งกลุ่มวงดนตรีไฟเย็นด้วย

ที่น่าสนใจคือ มีการเปิดตัว “สหายร้อยสิบสอง” หรือวัฒน์ วรรลยางกูร ที่ได้จัดรายการวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง ร่วมกับลุงสนามหลวง และสหายยังบลัด

กลางปี 2560 โกตี๋กับชูชีพทะเลาะกันรุนแรง และจบด้วยการแยกกันอยู่ ตามมาด้วยการที่โกตี๋ถูกอุ้มหายไป จนวันนี้ก็ไม่มีใครพบศพโกตี๋ ดังนั้น “สหายร้อยสิบสอง” จึงไปอยู่กับลุงสนามหลวง และยังดำเนินรายการวิทยุใต้ดินต่อ

ปี 2561 สหายร้อยสิบสองหายไปจากกลุ่มวิทยุใต้ดิน โดยหลบไปสร้างบ้านอยู่นอกนครหลวงเวียงจันทน์และตั้งใจเขียนหนังสือ ตัดขาดจากกลุ่มวิทยุใต้ดิน

เมื่อสุรชัย แซ่ด่าน และลูกน้องสองคน ถูกอุ้มไปจากบ้านพักสหายร้อยสิบสองเห็นว่า การอยู่ในเมืองลาวนั้นไม่ปลอดภัยเสียแล้ว จึงทำเรื่องขอลี้ภัย จนได้ไปใช้ชีวิตใหม่ในดินแดนเมืองน้ำหอม

วัฒน์บอกว่า การที่อยู่ในเมืองลาวของผู้หลบภัยนั้น สุ่มเสี่ยง ไม่มีสถานะใดๆ รองรับ เหมือนผู้ที่ไร้ตัวตน จะตายวันไหนก็ได้
-----------------------



เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2563 เป็นวันครบรอบ 1 ปีที่ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนออกมาแถลงว่า สยาม ธีรวุฒิ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 112 และนักจัดรายการวิทยุ/ยูทูบใต้ดินในชื่อ 'สหายข้าวเหนียวมะม่วง' หายตัวไปพร้อมกับ ‘ลุงสนามหลวง’ หรือชูชีพ ชีวะสุทธิ์ และ กฤษณะ ทัพไทย หรือสหายยังบลัด โดยภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า ทั้ง 3 คนถูกจับกุมตัวที่เวียดนามและถูกส่งตัวกลับไทย แต่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมานั้นยังไม่มีผู้ใดทราบชะตากรรม

น้องสาวของสยาม ยืนยันว่า 1 ปีที่ผ่านมาหลังทราบเรื่องและเดินสายร้องเรียนกับหน่วยงานต่างๆ ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร หากจะมีอะไรบ้างส่วนมากก็เป็นการชวนครอบครัวของเธอไปร่วมกิจกรรมกับองค์กรเหล่านั้นมากกว่า

กัญญา ธีรวุฒิ แม่ของสยามวัย 64 ปี กล่าวยืนยันเช่นเดียวกันว่า ไม่มีคำตอบอะไรเลย ทั้งจากทางกองปราบปรามหรือสถานเอกอัครราชทูตเวียดนาม หรือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

“แม่ไม่รู้ว่าจะดิ้นแบบไหน เราเจาะไม่ได้เลย ถ้าเราเจาะได้สักที่หนึ่งมันก็คงจะเจอทางออก แต่ว่าเราเจาะไม่ได้เราก็ไม่เจออะไรเลย เขามีข้อมูลให้เราสักเปอร์เซ็นต์หนึ่ง เราก็ยังพอดิ้นได้ แต่อันนี้มันไม่มีอะไรเลย ก็ทำให้เราดิ้นไม่ได้ คือดิ้นไปเราก็ไม่รู้ว่าจะไปเจอกับอะไร" แม่สยามกล่าว

กัญญา กล่าวตั้งคำถามอีกว่า ตนดิ้นออกตัวไปขนาดนั้นแล้วยังไม่มีคำตอบมันหมายถึงอะไร

"คิดถึง ห่วงใย ถ้าไม่พึ่งพระบ้างแม่คงแย่นะ แม่ไปดูพระว่าไม่ตาย พระว่ายังอยู่ เราก็โอเคทำให้มีความรู้สึกว่า สยามยังอยู่" แม่ของสยามกล่าวด้วยว่า ตัวเองเหมือนถูกปูนทับ หาทางออกไม่ได้

ขณะที่วันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา วงสามัญชน จัดการแสดงผ่านเฟสบุ๊คไลฟ์ ร้องเพลงให้เพื่อนฟัง ในวาระครบรอบ 1 ปีการหายตัวไปของสยามด้วย

ก่อนหน้าการหายตัว สยามและพวกลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศลาว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า สยามเป็นหนึ่งในนักแสดงของกลุ่มประกายไฟการละครซึ่งแสดงละครเรื่อง “เจ้าสาวหมาป่า” ในงานรำลึก 40 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทีมงานของละครเรื่องนี้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญามาตรา 112 หลายราย รวมทั้งสยามที่ถูกเจ้าหน้าที่ออกหมายจับในสมัยรัฐบาล คสช. หลังรัฐประหารปี 2557 ต่อมาในปี 2561 สยามถูกกล่าวหาจากหน่วยงานความมั่นคงในฐานะหนึ่งในแกนนำร่วมจัดตั้งและเผยแพร่อุดมการณ์ทางความคิด “สหพันธรัฐไท”

