เพลงฉ่อยชาววัง

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

**ประวัติ คณะรัฐมนตรี "ประยุทธ์ 1"***







1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 
ผบ.ทบ. และหัวหน้า คสช. ปัจจุบันอายุ 60 ปี เป็นนายทหารในสาย "บูรพาพยัคฆ์" นักเรียนเก่าโรงเรียนวัดนวลนรดิศ อดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 และจปร.รุ่น23
เคยร่วมคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ครั้งนั้นได้รับตำแหน่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย พล.อ.ประยุทธ์ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเมืองหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นในปี 2551, 2552 และ 2553

เมื่อถึงรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พล.อ.ประยุทธ์ถูกมองว่าเปลี่ยนไปและเข้ากันได้ดีกับนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จนกระทั่งเกิดวิกฤตการเมืองช่วงปลายปี 2556 สุดท้าย”บิ๊กตู่”ตัดสินใจเข้ายึดอำนาจการปกครองเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ต่อมาวันที่ 21 ส.ค. สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เเละรมว.กลาโหม








"บิ๊กป้อม" พี่ใหญ่สาย "บูรพาพยัคฆ์"ประธานที่ปรึกษาหัวหน้า คสช. ปัจจุบันอายุ69ปี ศิษย์เก่าเซ็นต์กาเบรียล,เตรียมทหารรุ่นที่ 6 และจปร.รุ่น17 เคยดำรงตำแหน่ง ในสายของทหารเสือราชินี(ร.21รอ.)มาตั้งแต่ต้น จากนั้นย้ายไปอยู่หลายหน่วยงานในกองทัพภาคที่1 ก่อนเข้าไลน์คือเป็นแม่ทัพภาคที่1,ผู้ช่วยผบ.ทบ.และผบ.ทบ. ระหว่างปี 2547 - 2548 มีความสนิทสนมกับพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.
พล.อ.ประวิตรเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างไรพล.อ.ประวิตรเคยมีกระแสข่าวว่าจะได้เป็นรมว.กลาโหมตั้งแต่ ยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และช่วงที่นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

อีกทั้งยังถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับทุกกลุ่ม จนทำให้ได้รับความเกรงใจและความเคารพจากทหารและนักการเมืองหลายๆคน ส่วนการยึดอำนาจครั้งนี้ พล.อ.ประวิตรถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ที่ร่วมก่อการด้วยแม้ไม่ได้อยู่ในแวดวงราชการแล้วก็ตาม

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า “บิ๊กป้อม”ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งใน ครม.ประยุทธ์ แต่ก็เป็นรับรู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตร มีบทบาทสำคัญมากในการขับเคลื่อนภารกิจของคสช.

3. ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ


หนึ่งในที่ปรึกษา คสช. และถูกคาดหมายมาแต่แรกว่าจะได้ร
ับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลนี้ เคยป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ถัดมาได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน และพลเอกสุจินดา คราประยูร รวมทั้งยังดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก ช่วง พ.ศ. 2535-2536
ต่อมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 “คุณชายอุ๋ย”ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่ต่อมาไม่นานได้ยื่นใบลาออก โดยให้เหตุผลว่าเกิดจากความไม่พอใจในการนำคนจากรัฐบาลที่แล้ว (สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) มาทำงาน และการดำเนินงานของรัฐมนตรีบางคนที่เอื้อประโยชน์ให้สื่อบางรายเป็นการเฉพาะ

ช่วงตั้งรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ม.ร.ว. ปรีดิยาธร มีชื่อว่าจะได้ร่วมรัฐบาลแต่สุดท้ายหลุดวง ต่อมาคุณชายได้ออกมาวิพากษ์นโยบายของรัฐบาลในขณะนั้นเป็นระยะๆ

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ขบวนการกราบกินของทักษิณ

ข้อมูลที่มาทั้งหมดเขียนโดยผู้ใช้เฟสบุ๊คนี้https://www.facebook.com/profile.php?id=100001281772473&fref=ts

รายละเอียดเกี่ยวกับเขาอยู่ท้าย ๆ บทความค่ะ

ระวัง!!!!!!! อ่านแล้วมีสติ
นายคนนี้อยู่สายงานนางรสนา โตสิตระกูล ที่ได้วางเอาไว้เพื่อทวงคืนพลังงานจากเอกชน มาเป็นของอำมาตย์ หนึ่งในนั้นคือ "สุรวิทย์ (ชื่อจริง สุภณ ชินบุตร)" ที่เคยเปิดเพจ "สมศักดิ์ รักเธอเสมอ"ที่แฝงตัวมาเป็นเสื้อแดง แต่ด่าทักษิณและเสื้อแดง แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นเฟสอวตารอื่น
***************************************************************
ตอนที่ 1 ส่งรายชื่อให้ศัตรูผ่านการถวายฎีกา

“เอาความผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียน เพื่อที่จะเดินไปข้างหน้า” ตั้งแต่มีการต่อสู้ก่อรูปเป็นขบวนการคนเสื้อแดง ภายใต้การนำของทักษิณ คนเสื้อแดงเชื่อมาโดยตลอดว่าทักษิณกำลังต่อสู้กับเผด็จการอำมาตย์ ทักษิณคือผู้นำในการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตย แต่ทุกครั้งก็จบลงที่ความพ่ายแพ้ ความตายของคนเสื้อแดงและยิ่งครั้งสุดท้ายที่ถนนอักษะ คนเสื้อแดงตายและถูกไล่ล่าสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ในขณะที่คุณทักษิณใช้วิธีการครอบงำรูปการจิตสำนึกของคนเสื้อแดง มีการอ้างบุญคุณที่ให้สามสิบบาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้านฯลฯไม่เลิก คนเสื้อแดงจะขาดทักษิณไม่ได้ และจะต้องเอาทักษิณกลับมาบริหารประเทศเท่านั้นประชาชนจึงจะอยู่ดีกินดีขึ้นได้

