เพลงฉ่อยชาววัง

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2568

“ทุ่งสังหาร” ในทางการเมือง

 ครม.อิ๊งค์ 1/2

สู่โซน ทุ่งสังหาร

กองเชียร์รัฐบาลโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง หลังได้เห็นท่าทีแข็งกร้าว สีหน้าท่าทางที่ดูดุดันของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในการแถลงใช้นโยบาย “การปราบอาชญากรรมข้ามชาติพุ่งเป้าไปที่กัมพูชา” ช่วยลดอุณหภูมิร้อนแรงของ “ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล” ไปได้หลายองศา

หลังต้องทนเห็นผู้นำกัมพูชาใช้ “ชาตินิยม” เป็นเครื่องมือทางการเมือง กำหนดให้ไทย “จากเพื่อนบ้านเป็นผู้รุกรานเขตแดน” นานเกือบครึ่งเดือน ก็ยังไม่เห็นเจตจำนงที่จะตอบโต้ หรือชี้แจงกลับ

วิเคราะห์กันว่าท่าทีที่แข็งกร้าวของนายกฯ ที่คนบ่นกันว่า “รู้สึกช้า” แทบไม่มีมาตรการการเมืองใดๆ มา “ตอบโต้” ผู้นำกัมพูชาเลย จะไม่เกิดขึ้นหรอก หากไม่มีกรณี “คลิปหลุด” เสียงสนทนาของ น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ผู้มีบารมีแห่งการเมืองกัมพูชา

ความ “แข็งกร้าว” ก็เพื่อแก้เกมทางการเมือง จากอาการเสียความชอบธรรมจากการเมืองภายในของไทยเอง

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ในภาพรวมของรัฐบาลดีขึ้นนัก เพราะจนถึงวันนี้ 2 ผู้นำกัมพูชายังคงใช้ความเชี่ยวกรากทางการเมือง ทำสงครามข้อมูลข่าวสาร แม้แต่วิจารณ์แทรกแซงการเมืองไทยโดยตรงอยู่หลายครั้ง

ขณะที่ของไทยเอง วันนี้คนมองนายกฯไทยป้อแป้ ปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้คุมเกม อยู่ในบทฮีโร่ฉายเดี่ยวนโยบายชายแดนเสียอย่างนั้น

อันที่จริง เรื่องประเทศเพื่อนบ้านว่าปวดหัวแล้ว ยังเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลกที่คุกรุ่นอยู่ในขณะนี้

สงครามวันนี้ใกล้ตัวคนไทยกว่าที่คิด เพราะวิกฤตพลังงานส่งผลกระทบต่อ “ความเปราะบาง” ทางเศรษฐกิจและสังคมไทยแบบทันที ยังไม่นับปัญหา “กำแพงภาษีทรัมป์” ซึ่งไทยเราโดนเต็มๆ จนถึงวันนี้ยังมองไม่เห็นแสงสว่าง

ส่วนปัญหาภายในประเทศวันนี้อยู่ในระดับ “สาหัส” ภาพเศรษฐกิจระดับมหภาคไร้ความหวัง

ครม.อิ๊งค์ 1/2” ขาดทรัพยากรในการขับเคลื่อนประเทศ นโยบายเรือธงของรัฐบาลหลายเรื่องไม่สามารถทำได้ตามที่หาเสียง การลงทุนเบาบาง ไร้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ มาขับเคลื่อน ตลาดหุ้นบอบบาง ไม่สามารถเป็นความหวังให้กับนักลงทุนได้

ขณะภาพเศรษฐกิจจุลภาคยิ่งหนัก ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ประเทศ มาตรการแก้หนี้ของรัฐบาลแม้เจตนาดี แต่จนวันนี้แล้วพิสูจน์ว่าไม่เพียงพอ หนี้ครัวเรือนไม่มีทีท่าลดลง คนมีเงินไม่กล้าใช้ คนไม่มีเงินก็ไม่รู้จะไปหามาจากไหน

ไม่นับปัญหารายวัน ทั้งยาเสพติด การศึกษา สาธารณสุข ส่องไปทางไหนก็เจอแต่ความ “เปราะบางของสังคม”

รัฐบาลเพื่อไทยครองอำนาจกว่า 2 ปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถบรรเทาปัญหาไปได้ จนมีคนเปรียบว่า “ผิดจากยุคไทยรักไทย”

แต่ที่หนักสุดสำหรับ “ครม.อิ๊งค์ 1/2” คือ “ปัญหาการเมือง”

1. ปัญหา “พรรคร่วมรัฐบาล”

หลังภูมิใจไทยถอนตัว “ครม.อิ๊งค์ 1/2” มีสถานะเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แม้จะรู้กันว่ามี ส.ส.ฝ่ายค้านปันใจ พร้อมยกมือโหวตให้ ความอ่อนแอของรัฐบาลยังเกิดจากปัญหาภายในของพรรคร่วมรัฐบาลเอง ทั้งปัญหาภายในประชาธิปัตย์ และโดยเฉพาะ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่มีการแบ่งข้างเป็น 2 ก๊กใหญ่ ด้วยจำนวน ส.ส.ในมือใกล้เคียงกัน