พฤษภาคม 2562 แม่ของสยามทราบว่าลูกชายพร้อมเพื่อนอีกสองคนถูกจับกุมตัวที่เวียดนามและถูกส่งตัวกลับมาที่ไทยเมื่อวันที่ 8 พ.ค. แต่หลังจากนั้นสยามได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้กัญญาจะพยายามตามหาลูกชายแต่ไร้คำตอบใดๆ จากเจ้าหน้าที่


“ไอซ์เขาเป็นเด็กดี ไม่ว่าพ่อแม่อยากได้อะไร เขาก็ทำให้ แต่ขณะเดียวกันเขาเชื่อมั่นในตัวเองนะ มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะเขาอ่านหนังสือมาก ทำให้มั่นใจในสิ่งที่ทำ ช่วงเข้ามหา’ลัย ประมาณปี พ.ศ. 2553 – 2554 ที่ภาคใต้มีประเด็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน เขาไปช่วยชาวบ้านต่อต้าน จุดนี้น่าจะเป็นประกายที่ทำให้เขาเลือกฝ่าย เวลาไปทำกิจกรรมเขาบอกแม่ตลอด เราไปรับไปส่งเขา”
.
“ไอซ์เขาอยากเห็นประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ไม่ใช่ออกกฎหมายโดยไม่มีการตรวจสอบ ประชาธิปไตยควรต้องเป็นประโยชน์กับทุกคน เขาอยากให้ทุกคนสามารถมานั่งคุยกันได้อย่างเท่าเทียม แม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำนะ ว่ามันเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นต่อไป มั่นใจในความเชื่อของเขา”
.
“ไอซ์เขาแค่เล่นละคร ไปเอาหลักฐานอะไรมาบอกว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วให้เขาติดคุกตั้ง 15 ปี เกินไปหรือเปล่า และไม่ได้ตรวจสอบก่อน ออกหมายจับเลย เขาไม่ใช่ยาพิษหรือระเบิดที่ปล่อยเอาไว้แล้วจะพุพองไปทั่วประเทศ”
.
“ช่วงหลังรัฐประหาร ไอซ์เขาชั่งน้ำหนักแล้วว่าถ้าโดนจับอาจเสี่ยงถูกซ้อม ไม่รู้จะเป็นหรือตาย เขาเลยขอหนีไปเรื่อยๆ เพราะคนพวกนี้ไม่ฟังคนจนหรอก เขาออกนอกประเทศไปแบบกะทันหัน ตอนนั้นแม่มีเงินติดตัวแค่ 400 บาท ก็ให้ลูกไปเท่านั้น”
.
“ตอนแม่รู้ข่าวว่าเขาหายไปหลังถูกจับที่เวียดนาม แม่ไปขอความช่วยเหลือจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เจ้าหน้าที่พูดกับแม่ว่าเรื่องยังอยู่ระหว่างคัดกรอง อย่าเอาไปพูดที่อื่นนะ ตอนเขาบอกแม่อย่างนั้น มันตื้อขึ้นมาเลย มันคือความโกรธ ปกติแม่เป็นคนไม่ร้องไห้ แต่พอเจ้าหน้าที่บอกแม่ว่าอย่าพูดเรื่องสยามหายไป เดี๋ยวประเทศจะเสียชื่อเสียง เราต้องรักประเทศของเรา น้ำตาแม่ตกเลย ห่วงภาพลักษณ์ประเทศ แล้วลูกของฉันที่หายไปล่ะ ใครจะมาช่วยเหลือ”
.
ส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ “สยาม ธีรวุฒิ: จากลูกชายของแม่ สู่ศัตรูของชาติ และการเดินทางเพื่อตามหาความยุติธรรม” การสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางกองหนังสือเล่มเขื่องและดิกชันนารีสารพัดภาษาของรักของหวงของสยาม ธีรวุฒิ หรือ ไอซ์ หนุ่มวัย 29 ปี หนอนหนังสือผู้มักลงท้ายประโยคด้วยคำว่า “ครับ” เสมอแม้กระทั่งกับเพื่อนฝูง
.
สยามเป็นหนึ่งในนักแสดงของกลุ่มประกายไฟการละครซึ่งแสดงละครเรื่อง “เจ้าสาวหมาป่า” ในงานรำลึก 40 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทีมงานของละครเรื่องนี้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญามาตรา 112 หลายราย รวมทั้งสยามที่ถูกเจ้าหน้าที่ออกหมายจับในสมัยรัฐบาล คสช. หลังรัฐประหารปี 2557 ต่อมาในปี 2561 สยามถูกกล่าวหาจากหน่วยงานความมั่นคงในฐานะหนึ่งในแกนนำร่วมจัดตั้งและเผยแพร่อุดมการณ์ทางความคิด “สหพันธรัฐไท” พฤษภาคม 2562 กัญญา ธีรวุฒิ แม่ของสยาม ทราบว่าลูกชายพร้อมเพื่อนอีกสองคนถูกจับกุมตัวที่เวียดนามและถูกส่งตัวกลับมาที่ไทยเมื่อวันที่ 8 พ.ค. แต่หลังจากนั้นสยามได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้กัญญาจะพยายามตามหาลูกชายแต่ไร้คำตอบใดๆ จากเจ้าหน้าที่

-----------------------------------------
สยาม ธีรวุฒิ: จากลูกชายของแม่ สู่ “ศัตรูของชาติ” และการเดินทางเพื่อตามหาความยุติธรรม


ภายหลังการรัฐประหารของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่นำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16.30 น. ไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของรัฐธรรมนูญปี 2550 อันเป็นกฎหมายสูงสุดของชาติเท่านั้น แต่ยังหมายถึงจุดเริ่มต้นของการออกเดินทางของเหล่า “ศัตรูของชาติ” – ฐานันดรพิเศษซึ่งถูกสถาปนาขึ้นมาโดย คสช. เพื่อนิยามเหล่าผู้ต่อต้านอำนาจของรัฐเผด็จการ  ซึ่งต้องกลายสภาพเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ออกระหกระเหินผ่านทางช่องทางธรรมชาติ เซซัดกระจัดกระจายกันไปในหลายประเทศทั่วโลก และหนึ่งในนั้นคือ “สยาม ธีรวุฒิ” ชายหนุ่มวัย 29 ปี ณ เวลานั้น ผู้มาพร้อมกับแว่นตาสายตากรอบเหลี่ยม บุคลิกสุภาพที่คู่มากับการพูดด้วยเสียงเรียบ ๆ โทนเดียวที่กลายเป็นจุดเด่นของเขา

อดีตบัณฑิตจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และอดีตสมาชิกกลุ่มประกายไฟเริ่มต้นการเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองตั้งแต่ช่วงปี 2552 จากการวนเวียนตามงานเสวนาทางการเมือง ก่อนที่จะถูกชักชวนให้เข้าร่วมกับกลุ่มประกายไฟ  ด้วยความที่สนใจในเรื่องของประวัติศาสตร์และการเมือง บวกกับความหลงไหลในประเทศกัมพูชาจนถึงขนาดที่ต้องหาทางเรียนภาษากัมพูชาด้วยตัวเอง สยามจึงอยากที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนหนึ่งนั่นก็เพราะต้องการที่จะมีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ตัวเองสนใจ นั่นเองคือจุดเริ่มต้นของสยามบนเส้นทางของนักกิจกรรมเพื่อสังคม

ทางด้านการเมือง สยามได้มีส่วนร่วมสังเกตการณ์เหตุการณ์ชุมนุมหลายครั้ง เช่น การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อปี 2553 รวมไปถึงกิจกรรมคัดค้านความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาในปีต่อมา และยังได้เคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มประกายไฟในประเด็นเรื่องคุณภาพชีวิตของแรงงาน เพื่อรณรงค์ให้เกิดความเข้าใจเรื่องสิทธิและสามารถต่อรองกับทางนายจ้าง รวมไปถึงเรื่องการผลักดันระบบรัฐสวัสดิการ อย่างไรก็ตาม ชีวิตของสยามถึงจุดพลิกผันครั้งใหญ่เมื่อคราวที่เขาได้ร่วมเล่นละครเวทีเรื่อง “เจ้าสาวหมาป่า” ในงานรำลึก 40 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เมื่อปี 2556 ผลจากกิจกรรมในครั้งนั้น ทำให้เพื่อนของสยามสองคนที่ร่วมเล่นละครด้วยกันถูกดำเนินคดีในข้อหาละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 และถูกจำคุกเป็นเวลากว่า 2 ปี ในขณะที่สยามเองต้องหลบหนีออกจากประเทศไทยเหตุเพราะถูกรัฐออกหมายจับในข้อหาเดียวกัน

และด้วยเหตุนั้น การเดินทางอันแสนยาวนานของสยามจึงได้เริ่มขึ้น…

.
“สยาม” ในทรงจำของแม่
“สยามเขาสนิทกับแม่มากนะ เวลามีอะไรเขาจะเล่าให้ฟังตลอด แม่เคยถามสยามว่า หนูมองหาความรักมั่งไหม สยามบอกว่าไม่หรอกครับแม่ (หัวเราะ) สยามยังโสด ตัวแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาอยากทำกิจกรรมทางการเมือง ตอนแรกเราก็ห้ามนะ อย่าไปเล่นละครเลย มาช่วยพ่อทำงานก่อน แม่จำได้ว่าเพื่อนเขาโทรมา ถามว่าทำไมถึงไม่ไปซ้อม ตอนนั้นแม่ขับรถอยู่แล้ว เขาบอกว่า เนี่ย เดี๋ยวก็เล่นไม่ได้ สยามก็เลยบอกไปว่าขอมาทำธุระกับแม่ก่อน เดี๋ยวตามไป”

กัญญา ธีรวุฒิ เล่าถึงเรื่องราวในหนหลังระหว่างเธอกับลูกชายที่บ้านในย่านอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อครั้งที่ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเดินทางเข้าไปพบเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสยามเพิ่มเติม

ในห้วงก่อนที่ยังเป็นแค่ลูกชายของครอบครัวช่างแอร์ นักเขียนผู้กระหายใคร่รู้ในเรื่องของสังคมและวัฒนธรรมโดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กัญญาเล่าว่า เธอสัมผัสได้ถึงความชอบในเรื่องการเมืองและรัฐศาสตร์ของลูกชายชัดเจนตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนมัธยม อาจจะเพราะด้วยความที่เป็นหนอนหนังสือตั้งแต่เมื่ออายุเพียง 3 ขวบ กัญญาชี้ให้เห็นหนังสือกองพะเนินซึ่งถูกจัดเรียงในตู้ที่เธอเก็บรักษาไว้แม้ในวันที่ลูกชายไม่อยู่ ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง สังคม รวมไปถึงทฤษฎีของนักคิดคนสำคัญจากหลากหลายสกุลทางความคิด และที่เตะตาที่สุด หนังสือดิกชันนารีสารพัดภาษาเล่มเขื่องหลายเล่มที่กัญญาเล่าว่าเป็นของรักของหวงของสยาม ด้วยความที่ชอบอะไรที่ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน สยามจึงไม่มีเพื่อนที่พร้อมจะแชร์เรื่องราวที่สนใจร่วมกัน กระทั่งเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย เขาจึงได้พบพื้นที่ของตัวเอง

