เพลงฉ่อยชาววัง

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ทักษิณทิ้งคนเสื้อแดงยังไง

ประเด็นเรื่อง "ทักษิณทิ้งคนเสื้อแดง" เป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงและมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไปในกลุ่มคนเสื้อแดงและนักวิเคราะห์การเมือง โดยไม่มีข้อสรุปเดียวที่ทุกคนยอมรับได้ แต่สามารถสรุปมุมมองและเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้:
มุมมองที่ว่า "ทักษิณทิ้งคนเสื้อแดง"
  • ข้อกล่าวหาจากแกนนำบางส่วน: อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บางคน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ออกมากล่าวอย่างชัดเจนว่า นายทักษิณเป็นคนแรกที่ทิ้งคนเสื้อแดง โดยระบุว่าพฤติกรรมของพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของทักษิณและครอบครัว ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบต่อการต่อสู้และความสูญเสียของคนเสื้อแดง
  • การหันไปจับมือกับฝ่ายตรงข้าม: การที่พรรคเพื่อไทยมีแนวทางจัดตั้งรัฐบาลที่รวมพรรคที่เคยเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองกับคนเสื้อแดง (เช่น พรรคพลังประชารัฐ, พรรครวมไทยสร้างชาติ) ถูกมองว่าเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์และการต่อสู้ที่ผ่านมาของคนเสื้อแดง
  • การถูกมองเป็น "วัสดุใช้แล้วทิ้ง": มีการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ว่าประชาชนหรือคนเสื้อแดงอาจเป็นเพียง "วัสดุใช้แล้วทิ้ง" ในทางการเมืองของทักษิณและพรรคเพื่อไทย เมื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองแล้ว
  • การเปลี่ยนแปลงจุดยืนทางการเมือง: การที่ทักษิณกลับประเทศไทยและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในรูปแบบที่หลายคนมองว่าได้รับสิทธิพิเศษ (เช่น การพักโทษที่โรงพยาบาลตำรวจ) และท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยประกาศสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ ทำให้แกนนำและมวลชนบางส่วนรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง 
มุมมองที่ว่า "ยังคงผูกพันหรือไม่ได้ทิ้ง"
  • การให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง: ยังมีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ยังคงรักและศรัทธาในตัวทักษิณ และเดินทางไปให้กำลังใจที่หน้าเรือนจำหรือในโอกาสต่างๆ ที่ทักษิณปรากฏตัว
  • การยืนยันความเชื่อมั่น: กลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนทักษิณยืนยันว่าการกลับมาของทักษิณเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมและทุกคนควรได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียม และการให้กำลังใจเป็นสิ่งที่ทำด้วยใจจริง
  • การลงพื้นที่พบปะมวลชน: หลังได้รับการพักโทษ ทักษิณได้มีการลงพื้นที่และพบปะกับกลุ่มคนเสื้อแดงในหลายจังหวัด โดยกล่าวว่าตั้งใจมาใช้หนี้ที่ติดค้างไว้กับคนเสื้อแดงมานาน 
โดยสรุป ประเด็น "ทักษิณทิ้งคนเสื้อแดง" สะท้อนถึง ความแตกแยกทางความคิด ภายในกลุ่มคนเสื้อแดงเอง โดยมีทั้งฝ่ายที่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองและการหันไปร่วมมือกับฝ่ายตรงข้าม และอีกฝ่ายที่ยังคงยืนยันในความจงรักภักดีและให้การสนับสนุนทักษิณต่อไป 

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ช่อ พรรณิการ์

https://www.youtube.com/watch?v=aNUfUYq8M-4


รสนาพูดเรื่องพรรคส้มเป็นรบ. ได้

https://www.facebook.com/share/r/1Pmr84sZ87/


-------

ชาตินี้ก็ไม่ได้เป็นรบ.