ก๊กหนึ่งอยู่ในตำแหน่งมาก่อน แต่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองมาก หากถอนตัวรัฐบาลก็ล่ม อีกก๊กหนึ่งอำนาจต่อรองน้อยกว่า แต่ก็ช่วยงานค่ายสีแดงอย่างจริงจัง แต่ได้รับการตอบแทนด้อยกว่า เป็นอีกปัญหาที่รอวันปะทุ

ปัญหาของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำคือล้มง่าย อาจเจอกลเกมฝ่ายตรงข้ามให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้ง่าย

โดยรวมก็คือรัฐบาลส่อไร้เสถียรภาพ-อ่อนแอ นั่นเอง

2. ปัญหาจาก “ฝ่ายแค้น”

พรรคภูมิใจไทยและพลังประชารัฐ ต่างก็เคยร่วมรัฐบาลเพื่อไทยตามปฏิญญาช็อกมินต์ ก่อนจะออกจากการร่วมรัฐบาลกลางทางกลายมาเป็นฝ่ายแค้น

ขั้วสีน้ำเงินมีจำนวน ส.ส. นักการเมืองท้องถิ่นอยู่ในมือจำนวนมาก พลันที่พ้นจากรัฐบาลก็ยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันที ภายใต้การบัญชาการของ 2 น. เนวิน ชิดชอบ และ น.หนู อนุทิน ชาญวีรกูล ที่พกความแค้นมาเต็มอัตราจากการถูกชิงเก้าอี้ รมว.มหาดไทย

ต้องไม่ลืมอีกหนึ่งเครื่องมือของค่ายสีน้ำเงินคือ “สภาบน” ซึ่งวันนี้เปิดเกม เดินหน้าชน ครม.อิ๊งค์ 1/2 ด้วยการยื่นถอดถอนออกจากนายกฯ รวมถึงความสามารถในการสกัด ขัดขวางกฎหมายต่างๆของรัฐบาล ที่จะเข้มข้นระบายความแค้นหนักมากจากนี้

อีกหนึ่งฝ่ายแค้นคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ออกมาขี่คลื่นกระแสรักชาติถล่ม ครม.อิ๊งค์ 1/2 ล่าสุด ก็สั่ง ส.ส.ในสังกัด ร่วมลงชื่อเปิดอภิปรายรัฐบาลแบบสุดลิ่มทิ่มประตู

แน่นอนว่า “ฝ่ายแค้น” ไม่ได้มีศักยภาพแค่การเล่นงานเพื่อไทยผ่านการเมืองในระบบ แต่ที่ชำนาญจริงคือช่องทางนอกระบบที่ทำงานอย่างสอดประสานกันต่างหาก

3. ปัญหาจาก “ฝ่ายค้าน”

ครม.อิ๊งค์ 1/2 ยังต้องเจอกับการทำงานของขั้วสีส้ม ศัตรูทางการเมืองอันดับ 1 ของฝ่ายอนุรักษนิยม กับบทบาทฝ่ายค้าน ที่แม้จะถูกนิติสงครามเล่นงานจนต้องถูกยุบพรรคแต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อความนิยมทางการเมืองของค่ายสีส้ม

นี่คือเหตุผลที่ทั้งๆ ที่มีการกดดันให้ น.ส.แพทองธารลาออกรับผิดชอบมากมาย แต่นายจักรภพ เพ็ญแข หนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของ รบ.เพื่อไทย คนสนิทนายทักษิณ ชินวัตร ก็ออกมายอมรับตรงประเด็นเลยว่า ยุบไม่ได้

ถ้ายุบและเลือกตั้งใหม่ก็แพ้สีส้มขาดลอย การเดินหน้าอยู่ต่อ อย่างน้อยยังมี “โอกาสทำงาน” กู้คะแนนคืน

4. ปัญหาจาก “ม็อบฝ่ายขวา”

วันนี้การชุมนุมของฝ่ายอนุรักษนิยมเกิดขึ้นจริง มีการระดมทรัพยากรในการชุมนุมเกิดขึ้นแล้ว

แน่นอนว่าการชุมนุมเพียงครั้งเดียวยังวัดอะไรไม่ได้มาก คนชั้นกลางส่วนใหญ่ยังไม่ได้เข้าร่วม



แต่ประเด็นคือฝ่ายขวาไทยใช้โอกาสที่รัฐบาลผิดพลาดมาเป็นเงื่อนไขในการขยับ “รุกคืบในทางการเมือง” ต่อตระกูลชินวัตร



แน่นอนว่าหากรัฐบาลแก้เกมไม่ทัน พลังของม็อบฝ่ายขวาจะยิ่งขยายใหญ่ขึ้น

ซึ่งหากย้อนดูประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ความน่ากังวลของการเคลื่อนไหวเช่นนี้ก็คือ ความเสี่ยงในการเรียกร้องหาระบบที่ “ประชาธิปไตย” ลดน้อยลง




5. ปัญหาจาก “นิติสงคราม”

รอบนี้ ครม.อิ๊งค์ 1/2 เดินหน้าสู่สมรภูมินิติสงครามแบบเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะกับกรณีคลิปเสียง กลายเป็นคำร้องทั้งทางตรงและทางอ้อมหวังล้มให้ลงจากเก้าอี้นายกฯ

