เพลงฉ่อยชาววัง

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

The King′s Speech ของกษัตริย์ติดอ่าง

โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

The King"s Speech เป็นภาพยนตร์ตัวเก็งชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีที่ The Academy Award จะประกาศผลในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011 ดังที่รู้จักกันในนามของรางวัล Oscar สิ่งที่ทำให้น่าสนใจก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของคนพูดติดอ่าง ซึ่งต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะการติดอ่างให้ได้เพราะการแพ้ชนะเกี่ยวพันกับชะตาชีวิตของผู้คนนับล้านๆ คน
 บุคคลที่พูดติดอ่างก็คือพระเจ้าจอร์จที่ 6 (King George VI) แห่งจักรภพอังกฤษ พระราชบิดาของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 องค์ปัจจุบัน

รางวัล Oscar ของภาพยนตร์ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นรางวัลสำคัญที่สุดเช่นเดียวกับ Grammy Awards สำหรับดนตรี Emmy Awards สำหรับโทรทัศน์ และ Tony Awards สำหรับละครเวที

The Academy of Motion Picture Arts and Sciences (AMPAS) เป็นองค์กรวิชาชีพที่มีสมาชิก 5,835 คน (ณ สิ้นปี 2007) เป็นผู้โหวตลงคะแนนให้รางวัล Oscar สมาชิกของ AMPAS ต้องได้รับเชิญจากคณะกรรมการของ AMPAS เท่านั้น ซึ่งการคัดเลือกสมาชิกกระทำกันอย่างเข้มข้นโดยพิจารณาจากการมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในกิจการภาพยนตร์ ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมาไม่มีการเปิดเผยชื่อสมาชิก (จากรายชื่อที่เปิดเผยปี 2007 จำนวน 1,311 คน เป็นดาราภาพยนตร์)

รางวัล Oscar ที่แจกกันมี 24 ประเภทของความยอดเยี่ยม เช่น ภาพยนตร์แห่งปี ผู้กำกับ ผู้แสดงชาย ผู้แสดงหญิง ตัวประกอบชาย ตัวประกอบหญิง เขียนบท สารคดี ตัดต่อเสียง ฯลฯ

ผลของการประกาศเมื่อ 25 มกราคม 2011 มาจากการโหวตรอบแรก โดยสมาชิกในแต่ละประเภทโหวตประเภทของตนเอง The Kings Speech ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล 12 ประเภท/ True Grit (10 ประเภท)/ The Social Network (เรื่องราวของการเกิด Facebook) และ Inception (8)/ The Fighter (7)/ 127 Hours (6)/ Black Swan (5) ฯลฯ


ขณะนี้สมาชิก AMPAS กำลังโหวตรอบสองกันโดยทุกคนมีสิทธิโหวตให้ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีข่าวคราวที่ออกมาก็คือ The Kings Speech ร้อนแรงมากเพราะได้รับรางวัล People"s Choice Award ที่ Toronto International Film Festival ปี 2010 สำหรับรางวัล Oscar ได้รับการเสนอชื่อใน 12 ประเภท คือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้แสดงนำชาย หญิง และตัวประกอบชาย การถ่ายภาพ บทภาพยนตร์ ฯลฯ

พระเจ้าจอร์จที่ 6 (..1895-1952) บุคคลสำคัญของเรื่องคือ The King ในชื่อของภาพยนตร์ ตอนประสูติมีพระนามว่า Prince Albert (Duke of York) ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของพระเจ้าจอร์จที่ 5 (King George V) ตั้งแต่เป็นเด็กทรงมีปัญหาในการพูดโดยเฉพาะในที่สาธารณะจนเป็นปมด้อยแต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่เพราะ "ไม่ได้คิดว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน คิดว่าก็คงแอบซ่อนอยู่ในร่มเงาไหนสักแห่งพร้อมกับการติดอ่าง"

ปัญหาสำคัญเกิดขึ้นเมื่อพระราชบิดาทรงมอบให้พูดปิดงาน 1925 Empire Exhibition ครั้งนั้นคนฟังเอาใจช่วยกันเต็มที่แต่ทว่าแต่ละคำที่ทรงออกเสียงมานั้นแสนยากอย่างน่าสมเพช และจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