https://www.facebook.com/share/r/15FvW6kYRh/


-----

รู้หรือยังมีทหารไว้ทำไม

https://www.facebook.com/share/r/16bFHkfqmz/


ตระกูลชินวัตร จบเห่ทั้งตระกูล

https://www.facebook.com/share/r/1M1mnnm2ho/


3 ทางออกของแพทองธาร

https://www.facebook.com/share/r/1LkWKuMQ2C/

250 ก็รบ.พรรคเดียวไม่ได้

https://www.facebook.com/share/v/16nRi9XwRR

/

มั่นใจในเท้ง ฟังเรื่อง เท้งVSพิธา

https://www.facebook.com/share/r/19Z3kMk4en/


ดีลลับนายกคนกลาง ตัวอย่างอานันท์ ปัญญารชุน

https://www.facebook.com/share/r/16jxymu51J/


พูดเถียงกับทอมเป็นเพราะ

https://www.facebook.com/share/r/1Amg87rRTA/


ตู่นักปราศัยโดนคุณช่อตบซะตายคาจอเลย

https://www.facebook.com/watch?v=1019854979957360

--------

คณช่อตอบได้ชัดเจนมาก พรรคการเมืองที่จะอยู่ในใจ ของปชช.ได้คือยึดหลักการ

และอุดมการณ์ ไม่แกว่งไปตามกระแส เรื่องจริยธรรมก็แค่ข้ออ้างและเครื่องมือของ

ชนชั้นปกครองที่นำมาใช้ ซึ่งพวกนี้ก็ไม่ได้สูงส่งกว่าปชช.คนธรรมดาอะไรเลย

ที่ผ่านมาก็ได้เห็นประเภท ที่เขาเรียกกันว่าคนดีย์เป็นเช่นไร ตราบที่ระบบการปกครองยังเป็นเช่นนี้ซึ่งไม่รู้จะเรียกมันว่าระบบอะไรดี บ้านเมืองคงมองไม่เห็นอนาคต นอกจากเห็น

แต่ตวามล้มเหลวและพังในที่สุด

--------

คนแก่เอาแต่ใจ555 อยากให้ทำแบบนั้นแบบนี้ ไม่ถูกใจประท้วง😆😆 น่าจะไปตั้งพรรคการเมืองแล้วก็ไปสู้ในสภาแบบเขา อยากได้แบบไหนก็ไปสู้เอาในสภาสิครับ


--------

ไม่ผิดหวังเลยสักครั้งเดียว แกนนำ ประชาชน คุณภาพทุกคนจริงๆ

--------

สู้ด้วยหลักเกณ สู้อยุ่ในกรอบกติกา แต่กลับโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง -ต่างกันกับอีกฝั่ง ทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งอำนาจ จะผิดจะถูกไม่สน จะเหยียบหัวใครขึ้นมาหรือตัดหัวใครไม่สนใจ ขอแค่ให้ได้มาซึ่งอำนาจที่ตัวเองต้องการ ทุกวันนี้ยังนั่งลอยหน้าลอยตาอยุ่ในสภาไม่อายลูกหลานตัวเอง กุละเชื่อเลย

--------

เงินบริจากเอาไปให้แม่ทับภาก2แล้วรึยังไอ้ตู่
ประชาชนเฝ้ารอดูอยู่นะที่พวกบอกว่าบริจากได้50ล้านบาท เขามาประชุมประมาณ28000กว่าตัวจ่ายหัว1000บาท

--------


--------


--------


--------

--------


วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2568

Why is it a bad idea to get into a fight in Thailand, and what could happen if you do?

ทำไมการทะเลาะวิวาทในประเทศไทยจึงเป็นเรื่องไม่ดี และจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณทำเช่นนั้น?

I lived there for 19 years. 3 years in a Thai prison for fighting. No basketball, no recreation, 50 to a room on the floor and shit food. Your embassy will make sure you get some extra food as Thai prisons have a commissary where you can buy hard-boiled eggs, fruit, and other necessities.

If older, it could easily be a death sentence from the conditions. When you first arrive, they put you in a waist chain with handcuffs leading to the waist and chains to your thighs. Thais say it's so you won't commit suicide- sort of bullshit. It's to control you and teach you to behave. For reference a simple shoplifting charge carries 2 years in prison.

Thailand has very draconian laws. Usually you can bribe your way out but if not YOU'RE SCREWED BIG TIME!

Also, guns are quite legal and Thai men can have insane tempers and they just might shoot you.

Look up the murder of Ernie Del Pinto in Mae Hong Son Thailand by a Thai cop. The cop also shot his pregnant friend Carly Reisig in the chest who wasn't even involved- cop was drunk when he shot them. Cop was a vicious thug and walked free.

Shortly thereafter he learned his 18 year old girlfriend was pregnant so he beat her to death with his nightstick in front of his like 10 year old daughter- then they convicted his ass.

You can Google all I've said. I speak Thai but don't read or write it.



Harry Nicolaides, who criticised the king of Thailand in his book "Verisimilitude", was sentenced to three years in jail in Thailand for insulting the royal family. The Australian writer has been in prison since August.