ด่านแรกเริ่มจาก ส.ว.ยื่นเอาผิดจริยธรรมผ่านช่องทางองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. พร้อมๆ กับประธานวุฒิสภาใช้ช่องทางยื่นศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้พ้นจากหน้าที่ และขอให้สั่งยุติปฏิบัติหน้าที่กรณีรับคำร้อง ยังไม่นับสารพัดนักร้องที่ต่อคิวยื่นเอาผิดนายกฯ

ขณะที่ตัวนายทักษิณในฐานะผู้นำจิตวิญญาณเพื่อไทยก็กำลังถูกรุกคืบอย่างหนักจากกรณีชั้น 14

ผลจากนิติสงครามนี้เองที่เป็นเรื่องน่าห่วงสำหรับเพื่อไทย เพราะหากย้อนอดีตรัฐบาลไทยรักไทย พลังประชาชน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทั่งนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ถูกนิติสงครามประหารชีวิตทางการเมืองทั้งสิ้น

ชัดเจนว่าวันนี้ค่ายสีแดงเลือกเดินหน้าต่อ ด้วยมั่นใจว่ายังหวังใช้งบประมาณทำผลงานกอบกู้คะแนนนิยมคืนมาบ้าง แต่ก็มีคำถามตามมาว่า คะแนนนิยมจะกลับคืนมาทันไหม เมื่อเทียบกับความชอบธรรมที่เสียไป ไม่นับสารพัดปัญหาที่รออยู่
ตรงกันข้าม ด้วยเงื่อนไขการเมืองวันนี้ อดคิดไม่ได้ว่ามีโอกาสจะ “ดิ่งลงยิ่งกว่าเดิม”

ครม.อิ๊ง 1/2 จะมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพตามมา ความอ่อนแอของฝ่ายการเมือง จะยิ่งทำให้ฝ่ายข้าราชการเกียร์ว่าง ฝ่ายอำนาจนิยมเข้มแข็ง

วิกฤตยิ่งลุกลาม เมื่อถึงวันนั้น การเลือกยุบสภาก็เสี่ยงว่าอาจจะสายเกินไปเช่นกัน

จากนี้ของ ครม.อิ๊งค์ 1/2 จึงไม่ง่าย จะทำอะไรก็กลัวไปหมด จะถอยหลังก็ไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วยศัตรูเคยทำร้าย จะเดินหน้าต่อก็เป็นการเดินฝ่าดงระเบิด ไม่รู้จะไปได้ไกลแค่ไหน

ไม่ใช่แค่กับดักระเบิดที่รอเล่นงานรัฐบาล วันนี้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลได้ยกระดับ เปิดหน้าออกมายืนถือระเบิดมือให้เห็นชัดๆ พร้อมเขวี้ยงใส่รัฐบาลได้ตลอดเวลา

ครม.อิ๊งค์ 1/2 วันนี้จึงเปรียบเสมือนกำลังอยู่ใน “ทุ่งสังหาร” ในทางการเมืองหากมองให้กว้าง ที่น่าห่วงมากกว่ารัฐบาลก็คือ “ระบบการเมืองประชาธิปไตย”

บทเรียนที่ผ่านมาเห็นชัดว่า ฝ่ายอำนาจนิยมไม่เพียงสร้างเครื่องมือเพื่อกำจัดรัฐบาลเพื่อไทย แต่เป้าหมายจริงๆ ของการสร้างสภาวะ “ทุ่งสังหารทางการเมือง” คือ “สังหารประชาธิปไตยทั้งระบบ” นั่นเอง

CR:

https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_848760


วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2568

การลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับมนุษยชาติ

ผู้หญิงคนนี้สวยจัง นี่คือ #การลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับมนุษยชาติ
💞💝🌹ᔕᑌᑕᕼ ᗩ ᗷEᗩᑌTIᖴᑌᒪ ᗪOᑎᗩTIOᑎ❤️💝🌹

ในวัย 93 ปี ดร. รูธ กอตเทสแมน ได้เปลี่ยนแปลงอนาคตของวงการแพทย์ด้วยการกระทำอันพิเศษเพียงครั้งเดียว เธอเป็นนักการศึกษามาช้านานและเป็นภรรยาม่ายของเดวิด กอตเทสแมน นักลงทุนมหาเศรษฐี เธอบริจาคเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ให้กับวิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในบรองซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการบริจาคเงินให้กับโรงเรียนแพทย์มากที่สุด การบริจาคของเธอ #จะทำให้ค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนแพทย์ทุกคน #ฟรีทั้งในปัจจุบันและอนาคต

นี่ไม่ใช่แค่ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่เป็นการลงทุนที่เปลี่ยนชีวิตนักเรียน ซึ่งไม่เช่นนั้นหลายคนอาจจบการศึกษาโดยมีหนี้สินกว่า 200,000 ดอลลาร์ โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของนิวยอร์กซิตี้ และขณะนี้จะให้โอกาสแพทย์ในอนาคตได้มุ่งเน้นไปที่การแพทย์ ไม่ใช่เงิน

รูธ กอตเทสแมนปฏิเสธที่จะให้ชื่อของเธอปรากฏบนอาคารใดๆ เธอเพียงต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02GRo99yssSZ3Ff82xNzqedM5cC4PZjQk5VVSoUM5eMov6BWL9tukPDjE63pdSpi9nl&id=100094630824382

 At 93, Dr. Ruth Gottesman has just changed the future of medicine in a single, extraordinary act. A longtime educator and widow of billionaire investor David Gottesman, she donated $1 billion to the Albert Einstein College of Medicine in the Bronx, one of the largest donations ever to a medical school. Her gift will make tuition free for all medical students, now and in the future.