แต่หากเรามีใจเป็นธรรม มองความจริงอย่างไม่มีอคติจะพบว่าที่ผ่านมา ทักษิณไม่ได้มีเจตนาที่จะต่อสู้กับเผด็จการอำมาตย์แต่อย่างใด ไม่มีเจตนาโค่นล้ม กำจัด และกวาดล้างศัตรูของประชาชนทิ้งไป เป็นการก่อรูปองค์กรเพื่อสร้างอำนาจเข้าไปต่อรองเพื่อหากินร่วมกันศัตรูของประชาชนให้ได้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ผลประโยชน์ที่ทักษิณและกลุ่มก๊วนทักษิณคือปลายทางที่พวกเขาต้องการ ทักษิณกลัวการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศหรือที่เรียกกันว่าปฏิวัติประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำไป มีการส่งรายชื่อของคนเสื้อแดงให้ศัตรูของคนเสื้อแดงหลายครั้งอย่างจงใจ ซึ่งจะได้นำมาเรียบเรียงเพื่อให้คนเสื้อแดงหันมามองความเป็นจริง และพร้อมที่จะสร้างขบวนการต่อสู้ที่ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงต่อไป

ตอนที่1 ถวายฎีกา
ก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำนวน 46,000ล้านบาท ก่อนจะตัดสินยึดทรัพย์5เดือน ในวันที่ 17 สิงหาคม 2552 ทักษิณ จึงได้วางแผนที่จะให้มีการขออภัยโทษคดีเซ็นต์ชื่อให้คุณหญิงอ้อไปซื้อที่ดินที่รัชดา ซึ่งเป็นดดีที่ต้องทำให้คุณทักษิณต้องหนีคดีไปต่างประเทศ หากเรายังจำกันได้ในช่วงนั้นมีการโปรโมทคุณงามความดีของคุณทักษิณอย่างหนัก นำโดยคุณวีระ มุสิกพงศ์และบรรดาแกนนำขั้นเทพครบทุกคน เพราะคุณทักษิณเริ่มจะมองเห็นแล้วว่าคดียึดทรัพย์ท่าจะไปไม่รอด แกนนำทุกส่วนล้วนต่างช่วยคุณทักษิณอย่างพร้อมเพียงระดมรายชื่อที่ถ่ายบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านรวบรวมทั้งประเทศมาได้ 5ล้านรายชื่อ แต่นปช.คัดรายชื่อที่ซ้ำซ้อนและหลักฐานไม่ครบหักออกไปแล้วเหลือประมาณ 3.5ล้านรายชื่อ และระดมคนเสื้อแดงมาช่วยกันแบกหามรายชื่อเหล่านั้นเพื่อยื่นถวายฎีกา ท่ามกลางนักต่อสู้รุ่นเก่าหลายคนได้ตักเตือนแกนนำนปช.ว่าอย่างทำเช่นนี้ เพราะจะไม่มีผลในทางปฏิบัติและจะเป็นอันตรายต่อคนเสื้อแดงที่ลงชื่อเอง แต่ก็ไม่มีผลอะไรเพราะบรรดาแกนนำเสือหิวเหล่านั้นต้องการทำผลงานเพื่อเอาใจนายทุนใหญ่ แม้ผลที่จะตามมาคืออันตรายต่อประชาชนก็ตาม

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการตั้งเวที ,เปิดโรงเรียนนปช.ปราศรัยทวงถามความคืบหน้าในการยื่นถวายฎีกาไปแล้วแทบทุกเวที “เมื่อไหร่กรมราชทัณท์จะตรวจรายชื่อเสร็จเสียที กรมราชทัณท์ไม่ทำงาน อู้งาน หรือจงใจที่จะทำให้เรื่องมันช้า” แต่เปล่าเลย ในความเป็นจริงแล้วเจ้าหน้าที่ทำงานอย่างหนักมีการตรวจหากลุ่มต่างๆในรายชื่อที่ส่งมา ใครเป็นแกน ใครมีลักษณะฮาร์ดคอ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอย่างหนักนี้คือเจ้าหน้าที่ในส่วนงานกอ.รมนต่างหาก หากพิจารณาอย่างมีเหตุและผลการส่งรายชื่อคนเสื้อแดงให้ศัตรูในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นการจงใจที่จะเอารายชื่อคนเสื้อแดงให้ศัตรูเพราะไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะมารองรับกับความเชื่อที่ว่าถวายฎีกาไปแล้วทักษิณจะพ้นผิด

การหมายหัวคนเสื้อแดงจึงเริ่มขึ้น รู้กลุ่ม รู้โซนที่อยู่ รู้แกนนำในพื้นที่ จากที่ไม่มีข้อมูล ก็เริ่มมีข้อมูลจากการถวายฎีกาครั้งนั้นนั่นเองไงครับ




ขบวนการกราบกินของทักษิณ ส่งรายชื่อคนเสื้อแดงให้ศัตรู(ตอนที่ 2)

“เอาความผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียน เพื่อที่จะเดินไปข้างหน้า” ภายหลังจากที่กอ.รมนได้รายชื่อคนเสื้อแดงแทบทั้งหมดผ่านการถวายฎีกา กอ.รมนเองก็ประสบปัญหาคือข้อมูลไม่เป็นระบบ จะต้องจัดทำข้อมูลใหม่คือจะต้องคีย์รายชื่อทั้งหมด3.5ล้านรายชื่อเพื่อเป็นฐานข้อมูล บางข้อมูลไม่ครบถ้วน ถ่ายเอกสารไม่ชัดบ้าง อำมาตย์จึงได้วางแผนใหม่เพื่อให้ฐานข้อมูลของคนเสื้อแดงเป็นระบบ จึงได้มีการสั่งการลงมาที่แกนนำของคนเสื้อแดงที่อำมาตย์สั่งได้ให้จัดทำข้อมูลของคนเสื้อแดงให้เป็นระบบจึงเป็นที่มาของการทำ”บัตรนปช.”