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2568

สื่อมวลชนยุคนี้

 ยุคนี้ทุกคนมีเครื่องมือสื่อมวลชนอยู่ในมือ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นสื่อมืออาชีพ. อย่างดีพวกเขาก็เป็นได้แค่สื่อปฏิกูล เพราะสื่อมืออาชีพต้องดำรงความเป็นกลาง, ยิ่งในยามศึกสงครามยิ่งต้องเป็นกลางอย่างเคร่งครัด: หลีกเลี่ยงการพาดหัวข่าวด้วยศัพท์แสงปลุกเร้า, หลีกเลี่ยงการรายงานข่าวด้วยภาษาหวือหวา, หลีกเลี่ยงการใช้คำคุณศัพท์ที่สะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึก เช่น โหดเหี้ยม, อำมหิต, เลือดเย็น, น่าสงสาร, น่าเศร้า, ฯลฯ เพราะศัพท์เหล่านี้สะท้อนความลำเอียงในการรายงาน. และด้วยเหตุผลเดียวกัน ถ้าเป็นสื่อออกอากาศ ต้องหลีกเลี่ยงการสอดใส่อารมณ์ลงไปในน้ำเสียงขณะกำลังรายงาน.

ดั้งนั้น หัวข้อข่าวในคลิปต่าง ๆ ที่ผมคัดมาจากยูทูปในวันนี้ ล้วนเป็นการนำเสนอของสื่อปฏิกูล:
- เขมรตายเฝ้าภูผีร้อยศพ, ข่าวเที่ยงอมรินทร์ (มึงรู้ได้ไงว่าร้อยศพ?)
- ด่วน! ขยี้เต็มกำลัง! ดับห้าว "เขมร" เปิดยุทธการ "ตราดพิฆาตไพรี 1", ข่าวไทยรัฐ (ใช้ภาษาแสดงความสะใจ, มึงเห็นด้วยตาหรือว่าเขมรถูกขยี้?)
- "ลาว" แถลงประจาน "กองทัพกัมพูชา" ตั้งใจยิงปืนใส่ แต่โบ้ยเป็นความผิดให้ไทย - ลั่นจับคนจัดฉากได้, Top News Live
Top News Live นี่ ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นสื่อปฏิกูล เพราะแทบทุกคลิปล้วนแสดงความกระหายสงคราม. เฉพาะในคลิปนี้ พิธีกรชายยังสวมบทชาตินิยมขวาสุดโต่งถึงขนาดด่าเขมรว่า "คือมันเจ้าเล่ห์มากนะฮะ, เลวทรามมาก, คือตอนนี้เนี่ย ตั้งใจยิงปืนไปฝั่งลาว หวังใส่ร้ายไทยให้ประชาคมโลกเนี่ยเข้าใจผิด..." (เฮ้ย มึงยังคิดว่ามึงเป็นสื่อหรือวะ?)

ใครไม่มีเวลาตามข่าวศึกไทย-เขมร ขอแนะนำให้ติดตามโพสต์ในแต่ละวัน

ของ Pavin Chachavalpongpun (ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์) ครับ. ขอรับรองว่าเธอน่าเชื่อถือยิ่งกว่าคนใช้สื่อสังคมทุกเจ้า. เธออาจจะใช้ภาษาแบบปรี๊ดแตกบ่อย ๆ ในเรื่องที่ไม่ใช่ทางการ แต่ในการนำเสนอเรื่องที่เป็นทางการ ภาษาของเธอกระชับรัดกุม เข้าใจง่าย และปลอดจากอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว.

ความเป็นไปไม่ได้ของการปฏิรูปภายในประเทศ

สถาบันนี้จะอยู่ได้ก็ต้องพึ่งพาประชาชนคนในชาติ ! แต่คนในชาติอยู่ได้ แม้ไร้สถาบันนี้ แต่กลับมีกฎหมายทำลายความรักและศรัทธาของประชาชนในตัวเอง เนื่องจากกลัวความมั่นคงของตัวเอง ช่างน่าขัน ******


*****
สื่อลิ้ม กับหยุ่น พูดเหมือนนัดกัน ก่อนเกิดการปะทะใหญ่ "ทหารขี้ขลาด ไม่กล้ารบ กลัวเขมร รัฐบาลก็กลัวเขมรใหญ่ฮุนเซน รัฐบาลควรลาออก ยุบสภา"