พระชายา (ซึ่งต่อมาทรงเป็นที่รักใคร่ของชาวอังกฤษ โดยเรียกกันว่า Queen Mum ทรงสิ้นพระชนม์ในปี 2002 ในวัย 101 ปี) พยายามผลักดันช่วยให้หายจากการติดอ่าง ไปหาหมอหลายคนจนมาพบ "หมอหลอก" ชาวออสเตรเลีย ช่วยรักษาโดยเป็นผู้บำบัดและฝึกการพูด (speech therapist)

เจ้าชายองค์หนึ่งมีปัญหาติดอ่างกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเมื่อพี่ชายขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดาในพระนามพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 (King Edward VIII) ในปี 1936 และในปีเดียวกันก็ทรงยอมสละราชสมบัติเพื่อแต่งงานกับแม่หม้ายชาวอเมริกัน Wallis Simpson

Prince Albert น้องชายก็จำต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนในนาม King George ที่ 6 อย่างไม่เต็มใจอย่างยิ่ง เพราะทรงตระหนักดีถึงปัญหาด้านการพูดของตนเองและไม่ได้เตรียมตัวเลยในการเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อีกทั้งสงครามกับเยอรมนีกำลังกลายเป็นความจริงขึ้นทุกที

การติดอ่างของพระองค์กลายเป็นปัญหาใหญ่มากเมื่ออังกฤษจำต้องประกาศสงครามกับเยอรมนี ซึ่งต่อมาลุกลามเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง การพูดปลุกขวัญให้กำลังใจประชาชนของพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดจนสื่อสารให้โลกเข้าใจบทบาทของอังกฤษ เป็นเรื่องคอขาดบาดตายในยุคที่วิทยุเริ่มเป็นตัวกลางสำคัญในการสื่อสาร

จุดไคลแมกซ์ของเรื่องคือการพูดสดครั้งสำคัญ (The Kings Speech) ทางวิทยุหลังจากที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีไปแล้ว ในวันนั้นพระองค์ยังทรงขาดความมั่นใจในการพูดอย่างไร้ร่องรอยของคนติดอ่าง แต่ด้วยความช่วยเหลือของ "หมอหลอก" ที่ยืนสนับสนุนและโค้ชอยู่ตลอดการพูดสดทางวิทยุ "The Speech ของ King" ก็เป็นไปด้วยดี ทุกคนชื่นชมและประชาชนเกิดกำลังใจในการต่อสู้สงคราม

ภาพยนตร์ The Kings Speech ชนะใจคนดูท่วมท้นก็เพราะแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กับความด้อยของตนเองอย่างกล้าหาญเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของตนเอง การต่อสู้เช่นนี้ทุกคนต้องเผชิญ ถึงแม้จะเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินของจักรภพอังกฤษ อาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากเค้าโครงเรื่องจริงซึ่งเขียนโดยหลานของ "หมอหลอก" บางตอนอาจจะเว่อร์ไปบ้างในเรื่องการพูดคำหยาบของ Prince Albert และ King George ที่ 6 (แต่ดูจะสะใจคนดูที่เอาใจช่วยตอนฝึกเอาชนะการติดอ่าง) และการปรากฏตัวของ Sir Winston Churchill ในบางตอนของภาพยนตร์ซึ่งผู้วิจารณ์ระบุว่าไม่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์

หากพระองค์ไม่พยายามต่อสู้ภาวะติดอ่างอันเนื่องมาจากปัญหาการเติบโต ส่วนใหญ่ภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงที่มีปัญหาทางจิต การถนัดซ้ายแต่ถูกบังคับให้ใช้มือขวา ความไม่เข้าใจปัญหาติดอ่างของตนโดยพ่อ ความกลัวและความหวาดหวั่นการล้มเหลว ฯลฯ รูปโฉมสงครามโลกครั้งที่สองก็อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ประชาชนหลายร้อยล้านคนจะมีชะตาชีวิตที่ผิดไปจากปัจจุบันอย่างแน่นอน

"เสน่ห์" ของทั้ง King และ Queen สร้างความประทับใจให้ประธานาธิบดีรูสเวลท์ และภรรยาเมื่อครั้งเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาในปี 1933 จนมีส่วนในการสร้างความเป็นพันธมิตรสงครามอย่างเหนียวแน่น ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ใน Buckingham palace ในลอนดอนตลอดสงคราม ถึงแม้ลอนดอนจะถูกเยอรมันบอมบ์จนคนตายนับพันๆ คนก็ตาม ครั้งหนึ่งระเบิด 2 ลูกตกลงไปสนามหญ้าของพระราชวังในขณะที่ทรงประทับอยู่ก็ไม่ทรงสะทกสะท้าน อีกทั้งยอมรับการแบ่งปันอาหารเช่นเดียวกับคนอังกฤษอื่นๆ ด้วยอย่างเต็มใจ

King George ที่ 6 ทรงเห็นการล่มสลายของจักรภพอังกฤษ (ไอร์แลนด์เป็นสาธารณรัฐ อินเดียประกาศเอกราช ฯลฯ) ทั้งในด้านอำนาจทหารและเศรษฐกิจ แต่ตลอดสงครามทั้งสองพระองค์ได้ทรงทำหน้าที่ให้กำลังใจทหารทุกหนแห่งในอังกฤษอย่างกล้าหาญ

ใครที่เกิดมาและประสบกับสุขภาวะที่เป็นปัญหาและทุกคนที่ต้องเผชิญปัญหาร้อยแปดจะชื่นชมภาพยนตร์เรื่องนี้ที่แสดงให้เห็นว่าการบากบั่นต่อสู้ปัญหาที่เกิดกับทุกคนในทุกระดับไม่เว้นแม้แต่พระเจ้าแผ่นดินคือคำตอบ

สำหรับผู้เขียนเองซึ่งเมื่อครั้งเป็นเด็กก็เคยติดอ่าง และสามารถเอาชนะมาได้ รู้สึกประทับใจภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นพิเศษครับ


วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เบื้องหลัง“จารุพงศ์”จงรักภักดี“ทักษิณ”ไม่เสื่อมคลาย

แกะเส้นทาง“จารุพงศ์”ผู้ถูก คสช.สั่งอายัดธุรกรรมการเงิน โพสต์เฟซฯลั่นไม่ก้มหัวให้ทหาร เติบใหญ่ในชีวิตราชการยุค“ทักษิณ”ก่อนนั่งเก้าอี้หน.เพื่อไทย รมต.ใหญ่ยุค“ยิ่งลักษณ์”-บุตรชายเป็นเลขาฯ

อดีตรัฐมนตรียุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ไม่ยอมมารายงานตัวตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างน้อยหนึ่งคนคือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ก่อนชะตากรรมของเขามาถึงในวันนี้ ลำดับเส้นทางในการรับราชการและการเมืองของเขาได้ดังนี้

31 ส.ค.43 นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้งนายจารุพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร เป็นรองปลัดกรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร

22 ก.ค.45 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ โดยนายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่ราชการแทนนายกฯ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง นายจารุพงศ์ เป็น กรรมการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก) มีผลตั้งแต่ 16 ก.ค.45

9 ธ.ค.45 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งย้ายนายจารุพงศ์ จากรองปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นรองปลัดการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีผลตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.45

23 ม.ค.46 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯปฏิบัติหน้าที่ราชการแทนนายกฯ แต่งตั้ง นายจารุพงศ์ เป็นประธานบอร์ด องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก) มีผลตั้งแต่ 21 ม.ค.46

28 ต.ค.46 พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งนายจารุงพงศ์ เป็นปลัดกระทรวง พม. มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค.46

21 ก.พ.49 พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ายสลับนายจารุงพงศ์จากปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นปลัดกระทรวงแรงงานแทน มีผลตั้งแต่ 14 ก.พ.49

 ปี 2551 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ อสมท.

หลังเกษียณอายุราชการนายจารุพงศ์เข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคพลังประชาชน และต่อมาเป็นพรรคเพื่อไทย

3 พ.ค.54 ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคเพื่อไทย

30 ตุลาคม 55 ได้รับเลือกเป็น หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป 2 ก.พ. 2557 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 3

2 ส.ค.54 เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ

23 ม.ค.55 ยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี นายจารุพงศ์ ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

1 พ.ย.2555 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ครม.ยิ่งลักษณ์ 3)

นอกจากนายจารุพงศ์แล้ว เมื่อวันที่ 29 ส.ค.54 นายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณ บุตรชายนายจารุพงศ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์)