อะไรที่จะเป็นแรงจูงใจให้คนเสื้อแดงทำบัตรนปช.ได้??? เพราะมีคนเสื้อแดงบางส่วนเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับตัวเองในภายหลัง แกนนำนปช.จึงประกาศบนเวทีว่าใครที่ทำบัตรนปช.จะได้รับสิทธิ์พิเศษมากมายเช่นหากเกิดการบาดเจ็บหรือล้มตายอันเนื่องมาจากการชุมนุมคนที่มีบัตรนปช.ก็จะได้รับเงินชดเชย เยียวยา เรียกว่ายิ่งกว่าทำประกันชีวิตเสียอีกเพราะได้เป็นพวกเดียวกันกับนายใหญ่อย่างเต็มตัว และอีกเหตุผลนึงที่แกนนำประกาศให้คนเสื้อแดงเข้ามาทำบัตรนปช.ให้มากที่สุดก็คือ แกนนำอ้างว่าในการชุมนุมที่ราชดำเนินและที่ราชประสงค์มีสายของทหารปะปนเข้ามามากเหลือเกิน จำเป็นต้องมีบัตรนปช.เพราะจะได้แยกแยะว่าใครเป็นคนเสื้อแดงตัวจริง ผลปรากฎว่าสายของทหารแห่ไปทำบัตรนปช.กันเพียบ สายของทหารมีบัตรนปช.กันทุกคน

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

'เมล็ดพืชสีแดง' มรดก พคท. สู่คนรุ่นใหม่​

การผ่านการต่อสู้ทั้งโดยสันติและโดยการใช้อาวุธ พรรคคอมมิวนิสต์ไทย จนมาถึงจุดจบในปี 2525 แม้ว่าทุกวันนี้ พคท. จะได้ยุติบทบาทลงอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ก็ยังคงมีคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ที่ศรัทธาในอุดมการณ์ของ พคท. เติบโตขึ้นมาสืบสานอุดมการณ์ต่อไป


ในวันนี้ แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือ พคท. จะได้ยุติบทบาทลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว หลังการพ่ายแพ้ในปี 2525 แต่บรรดาเหล่า "สหาย" ก็ยังคงดำรงอยู่พร้อมกับอุดมการณ์ และที่สำคัญ ยังคงมีคนรุ่นใหม่ที่สนใจในอุดมการณ์ ของ พคท. เกิดขึ้นมา และมีความมุ่งมั่นที่จะสานต่อการขับเคลื่อนทางการเมืองในแนวทางอุดมการณ์นี้ต่อไป

อย่างเช่นในงานรำลึกวีรชนผู้เสียสละของ พคท. ในฐานที่มั่น "เขตงาน 444 ภูสระดอกบัว" ที่ตำบลบ้านบาก อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหารนี้ นอกจากสหายเก่าแก่ที่เคยร่วมรบในป่าเขามาด้วยกัน ก็ยังมีคนรุ่นใหม่ที่ศรัทธาในอุดมการณ์ของ พคท. เข้าร่วมรำลึกวีรชนที่พวกเขาเคารพศรัทธาและยึดมั่นในอุดมการณ์

อย่างไรก็ดี สิ่งที่บรรดาสหายเก่า หรือที่คนหนุ่มสาวเหล่านี้เรียกว่า "ผู้เฒ่า" เคยต่อสู้มา ได้กลายเป็นเพียงแค่อดีตไปแล้ว อีกทั้งการถูกผิดสัญญา โดยรัฐบาลสมัยแล้วสมัยเล่า ที่จะให้พวกเขาได้เป็น "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" ในระบบปกติ ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก นอกจากการจัดงานรำลึกปีละครั้ง และเล่าเรื่องของคนแก่ให้หนุ่มสาวฟัง

ส่วนคนหนุ่มสาวเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่มีพรรคฯให้เข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมือง แต่พวกเขาก็ยังคงทำกิจกรรมเพื่อสังคม ในชุมนุมชมรม และสมาคมต่างๆ เท่าที่มีพื้นที่ให้พวกเขาทำได้ ด้วยสำนึกที่ว่า สิ่งที่พวกเขาทำอยู่นี้ คือการทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน ตามอุดมการณ์ของ พคท. นั่นเอง

คนหนุ่มสาวเหล่านี้ คือผู้กระตือรือร้นที่จะทำงานเพื่อรับใช้สังคมและประชาชน แต่ด้วยความที่อุดมการณ์ที่พวกเขาศรัทธา คืออุดมการณ์ที่สังคมไทยพยายามกีดกันและปิดกั้นมาโดยตลอด พวกเขาจึงพยายามได้เพียงแค่ขอร้องให้สังคมนี้ ยอมรับเปิดใจฟัง และเปิดพื้นที่ให้พวกเขาบ้าง  เพราะตราบใดที่สังคมยังมีความไม่เป็นธรรม แนวคิดที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่สังคม ก็จะยังคงเป็นอุดมการณ์ของผู้ที่อยากเห็นสังคมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอยู่เสมอ

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หลวงปู่สึกลดพรรษา!!!