แปะลิ้มเหมือนนรกส่งมาเกิดให้เป็นสารตั้งต้น ปลุกระดม ยุแหย่ เร่งเร้า สร้างความเกลียดชัง แตกแยก ร้าวฉาน ราวกับว่ามีความสุขเมื่อเห็นการเข่นฆ่า การประหัตประหาร การนองเลือด การระส่ำระสายไม่สงบสุขของผู้คนในสังคม

*****
เห็นด้วยอย่างยิ่ง สื่อทีวีหลายๆช่อง โดยเฉพาะเวลาเสนอข่าว สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทำไมต้องใช้คนอ่านข่าวสองคนบ้าง สามคนบ้าง เขานั่งอ่านข่าวคนเดียวไม่เป็นหรืออย่างไร? หรือกลัวตกม้าตายถ้าอ่านข่าวคนเดียว?
แล้วอีกอย่าง เห็นหลายช่องชอบใส่ความเห็นส่วนตัว หรือวิจารณ์ไปพร้อมเสร็จ ฟังแล้วน่ารำคาญ จนเดี๋ยวนี้ เลิกดูข่าวในทีวีช่องต่างๆไปเลย ยังหวังอยู่ว่า เมื่อไหร่จะมีทีวีที่นำเสนอข่าวจริงๆ โดยไม่ต้องไปใส่สีตีข่าว หรือไปเหน็บแนมใส่ความเห็นส่วนตัว ว่าไปแล้วคงยาก ว่ามั้ย?
****

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ระบบศาลในประเทศไทย




               




ผู้เรียบเรียง :

คณาธิป ไกยชน, วิทยากรชำนาญการ กลุ่มงานวิจัยและพัฒนา สำนักวิชาการ

แหล่งที่มา :

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักวิชาการ

ศาลเป็นองค์กรของรัฐที่ใช้อำนาจตุลาการในการตัดสินข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นองค์กรที่มีความสำคัญในการอำนวยความยุติธรรมในสังคม อาทิ ทำหน้าที่ยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคม เป็นหลักประกันสำหรับประชาชนว่าจะได้รับการพิจารณาคดีตามกฎหมายอย่างเป็นธรรมและเสมอภาค ทำให้ระบบกฎหมายมีความมั่นคงแน่นอนและสามารถบังคับใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ ทั้งนี้ เพื่อให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข

การจำแนกรูปแบบของระบบศาลในต่างประเทศสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระบบ คือ 

1) ระบบศาลเดี่ยว เป็นระบบที่ศาลยุติธรรมมีอำนาจตีความกฎหมายและพิจารณาตัดสินคดีทุกประเภท ทั้งคดีอาญา คดีแพ่ง คดีปกครอง ฯลฯ ซึ่งเป็นระบบศาลที่นิยมใช้ในประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบจารีตประเพณี (Common Law) เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น และ

2) ระบบศาลคู่ เป็นระบบศาลที่ให้อำนาจตัดสินคดีที่มีมากกว่าหนึ่งศาล กล่าวคือ เป็นระบบศาลที่มีศาลปกครองเป็นศาลพิเศษมีอำนาจพิจารณาคดีปกครองโดยเฉพาะแยกออกจากศาลยุติธรรม ซึ่งศาลยุติธรรมไม่ได้มีอำนาจในคดีทุกประเภทเหมือนระบบศาลเดี่ยว โดยระบบศาลดังกล่าวนิยมใช้ในประเทศแถบยุโรปที่ใช้ระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษร (Civil Law) เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี เป็นต้น

ระบบศาลของประเทศไทยเริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยมีพ่อขุนหรือกษัตริย์ทรงใช้อำนาจทางการศาลด้วยพระองค์เอง และมีผู้แทนพระองค์ที่เรียกว่า “ตระลาการ” ทำหน้าที่วางหลักเกณฑ์การพิจารณาและพิพากษาคดี ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยามีศาลเกิดขึ้นหลากหลายประเภท เช่น ศาลความอุทธรณ์หรือศาลหลวง ศาลอาชญาราษฎร์หรือศาลราษฎร์ ศาลอาชญาจักร ศาลแพ่งวัง ศาลแพ่งกลาง เป็นต้น 


และในสมัยรัตนโกสินทร์ได้มีการปฏิรูปการศาลไทยและสถาปนากระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบศาลใหม่ ยุบรวมและโอนศาลทั้งหลายมาสังกัดกระทรวงยุติธรรม ยกเว้นศาลทหารที่ยังคงสังกัดกระทรวงกลาโหม 