ก่อนหน้านี้ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เครือญาตินายจารุพงศ์ คือ นายจารุอุดม เรืองสุวรรณ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายพินิจ จารุสมบัติ) เมื่อ 6 พ.ค.46 ต่อมา 11 พ.ย.46 เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากากระทรวงอุตสาหกรรม 12 ต.ค.47 เป็นที่ปรึกษารองนายกฯ และ 15 มี.ค.48 เป็นที่ปรึกษารองนายกฯ (ทักษิณ 2 )

ในช่วงการชุมนุมปิดล้อมกระทรวงมหาดไทยของ ม็อบ กปปส.(คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) นายจารุพงศ์มีบทบาทในการเกณฑ์กำนันผู้ใหญ่บ้านมาขับไล่ม็อบ กปปส.ที่ปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย

เมื่อมีการรัฐประหารวันที่ 22 พ.ค. 2557 นายจารุพงศ์ถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งให้มารายงานตัว (คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 1/2557)แต่เขาไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งและโพสต์เฟสบุ๊คว่าไม่ยอมก้มหัวให้ทหารที่ยึดอำนาจและผู้กบฏเพราะเขาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน จะต่อต้านทหารทุกรูปแบบ

หลังจากนั้นนายจารุพงศ์ถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ หัวหน้า คสช.สั่งอายัดการทำธุรกรรมทางการเงินในที่สุด (คำสั่งที่ 10/2557)

น่าสังเกตว่านายจารุพงศ์และบุตรเติบใหญ่ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณและยิ่งลักษณ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะอุทิศตัวให้แก่ระบอบประชาธิปไตยแบบ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างสุดกำลัง?

ที่มา: http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/29769-ert_29769.html#.U4MbgKeHePg.twitter

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สื่อจีนลงข่าว บอกว่าประเทศไทยโชคดีที่สุดในโลก


阳光,蓝天,微笑,黄袍……在泰国我们会感到格外随意与亲切,穿着大裤衩和拖鞋就能够在大街上游荡一整天。能生活在这样舒适与安逸的环境里真是一种大大的幸运。
9 สิ่งที่บอกว่าประเทศไทยโชคดีที่สุดในโลก
九件小事告诉你,泰国是全世界最幸运的国家
ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลก !!!
เหตุผลที่ประเทศไทย เป็นสยามเมืองยิ้ม มีดังต่อไปนี้
泰国是全世界最幸运的国家
微笑国度泰国给你的理由如下:
1. ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางครัวโลก ไม่ต้องกลัวอดตาย มีอาหารกินตลอดเวลา และส่งออกไปทั่วโลก
1.泰国是世界的中心厨房,永远不用担心挨饿并且还能出口全世界。
2. ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์มาก มีป่าไม้ ภูเขา ทะเล ทองคำ จนได้ชื่อว่าดินแดนสุวรรณภูมิ
2.泰国拥有丰富的资源,有森林,山区,海洋,金矿,可以谓之为地产富饶。
3.ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหวโดยตรง แนวแผ่นดินไหวอ้อมประเทศไทยทั้งประเทศ ในขณะที่เกือบทั้งโลกอยู่ในเขตแผ่นดินไหวรุนแรง
3.泰国不处在地震区域内,地震带绕过了整个泰国,虽然世界上大多数国家位于严重地震带上。
4. ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตพายุรุนแรง นานๆจะเจอสักครั้ง เพราะพายุไต้ฝุ่นส่วนใหญ่เกิดในทะเลจีนใต้ บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ มาถล่มหนักเวียดนาม ลาว เขมรและอ่อนตัวลง กลายเป็นพายุธรรมดาเมื่อเข้าประเทศไทย
4.泰国不位于飓风区,很久才会见到几次,因为飓风通常产生于南中国海,菲律宾一带,常在重创越南,老挝,高棉(柬埔寨)之后逐渐减弱,在进入泰国的时候就转变为了一般的大风。
5. ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ในขณะที่ทุกประเทศในอาเซียนตกเป็นอาณานิคม
5.在东南亚各国中,泰国从不曾沦为西方国家的殖民地。
6. ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้พ่ายแพ้ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
6.在第一次世界大战及第二次世界大战中,泰国都不是战败国。
7. คนทุกชนชาติ และทุกศาสนาในประเทศไทยมีสิทธิ เสรีภาพ มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
7.各国人民及各宗教信仰者在泰国都拥有世界上最大的权利与自由。
8. ประเทศไทย มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนัก เพื่อพสกนิกรชาวไทย ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ทรงมีโครงการในพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ โครงการส่วนพระองค์ส่วนจิตรลดาทรงก่อตั้งมูลนิธิต่างๆมากมาย เช่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มูลนิธิพระดาบส มูลนิธิชัยพัฒนา เป็นต้น
ทรงอุปถัมถ์พระศาสนา ภาษาไทย วัฒนธรรม ประเพณี พระราชพิธี งานช่างหลวง การศึกษา การแพทย์ การคมนาคม การอนุรักษ์ดินและน้ำ ทรัพยากรป่าไม้ ป่าชายเลน เกษตรทฤษฎีใหม่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ
8.泰国拥有为泰国人民最勤政的国王,在其统治期间,有超过三千项计划项目,项目中他创办了多个慈善基金会,如:泰国皇家Rajaprajanugroh基金会,Phra dabos基金会以及Chaipattana Foundation 基金会等。
其赞助包括宗教,泰语言,文化,传统习俗,皇家仪式,皇室公职,教育,医疗,交通,水土保持,森林及海洋资源,新学说领域,经济等等方面。
9. พระพุทธศาสนา เจริญที่สุดในโลกในประเทศไทย เพราะประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกและทรงเป็นพุทธมามกะ
9.佛教在世界中发展最为繁荣,因为在泰国有一位拥有信仰并且是佛教徒的国王。
.
.
ขอบคุณ : อ.มาศ:ซินแสฮวงจุ้ยไฮเทคระดับโลก นำสื่อจีนลงข่าว บอกว่าประเทศไทยโชคดีที่สุดในโลก

ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร

คสช.ประกาศใช้ศาลทหาร ความผิดต่อ "สถาบัน-ความมั่นคง"
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกประกาศฉบับที่ 37/2557 ช่วงเย็นวานนี้ (25 พ.ค.) ในขณะที่ยังมีการชุมนุมคัดค้านการยึดอำนาจ มีรายละเอียดดังนี้

ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 37/2557

เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร

ตามที่ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 และ ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11 /2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 ให้ศาลทั้งหลายคงมีอำนาจดำเนินการพิจารณา และพิพากษาอรรถคดีตามบทกฎหมาย และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้น เพื่อให้การรักษาความสงบ และการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงประกาศให้บรรดาคดีความผิดตามที่กำหนดไว้ดังต่อไปนี้ ซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตราชอาณาจักร และในระหว่างที่ประกาศนี้ใช้บังคับอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร

1.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

(1) ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่มาตรา 107 - 112

(2) ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา 113 -118 ยกเว้นความผิด ซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พุทธศักราช 2551 หรือ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พุทธศักราช 2548

2.ความผิดตามประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

----------

ประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับประกาศ คสช. มีรายละเอียดดังนี้

หมวด 1 ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

มาตรา 107 ผู้ใดปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษ ประหารชีวิต

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์หรือรู้ว่ามีผู้จะปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา 108 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือ เสรีภาพ ของพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์ ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต

ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ หรือรู้ว่ามีผู้จะกระทำการประทุษร้าย ต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 109 ผู้ใดปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือฆ่า ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษประหารชีวิตผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์ พระราชินีหรือรัชทายาท หรือเพื่อฆ่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือจะฆ่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบสองปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 110 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพ ของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือ จำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์ หรือ ชีวิต ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือประทุษร้ายต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบสองปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 111 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด ตาม มาตรา 107 ถึง มาตรา 110 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น

มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร

มาตรา 113 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ

(2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรือ อำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ

(3) แบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา 114 ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใดหรือสมคบกัน เพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของ แผนการ เพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ หรือรู้ว่ามีผู้จะเป็นกบฏแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

มาตรา 115 ผู้ใดยุยงทหารหรือตำรวจให้หนีราชการ ให้ละเลย ไม่กระทำการตามหน้าที่ หรือให้ก่อการกำเริบ ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินห้าปี

ถ้าความผิดนั้นได้กระทำลงโดยมุ่งหมายจะบ่อนให้วินัยและสมรรถภาพของกรมกองทหารหรือตำรวจเสื่อมทรามลง ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี

มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต

(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย

(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ

(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

มาตรา 117 ผู้ใดยุยงหรือจัดให้เกิดการร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงานงดจ้าง หรือการร่วมกันไม่ยอมค้าขายหรือติดต่อทางธุรกิจ กับบุคคลใดๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน เพื่อบังคับรัฐบาลหรือเพื่อข่มขู่ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดทราบความมุ่งหมายดังกล่าวและเข้ามีส่วนหรือเข้าช่วยในการ ร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงานงดจ้างหรือการร่วมกันไม่ยอมค้าขายหรือติดต่อทางธุรกิจกับบุคคลใดๆ นั้น ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดทราบความมุ่งหมายดังกล่าว และใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ ว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือทำให้หวาดกลัวด้วยประการใดๆ เพื่อให้บุคคลเข้ามีส่วนหรือเข้าช่วยในการร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงาน งดจ้างหรือการร่วมกันไม่ยอมค้าขายหรือติดต่อทางธุรกิจกับ บุคคลใดๆ นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 118 ผู้ใดกระทำการใดๆ ต่อธง หรือเครื่องหมายอื่นใด อันมีความหมายถึงรัฐ เพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

คนจนมีศักดิ์ศรี และข้าราชการต้องรับใช้ประชาชน

เพื่อนผู้แสนสุภาพ:   กาลครั้งหนึ่งประเทศไทยก่อนปี 2549 กำลังเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่แห่งอาเซี่ยน เรามีนายกที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ คนจนในประเทศไทยได้รับการดูแลอย่างดี อาทิ การเข้าถึงเรื่องการรักษาพยาบาลโดยเท่าเทียม ข้าราชการสมัยนั้นจะทำงานเช้าชามเย็นชามไม่ได้ ทุกอย่างพลิกโฉมหมด คนจนมีศักดิ์ศรี และข้าราชการต้องรับใช้ประชาชน.... ต่อมาเมื่อฝ่ายอำมาตย์และชนชั้นสูงเริ่มเห็นว่ารัฐบาลมั่นคงเกินไป จึงหาเรื่องทำรัฐประหาร โดยใช้มวลมหาประชาลิ้มนำร่องก่อน จากนั้นประเทศไทยมีแต่ความเลวร้ายมาตลอด 3-4 ปีหลังรัฐประหาร....

จนเมื่อเรามีรัฐบาลประชาธิปไตยอีกครั้ง โดย"ยิ่งลักษณ์" .... ทุกอย่างไปได้สวย ผู้นำจากหลายๆประเทศมหาอำนาจของโลกเข้ามาแสดงความยินดีไม่ขาดสาย นักลงทุนแห่เข้ามาลงทุนในไทยเพราะเห็นว่าเมืองไทยปลอดเผด็จการแล้ว โครงการต่างๆของรัฐบาลกำลังจะเริ่มขึ้นเพราะเห็นว่าเราเสียเวลามามากพอแล้ว จึงต้องมุ่งหน้าพาชาติพัฒนาให้ทัดเทียมนานาประเทศ เช่นโครงการรถไฟความเร็วสูง....ฯลฯ ใช่...ทุกอย่างกำลังไปได้ดี.......

แต่แล้ว...... แมงสาบและอำมาตย์ไม่คิดเช่นนั้น เพราะแมงสาบไม่อาจทนสภาพที่จะเป็นฝ่ายค้านไปตลอด จึงต้องเริ่มเกมมารร้ายอีกครั้ง โดยครั้งนี้ทุ่มทุนไม่อั้น ...ประเทศไทยจึงติดหล่มที่พวกแมงสาบและอำมาตย์ขุดไว้อีกครั้งหนึ่ง... .......ความเลวระยำของพวกมันก็จะถูกจารึกไว้ในส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยอย่างไม่ต้องสงสัย...

เพื่อนตบท้าย           มันจะจบอย่างไรครับท่านป้า

เรา     ถ้าตอบได้ก็คงดี ตอนนี้บอกตรง ๆ เริ่มทำใจแล้วค่ะ เพราะ ถูกรังแกจนชิน ผิดที่โคตรเหง้าเราปล่อยให้มันเกาะหยั่งรากลึกมานาน ไอ้ " ยอมเป็นทาส" เนี๊ยะ!