ไปอ่านพบบทความของกองบรรณาธิการ นิตยสารอาทิตย์ ต่อกรณี “สึกลดพรรษา” ของหลวงปู่พุทธะอิสระในเว็บของ http://www.dragon-press.com/ มีเนื้อหาของข่าว ดังนี้

การตกเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งของ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" เป็นสิ่งที่มีการคาดหมายกันนานแล้ว แต่สิ่งที่ไม่มีใครนึกถึงก็คือ แทนที่จะโดนข้อหา "ปาราชิก" (เช่น เสพเมถุน อวดอุตริ ฯลฯ) อย่างที่นิยมกัน

หลวงปู่หนุ่มแห่งวัดอ้อน้อยกลับโดนข้อหา "พิลึก" นั่นคือ "สึกปุ๊ป - บวชปั๊บ" ซึ่งโยงใยไปถึงเรื่องความขัดแย้งระหว่างพระศรีรัตนโมลี กับมูลนิธิธรรมอิสระที่เป็นคดีความกันอยู่ในชั้นศาล

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มูลเหตุขัดแย้งที่สะสมกันมานาน "อาทิตย์" ขอลำดับเหตุการณ์และตัวละครที่เกี่ยวข้องนำเสนอเป็นพื้นความเข้าใจของท่าน

กุมภาพันธ์ 2544 มีการจัดอบรมพระวิปัสสนาจารย์ ที่วัดวังตะกู จังหวัดนครปฐม

มีนาคม - เมษายน 2544 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นตีข่าว "พระภิกษุสงฆ์ยกแขนขาผิดหลักวิปัสสนาหวั่นลัทธิฝ่าหลุมกงแทรก" พาดพิงถึง "หลวงปู่พุทธะอิสระ" ผู้เป็นวิทยากรว่าเป็นคนทรงหลวงปู่โลกอุดรและหวั่นจะเกิดลัทธิใหม่

"พระเทพคุณาภรณ์" เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เสนอชื่อ "วัดอ้อน้อย" เป็น 1 ใน 8 สำนักวิปัสสนาจารย์ ต่อ "สมเด็จพระมหาธีราจารย์" วัดชนะสงคราม แต่ถูกยับยั้งการเสนอชื่อในที่ประชุมมหาเถรฯ เหตุเพราะกรมศาสนาตั้งข้อสังเกตว่า วัดอ้อน้อยมีหลักคำสอนที่บิดเบือนต้องใช้เวลาตรวจสอบ

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"ประยุทธ์" ลั่นบริหารประเทศไม่เห็นยาก ขอให้ไว้ใจกัน

"ประยุทธ์" ลั่นบริหารประเทศไม่เห็นยาก ขอให้ไว้ใจกัน
(by Nation TV | วันที่ 9 สิงหาคม 2557 08:21 น.)

พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.พูดในรายการคืนความสุขฯ คุยบริหารแผ่นดินไม่เห็นจะยากตรงไหน ขอให้ไว้ใจกัน ลั่นมีความจริงใจ และบริสุทธิ์ใจ ในการบริหารราชการ และต้องการแก้ปัญหาของประเทศ
หัวหน้า คสช.พลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา พูดในรายการคืนความสุขให้กับประชาชน โดยตอนหนึ่งระบุว่า "ผมต้องการแต่เพียงว่า ทำอย่างไรประชาชนมาร่วมมือกับ คสช. ให้มากขึ้นในการที่จะเดินไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ อะไรที่ทำได้ เราก็ทำก่อน อาจจะดูว่าจะอย่างไรต่อไป ก็ไปแก้ระยะสั้น ระยะยาวต่อไป เรื่องใดทางกฎหมาย กฎหมายก็ไปว่ามา อะไรช้าบ้าง เร็วบ้าง ก็ไม่ต้องเร่งรัดกันมากนัก เราต้องเร่งรัดการปฏิรูปประเทศชาติให้ได้ก่อน จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างไร ทางด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และอื่น ๆ รวมถึงการเตรียมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน วันนี้มีเวลาจำกัด เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ถ้าเอาทุกอย่างมาปนกันแล้วเร่งรัดทำ ทำไม่ได้หรอก ไม่มีใครทำได้ และเราจะแก้ไขอะไรไม่ได้ซักอย่าง ก็จะกลับมาใหม่เหมือนเดิม ขอความร่วมมือจากทุกท่านด้วย"

การบริหารราชการของ คสช.ในวันนี้ หลายคนบอกว่าเป็นทหารจะรู้หรือเรื่องการบริหารราชการ การบริหารบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ผมเรียนท่านแล้วทุกวันนี้ เราทำกฎกลไกของรัฐปกติ ในเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน ผมไม่เห็นจะยากตรงไหน ในการที่จะบริหารให้คนทำงาน แต่จะก้าวหน้าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้ เราทำตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ที่มีกฎ มีระเบียบ มีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มีกฎหมาย เขียนไว้มากมาย บางอย่างก็ทำบ้าง บางอย่างก็ไม่ทำบ้าง ในอดีตที่ผ่านมา

วันนี้เรามากำกับดูแลให้เขา ขับเคลื่อนให้เขา สร้างให้เขาริเริ่ม ให้เขาคิด ให้เขาทำเป็นกระบวนการ ให้เขาเกิดการบูรณาการร่วมกัน นั่นเป็นสิ่งที่ คสช. ทำ ทหารทำได้ เพราะทหารเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้อยู่แล้วในกองทัพ ไม่เช่นนั้นกองทัพอยู่ไม่ได้ กองทัพมีคนหลายแสนคน