จนกระทั่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติให้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นเป็นครั้งแรกแยกออกจากศาลยุติธรรม จึงทำให้ระบบศาลไทยเปลี่ยนจากระบบศาลเดี่ยวเป็นระบบศาลคู่ เนื่องจากมีการแบ่งแยกขอบเขตอำนาจระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองอย่างเด็ดขาด

               

ในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
ได้กำหนดให้มี 4 ศาล ได้แก่

ศาลยุติธรรม 

ศาลปกครอง 

ศาลรัฐธรรมนูญ และ

ศาลทหาร มีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้

ศาลยุติธรรม เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น โดยโครงสร้างของศาลยุติธรรมแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ

1) ศาลชั้นต้น ประกอบด้วย ศาลชั้นต้นทั่วไป และศาลชำนัญพิเศษ มี 5 ศาล ได้แก่ ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลภาษีอากร ศาลล้มละลาย ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และศาลแรงงาน

2) ศาลอุทธรณ์ ประกอบด้วย ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อยู่ในเขตอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์ และ

3) ศาลฎีกา เป็นศาลสูงสุดเพียงศาลเดียว มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้เสนอต่อศาลฎีกาได้โดยตรง และพิจารณาคดีที่อุทธรณ์ ฎีกาคำพิพากษา คำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์ภาคตามที่กฎหมายกำหนด

ศาลปกครอง 

เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีปกครอง ซึ่งมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากศาลยุติธรรม เนื่องจากศาลปกครองใช้ระบบไต่สวนในการดำเนินคดี กล่าวคือ ศาลปกครองมีอำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงอื่นใดได้ โดยไม่จำเป็นต้องรับฟังเฉพาะคู่กรณีทั้งสองฝ่าย การใช้ระบบพิจารณาคดีดังกล่าวมีสาเหตุมาจากคดีปกครองซึ่งนิติสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการออกกฎเกณฑ์ หรือการออกคำสั่งของฝ่ายปกครองที่สามารถดำเนินการได้เองฝ่ายเดียว โดยไม่ได้อยู่บนหลักของความเสมอภาคกัน และพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่จะใช้ในศาลเกือบทั้งหมดอยู่ในความดูแลหรือครอบครองของฝ่ายปกครอง ดังนั้น หากการค้นหาข้อเท็จจริงยึดหลักเคร่งครัดว่าคู่กรณีต้องพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างของตนเช่นเดียวกับคดีในศาลยุติธรรม ย่อมไม่เป็นธรรมแก่คู่กรณีที่เป็นเอกชนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะฟ้องคดี ทั้งนี้ โครงสร้างของศาลปกครองแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ 

1) ศาลปกครองสูงสุด ซึ่งจัดตั้งขึ้นในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียง และ

 2) ศาลปกครองชั้นต้น ได้แก่ ศาลปกครองกลาง ซึ่งจัดตั้งขึ้นในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใกล้เคียง และศาลปกครองในภูมิภาค


ศาลรัฐธรรมนูญ 

เป็นศาลที่ทำหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสถานะ “ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ” นอกจากนี้ ยังมีอำนาจและหน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และธำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันกับทุกองค์กร โดยการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญเป็นระบบไต่สวน กล่าวคือ ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ซึ่งแตกต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไปของศาลยุติธรรม

ศาลทหาร 

เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา วางบทลงโทษทหารที่กระทำความผิดต่อกฎหมายทหารหรือกฎหมายอื่นในทางอาญา โดยแบ่งตามสถานการณ์ได้ 2 ประเภท ได้แก่ 

ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ หมายถึง ศาลทหารในภาวการณ์รบหรือการสงคราม หรือมีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ทำให้ศาลทหารต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็วเด็ดขาดยิ่งกว่าในเวลาปกติ โดยมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาใด ๆ เพิ่มเติมอีกได้ตามที่ผู้มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึกได้ประกาศไว้ และ

ศาลทหารในเวลาปกติ หมายถึง ศาลทหารที่มีอยู่ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองมีความสงบไม่มีศึกสงคราม จะมีการพิจารณาพิพากษาคดีที่สามารถอุทธรณ์และฎีกาได้ แบ่งเป็น 3 ชั้นศาล ประกอบด้วย