This isn’t just generosity, it’s a life-changing investment in students, many of whom would otherwise graduate with over $200,000 in debt. Located in one of New York City’s poorest boroughs, the school will now offer future doctors the chance to focus on medicine, not money.

Ruth Gottesman declined to have her name on any building. She simply wanted to do what was right.

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568

สนทนากับ“ช่อ พรรณิการ์”

 ฟังคลิปสนทนาระหว่างคุณช่อและคุณก่อแก้วเรื่อง คุณเท้ง ปะทะกับคุณทักษิณ


ฟังมุมมองของคุณก่อแก้วบ้างค่ะ


ผมพูดตรงๆนะ "คุณช่อกับพวก ใจดำมาก ๆ" ฟังเลย





วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อเมริกาส่งขยะผิดกฏหมาย 5,500 ตันเข้าถล่มไทย

 ด่วน! อเมริกาส่งขยะผิดกฏหมาย 5,500 ตันเข้าถล่มไทย มาทางเรือ 35 ลำ รวม 222 ตู้คอนเทนเนอร์

เป็น E-waste 219 ตู้ ขยะพลาสติก 3 ตู้


เรื่องนี้นะ จะบอกให้ว่า ประเทศพัฒนาแล้วพวกนี้แม่งเหี้ยกันทั้งหมด ไม่ใช่แต่อเมริกา ยุโรป เยอรมัน ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น ใช่หมด

เดิมที พวกE-Wasteพวกนี้ มันถูกรับไปกำจัดโดยประเทศต้นทางผู้ผลิต (ส่วนมากคือจีน) ภายหลัง ในช่วงประยุทธ์1 จีนออกนโยบายแข็งกร้าว ปกป้องสิ่งแวดล้อมของเขาโดยไม่อนุญาติให้นำเข้าขยะE-Waste และเอาเข้ามากำจัดแบบผิดๆ คือนำเข้าได้แต่ค่ากำจัดตามมาตรฐานจะแพงมากๆ

ผู้ผลิต และผู้Outsource (การจ้างเหมาช่วง)  การกำจัดขยะของโรงงานเหล่านี้ ก็ย้ายฐานไปหาที่กำจัดในประเทศอื่นๆ ที่ค่าแรงถูกกว่า

ถ้าเรื่องจบแค่นั้นก็คงไม่เป็นไร แต่พ่อค้ารับกำจัดขยะหัวใสกลุ่มนี้ ค้นพบว่า ในประเทศไทย เงินมันซื้อทุกอย่างได้ แล้วทำไมต้องไปเสียค่ากำจัดแพงๆด้วยวะ
ในช่วงประยุทธ์1 ก็เลยเกิดเป็น “การลงทุนจากSMEจีน” จำนวนมหาศาล แห่มาลงทุนเปิด “โรงงานหลอมโลหะ/ โรงงานรีไซเคิล” ด้วยหลากหลายวิธี โดยเอาเงินอุดปากตั้งแต่ระดับกระทรวง กรม อปท. กำนันผู้ใหญ่บ้าน ส่งคนตัวเองไปถ่ายรูป ไปเรียนหลักสูตรต่างๆเพื่อคุ้มหัว

ทุกวันนี้ บอกไม่ได้เลยว่าขยะพวกนี้ไปอยู่ใหนกันแล้วบ้าง เพราะจำนวนมากถูกหลอมรวม ไม่ได้คัดแยกอะไร จำนวนมากถูกฝังกลบไปกับดิน หรือเอาไปถมที่แล้วเอาดินทับ รอวันให้ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท ไหลซึมลงดินและฆ่าเกษตรกรรมอย่างช้าๆ



วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

เสียเงินฟรีๆ ให้จีน" โดยไม่ได้ของที่สั่งซื้อ สำนักข่าว TODAYสรุปสถานการณ์ให้เข้าใจง่ายที่สุด

 เป็นอีกครั้งที่กองทัพไทย ใช้ภาษีประชาชนอย่างเสียเปล่า นับหมื่นล้านบาท ในกรณีของเรือดำน้ำ มีโอกาสที่ไทยจะต้อง "เสียเงินฟรีๆ ให้จีน" โดยไม่ได้ของที่สั่งซื้อ เรื่องราวเป็นอย่างไร สำนักข่าว TODAY จะสรุปสถานการณ์ให้เข้าใจง่ายที่สุด


ในอดีต ทหารไทยได้ขึ้นชื่อว่า เป็นหน่วยงานที่ใช้เงินละลายน้ำมากที่สุดในประเทศ เพราะซื้อสินค้าแต่ละอย่าง ทั้งไม่มีคุณภาพ และไม่สามารถใช้งานได้จริง

ในปี 2552 กองทัพบกจัดซื้อเรือเหาะตรวจการณ์ในราคา 350 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ราคาซื้อขายจริงอยู่ที่ราคา 30-50 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งในเวลานั้น กองทัพบกยืนยันมาตลอดว่าสามารถใช้งานได้จริง บทสรุปคือไม่สามารถใช้งานได้ สุดท้ายปลดประจำการหลังซื้อมา 8 ปี โดยยังไม่ได้ใช้งานเป็นชิ้นเป็นอัน สูญเงินสามร้อยล้านฟรีๆ ไปง่ายๆ

หรือย้อนกลับไปไกลกว่านั้นเล็กน้อย เมื่อกองทัพอากาศ และกองทัพบก จัดซื้อเครื่องตรวจจับระเบิด GT200 เครื่องละ 950,000 บาท เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 794 ล้านบาท แต่พอซื้อเสร็จ จ่ายเงินแล้ว เอามาทดสอบจริง ปรากฏว่า ในการตรวจหาระเบิด 20 ครั้ง ตรวจเจอแค่ 4 ครั้ง และภายหลังก็มีการเปิดเผยว่า แก๊งคนที่ขาย GT200 คือกลุ่มต้มตุ๋นลวงโลก ซึ่งกองทัพไทยก็เสียรู้ และสูญเงินไปเป็นจำนวนมาก

จุดเริ่มต้นของดราม่าเรือดำน้ำ คือฝั่งกองทัพเรือไทย ประกาศว่า ต้องการซื้อเรือดำน้ำไว้ใช้งาน เพราะในขณะที่ชาติอื่นๆ รอบอาเซียน มีเรือดำน้ำกันแล้ว แต่ไทยไม่มีเรือดำน้ำที่ใช้การได้เลย ควรจะซื้อเอาไว้เพื่อคานอำนาจเพื่อนบ้านด้วย

ปี 2560 รัฐบาลยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุมัติเห็นชอบ ในการซื้อเรือดำน้ำ 1 ลำจากประเทศจีน ในวงเงิน 13,500 ล้านบาท โดยไทยจะผ่อนชำระภายใน 6 ปี โดยมีกำหนดการจัดส่งเรือ ในปี พ.ศ.2566

แม้จะมีเสียงคัดค้านจำนวนมาก ว่าถ้าจะซื้อเรือดำน้ำทั้งที ทำไมไม่เลือกของประเทศอื่น โดยเฉพาะฝั่งยุโรป ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยกว่า แต่รัฐบาลยุคคสช. ตัดสินใจเลือกของจีน เพราะ "ทำราคาได้ถูกกว่า" นอกจากนั้นยังมีโปรโมชั่นหลากหลาย ทั้งผ่อนระยะยาวได้ รวมถึงจะช่วยสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงเรือดำน้ำให้อีกด้วย

เว็บไซต์ thaiarmedforce เว็บการทหารชื่อดัง ระบุว่ากองทัพตัดสินใจเลือกโปรโมชั่นของจีน จนยอมมองข้ามปัจจัยคุณภาพเรือไปทุกๆ อย่าง

เนื้อหาระบุว่า "ผู้ผลิตในยุโรปเสนอเรือดำน้ำ 2 ลำ ตอร์ปิโดจำนวน 14 ลูก พร้อมข้อเสนอในการมอบอุปกรณ์การฝึกและคลังเก็บ มีการปรับปรุงท่าเรือ ปรับปรุง Simulator ปราบเรือดำน้ำให้ฟรี รวมถึงทำโรงซ่อมให้ใหม่ รวมถึงผู้ผลิตจากเกาหลีใต้ที่ได้รับเทคโนโลยีจากยุโรป ก็เสนอตอร์ปิโดให้ 8 ลูก และยินดีถ่ายทอดเทคโนโลยีการต่อเรือให้บางส่วนด้วย"

"ขณะที่ข้อเสนอของจีน ให้ตอร์ปิโดเพียง 6 ลูกเท่านั้น นอกจากนั้น ในอดีตไทยเคยซื้อเรือจากจีนมาหลายครั้งแล้ว ปรากฏว่าต้องเสียเงินมาซ่อมแซมเพิ่มเติมทุกครั้ง เพราะอุปกรณ์จากจีนอายุสั้น หมดสภาพเร็วมาก ดัดแปลงลำบาก"

อย่างไรก็ตาม ดีลก็เดินต่อไป เมื่อรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์เลือกข้อเสนอของจีนไปแล้ว โดยกองทัพเรือไทย ทำการเซ็นสัญญาซื้อกับบริษัท CSOC รัฐวิสาหกิจของจีน ที่ทำการต่อเรือ 

ในสัญญาซื้อขายระบุว่า ไทยจะซื้อเรือดำน้ำรุ่น S26T ที่ผลิตในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แต่เครื่องยนต์ จะใช้รุ่น MTU396 ที่ผลิตจากบริษัทชื่อ มอเตอร์ แอนด์ เทอร์ไบน์ ยูเนียน (MTU) ของประเทศเยอรมนี

โครงสร้างเรืออาจให้จีนผลิตได้ แต่ถ้าเรื่องเครื่องยนต์ ฝั่งไทยต้องการเครื่องยนต์จากเยอรมนี ที่การันตีคุณภาพการใช้งานจริง ซึ่งจีนตอบตกลง และเซ็นสัญญารับทราบกันทั้งหมดแล้ว

ทุกอย่างตกลงกันเรียบร้อย ฝั่งจีนรับข้อเสนอ โครงสร้างเรือ จีนจะผลิตเอง จากนั้นทาง CSOC จะซื้อเครื่องยนต์จากเยอรมนีมาติดตั้งให้เรียบร้อย ก่อนจะจัดส่งมาให้ไทยในปี พ.ศ. 2566

สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงของฝั่งไทย เกี่ยวกับการซื้อขายครั้งนี้ คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ ณ ขณะนั้น ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

แต่ปัญหาที่ทำให้ทุกอย่างผิดแผน คือ รัฐบาลเยอรมนี แจ้งบริษัท MTU ว่าห้ามขายเครื่องยนต์รุ่น MTU396 ให้กับจีน โดยไม่สนใจว่าลูกค้าที่รอซื้อต่อจะเป็นไทย

ที่สหภาพยุโรป (อียู) มีกฎที่ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 1989 คือห้ามสมาชิกชาติยุโรป ขายอาวุธให้จีน หลังเกิดเหตุสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน แต่ก่อนหน้านี้ บริษัท MTU หลบเลี่ยงมาได้ตลอด โดยมองว่าเรือดำน้ำ เป็นอุปกรณ์การเดินเรือ ใช้เพื่อผลประโยชน์ในการสำรวจ ไม่ใช่อาวุธยุทโธปกรณ์

อย่างไรก็ตาม ด้วยความสัมพันธ์ของจีน ที่เริ่มแตกร้าวกับ สหรัฐฯ และ สหภาพยุโรป ทำให้ รัฐบาลเยอรมนี ตีความว่า เรือดำน้ำคืออาวุธอย่างหนึ่ง และออกคำสั่ง ห้ามส่งเครื่องยนต์สำหรับใส่เรือดำน้ำให้จีนอย่างเด็ดขาด

นั่นทำให้ เรือดำน้ำที่ไทยจะซื้อจากจีน อยู่ในสภาพ "มีแต่โครง ไม่มีเครื่อง" กลายเป็นเรือดำน้ำแต่รูปทรง เดินเรือไม่ได้ ซึ่งจุดนี้ ปัญหาหลักคือกองทัพไทย ไม่เข้าใจสถานการณ์การเมืองโลก จ่ายเงินให้จีน คิดว่าจะได้ของ แต่สุดท้าย ไม่ได้อะไรเลย

รัฐบาลไทย ต้องการยกเลิกสัญญา เพราะจีนผิดสัญญา ไม่สามารถส่งมอบสินค้าตามสเปกที่สั่งซื้อได้ (โครงจีน + เครื่องเยอรมัน) แต่จีนที่รับเงินมัดจำไปแล้ว 7 พันล้านบาท ไม่ต้องการคืนเงิน 

ฝั่งจีนแจ้งไทยว่า ขอติดตั้งเครื่องยนต์รุ่น CHD620 ที่ผลิตในจีนแทน โดยระบุว่า "ใช้การได้เหมือนกัน" แต่ในข้อเท็จจริงคือ CHD620 ยังไม่เคยถูกใช้นอกน่านน้ำจีน แม้แต่ครั้งเดียว ถ้าเกิดไทยรับมา ก็จะกลายเป็นหนูทดลองตัวแรกของโลก

เท่ากับว่าประเทศไทย กลืนไม่เข้า คายไม่ออก สินค้าก็ไม่ได้ ขอคืนเงิน จีนก็ไม่ให้ และรัฐบาลยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่มีพาวเวอร์ในการทวงเงินคืนจากจีนด้วย สุดท้าย ไทยก็เลยมีแต่โครงเรือดำน้ำ ที่แล่นไม่ได้ อยู่เช่นเดิม

ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า "โอกาสที่จะได้เงินคืนเป็นไปไม่ได้ เพราะอำนาจการต่อรองเราไม่ได้มากขนาดนั้น"

สรุปแล้ว จากกำหนดการแรก ที่ต้องได้เรือดำน้ำมาใช้งานในปี 2566 จนถึงปัจจุบันปี 2568 ก็ยังไม่ได้ใช้เช่นเดิม

ความน่าสนใจคือ ในการเจรจาครั้งนี้ ใช้เงินมหาศาลมาก ไม่ใช่แค่ตัวเงิน 13,500 ล้านบาท ที่ต้องซื้อเรือดำน้ำเท่านั้น แต่รัฐบาล ยังมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกันอีก 11,000 ล้านบาท เช่น การสร้างท่าจอดเรือ, งบฝึกอบรมการใช้เรือดำน้ำ, งบอำนวยการ ซึ่งตัวเลขก็ยังไม่มีการเปิดเผยว่า ได้เบิกจ่ายอะไรออกมาแล้วหรือไม่

เข้าสู่ยุคสมัยของรัฐบาลเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตัดสินใจเข้าไปเจรจากับทางเยอรมนี โดยสอบถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่รัฐบาลไทยจะซื้อเครื่องยนต์โดยตรงจากเยอรมนีแล้วเอามาประกอบเอง เพราะไทยไม่ได้มีความขัดแย้งกับอียู และนาโต้ แต่เยอรมนีก็ไม่ขายอยู่ดี เพราะรู้ว่าไทยจะเอาไปใส่เรือดำน้ำที่ผลิตจากจีน

ในเมื่อเยอรมนีไม่ยอมขายเครื่องยนต์ให้ ทำให้ทางเลือกของประเทศไทยตอนนี้ มีอยู่ 2 อย่าง

อย่างแรก คือ รับเรือดำน้ำจากจีน ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ CHD620 ไว้ แล้วจ่ายเงินส่วนที่เหลือให้ครบ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า ผิดสเป็กทุกอย่าง ไม่ตรงกับที่สั่งของแต่แรก และไม่มีอะไรการันตีว่าเครื่องยนต์จีนจะใช้การได้ดีแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็จะได้เรือดำน้ำ 1 ลำมาใช้งาน 

ถ้าคิดในแง่ดีคือ ณ เวลานี้ ไทยไม่ใช่ประเทศแรกอีกแล้ว เพราะมีปากีสถาน ที่เอา CHD620 ไปใช้ก่อนหน้านี้ และยังไม่มีปัญหาอะไร แต่คิดในแง่ร้าย คือ ทำไมไทยต้องโดนมัดมือชก ยอมรับของที่ไม่ได้สั่งด้วย

อย่างที่สอง คือ ยกเลิกไปเลย ล่มดีลทั้งหมด ไม่เอาเรือดำน้ำอีก แต่เงินมัดจำที่จ่ายไปแล้ว 7,000 ล้านบาท ก็จะหายไปเลยเช่นกัน เข้ากระเป๋าจีนทั้งหมด ถ้าเราทำแบบนี้ ก็มีการประเมินว่า ค่าโง่ทุกอย่าง จะพุ่งสูงรวมแล้วมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท

นี่คือสถานการณ์สุดท้ายที่เราเผชิญอยู่ ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็ถือว่าเป็นดีลที่ล้มเหลวสุดๆ อยู่ดี 

ถ้าไม่เป็นหนูทดลองตัวใหม่ ได้เรือดำน้ำที่มีความเสี่ยง ก็ต้องยอมรับสภาพสูญเงินไปอย่างเสียเปล่า นับพันล้าน หมื่นล้าน

สำหรับเหตุการณ์เรือดำน้ำ ที่ถูกจัดซื้อในรัฐบาล คสช. คือหนึ่งในความวิบัติของประเทศไทย กับการใช้จ่ายเงินที่ไม่คิดถึงภาษีของประชาชน ทั้งๆ ที่เงินจำนวนมากขนาดนี้ สามารถเอาไปพัฒนาหลายๆ อย่างในประเทศได้

ถ้าสุดท้ายต้องจ่ายค่าโง่ในครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะภาษีจำนวนมหาศาล กลับถูกเอาไปใช้อย่างเสียเปล่า แต่ประเทศไทยจะไม่ได้อะไรตอบแทนคืนกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว

#สำนักข่าวทูเดย์

#MakeTomorrowTODAY


วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ประชาชน

 

รู้จักชีวิตความคิดตัวตนของคนที่มีเรื่องราวน่าสนใจ "เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล

ดาวที่จรัสแสงจากการอภิปรายงบปี 67 กับชีวิตคนธรรมดา ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเขียนโค้ดโปรแกรมจนหลับยังละเมอ สู่ความฝันอยากเปลี่ยนแปลงประเทศและจุดเปลี่ยนชัยชนะเลือกตั้ง 62 ที่น้อยคนจะรู้

https://www.youtube.com/watch?v=cxgWMQI8SkM

ประวัติ “เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ"

เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ของ ค่ายส้ม นายณัฐพงษ์ หรือ “เท้ง” เคยเป็นรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ฝ่ายพัฒนาระบบข้อมูลและดิจิทัล

เกิดวันที่ 18 พ.ค. 2530 ปัจจุบันอายุ 37 ปี เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของ นายสุชาติ เรืองปัญญาวุฒิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ชนันธร ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด (ประกอบธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์) และประธานกรรมการ บริษัท เรืองปัญญา เคหะการ จำกัด

ด้านการศึกษา

นายณัฐพงษ์ จบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มัธยมศึกษา เรียนที่โรงเรียนทวีธาภิเศก

ณัฐพงษ์ ยังเคยเป็นผู้บริหาร absolute.co.th ผู้ให้บริการคลาวด์ โซลูชัน ก่อนเข้ามาทำงานทางการเมือง

งานทางด้านการเมือง

ณัฐพงษ์ ได้รับเลือกตั้งเป็น สส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 28 สังกัดอดีตพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2562

ต่อมาในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อ ของอดีตพรรคก้าวไกล และได้รับเลือกเป็น สส.บัญชีรายชื่อ ของอดีตพรรคก้าวไกล กระทั่งล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค เป็นเวลา 10 ปี

สัมพันธ์ แน่นปึ้ก กับ "เอก" ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

นายณัฐพงษ์ มีความสัมพันธ์อันดีกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โดยในครั้งตั้ง พรรคก้าวไกล ในส่วนตึกที่ใช้เป็นที่ทำการพรรคย่านบางแค กทม. ก็เป็นตึกนายณัฐพงษ์อีกด้วย

รายชื่อกรรมการบริหาร พรรคประชาชน 5 คน มีดังนี้

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค

นายศรายุทธ ใจหลัก เลขาธิการพรรค

นายณัฐวุฒิ บัวประทุม นายทะเบียนพรรค

นางสาวชุติมา คชพันธ์ เหรัญญิกพรรค

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมการบริหารพรรค

ทั้งหมดใช้เวลาแค่ 2 วัน จากวันที่ถูกยุบพรรคก้าวไกล 7 ส.ค. มาถึง 9 ส.ค. 2567 ก็สามารถตั้งพรรคประชาชน เป็นค่ายใหม่ของค่ายสีส้มได้ ก็ต้องดูกันต่อไป หมากเกมนี้ยังไม่จบ โดยเฉพาะปม 44 อดีต สส.พรรคก้าวไกล ที่ "ณัฐพงษ์" เคยบอก ไม่กังวลหลังถูกร้อง ป.ป.ช.สอบจริยธรรม ปมลงชื่อแก้ ม.112 

"สงครามยังไม่จบ อย่างเพิ่งนับศพทหาร"




🔸"เท้ง" เบียด "ไหม" ขึ้น หน.พรรคประชาชน
🔸เปิดตัววันนี้ พรรคใหม่-หัวหน้าใหม่

🔸สัมภาษณ์ รศ.ธนพร ศรียากูล ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย : เปิดปม "ไหม-ศิริกัญญา" ตกสวรรค์
🔸พรรคใหม่-ผู้นำใหม่(ก้าวไกล) ปัง-ไม่ปัง?
🔸จัดคาราวานเปิดตัวพรรคใหม่ที่ชลบุรี
🔸เปิดตำนาน "พรรคประชาชน" สมัยกลุ่ม 10 มกรา




[คลิปเต็ม] เปิดใจ 'ส.ส.เท้ง ก้าวไกล' ข้อมูล ปชช.หลุดเกือบ 20 ล้านชุด สะท้อนช่องโหว่ระบบภาครัฐขาดความชัดเจนมาตรฐานความปลอดภัยแนะเร่งรัดนโยบาย




ไอ้เท้งมันเอาตายแน่!! 'ส.ส.เท้ง' ในบทบาทกรรมาธิการตรวจสอบทุจริต







Teng Speech
#เป็นสปีชที่สวยงามจริงๆค่ะ คุณณัฐพงษ์ #หัวหน้าเท้งสุดยอดค่ะ
🌺🌷ᔕᑌᑕᕼ ᗩ ᗷEᗩᑌTIᖴᑌᒪ ᔕᑭEEᑕᕼ💞
ท่านประธานาธิบดีที่เคารพและเพื่อนร่วมงานผู้มีเกียรติของข้าพเจ้า 
เมื่อไม่ถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยและเมียนมาร์ประสบเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ ในขณะนี้ ชีวิตในประเทศไทยได้กลับคืนสู่ภาวะปกติเป็นส่วนใหญ่แล้ว
ข้าพเจ้า จึงอยากรับรองกับทุกท่านว่า #เรายังคงเข้มแข็งและยินดีต้อนรับ อย่างไรก็ตาม  #โศกนาฏกรรมครั้งนี้เตือนเราถึงความเปราะบางของชีวิต และ 
#ความต้องการความยุติธรรมทางสังคมอย่างเร่งด่วน ผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนงานก่อสร้าง ทั้งชาวไทยและแรงงานต่างด้าว

ในฐานะสมาชิกรัฐสภา หน้าที่ของเราคือ #การออกกฎหมายและกำกับดูแลโดยคำนึงถึงความยุติธรรม เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่เสียชีวิต เช่น #คนงานก่อสร้างเหล่านี้จะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ในด้านการศึกษา เรากำลังผลักดันให้มีการกระจายอำนาจ โดยให้โรงเรียนในท้องถิ่นและรัฐบาลมีอำนาจในการปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ นอกจากนี้ ข้าพเจ้า ยังยินดีที่จะแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า #รัฐสภาของเราเพิ่งผ่านร่างกฎหมายห้ามการลงโทษทางร่างกายต่อเด็ก

ข้าพเจ้า หวังว่าความพยายามบางส่วนของเรา ที่ข้าพเจ้าเน้นย้ำ #อาจเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับพวกท่านทุกคนที่มาที่นี่ในวันนี้ ในฐานะตัวแทนของประชาชน เรา#ต้องร่วมกันมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ เพื่อขับเคลื่อนสังคมของเราให้ก้าวไปข้างหน้าสู่ การพัฒนาทางสังคมและความยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่ #โลกกำลังถูกพลิกคว่ำด้วยการค้า ขอบคุณมากครับ

My Honorable President, my distinguished colleagues, less than two weeks ago, Thailand and Myanmar were struck by the most powerful earthquake in our recent memory. I would like to extend my deepest condolences to the people of both nations. For now, in Thailand, life has largely returned to normal.

So I want to assure you that we remain strong and welcoming. However, this tragedy reminds us of life's fragility and the urgent need for social justice. The majority of those who lost their lives were construction workers, both Thai and migrant.

As parliamentarians, our duty is to legislate and provide oversight with justice in mind, ensuring that the people who lost their lives, like these construction workers, are not left behind. In the area of education, we are pushing for decentralization, empowering local schools and the government to tailor learning. And I am also pleased to share to you all that our parliament just passed a bill banning corporal punishment against children.

I hope that some of our efforts I have highlighted may serve as an inspiration to you all here today. Together, as representatives of the people, we must remain fully committed, moving our societies forward toward greater social development and justice, especially now that the world is being upended by trade. Thank you so much.