“พอไอซ์ (ชื่อเล่นของสยาม) เข้ามหาลัยก็ไปร่วมกิจกรรม ประมาณปี 2553 – 2554 อย่างที่ใต้ ตอนมีประเด็นเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน เขาก็ไปช่วย เวลาสยามไปทำกิจกรรมอะไรจะบอกแม่ตลอด เราก็ไปรับไปส่งเขา จุดนี้น่าจะเป็นประกายที่ทำให้เขาเลือกฝ่าย เมื่อก่อนเขาเคยชอบประชาธิปัตย์นะ แต่แล้วก็เปลี่ยน เหมือนเราตอน 15 20 ความชอบมันก็เลื่อนก็เปลี่ยนกันได้ แต่เรื่องเขมรนี่เขาชอบมาก เขาพูดได้ด้วยเพราะเรียนด้วยตัวเอง”

“ตอนที่เขาออกไปต่างประเทศ เขาไปแบบกระทันหันเลย เราก็ไม่คิดว่าเขาจะไปนาน ครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกกัน สยามบอกว่าจะไปที่ มธ. ท่าพระจันทร์ ไปหาอาจารย์ ตอนนั้นแม่มีเงินติดตัวแค่ 400 ก็ให้ลูกไปเท่านั้น เดี๋ยวว่าจะโอนให้ เขาพยายามบอกไม่ให้เราห่วง แต่เขารู้แล้วว่าเขาจะไป แต่พยายามเบี่ยงความสนใจแม่”

ระหว่างที่ให้สัมภาษณ์ กัญญายังได้เล่าถึงความรู้สึกของเธอ เธอยอมรับว่า ในช่วงที่สยามออกมาทำกิจกรรม เธอเองก็เป็นห่วง แต่ไม่เคยคิดจะปิดกั้นลูก เพราะเชื่อว่าสยามคิดและคำนวนในหัวของเขาอยู่แล้วถึงผลที่จะตามมา และสามารถชั่งน้ำหนักได้ด้วยตัวเอง กระนั้นก็ตาม ในฐานะคนเป็นแม่ กัญญายังสัมผัสได้ถึงกระแสความตึงเครียดที่เกิดขึ้นกับลูกชายก่อนการออกเดินทางที่จะทำให้เขาห่างจากอกแม่นานถึงกว่า 5 ปี

“เราสังเกตเห็นนะ เขาเคยพูดว่าอยากให้แม่เอาเงินไปแลกไว้ เราก็ถามว่าเขาจะไปไหน แต่เรารู้แล้วแหละว่าเขาเครียด พอเรานอน เขาก็มาเกาะข้างเตียง เขาพูดกับเราว่า ‘ถ้าผมไปหลายวัน แม่จะคิดถึงผมไหม?’ เราก็เลยถามเขากลับ ‘แล้วเราอะจะคิดถึงแม่ไหมล่ะ? ถ้าจะไปก็ต้องไป’ เขาพูดเป็นนัยๆ ว่าถ้าไป คงต้องไปหลายวัน เราก็ต้องคิดถึงอยู่แล้ว ตอนนั้นช่วงหลังรัฐประหาร เขาพูดเรื่องนี้ในเดือนที่จะไปนั่นแหละ แม่ว่าเขาเองก็ชั่งน้ำหนักอยู่ในตอนนั้น ถ้าอยู่ต่อก็ไม่ปลอดภัย เสี่ยงจะโดนซ้อม เขาบอกว่าถ้าโดนจับก็ไม่รู้จะเป็นหรือจะตาย เขาเลยขอหนีไปเรื่อย ๆ เพราะคนพวกนี้ไม่ฟังน้ำหนักคนจนหรอก”

เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่กัญญาต้องแบกความคาดหวังอันหนักอึ้งในการตามหาลูกชายที่หายตัวไป แต่กัญญาก็ยังยิ้มและหัวเราะ แม้จะทราบว่าตัวเองมีข้อจำกัด แต่หัวใจของเธอยังคงมีความหวังและปฏิเสธที่จะยอมแพ้

“ตัวแม่เป็นคนนครปฐม เราจบแค่ ป.4 แต่แม่ทำได้หมดเลยนะ ทั้งทำนา ดำนา เกี่ยวข้าว ซ่อมแอร์ติดแอร์ รถเกี่ยวรถตักแม่ก็ขับได้ แม่บอกลูกทุกอย่างว่าทำอะไรได้บ้าง ที่ไม่ได้ก็เห็นจะมีแต่ ปั่นจักรยานกับเขียนหนังสือ (หัวเราะ) แล้วก็ลูกนี่แหละที่ยังหาไม่เจอ”


#TLHRrecap
อ่านบทสัมภาษณ์ กัญญา ธีรวุฒิ แม่ของสยาม ฉบับเต็มได้ที่ https://www.tlhr2014.com/?p=14100 

-----------------------------------------------------------------

รูปน้องแยมมี่ วงไฟเย็น กับ สยาม ธีรวุฒิ ขณะลี้ภัยใน ประเทศเพื่อนบ้านค่ะ




🇻🇳 สยาม ซึ่งหนีออกจากประเทศไทย หลังรัฐประหารปี 2014 ด้วยวัยเพียง 29 ปี ถูกอุ้มหาย พร้อมลุงสนามหลวง YouTuber ล้มเจ้าชื่อดัง ขณะเดินทางในเวียดนาม มีข่าวว่าทางการเวียดนามแลกตัวผู้ลี้ภัย activist การเมืองชาวเวียดนามที่กำลังทำเรื่องลี้ภัยกับ UNHCR ในกรุงเทพ กับทางการไทย ผ่านทีมของค้อก จักรภพ ภูริเดช .. แหล่งข่าวใกล้ชิดพูดตรงกันว่า สยาม ลุงสนามหลวง และผู้ลี้ภัยอีกคน ถูกส่งกลับไทยไปอยู่ในคุกทวีวัฒนาแล้วหายตัวไปไม่มีใครได้เจออีก




ส่วน แยมมี่ วงไฟเย็น รอดตายหวุดหวิด ปัจจุบันลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส วงไฟเย็น เป็นผู้ลี้ภัยไทยชุดสุดท้ายที่รัฐบาลฝรั่งเศส ออก passport ฉุกเฉินพิเศษช่วยเหลือให้เดินทางออกมาจากประเทศเพื่อนบ้านได้ เนื่องจาก เดือนท้ายๆที่วงไฟเย็นอยู่ในลาว ถูกชายนิรนาม โทรมาข่มขู่และกล่อม ให้เดินทางกลับไปมอบตัวที่ไทย มิเช่นนั้นจะมีจุดจบแบบผู้ลี้ภัยคนอื่นที่โดนอุ้มฆ่า


---------------------------------------------------------------
#อุ้มฆ่า ตอนที่ 9
วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์



...ต้าร์เป็นนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยที่อาศัยอยู่ที่กรุงพนมเปญ นอกจากนี้ เขายังเป็นนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และการป้องกันเชื้อเอชไอวีในหลายประเทศ มีรายงานว่า ต้าร์เป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามรายงานที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวอิศราด้วย
…ต้าร์มาจากจังหวัดอุบลราชธานี จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยเป็นผู้ประสานงานศูนย์กิจกรรมเยาวชนเพื่อชุมชนและสังคม (Y-act) เคยทำงานกับสถาบันเยาวชนเพื่อไทย พรรคเพื่อไทย ต่อมาในช่วงการประท้วงการเมือง 2557 เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านเผยแพร่ข่าวสารและประชาสัมพันธ์ โดยการแต่งตั้งของรองนายกรัฐมนตรี เฉลิม อยู่บำรุง ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ แต่หลังรัฐประหารในประเทศไทย 2557 ต้าร์ถูกหมายจับคดีฝ่าฝืนคำสั่งเรียกรายงานตัวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หมายจับคดีฐานความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในปี พ.ศ. 2558 และหมายจับในคดีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2560 กรณีโพสต์ข้อความบิดเบือนให้ร้ายรัฐบาลและประยุทธ์ เกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติด เมื่อปี 2561
…ต้าร์ได้ลี้ภัยไปอยู่ในกัมพูชาร่วมกับผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ในระยะหลัง ต้าร์ไม่ค่อยมีบทบาททางการเมืองมากเท่าไหร่ ที่แน่ๆ ไม่ได้เขียนข้อความหมิ่นเจ้าแต่อย่างใด เลยคิดว่าตัวเองปลอดภัย แม้ว่าก่อนหน้านี้ ผู้ลี้ภัยคนอื่นจะถูกอุ้มไปหมดแล้ว รวมถึงกรณีไฟเย็นที่ต้องหนีไปฝรั่งเศส ต้าร์อาจจะชะล่าใจในจุดนี้ 
…ในวันที่ 4 มิถุนายน ต้าร์ถูกลักพาตัวบริเวณหน้าที่พักขณะลี้ภัยในกรุงพนมเปญ เมื่อเวลา 17.54 นาฬิกา โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโดมิเนียมพยายามเข้าไปช่วย แต่ถูกสกัดด้วยกลุ่มคนร้าย (4-5 คน) ใช้อาวุธปืนข่มขู่ ระหว่างเกิดเหตุพี่สาวกำลังโทรศัพท์คุยกับต้าร์ โดยได้ยินเสียงสุดท้ายว่า "โอ๊ย หายใจไม่ออก" ก่อนสายจะตัดไป และหลังพยายามติดต่อกลับกว่าครึ่งชั่วโมง รวมทั้งติดต่อเพื่อนให้ช่วยตรวจสอบกับที่พักของเขาจึงทราบว่าหายตัวไป รายละเอียดต่อไปนี้ ดิชั้นได้จากพี่สาวของต้าร์โดยตรงค่ะ
…ต้าร์บอกกับคนอื่นช่วงก่อนจะมีเรื่องว่า จริงๆ แล้วผมไม่ควรจะออกจากห้องพักเลย พี่ที่คุ้มกะลาหัวต้าร์อยู่ในวัง ชื่อพันโทสมชาย กาญจนมณี รองเลขาธิการพระราชวังฝ่ายนโยบายและแผนปฏิบัติการ เป็นคนดูแลต้าร์อยู่  เข้าใจว่าโทรมาหาต้าร์ "เตือนๆ" ด้วยความเป็นห่วงหรืออะไรบางอย่าง เพราะต้าร์ไปเล่น รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลสในช่วงเริ่มต้นใหม่ๆ ก็อาจจะถูกเพ่งเล็ง ต้าร์เปรยอย่างนั้น และเข้าใจว่า ตัวเองตกอยู่ในอันตราย โดยเฉพาะหลังจากการเล่นในกลุ่มตลาดหลวง เพราะอีกอย่าง ตำรวจมาเยี่ยมบ้านแม่ที่อุบลประมาณเดือนพฤษภาคม ประมาณ 4-5 คน เหมือนมาเตือนอะไรทำนองนั้น
….ปีก่อนหน้านี้ ต้าร์เล่าว่า เขาได้เขียนจดหมายไปถึงวชิราลงกรณ์ และได้รับคำตอบ (ไม่รู้โดยตรงหรือผ่านใคร) ประมาณว่า บอกว่าโอเค คือคิดว่าน่าจะกลับไทยได้ "ผมกลับไทยได้นะ" เค้าบอกกับเพื่อนๆ ที่ไทย สำหรับธุรกิจ ทีต้าร์เปรยๆ ในเฟซบุ๊ค ก็มีเรื่องทำเหมืองแร่ เรื่องการผลิตสิตค้าอะไรบางอย่างที่นำเข้าจากจีนมาที่เขมร ทำหน้าที่เสมือนประชาสัมพันธ์การลงทุนในเขมร และมีโครงการโรงพยาบาลในเขมร เชื้อเชิญกลุ่มทุนโรงพยาบาลมาทำที่นี่ เพราะโควิด-19 ทำให้คนเขมรไปไทยไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การพนัน ผู้หญิง ทวงหนี้ ติดหนี้ ฯลฯ
…แต่การที่ทั้งทางการไทยและกัมพูชาออกมาปฏิเสธการรู้เห็น ทำให้มองว่า มีความพยายามด้อยค่าหลักฐานที่แสดงว่าต้าร์อยู่เขมรจริงตามหนังสือตอบจากกระทรวงต่างประเทศ วันที่12 ส.ค. การปฏิเสธแบบนี้ยิ่งเพิ่มความสงสัยในการเกี่ยวข้องของทางการไทยอย่างค่อนข้างแน่นอน
....เดี๋ยวมาเขียนเรื่องต้าร์ต่อ จากประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ
ปล: รูปที่ให้ดูนี้ มีเพื่อนของเราตามไปเก็บรูปซ้ำที่ที่ต้าร์เคยไป

----------------------------------------------------------------
#อุ้มฆ่า ตอนที่ 10


ต้าร์ วันเฉลิม
ต้าร์ วันเฉลิมหายไปจากเราตอนเย็นวันที่ 4 มิถุนายน ต้าร์พักอยู่ที่คอนโดหรู แม่โขงการ์เด้น วันนั้น ต้าร์ลงมาซื้อของกินหน้าคอนโด ระหว่างที่ยืนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ก็คุยโทรศัพท์กับพี่สาวที่เมืองไทย ในโอกาสนั้นเองที่ต้าร์เผลอ มีรถสีดำขับปาดมาด้านข้างของต้าร์ มีผู้ชายลงมาจากรถ 3-4 คน ทุกคนมีผ้าคลุมหัวทั้งหมด ในระยะเวลาสั้นๆ นั้น คนที่ผ่านไปมายังไม่สังเกตอะไร เพราะเป็นช่วงโควิดที่ใครๆ ก็สวมหน้ากากกัน แต่เมื่อคนร้ายบุกประชิดตัวต้าร์ ก็เริ่มมีการฉุดกระชากลากถู ในมือของต้าร์ยังกำโทรศัพท์แน่น ต้าร์ทนสู้แรงผู้ชายหลายคนนั้นไม่ได้ ถูกลากขึ้นรถตู้ ยามหน้าคอนโดอยากวิ่งเข้ามาช่วย แค่คนร้ายเอาปืนทำท่าขู่ว่าจะยิง เลยไม่กล้าเข้าไป เมื่อได้ตัวตาร์ รถสีดำคันนั้นก็ขับหายไปจากสายตา ทิ้งให้คนที่ดูเหตุการณ์ตกตะลึง
....ต้าร์อยู่บนรถ ตอนนั้นยังมีชีวิตอยู่ และสายโทรศัพท์กับพี่สาวยังไม่ขาด น่าจะมีการทำร้ายต้าร์ตั้งแต่อยู่บนรถ โดยการรัดคอ อาจเป็นเพราะต้าร์ร้องส่งเสียงให้คนช่วย จึงต้องระงับการส่งเสียงนั้น ดิชั้นไม่เชื่อว่า แผนคือต้องการสังการทันทีบนรถ น่าจะต้องการล้วงความลับใดๆ จากต้าร์ก่อนหากจะมีการลงมือจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครรู้ได้ว่าในที่สุดแล้ว บทลงเอยจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ ต้าร์ยังมีชีวิตอยู่ไหม ถ้ายังอยู่ อยู่ที่ไหน กับใคร ไม่มีใครตอบได้จริงๆ

...บางคนสันนิษฐานว่า วชิราลงกรณ์โกรธที่ถูกรบกวนที่เยอรมัน ด้วยการฉายโปรเจคเตอร์ซ้ำๆ เลยต้องการสั่งสอน แต่มันไปลงที่ต้าร์ แต่เอาจริงๆ ไม่มีใครรู้เป็นแน่แท้ว่าทำไมถึงเป็นต้าร์ที่ถูกอุ้ม

...ดิชั้นไม่ได้รู้จักกับตาร์เลยก่อนหน้านี้ เพิ่งมาได้ยินชื่อเสียงก็หลังจากรัฐประหารแล้ว แต่ก็อีกแหละ ดิชั้นก็ยังไม่รู้จักว่าเค้าเป็นใคร จำได้ว่าเค้าเคยส่งข้อความมาหลังไมค์มาคุยเรื่องธรรมดา ซึ่งดิชั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งเมื่อมีโอกาสไปทำ fieldwork ที่เขมรปี 2017 หรือ 2018 นี่แหละ ได้มีโอกาสไปพบผู้ลี้ภัยที่นั่น และได้เจอต้าร์ แต่เราก็ไม่ได้คุยกันมาก เพราะเราไม่ได้สนิทกัน แต่ก็มีการแลกเบอร์โทรกันไว้
....หลังจากนั้น ต้าร์ก็ส่งข้อความมาคุยบ้าง นานๆ ที เอาเป็นว่า ปีละหนสองหนมั้ง แต่ดิชั้นก็ติดตามความเคลื่อนไหวต้าร์ตลอด และรู้ว่า หลังๆ ต้าร์ก็ไม่ค่อยได้วิจารณ์รัฐบาล เอาจริงๆ ไม่ได้วิจารณ์เจ้าเลยด้วยซ้ำ เพราะเพิ่งมาทราบข้อมูลใหม่ไม่นานว่า ต้าร์พยายามส่งข้อความฝากไปถึงวชิราลงกรณ์ เพื่ออธิบายเรื่องต่างๆ จนได้รับสัญญาณว่าปลอดภัยแล้ว และอาจกลับบ้านได้ เสียดาย ที่วันนี้ ต้าร์กลับบ้านไม่ได้อีกแล้ว


...หลังจากเกิดเหตุการณ์ทำร้ายดิชั้นในห้องพักที่ญี่ปุ่น และเป็นเรื่องราวใหญ่โต และจนถึงทุกวันนี้ ตำรวจญี่ปุ่นก็ยังติดต่อกับดิชั้นตลอดเวลา ฝ่ายเราได้ข่าวมาว่า มือสังหาร ไม่ว่าจะลงมือเองหรือสั่งใครก็ตาม เค้าคือจักรภพ ภูริเดช ซึ่งเรื่องนี้ ดิชั้นได้แจ้งทางฝ่ายญี่ปุ่นไว้แล้ว ถ้าใครจำได้ ดิชั้นได้เขียนเรื่องจักรภพในเฟซบุ๊คของดิชั้นหลายเดือนก่อน พอเขียนไปแล้ว ต้าร์ก็ส่งข้อความหลังไมค์มา นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราคุยกัน
...เราคุยกันวันที่ 10 พฤษภาคม เพียงสามอาทิตย์ก่อนต้าร์ถูกอุ้ม ต้าร์เขียนมาอธิบายถึงเรื่องจักรภพ และช่วยแก้ข้อความที่ไม่ถูกต้องบางอย่างเกี่ยวกับจักรภพ รวมถึงเล่าเรื่องตัวเอง (หลังจากที่ไม่ได้คุยกันเกือบปี) ว่าสุขสบายตามอัตภาพ และกำลังทำธุรกิจหลายอย่างในเขมร ต้าร์เล่าว่า เพราะธุรกิจเหล่านี้ที่ยังติดพัน เลยทำให้ต้าร์ไม่อยากย้ายประเทศ แม้รู้ว่ายังมีปัญหาด้านความปลอดภัยอยู่ หลังจากที่ผู้ลี้ภัยในลาวถูกสังหารเกือบทั้งหมด ต้าร์เล่าว่า เมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนจากฝั่งไทยมาคอยตามดูต้าร์ แล้วคนพวกนี้ก็ถูกบันทึกไว้ใน CCTV ของร้านอาหารแถวคอนโด

...ต้าร์บอกว่า หลังจากที่ดิชั้นเขียนเรื่องจักรภพ ทางมิวนิครู้เรื่อง จักรภพโกรธมาก ต้าร์ยังแค็ปบทสนทนาที่ต้าร์มีกับหนอนฝ่ายนั้น ที่ระบุว่า จักรภพโกรธที่ดิชั้นเขียนถึงเค้า และ “จะส่งคนมาเชือด” หลังจากนั้น ต้าร์ก็ขอโทรมาคุย แทนที่จะพิมพ์ข้อความ ดิชั้นคุยกับต้าร์ได้เพียง 11 นาที ไม่ได้คุยอะไรเป็นพิเศษ เค้าขอให้ดิชั้นระวังตัว แค่นั้น ไม่คิดเลยว่า นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ดิชั้นคุยกับต้าร์
...วันเกิดเหตุ มีคนส่งข้อความมาหาดิชั้นว่าต้าร์ถูกอุ้ม คือช้อคและทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวแบบนั้น ดิชั้นเช็คข้อความที่ดิชั้นคุยกับต้าร์ มันระบุว่า ต้าร์แอคทีฟเป็นครั้งสุดท้ายคือวันที่ 4 มิถุนายน และจนถึงวันนี้ มันก็ยังบอกเหมือนเดิมว่า ต้าร์ใช้แอพแช็ทอันนี้ครั้งสุดท้าย คือวันที่เค้าถูกอุ้มนั่นเอง... นึกถึงต้าร์เสมอ

-----------------------------------------------------------------------------------------
#อุ้มฆ่า ตอนจบ
ที่เขียนว่าตอนจบนี้ ไม่ได้หมายความว่า การอุ้มฆ่าจะยุติลงเพียงเท่านั้น ตราบใดก็ตามที่ไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายได้ ดิชั้นเชื่อว่า คนชั่วคงยังต้องใช้วิธีอุ้มฆ่าเป็นการปิดปากผู้วิจารณ์เจ้าต่อไป เรื่องของต้าร์ วันเฉลิมอาจจะจบแค่นี้ จบด้วยความเศร้าที่เราไม่รู้ถึงชะตากรรมต้าร์ ดิชั้นเสียใจแทนครอบครัวที่คงไม่มีวันพักได้ ตราบใดที่เรื่องนี้ไม่มีข้อสิ้นสุด เค้าไม่รู้ว่าลูกเค้า น้องเค้า เป็นตายร้ายดีอย่างไร ถึงแม้ว่าเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังไม่ยอมคืนร่างที่ไร้วิญญาณให้ ดิชั้นขอประนามอีกครั้งต่อคนชั่วเหล่านี้
...ในใจหนึ่ง ขอขอบคุณกลุ่มผู้ประท้วงวันนี้ที่หยิบยกเรื่องการอุ้มฆ่ามาเป็นประเด็นสาธารณะ มันเหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องเชื่อมโยงการอุ้มฆ่ากับสถาบันกษัตริย์ เพราะคนที่เสียชีวิตเพราะการถูกอุ้ม หรือสูญหายไป ล้วนแต่มีประวัติของการวิจารณ์เจ้าทั้งสิ้น การทำเรื่องนี้เป็นประเด็นสาธารณะได้กลายมาเป็นประเด็นระหว่างประเทศแล้ว ดิชั้นเชื่อว่า จะทำให้การปฏิบัติการครั้งต่อไปไม่ง่ายกว่าที่ผ่านมา แม้ดิชั้นเชื่อว่า พวกนั้นจะไม่หยุดแค่ตรงนี้
...ในความเป็นจริง ความรุนแรงที่เกิดจากวชิราลงกรณ์ควรต้องได้รับการตรวจสอบใหม่อีกครั้งในทุกกรณี ไม่ว่าจะในเรื่องการลงโทษคนใกล้ชิด อย่างกรณีพิสิษฐ์ศักดิ์ ปรากรม และหมอหยอง ทั้งหมดนี้ล้วนจบชีวิตแบบน่าสงสัย สถานการณ์รอบข้างการเสียชีวิตต้องได้รับการสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเค้าทั้งสามคนอาจจะมีความผิด แต่ไม่มีใครสมควรตายแบบนั้น มันมีวิธีการชำระความผิดผ่านกระบวนการยุติธรรม ตามครรลองของประเทศที่มีอารยะ
..ข่าวลือเรื่องการทำทารุณกรรมต่างๆ การให้หมอหยองกอดศพของปรากรม การทำพิธีไสยศาสตร์ต่างๆ ก่อนลงมือสังหาร การใช้วิธีสังหารที่ป่าเถื่อน การใช้วิธีการลงโทษที่หลุดโลกและหลุดจากกรอบของความยุติธรรม การสร้างคุกของตัวเอง การไม่เปิดให้สาธารณชนรับรู้ความเป็นไปภายในคุก การปิดกั้นการตรวจสอบจากองค์การระหว่างประเทศ ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ทราบเสียที
....ยังมีอีกหลายกรณีที่ยังคั่งค้าง กรณีศรีรัศมิ์ที่ไม่มีใครรู้ความเป็นไป นอกจากการบังคับให้โกนผมและขังในบ้านที่ราชบุรี มันเป็นการลงโทษที่ไม่มีวันสิ้นสุด มันเป็นการฆ่าคนทั้งเป็น ไม่มีใครสามารถไปเยี่ยมได้ ไม่มีใครรู้ว่าศรีรัศมิ์ทำผิดอะไร ทำไมเธอถึงแก้ต่างไม่ได้ ทำไม่ไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม ทำไมต้องป่าเถื่อนแบบนั้น ทำไมต้องทำเธอให้อาย
...มันมีกรณีของฟ้ารุ่งที่เราไม่รู้ว่าจุดจบคืออะไร มันเป็นเพียงการฆ่าตัวตายหรืออย่างอื่น อะไรคือความเชื่อมโยงของฟ้ารุ่งกับวชิราลงกรณ์ ทำไมสังคมถึงไม่มีคำตอบ
..มันมีกรณีของศิรินทิพย์ นักแสดงอาวุโสที่ถูกอุ้มไปหลายทศวรรษ จนป่านนี้ ไม่มีใครรู้จุดจบของศิรินทิพย์ เรื่องเกิดมาจากการที่วชิราลงกรณ์ไม่พอใจการที่ศิรินทิพย์เอาประวัติของยุวธิดาไปโพนทะนา จากนั้น ศิรินทิพย์ก็หายไปจากสังคมแบบนั้น เรื่องนี้ ยุวธิดามีส่วนเกี่ยวข้อง จึงไม่มีใครคาดหวังว่ายุวธิดาจะออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ และในความเป็นจริงยุวธิดาเองก็ยังหวังแบบลมๆ แล้งๆ ว่าในที่สุด จะได้ทุกอย่างคืน เพียงเพราะตัวเองเป็นแม่ของลูก 5 คนของวชิราลงกรณ์
....การอุ้มฆ่ามันกลายมาเป็นวิธีการสำคัญในการปิดปากคนเห็นต่างเรื่องเจ้า มันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว เพราะมันทำให้รู้ว่า ไม่ว่าคุณอยู่ที่ใดของมุมโลก คุณไม่มีความปลอดภัยใดๆ เหลืออยู่ สำหรับตัวดิชั้น เรื่องมันเกิดมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะไม่เกิดอีก ความโชคดีของดิชั้นก็คือ แม้ตำรวจญี่ปุ่นจะยังไม่เปิดโปงตัวคนร้าย (ที่ดิชั้นคิดว่าเค้ารู้ตั้งนานแล้วว่าเป็นใคร) แต่ดิชั้นก็อยู่ในสายตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ทั้งหมดนี้ จะมีภัยหรือไม่ ดิชั้นยังเห็นความจำเป็นของการรณรงค์ในเรื่องการพูดสถาบันกษัตริย์ต่อไป และการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้มีความเป็นอารยะและการเคารพกฎหมายเสียที อย่างน้อย ถ้าทำได้ ชีวิตของผู้ลี้ภัยที่ถูกอุ้มฆ่าจะไม่เสียเปล่า
....ปล: รูปนี้คือรูปของศิรินทิพย์ค่ะ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เพิ่มเติมจากแหล่งอื่น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น