เรื่องของความรู้ และเรื่องต่าง ๆ ผมต้องพึ่งพาอาศัยข้าราชการ พึ่งพาอาศัยคนที่มีความรู้ความสามารถ อาศัยที่ปรึกษา รับฟัง อ่านเอกสาร และเราก็จัดระเบียบเขา ให้สามารถทำงานได้ เขาเรียกว่าการบริหารจัดการ กองทัพบกทำมานานแล้ว เรื่องการบริหารจัดการในกองทัพบก แต่ละปีจะมีนโยบายของเรา ปีนี้พัฒนาคน ปีหน้าพัฒนาทุกระบบ ปีต่อไปบริหารระบบบริหารจัดการ ปีต่อไปเป็นเรื่องของการพัฒนากองทัพไปสู่ความทันสมัย เรามีกรอบกำหนดเวลาไว้ชัดเจน ผมจะนำสิ่งเหล่านี้ไปขับเคลื่อนในการทำงานของรัฐบาลที่จะมีในอนาคต และจะส่งต่อไป อันไหนที่ดีก็ทำต่อกันไป อันไหนคิดว่าไม่ดี ทำได้ดีกว่าท่านก็นำไปทำ

วันนี้ขอให้ คสช. ทำ ขอให้ไว้ใจกัน ผมไม่ได้ไปดูถูกภูมิปัญญาใคร ผมอาจจะรู้น้อยกว่าท่านด้วยซ้ำ แต่ผมมีความจริงใจ มีความบริสุทธิ์ใจ ในการบริหารราชการ และต้องการแก้ปัญหาของประเทศ นั้นคือประเด็นสำคัญที่จะเรียนให้ทุกคนทราบ ถ้าเราไม่ยึดถือหลักการต่าง ๆ ใช้วิธีการเดิม ๆ ต่อสู้กันต่อไป ใช้ทั้งกฎหมายบ้าง ใช้กระบวนการประชาธิปไตยบ้าง และท้ายสุดก็ต้องไปเข่นฆ่ากัน ถ้าใช้วิธีนั้นแก้ปัญหา ใครแข็งแรงกว่า ใครมีอาวุธมากกว่า ใครได้รับความนิยมชมชอบมากกว่าแล้วชนะ อีกฝ่ายก็ไม่ยอมสู้ข้างบนไม่ได้ ก็ไปสู้ใต้ดิน

สิ่งที่ผมอยากจะเรียนต่อไปคือหลาย ๆ คนอาจจะโกรธเคืองผมอยู่บ้าง ต้องขอโทษด้วย หากคำกล่าวใด ๆ ที่ผ่านมา อาจทำร้ายความรู้สึกของคนบางกลุ่มบางพวกโดยไม่ตั้งใจ ผมจำเป็นต้องหยุดเลือดที่ไหลอยู่ให้ได้ก่อน บางอย่างอาจจะพูดแรงไปบ้าง พูดเบาไปบ้าง เพราะทุกฝ่ายนั้นเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง ผมต้องทำให้ทุกคนสงบลง บางคนก็บอกว่าทำไมไม่ไปว่าทางนั้น ทางนี้

สรุปว่าผมจำเป็นต้องว่าทุกพวกให้สงบลง แล้วนำกฎหมายมาแก้ไข เพราะบางกลุ่มต่อสู้ด้วยกฎหมาย ความถูกต้อง ความยุติธรรม ความชอบธรรม บางกลุ่มอาจต่อสู้ด้วยวิถีทางทางการเมือง หรืออื่น ๆ การให้ร้ายซึ่งกันและกันต้องยุติ เหลือกฎหมายไว้ทำงาน ที่ผ่านมาลดลงได้ระดับหนึ่งแล้ว คราวนี้ก็เป็นการเริ่มต้นสร้างกระบวนการทางความคิดใหม่ รวมทุกคนให้ได้ แยกคนที่ผิดออกไป จะไปสู้คดีดำเนินคดีก็ว่ากันไป ในส่วนของที่เหลืออยู่ ต้องมาพัฒนาประเทศไทย ช่วงที่ผ่านมาเราประสบวิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง และขยายตัวลุกลามไปสู่การเผชิญหน้า มีทั้งผิดและถูก และนำมาซึ่งความรุนแรง ใช้อาวุธ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย หลังวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คสช. เข้ามาควบคุมและทำให้บ้านเมืองสงบลงได้จนปัจจุบัน ด้วยความร่วมมือของทุกท่าน

สำหรับนักการเมืองที่ดี ๆ มีมากมาย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และผมคิดว่าอนาคตก็มีนักการเมืองหน้าใหม่ ๆ อีกมาก ซึ่งเขาอยากจะเข้ามาดูแลบ้างเมืองบ้าง ผมถือว่าช่วงนี้ถ้าเรามีการปฏิรูปทุกภาคส่วนทั้ง 11 เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเมือง คนดี ๆ ก็จะเข้ามา ซึ่งมีอำนาจมากอยู่แล้ว คนไม่ได้มีน้อย อย่าไปเหมาเข่งกันไปมา ว่าใครดีหรือไม่ดี ต้องแบ่งพวกแบ่งฝ่ายกันต่อไป สรุปคือให้กฎหมายตัดสิน ให้มาช่วยกัน

สำหรับความคืบหน้าของ คสช. ผมเรียนไปแล้ว นอกจากเรื่องยุติความรุนแรงต่าง ๆ ก็มีเรื่องเศรษฐกิจที่ต้องเดินหน้าไปตลอดเวลา การใช้จ่ายงบประมาณยังคงต้องทำอยู่ วันนี้ คสช. และ ทุกส่วนราชการ พยายามสร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งในไทยและต่างประเทศ



วารีนา ปุญญาวัณน์
กลับหน้าหลัก

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การียา ยะลาแป" หรือ "อุสตาซ ยา" ผู้ต้องหากบฏแบ่งแยกดินแดน ตายแล้ว

แกนนำ BRN ค่าหัว 2 ล้าน"การียา ยะลาแป" หรือ "อุสตาซ ยา" ผู้ต้องหากบฏแบ่งแยกดินแดน ตายแล้วด้วยโรคหัวใจที่รัฐกลันตัน มาเลเซีย ญาตินำศพมาฝังที่ อ.เมือง จ.ยะลา คืนนี้

- การียา ยะลาแป เป็นระดับรองจาก "สะแปอิง บาซอ" ที่กุมกองกำลัง RKK โดยเคยเป็นผู้รับผิดชอบฝ่ายเยาวชน DPP และถูกหมายจับของทางการ
- การียา ยะลาแป หรือ อุสตาซ ยา เป็นหนึ่งในแกนนำบีอาร์เอ็น อดีตอุสตาซโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ยะลา เป็นคนสนิทของนายสะแปอิง บาซอ แกนนำใหญ่ในระดับสั่งการ และเป็นหนึ่งในคนที่ฝ่ายความมั่นคงไทยต้องการตัวที่สุด

- วันนี้ (2 ส.ค.) เวลาประมาณ 18.30 น. ขณะที่ชุดเฉพาะกิจทหารพรานที่ 41 (ฉก.ทพ.41) กำลังตั้งด่านตรวจยานพาหนะในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา ปรากฏว่าได้พบศพ นายการียา ยะลาแป แกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น โคออดิเน็ต ซึ่งจัดว่าเป็นแกนนำระดับสูงรองจาก นายสะแปอิง บาซอ ระดับสั่งการและกุมกองกำลังคอมมานโด (RKK) โดยเคยเป็นผู้รับผิดชอบฝ่ายเยาวชน DPP และมีชื่ออยู่ในทำเนียบผู้ที่ถูกหมายจับของทางการด้วย ซึ่งศพถูกบรรทุกมาในรถยนต์ของมูลนิธิจันทร์เสี้ยวของ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
- จากการสอบถามของเจ้าหน้าที่ทำให้ทราบว่า นายการียา ยะลาแป เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจด้วยวัย 55 ปี 8 เดือน ที่ประเทศมาเลเซีย โดยเขาได้ใช้ชื่อในภาษามาเลเซียว่า นายซาการียา บินวาฮับ อาศัยอยู่ที่บ้านล็อก 311 หมู่บ้านกลมบัง รัฐกลันตัน และญาติๆ ได้รับศพมาทำพิธีฝังที่บ้านเกิด บ้านสาคอ ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา


- สำหรับศพของ นายการียา ยะลาแป ถูกนำไปถึงบ้านเกิดเวลาประมาณ 19.00 น. จากนั้นจะมีพิธีฝังศพตามหลักศาสนาในเวลาประมาณ 22.00 น. คืนนี้ที่กูโบร์บ้านสาคอ 

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สงครามโซเชียลเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ

ชื่นชมความสม่ำเสมอของท่าน แต่การทำแค่คลิกไลค์ หรือโพสต์ "เยี่ยมมากครับ" "สุดยอดครัชชช" ไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด


แต่ก็นั่นแหละ ในโลกไซเบอร์ ทุกคนกำลังตระหนักได้ถึงอิสรภาพทางการแชร์ความเห็น และมันแสนจะราคาถูก ไม่ต้องเป็นเจ้าของสื่อสิ่งพิมพ์เหมือนสมัยก่อน เมื่อเป็นดังนี้ ทุกคนก็สวมวิญญาณสื่อ แชร์ความเห็นแหลกลาญ จนเพลิน พอมาเจอคสช. ก็เบรคตัวโก่ง ...


แน่นอน ความบ้าอำนาจของคณะปฏิวัติ ย่อมเป็นที่น่ารังเกียจ รับไม่ได้ของ ฝ่ายรักประชาธิปไตย เหมือนกันทุกยุค ทุกสมัย แต่สมัยนี้น่าเกลียดกว่าเพราะ สื่อโซเชียลนี่แหละ ที่ให้โอกาสผู้คน(ที่ดิ้นรนเสาะหาความจริง) ได้รับรู้มีหลักฐานรูปภาพประจานด้วย

ทั้งสองฝ่ายจึงต้องขับเคี่ยวกัน ทางสติปัญญา เอาชนะกันให้ได้ ฝ่ายเผด็จการมี อาวุธ มีอำนาจ(สร้างขึ้นมาเอง) แต่ก็เริ่มยอมรับแล้วว่าประชาชน ไม่โง่เหมือนสมัยก่อน ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็เริ่มทำใจยอมรับได้แล้วว่า มันมีการใช้ความรุนแรง การมุ่งร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินจริง มีผู้ปกครองที่ไม่กลัวบาปอยู่จริงในโลกนี้ การฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ในประเทศอื่น ๆ ทั้งสมัยสงครามและในปัจจุบันที่รบกันไม่เว้นแต่ละวัน มันมีอยู่จริง และสามารถเกิดกับประเทศของเราได้ด้วย และเกิดแล้วโดยเริ่มจากรอบ ๆ นอกก่อนในเมืองหลวง

ในขณะเดียวกันจึงเกิดสงครามการนำเสนอกิจกรรมของตนเองและฝ่ายตรงข้ามทางสื่อโซเชียล จะประสบผลสำเร็จ แพ้ชนะกัน อย่างไร ก็รู้สึกจะสัมผัสได้รวดเร็ว วันต่อวัน
ที่แน่ ๆ ฝ่ายเผด็จการ สามารถบริการจัดการนำเสนอแบบเป็นระบบ (จะไม่เป็นที่ยอมรับ เบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือไม่ก็ไม่สน) แต่





แต่ฝ่ายประชาธิปไตย ก็ทำได้เพียงตั้งตัวเป็นองค์กร ชื่อนั้น ชื่อนี้ แต่ก็ ไม่มีใครสั่งใครได้ ว่า

คุณนี่รับผิดชอบฝ่ายนั้น คุณนั่นรับผิดชอบสื่อนี้ “  ยิ่งอยู่ในประเทศยิ่งทำอะไรไม่ได้เลย จึงไม่แปลกใจที่ชาวไทยในต่างแดน เคลื่อนไหวมากขึ้น คนไทยในประเทศที่เห็นด้วยก็ปลอบโยนกันไป กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ที่แน่ๆ เราจะได้เห็นการเดินทางไปสมทบจากคนที่ถูกกดดันในประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ

ขอให้กำลังใจ ท่านเป็นสุภาพบุรุษ นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่าแท้จริง....

วันนี้เราต้องคิดกันเอง อย่าไปหวัง"ชินวัตร" ฟังคลิบนี้นะคะ


วารีนา ปุญญาวัณน์

กลับหน้าหลัก

คสช..ตอบหน่อย..ทำไม รถไฟทางคู่สายใหม่ทั้ง 2 สายมีราคาพอ ๆ กับวงเงินโครงการรถไฟความเร็วสูงในแผนเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท

คสช..ตอบหน่อย
ทำไม รถไฟทางคู่สายใหม่ทั้ง 2 สายมีราคาพอ ๆ กับวงเงินโครงการรถไฟความเร็วสูงในแผนเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท การก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั้งสองสายดังกล่าวไม่ใช่เป็นการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงดังนั้นวงเงินโครงการควรจะต้องถูกกว่า
@@@@
ดรสามารถราชสิทธิ์พล. ติงค่าก่อสร้างรถไฟ 160 กม / ชมและเปรียบเทียบวงเงินโครงการรถไฟทางคู่กับไฮสปีดเทรนปิดท้ายถามคำถามน่าคิด ....

ที่มา FB ดร. สามารถราชพลสิทธิ์
ติงค่าก่อสร้างรถไฟ 160 กม. / ชม




เมื่อวานนี้ (29 .. 57) ปลัดกระทรวงคมนาคมแถลงข่าวว่าคสชเห็นชอบยุทธศาสตร์ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมปีงบประมาณ 2558 - 2565. รวม 4 ด้าน 5 แผนงาน

วันนี้ (30 .. 57) ผมขอพูดถึงแผนงานที่ 1 การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมืองซึ่งประกอบด้วยโครงการดังต่อไปนี้

1 รถไฟทางคู่สายเดิม (สร้างทางรถไฟเพิ่มขึ้นอีก 1 ทางจากเดิมที่มีอยู่แล้วทาง 1) ประกอบด้วย 6 เส้นทางดังนี้
(1) ชุมทางถนนจิระ (โคราช.) - ขอนแก่นระยะทาง 185 กมวงเงิน 26,007.20 ล้านบาท
(2) ประจวบคีรีขันธ์. - ชุมพรระยะทาง 167 กมวงเงิน 17,292.53 ล้านบาท
(3) นครปฐม. - หัวหินระยะทาง 165 กมวงเงิน 20,038.43 ล้านบาท
(4) ลพบุรี. - ปากน้ำโพระยะทาง 148 กมวงเงิน 24,842.44 ล้านบาท
(5) มาบกะเบา. - ชุมทางถนนจิระ (โคราช) ระยะทาง 132 กมวงเงิน 29,855.08 ล้านบาท
(6) หัวหิน. - ประจวบคีรีขันธ์ระยะทาง 89 กมวงเงิน 9,436.51 ล้านบาท

เส้นทางแต่ละเส้นทางดังกล่าวข้างต้นมีวงเงินโครงการ (ค่าก่อสร้าง + ค่าที่ดิน + ค่าที่ปรึกษา) เท่ากับวงเงินก่อสร้างรถไฟทางคู่ในแผนเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ. เงินกู้ 2 ล้าน ล้านบาท

2 รถไฟทางคู่สายใหม่ (สร้างทางรถไฟใหม่ 2 ทาง) เป็นการก่อสร้างรถไฟทางคู่โดยใช้ราง 1.435 เมตรซึ่งเท่ากับรางของรถไฟความเร็วสูง แต่มีความเร็วสูงสุดกม. / ชม. ซึ่งน้อยกว่ารถไฟความเร็วสูงที่กว้าง 160 มีความเร็วสูงสุด 250 - .. 300 กม / ชมประกอบด้วย 2 เส้นทางดังนี้

(1) หนองคาย - โคราช - สระบุรี - แหลมฉบัง. - มาบตาพุดรวมระยะทาง 737 กมวงเงิน 392,570 ล้านบาท
(2) เชียงของ - เด่นชัย - บ้านภาชี. - แหลมฉบังรวมระยะทาง 655 กมวงเงิน 348,890 ล้านบาท

ผมมีข้อสังเกตเกี่ยวกับวงเงินโครงการ (ค่าก่อสร้าง + ค่างานระบบรถไฟ + ค่าที่ดิน + ค่าที่ปรึกษา) ของรถไฟทางคู่สายใหม่ทั้ง 2 สายกล่าวคือวงเงินโครงการมีราคาเฉลี่ย 532.66 ล้านบาท / กม. เท่ากันทั้งสอง เส้นทางซึ่งถือว่าเป็นราคาค่อนข้างสูงเพราะมีราคาพอ ๆ กับวงเงินโครงการรถไฟความเร็วสูงในแผนเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท แต่การก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั้งสองสายดังกล่าวไม่ใช่เป็นการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงดังนั้นวงเงินโครงการควรจะต้องถูกกว่า

วงเงินโครงการรถไฟความเร็วสูงในแผนเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทมีดังนี้
1 สายกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ 521 ล้านบาท / กม
2 สายกรุงเทพฯ - นครราชสีมา 666 ล้านบาท / กม
3 สายกรุงเทพฯ - หัวหิน 553 ล้านบาท / กม
4 สายกรุงเทพฯ - ระยอง 456 ล้านบาท / กม

ผมอยากขอให้ปลัดกระทรวงคมนาคมทบทวนวงเงินก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใหม่ทั้งสองสายซึ่งอาจมีคลาดเคลื่อนในการคิดราคาความ

ติงมาด้วยความห่วงใยครับ
...
เปรียบเทียบวงเงินโครงการรถไฟทางคู่กับไฮสปีดเทรน

วันนี้ (30 .. 2557) ผม "ติงกม. / ชม. ค่าก่อสร้างรถไฟ 160" โดยมีข้อความสรุปได้ว่าโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ซึ่งวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 160 กม. / เช้าได้โพสต์เรื่อง ชม. บนรางกว้าง 1.435 มีวงเงินโครงการเฉลี่ยพอ ๆ กับวงเงินโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ซึ่งวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 250-300 กม. / ชม. โดยที่วงเงินโครงการประกอบด้วยค่าก่อสร้างค่าระบบรถไฟฟ้า (เมตร รถไฟทางคู่สายใหม่ทั้ง 2 สายจะขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า) ค่าที่ดินและค่าจ้างที่ปรึกษา
***************************************************************************************
ผมขอเพิ่มเติมรายละเอียดดังแสดงในตารางซึ่งเป็นการเปรียบเทียบวงเงินโครงการระหว่างรถไฟทางคู่ (160 กม. / ชม). กับไฮสปีดเทรน (250-300 กม. / ชม). สรุปได้ดังนี้

1 รถไฟทางคู่สายใหม่ (ความเร็วสูงสุด 160 กม. / ชม).
มี 2 เส้นทางดังนี้

(1) หนองคาย - โคราช - สระบุรี - แหลมฉบัง. - มาบตาพุดรวมระยะทาง 737 กมวงเงิน 392,570 ล้านบาท. (วงเงินเฉลี่ย 532.66 ล้านบาท / กม)
(2) เชียงของ - เด่นชัย - บ้านภาชี. - แหลมฉบังรวมระยะทาง 655 กมวงเงิน 348,890 ล้านบาท. (วงเงินเฉลี่ย 532.66 ล้านบาท / กม)

วงเงินโครงการรวม 741,460 ล้านบาทระยะทางรวม 1,392 กม. ดังนั้นวงเงินเฉลี่ยเท่ากับ 532.66 ล้านบาท / กม

ข้อน่าสังเกตก็คือวงเงินเฉลี่ยต่อกิโลเมตรเท่ากันทั้งสองเส้นทางคือ 532.66 ล้านบาท / กม. ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะลักษณะภูมิประเทศของเส้นทางทั้งสองต่างกัน

2 ไฮสปีดเทรน (ความเร็วสูงสุด 250-300 กม. / ชม).
ประกอบด้วย 4 เส้นทางดังนี้

1 สายกรุงเทพฯ. - เชียงใหม่ระยะทาง 745 กมวงเงิน 387,821 ล้านบาท. (วงเงินเฉลี่ย 520.57 ล้านบาท / กม)
2 สายกรุงเทพฯ. - นครราชสีมาระยะทาง 256 กมวงเงิน 170,450 ล้านบาท. (วงเงินเฉลี่ย 665.82 ล้านบาท / กม)
3 สายกรุงเทพฯ. - หัวหินระยะทาง 225 กมวงเงิน 124,327.90 ล้านบาท. (วงเงินเฉลี่ย 552.57 ล้านบาท / กม)
4 สายกรุงเทพฯ. - ระยองระยะทาง 221 กมวงเงิน 100,953.83 ล้านบาท. (วงเงินเฉลี่ย 456.80 ล้านบาท / กม)

วงเงินโครงการรวม 783,552.73 ล้านบาทระยะทางรวม 1,447 กม. ดังนั้นวงเงินเฉลี่ยเท่ากับ 541.50 ล้านบาท / กม

โดยสรุปไฮสปีดเทรนมีวงเงินโครงการเฉลี่ยต่อกม. สูงกว่าวงเงินเฉลี่ยต่อกม. ของรถไฟทางคู่สายใหม่เพียงแค่ 10 ล้านบาทเท่านั้น


เห็นผลการเปรียบเทียบเช่นนี้แล้วคุณคิดว่าทำไมวงเงินโครงการเฉลี่ยต่อกม. ระหว่างรถไฟทางคู่สายใหม่กับไฮสปีดเทรนจึงใกล้เคียงกันครับ

วารีนา ปุญญาวัณน์

กลับหน้าหลัก