1) ศาลทหารชั้นต้น เป็นศาลที่เทียบได้กับศาลชั้นต้นของศาลพลเรือนมี 4 ประเภท ได้แก่ ศาลทหารกรุงเทพ ศาลมณฑลทหาร ศาลจังหวัดทหาร และศาลประจำหน่วยทหาร

2) ศาลทหารกลาง เป็นศาลที่เทียบได้กับศาลอุทธรณ์ของศาลพลเรือนมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารชั้นต้น และ

3) ศาลทหารสูงสุด เป็นศาลที่เทียบได้กับศาลฎีกาของศาลพลเรือน มีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่มีการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลทหาร โดยคดีที่ศาลทหารสูงสุดได้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งแล้วถือว่าเป็นที่สุด 

กล่าวโดยสรุป ระบบศาลในประเทศไทยมีการจัดแบ่งประเภทอย่างชัดเจนสะท้อนให้เห็นถึงการได้รับอิทธิพลจากแนวคิดระบบศาลคู่ของต่างประเทศ ซึ่งการแบ่งขอบเขตอำนาจของแต่ละศาลเป็นอิสระจากกัน มีผู้พิพากษาหรือตุลาการของแต่ละศาลโดยเฉพาะ ทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาคดีแต่ละประเภทได้รับการวินิจฉัยโดยผู้พิพากษาหรือตุลาการที่มีความรู้ความเข้าใจกฎหมายและลักษณะคดีที่มีลักษณะเฉพาะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดด้วยวิธีพิจารณาที่เหมาะสม 

ดังนั้น การเสนอคดีต่อศาลจะต้องพิจารณาก่อนว่า เป็นคดีประเภทใดและอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด เพราะหากเสนอคดีไม่ถูกต้องตามระบบศาล ศาลนั้นย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้โดยชอบด้วยกฎหมาย 

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

อ. ปวิณพูดถูกที่สุด

 คนทั่วไปแม่งจะมองเรื่องนี้จากมุมเดียว เรื่องของการเป็นเหยื่อตุลาการภิวัฒน์ นับตั้งแต่สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ เศรษฐา จนมาถึงแพทองธาร แล้วครวญครางว่าถูกรังแก ใช่ พวกคุณถูกรังแก แต่ถ้าเราจะมองอึกมุมหนึ่ง

  พรรคเพื่อไทยมีโอกาสหลายครั้งในการ fix ปัญหานี้ โดยเฉพาะในยุคแพทองธารที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ถ้ากล้าลุกขึ้นมาแก้ไข เลิกเล่นบทเหยื่อ วันนี้รัฐบาลนี้อาจไม่ลงเอยแบบนี้ 

ที่ไม่ยอมลุกขึ้นมาแก้ก็เพราะแม่ง ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม เพราะแม่งมองแต่ประโยชน์ของชินวัตร

เพราะคิดว่าการไม่ลุกขึ้นมางัดข้อ อาจจะทำให้อีลีทไทย/เจ้าไทยให้โอกาสทางการเมือง 

นี่มึงจะโง่กันอีกกี่ครั้ง พอลงเอยแบบนี้ ก็โทษอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ แต่ไม่เคยตำหนิตัวเอง 

อีพวกนางแบกก็จะอ้างว่า ขนาดทำตัวเชื่องอย่างนี้ยังโดนกำจัด ถ้าลุกขึ้นมาสู้ก็คงตๅยห่า

 โถ e🐃 จะทำตัวเชื่องหรือลุกขึ้นสู้ เค้าก็กำจัดมึงอยู่ดีค่ะ

องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

 องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คือ องค์กรของรัฐที่มีหน้าที่ในการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยมีลักษณะพิเศษคือความเป็นอิสระในการปฏิบัติงาน ไม่ถูกแทรกแซงจากองค์กรอื่นหรือสถาบันการเมืองใดๆ 

องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2560 ประกอบด้วย: 

1. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.):

มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งและดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม 

2. ผู้ตรวจการแผ่นดิน:(ระวังสับสนกับ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินออมบุดสแมน

ผู้ตรวจการแผ่นดิน คือ บุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน มีหน้าที่พิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเสนอแนะแนวทางแก้ไข 

3. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.):

มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ 

4. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.):

มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการเงินการคลังของรัฐ 

5. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.):

มีหน้าที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 

องค์กรเหล่านี้มีความสำคัญในการเป็นกลไกตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ สร้างความโปร่งใส และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน