เพลงฉ่อยชาววัง

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตนี้ตื่นเต้นจะตาย ตื่นเช้ามาก็ลุ้นว่าจะยังหายใจอยู่หรือเปล่า

ศัตรูเราคืออำมาตย์ชั่วที่ใช้นักการเมืองแบบปชป. และโหนสถาบัน เจ้าต่างหาก ทำมานาน ปิดบังไว้ได้ เพราะ แต่ก่อน ไม่มีโลกไซเบอร์  ต่อมา( 10 ปีที่ผ่านมา) มีปัญหาเพราะ มีคนรู้ทัน และกำลังจะทุบหม้อข้าวเค้า ก็เลย พยายามทำลายคนนี้

การทำลายนักการเมือง ทำได้ง่าย ๆ คือ(สูตรเดิม) ป้ายสีเรื่อง ไม่รักเจ้า โกง แล้วอะไรอีกล่ะ  ถ้ามันช้า ไม่ได้อย่างใจ ก็ แย่งอำนาจเอาดื้อ ๆ (ที่มาอย่างถูกต้อง) โดยการปฏิวัติ (จี้ปล้น)  ตั้งรัฐบาลเอง เขียนรัฐธรรมนูญ ตั้งกติกาต่าง ๆ เอง ลงโทษกำจัดคนที่เป็น ก้างขวางคอตัวเอง ออกไปโดยการจับติดคุก ลอบสังหาร ขับไล่ออกนอกประเทศ มีให้เห็นเยอะแยะ การจะปล้นเอาดื้อ ๆ มันต้องใช้กำลัง ฉะนั้นทหารจึง มีบทบาททางการเมือง และ เป็น ตัวคานอำนาจ มาทุกยุคทุกสมัย

อำมาตย์แย่งอำนาจทางสภาโดยจัดตั้ง รบ.ในค่ายทหารก็ทำมาแล้ว ตอนนี้ก็อับอายเพราะ สมุน (ปชป.) ดันไปทำเละ สมัยก่อนโน้น ไม่มีการถ่ายทอดทางทีวีให้ชาวบ้านเห็นหรอก มีแต่ฟังวิทยุ (เป็นข่าวสั้น ๆ) ชาวบ้าน เป็น ไพร่ไม่ต้องรับรู้ (สมัย ราชาธิปไตย)สมัยนี้ถ่อยยังไงก็เห็นกันหมด เลยไม่กล้าลงเลือกตั้ง ฉะนั้น ในสภา ทำความเสียหาย เสียหน้ากู้ไม่ได้ ก็เลย ลากนายกออกมาสู้บนถนน เอาคนถ่อยที่มีชนักแบบเทพ(คดีสั่งฆ่า 99 ศพ ที่ตนเองก็มีส่วนร่วมด้วย)  มาใช้  ข้อมูลเหล่านี้ ชุดความคิดแบบนี้ มัน เกิดจากการรับรู้สั่งสมมานานซึ่งแน่นอน มันเป็น คนละชุดความคิด ที่อำมาตย์หรือ คนรวย พวกนักธุรกิจ จับยัดสมอง ลูกหลานของเขาหรอก เราจึงมีวันนี้ที่คนไม่เหมือนกัน

สรุป คุณไม่มีทางเปลี่ยนคนเสื้อแดงที่โหยหาประชาธิปไตยได้หรอก เราไม่ใช่เบ๊ทักษิณ แต่มัน ไม่มีใครดีกว่าเค้าที่มองทะลุปรุโปร่งว่า ทำไมคนไทยยังยากจนอยู่ คนเห็นช่องว่างระหว่างคนรวย กับคนจนไหมล่ะ มันกว้างมากไป นายกทักษิณกล้า และมีกึ๋น พอที่จะสู้กับ มาเฟียที่เกาะกิน ประเทศมานานได้ ลองเปลี่ยนกันบริหารมาทุกพรรคแล้ว จนตายไปก็มี คนไทย แม่งงก็ยังจนอยู่ แต่ฉลาดขึ้น + เทคโนโลยีที่มันมี นาทีนี้ มัน ปิดไม่มิดแล้ว...

คิดง่าย ๆ นะ มีรบ.ชุดไหนไม่โกงมั่ง แม้แต่นายสุเทพ ที่ด่าคนอื่นปาว ๆ ทุกรัฐบาล ทุกนักการเมือง ไปยังข้าราชการทุกหน่วย ทุกเหล่ามีคนโกงหมด แต่เรา ก็ต้องเข้าใจวัฒนธรรมไทยคือระบบ ต่างตอบแทน ไม่ได้ สั่งสอนกันว่าการรับสินจ้างมันผิด มันบาป อย่าไปพูดยาวเลย

จะพูดว่า เมื่อมันก็โกงทุกรบ. ทุกคน แล้วเราจะแก้ยังไง มันก็ต้องมีกฎหมาย มี การป้องกัน การจับผิด ตรวจสอบ และการลงโทษ แต่คนแบบนายสุเทพ ที่ออกมาข่มขู่เรียกร้องเอาอำนาจในการเป็นรบ. เป็นผู้บริหารจัดการไปโดย ใช้กำลังบังคับ อย่า! อย่าเถียง มันคือพฤติกรรมของการจี้ปล้น โดยเอาคนที่มานั่งมาเดินเป็นตัวประกัน ทางอ้อม 


เห็นไหมล่ะ เริ่ม ปะทะกัน ล้มตาย เพื่อบีบให้นายกลาออก (ตามแผนของคนที่สนับสนุนเค้าอีกที มันเหมือน หมู่โจร เราไม่โทษคนที่มานั่ง เพราะ มัน เป็น องค์ประกอบอันหนึ่งของ การปลุกระดม

 ถามว่า ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายก ก็โกง ประชาชนจึงต้อง เรียกร้องหาประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญที่ประชาชน สามารถมีส่วนร่วมได้ ช่วยตรวจสอบ และปกป้อง ความชอบธรรม และสิทธิของเค้าได้

คำถามสุดท้ายคือ พอรบ. มีรายได้ ก็ต้องมีรายจ่าย บังเอิญ ทุกรายได้ที่เข้ามา(ไม่ว่าทางตรงจากการเก็บภาษี หรือรายได้จากอุตสาหกรรมอื่น ๆ ก็ต้องมาเจอ การรีดไถ จากอำมาตย์(ชั่ว) ที่อาศัย สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ บังหน้า ขูดรีดเอาไป จำนวนมาก เรื่องเหล่านี้ ทุกคนควรรู้แต่ มัน พูดไม่ได้ เพราะอะไรคุณก็รู้  แต่ก่อนหลายคนก็คิดไม่ดีกับ ในวัง แต่พอเริ่มมีข้อมูลว่าใครคืออำมาตย์ชั่วนี้ ก็ยิ่ง เห็นใจและเข้าใจพ่อ 



แต่ว่า คนเสื้อแดงก็มีหลายกลุ่ม บางคนก็ ใจแข็ง สรุปไปแล้วว่าฉันไม่เอา ฉันจะคิดแบบนี้ แต่บางคนก็ ยัง รักเคารพและกราบไหว้ (คนกลุ่มนี้ก็จะถูกหาว่าเสแสร้ง ถูกรังเกียจห้ามแย่งรักพ่อ) แต่บางคนก็กลาง ๆ จริง ๆ อย่างเรา ยกตัวอย่าง เราเห็นเพื่อน กราบไหว้ หรือห้อยพระหลวงพ่อนั่นนี่ เราก็ฟังเค้าแต่เราไม่ตามไปวัดด้วย  ฉะนั้น การที่เราไม่รัก ไม่กราบ ไม่ได้แปลว่าเราเกลียด เราทุกคนต่างอยู่ในกะลา ที่มันมีหลายชั้นมาก ๆ


ชีวิตนี้ตื่นเต้นจะตาย ตื่นเช้ามาก็ลุ้นว่าจะยังหายใจอยู่หรือเปล่า เปิดคอม ก็อ่านข่าว มีอะไร ที่น่าสนใจบ้าง เข้าเฟสมั่ง ไลน์มั่ง ส่งจดหมาย ส่งเมล์หาเพื่อน เปิดเว็บ เช็ค ธุรกิจ ออนไลน์ เขียนบล็อก อ่านเรื่องราวของเพื่อนร่วมอุดมการณ์....


วารีนา ปุญญาวัณน์
2013


กลับไปหน้าหลักของบล็อกนี้ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

เปิดใจ‘ม็อบรับจ้าง’อาชีพนี้ไม่มีสีไม่มีฝ่าย



เปิดใจแรงงานรายวันซอยกีบหมู ย่านคลองสามวา ทั้งเป็นคนงานก่อสร้าง-ช่างฝีมือ ที่ดั้นด้นจากต่างจังหวัด เพื่อหางานทำในกรุงเทพฯ ยามว่างรับจ้างไปม็อบ ระบุแม้คนละสีคนละฝ่ายกับที่ศรัทธาแต่ต้องทำเพื่อปากท้อง ที่สำคัญในม็อบมีอาหารประทังชีวิต มีการแสดงบันเทิงใจ อุดมการณ์เก็บไว้ในใจ อย่างน้อยลดค่าใช้จ่ายในห้องเช่าแคบๆ ที่ทำจากเศษไม้ก่อสร้าง

อุณหภูมิการเมืองไทยยังคงร้อนระอุ แม้ความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงจะลดน้อยลงไปบ้าง หลังจาก “กำนันสุเทพ” ประกาศยุบรวมลดจำนวนจุดชุมนุม ตามมาตรการ “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” จากเดิมที่มีการชุมนุมปิดการจราจรบริเวณแยกสำคัญ ๆ ใจกลางกรุงหลายจุด เหลือเพียงบริเวณสวนลุมพินีเพียงจุดเดียว กระนั้นก็ไม่ได้เป็นหลักประกันหรือเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าการชุมนุมที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายเดือนจะยุติลงในเร็ววันนี้

และแม้ข้อเรียกร้องในการชุมนุมจะมีความใกล้เคียงกัน ทว่าสารัตถะและบริบทแวดล้อมมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องด้วยการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ ๆ

ในอดีต มีคู่ขัดแย้งคือประชาชนกับผู้ใช้อำนาจรัฐ แต่การชุมนุมในยุคหลังนี้ดูเหมือนว่าคู่ขัดแย้งที่แท้จริงคือประชาชนสองกลุ่ม ที่มีความคิดและความเชื่อทางการเมืองที่ต่างกัน แม้ทั้งสองกลุ่มจะอ้างจุดหมายคือความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนจะมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน แต่รูปแบบและเนื้อหาของแต่ละฝ่ายนั้นแตกต่างกันอย่างมาก เมื่อต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าประชาธิปไตยในรูปแบบที่ฝ่ายตนต้องการนั้นเป็นของ “แท้” กว่าของอีกฝ่าย การแสดงพลังของมวลชนเพื่อสนับสนุนแนวคิดทางการเมืองของแต่ละขั้ว จึงถูกนำมาใช้ในการสร้างเงื่อนไขต่อรอง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กลุ่มของตนเอง ดังปรากฏเป็นการชุมนุมหลายครั้ง ในห้วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไล่ตั้งแต่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พันธมิตรฯ-เสื้อเหลือง) กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ(นปช.-เสื้อแดง) กลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มหน้ากากขาว เรื่อยมาจนถึง มวลมหาประชาชน ที่กำลังชุมนุมอยู่ในปัจจุบัน



เปี๊ยก (นามสมมติ) อดีตชาวนาที่ผันตัวเองมาเป็นช่างก่อสร้างกินค่าแรงรายวัน อาศัยอยู่บริเวณ ถ.สุเหร่าคลองหนึ่ง หรือ “ถนนกีบหมู” แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ที่รู้จักกันในหมู่ผู้มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง เล่าให้ผู้สื่อข่าว ฟัง ว่า เป็นคนขอนแก่น บรรพบุรุษทำนามาตั้งแต่จำความได้ แต่ตนเข้ามาหางานก่อสร้างทำใน กรุงเทพฯ ตามคำชักชวนของเพื่อนได้หลายปีแล้ว โดยมาอาศัยอยู่ย่านถนนกีบหมู เพราะหางานง่ายๆทำ โดยทุกเช้าจะมีผู้รับเหมาขับรถเข้ามาหาช่างและกรรมกรในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก

ส่วนค่าแรงที่ได้รับ เปี๊ยกตอบว่า “แรงงานแถวนี้ไม่มีใครได้ค่าแรงขั้นต่ำสักคน กรรมกรผู้หญิงค่าแรงวันละ 500 บาท กรรมกรชาย 600 บาท ผมเป็นช่างปูนวันละ 700-800 บาท แล้วแต่จะตกลงกับผู้รับเหมา ถ้าน้อยกว่านี้ผมไม่ไป มันเหมือนดูถูกฝีมือตัวเอง”


แรงงานมารอที่บริเวณหน้าซอยกีบหมูทุกเช้า เพื่อให้นายจ้างมาเลือกไปทำงาน 


เปี๊ยกจะมานั่งรอผู้รับเหมาทุกเช้า ตั้งแต่เวลาประมาณหกโมงครึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกวันที่เปี๊ยกจะได้งาน เช่นเช้าวันนี้ที่ผู้สื่อข่าวไปพูดคุยด้วย เวลาล่วงไปถึงเกือบสิบโมง มีผู้รับเหมาเข้ามาต่อรองราคาเพื่อว่าจ้างหลายราย แต่ยังตกลงกันไม่ได้
             “มันก็มีวันที่ไม่ได้งานนะ ผมก็ยืนรอจนถึงสิบเอ็ดโมง ถ้าไม่ได้ก็กลับ บางทีก็มีฟลุ๊ค ๆ นะแบบจะกลับแล้วแต่ได้งานเข้ามาก็มี แต่ค่าแรงนี่ต่อให้เริ่มงานสาย ก็ลดไม่ได้ เพื่อน ๆ แถวนี้ก็ไม่ลด มันมีเพดานอยู่ ถ้าเราไปรับ 500 บาท เท่ากรรมกร ถ้าเพื่อนรู้มันด่าตาย”
            “ช่วงนี้งานน้อย (เดือนมกราคม 2557) ม็อบปิดกรุงเทพฯ หลายจุด ผู้รับเหมาเข้าไปทำงานไม่ได้ คนมาหากินที่นี่ก็มากขึ้นทุกวัน ตัวเลือกเยอะ พอหมดฤดูทำนาก็ลงมาอีก ปีนี้เห็นว่าแล้ง ที่เคยมีน้ำทำนาปรังเขาบอกว่า จะไม่ทำนาปรังกัน ที่กีบหมูนี่มีคนอยู่หลายหมื่นนะ เป็นแบบนี้อดตายแน่” เปี๊ยกเล่าให้ฟังถึงอนาคตที่ดูจะไม่ราบรื่น

ภาพแรงงานต่อค่าแรงกับนายจ้าง
เมื่อถามว่า เคยไปร่วมชุมนุมทางการเมืองบ้างหรือไม่ เปี๊ยกตอบว่า เคยไป คนแถวซอยกีบหมูเป็นคนอีสานกว่า 70 เปอร์เซนต์ อย่างที่ทราบกันว่า โดยมากเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่รู้ว่าใครเป็นโต้โผชักชวน ก็ตาม ๆ กันไป มีการจัดรถมารับถึงที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า เคยได้รับเงินบ้างหรือเปล่า เปี๊ยกระบุว่า ช่วงที่ตนไปร่วม ไม่ได้รับเงิน แต่ก่อนหน้านั้นเพื่อนเล่าให้ฟังว่าได้รับเงินจริง  “ไปถึงเขาก็เอาบัตรประชาชนไว้ ให้มาก่อน 500 บาท จะกลับก็มาเอาบัตรประชาชนคืน ถ้ากลับเช้าก็ได้อีก 500 เป็น 1,000 บาท เหมือนทำงานสองกะ มันก็ใช้เงินกันทั้งนั้นแหละพี่ ทุกม็อบ” เปี๊ยกพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง...
            “เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีมารับนะ เป็นรถตู้มากันหลายคัน คนเดินลงมาบอกว่าไปม็อบราชดำเนิน พวกผมเป็นเสื้อแดงก็เลยโห่ไล่ มันก็เปิดไป แต่ก็เห็นไปรับแถวศาลาตรงโน้น พี่อยากคุยมั๊ย” เปี๊ยกหันไปคุยกับเพื่อนซักถามกันว่า วันนั้นมีใครไปบ้าง แล้วตะโกนพลางกวักมือเรียก

ตาชาติ (นามสมมติ) ดูจะมีอายุมากกว่าเปี๊ยกหลายปี เล่าให้ผู้สื่อข่าว ฟังว่า เดิมเป็นคนพื้นเมืองของ จ.สุรินทร์ เรียกตัวเองว่าชาวส่วย ต่อมาย้ายมาอยู่กับภรรยาที่บุรีรัมย์ ปัจจุบันทางบ้านยังมีอาชีพทำนา แต่เป็นนาเช่า เสียค่าเช่าเป็นส่วนแบ่งผลผลิต เจ้าของที่ดินจะได้ส่วนแบ่ง 30 เปอร์เซนต์ ส่วนตนได้ 70 เปอร์เซนต์
            “เช้าๆ ต้องกรึ๊บซะหน่อย มือจะนิ่งทำงานดีมาก ถ้าไม่ได้กินนี่ผมจะมือสั่น ปูกระเบื้องไม่ตรงแนวเลย แต่ไม่ต้องห่วง กินนิดเดียว ไม่เสียงาน” ตาชาติหมายถึงการดื่มเหล้าก๊งจากร้านขายชองชำละแวกนั้น
ผู้สื่อข่าว สังเกตเห็นตาชาติสวมเสื้อของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง จึงสอบถามว่าชื่นชอบพรรคนี้เป็นพิเศษหรืออย่างไร ตาชาติปฏิเสธ โดยตอบเลี่ยงว่า ไม่ได้ชอบพรรคนี้เป็นพิเศษ เลือกตั้งคราวที่แล้วก็เลือกพรรคที่ได้เป็นรัฐบาล  “เค้าเอาเสื้อมาแจก ก็รับไว้ แต่ไม่ได้แจกช่วงเลือกตั้งนะ พรรคเค้ารู้ เค้ากลัวใบแดง”
ระหว่างที่พูดคุยสอบถามนั้น มีผู้รับเหมาขับรถมาจอดเพื่อต่อรองราคากับช่างฝีมือต่างๆ และคนงาน ราว 3-4 ราย แต่ตกลงราคากันไม่ได้ แรงงานก่อสร้างรายวันเหล่านี้ ดูจะทำตามที่พูด คือไม่ยอมลดราคาค่าจ้างต่ำกว่าเพดานที่ตัวเองกำหนดเอาไว้ ขณะที่ผู้รับเหมาต้องการราคาที่ต่ำกว่านั้น เพราะจำนวนชั่วโมงทำงานจะน้อยกว่า 8 ชั่วโมง เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงสายๆของวันเข้าไปแล้ว
“วันนี้สงสัยจะตกงาน” ตาชาติหันมาบอก

ตาชาติเล่าให้ฟังว่า สำหรับแรงงานรับจ้างที่ถนนกีบหมูแล้ว หากไม่เลือกงานและเกี่ยงราคามากจนเกินไป จะได้ทำงานทุกวัน แต่สำหรับตนถ้าให้รับค่าแรงวันละ 500 บาท เท่ากรรมกร ตนคงไม่ทำ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงสภาพความเป็นอยู่ ตาชาติจึงชวนให้ไปนั่งคุยต่อที่ห้องเช่า ซึ่งอยู่ไม่ไกล ก่อนจะลุกนำเดินลัดเข้าตรอกเล็ก ๆ ไม่มีชื่อซอย สองข้างทางเต็มไปด้วยป้ายห้องว่างให้เช่า สำหรับสนนราคาค่าเช่า เริ่มตั้งแต่ไม่ถึงเดือนละ 1,000 บาท บาท จนถึง 3,500 บาท
ห้องที่ตาชาติเช่าอยู่ ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ในย่านนี้ คือเดือนละ 800 บาท ค่าน้ำจ่ายเหมาต่างหากเดือนละ 100 บาท มีมิเตอร์แยกไฟฟ้าแยกต่างหากห้องใครห้องมัน ขนาดห้องเช่าประมาณด้วยสายตาคือ 3x3 เมตร พื้นและผนังห้องทำจากเศษไม้ที่เหลือจากการก่อสร้าง เพราะมีขนาดไม่เท่ากันแม้แต่แผ่นเดียว หลังคามุงสังกะสี ห้องน้ำรวม ภายในห้องตาชาติมีเพียงมุ้งหนึ่งหลัง พัดลมและหม้อหุงข้าวอย่างละเครื่อง พร้อมรูปในหลวงติดอยู่ที่ข้างฝาเท่านั้น

“ก็แค่อาศัยนอน ผมเพิ่งย้ายเข้ามาไม่กี่วัน ที่เก่าที่เคยอยู่เดือนละพันกว่าบาท”
ตาชาติชี้ให้ดูเศษกระดาษที่เขียนวันที่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ เสียบตะปูที่ข้างฝาห้อง ซึ่งเป็นเวลาที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน
เมื่อถามถึงเรื่องการร่วมชุมนุมทางการเมือง ตามที่เปี๊ยกเล่าให้ฟังว่า ตาชาติเคยไปร่วมชุมนุมเมื่อไม่นานนี้ ตาชาติรับว่า เป็นความจริง เคยไปร่วมชุมนุมทางการเมือง พร้อมทั้งหยิบอุปกรณ์ เสื้อสีแดง และป้ายตราธงชาติ ออกมาเป็นเครื่องยืนยัน
            “ช่วงวันแรก ๆ ของการชุมนุม จะมีรถมารับเลย ขนคนไป คือเวลาเขาประกาศรวมพล วันแรก ๆ นี่เขายังมากันไม่พร้อม ก็มาขนคนกีบหมูนี่แหละไป จ่ายเงินหัวละพันๆ ทุกม็อบแหละ ถ้าวันนั้นผมตกงานก็ไป รถเข้ามารับสาย ๆ มาหลายคัน รถตู้บ้าง เหมาสองแถวมาบ้าง อุดมการณ์ทางการเมืองผมก็มีอยู่ แต่นี่ก็เรื่องปากท้อง คิดซะว่าไปทำงาน ตอนไปเลือกตั้งผมจะเลือกใครมันก็สิทธิ์ของเรานะ ไม่มีใครมาจับมือกา”
ตาชาติเล่าต่อว่า ถ้าม็อบจุดติดแล้ว มีมวลชนเป็นของตนเอง การใช้เงินจ้างก็จะหยุดลง กระนั้นก็ยังแวะเวียนไปตามที่ชุมนุมในวันที่ไม่ได้ทำงานบ้าง เพราะมีอาหารให้รับประทานตลอดทั้งวัน และยังมีการแสดงให้รับชม
            “อยู่ที่ห้องมันเปลืองค่าไฟ ต้องเปิดทีวี เปิดพัดลม ไปม็อบมีข้าวกินครบทุกมื้อ บางทีก็ขัดใจบ้าง ที่เค้าพูดบนเวที มีด่าชาวนา ด่าคนเสื้อแดง ก็ทำเป็นไม่ได้ยินซะ”


เมื่อถามถึงความตื่นตัวทางการเมือง ตาชาติให้ความเห็นว่า ปัจจุบันคนต่างจังหวัดมีความตื่นตัวทางการเมืองสูง เพราะเห็นได้ชัดว่า มีผลกระทบต่อชีวิตโดยตรง อาทิ นโยบายประกันสุขภาพ กองทุนหมู่บ้าน หรือแม้กระทั่งล่าสุดคือนโยบายจำนำข้าว ซึ่งจะเห็นได้ว่านโยบายที่ตาชาติจดจำได้ ล้วนเป็นนโยบายประชานิยมทั้งสิ้น
            “ผมไม่รู้ว่าประชานิยมจริง ๆ คืออะไรหรอกนะ ถ้าหมายถึงประชาชนนิยม ล่ะก็ใช่ เพราะมันได้ประโยชน์ คนก็ต้องนิยม แถวบ้านผมเมื่อก่อนเจ็บป่วยก็รักษากันตามมีตามเกิด เดี๋ยวนี้ลองไปดูตามโรงพยาบาล คนไปรักษากันจนแทบไม่มีที่เดิน ก็มันแทบไม่เสียเงิน”

            “คนไม่เคยทำนาเค้าไม่รู้หรอก ความเหนื่อยยากของชาวนา ทำมาปีๆหนึ่ง จะขายได้ราคาเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรู้ ที่แน่ ๆ หนี้มันรออยู่แล้ว เพราะต้องไปเอาปุ๋ย เอายา เค้ามาก่อน บางปีก็ขาดทุนเข้าเนื้อไปเลยนะ ยิ่งทำก็ยิ่งจน พอมีจำนำข้าวมันรู้แน่ ๆ เลยว่าจะขายได้เท่าไหร่ มันดีมากเลย แต่ทีนี้ไม่รู้ยังไงนะ ปีนี้พวกที่จำนำข้าวมันยังไม่ได้เงินกันหลายเดือนแล้ว เค้าก็บ่นว่าเดือดร้อน ต้องไปกู้มาก่อน ทีนี้หลายเดือนเข้าเจ้าหนี้ก็ร้อนใจว่าจะโดนเบี้ยวมั้ย จะได้เงินมั้ย ดอกเบี้ยก็ส่งทุกเดือน ๆ รัฐบาลไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย” ถึงกระนั้น ตาชาติก็ยังวิเคราะห์ว่า หากมีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองเดิมก็คงได้กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีก เนื่องจากตัวเลือกอื่นที่มี ยังไม่สามารถสร้างความนิยมชมชอบให้กับชาวบ้านได้


ส่วนเรื่องการซื้อเสียงนั้น ตาชาติยอมรับว่า ยังคงมีอยู่ ทั้งการเลือกตั้งท้องถิ่น ตั้งแต่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. อบจ. และการเลือกตั้งระดับชาติ โดยการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นนั้น มีการใช้เงินแพร่หลายกว่าการเลือกตั้งระดับชาติ เพราะผู้ลงสมัครมีโอกาสได้รับเลือกใกล้เคียงกัน ต่างจากการเลือกตั้งระดับชาติ ที่ผู้ได้รับเลือกมีคะแนนทิ้งห่างกันเยอะ
            “เลือก ส.ส. คราวก่อนโน้น บ้านผมคนชนะได้สามหมื่นกว่าคะแนน คนที่ได้ที่สองได้หมื่นกว่า ๆ ผมบอกได้เลยว่า คนชนะไม่ได้ซื้อเสียง คนแพ้น่ะซื้อแน่ ๆ ญาติผมเป็นหัวคะแนนของคนที่ชนะ ที่ไม่ใช้เงินไม่ใช่มั่นใจว่าจะชนะ หรือเงินไม่มีนะ เงินน่ะมีอยู่ เตรียมไว้แล้ว แต่ตัดสินใจไม่ใช้เพราะลูกน้องของคู่แข่งตามดูตลอด เค้าลือว่ากกต.จังหวัดอยู่ฝ่ายโน้น ถ้าแจกเงินเมื่อไหร่โดนจับใบแดงแน่ คนแพ้ใช้เงินยังไงก็แพ้ เราจะกาใครไม่มีใครรู้หรอก เค้าเอาเงินมาให้ก็รับไป เลือกใครมันอยู่ที่เรา”
            “คนอยู่บ้านนอกนี่ไม่ได้โง่หรอกนะ เช้า ๆ มาคนเฒ่าคนแก่ไปดูเถอะ เค้าก็คุยกันเรื่องการเมืองทั้งนั้น ที่ร้านกาแฟบ้าง ที่วัดบ้าง จานดาวเทียมมีกันเกือบทุกบ้าน เดี๋ยวนี้มันราคาถูก เมื่อก่อนทั้งหมู่บ้านมี ทีวีไม่กี่บ้าน ต้องขึ้นเสา โน่น สูงลิ่วเลย ยังไม่ชัดอีก เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนก่อน โทรศัพท์มือถือก็มีกันทุกคน คนดูข่าวมันก็ตามทันนะ เช้ามาก็เอาแล้วจับกลุ่มคุยการเมือง”
            “คนที่เข้มข้นมาก ๆ นี่ เค้าไม่คบเลยนะต่างขั้ว มันอยู่ลำบาก ในหมู่บ้านรู้จักกันหมด ถ้าคิดต่างก็ต้องเงียบ แสดงออกไม่ได้เลย จะเป็นตัวแปลกประหลาด อย่างผมที่ไปม็อบถ้าเมียรู้ผมโดนด่าเละแน่ ๆ อย่างที่บอกอุดมการณ์ผมมีอยู่ แต่ปากท้องก็อีกเรื่อง ใครเอาเงินมาให้ก็เอา แต่ถ้ามันอันตรายเสี่ยงชีวิตก็ไม่เอานะ เอาชีวิตไว้ก่อนดีกว่า ถ้าถามว่าม็อบรับจ้างมีจริงมั้ย อันนี้มีแน่ ก็ผมนี่ไง” ตาชาติทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มแบบคนซื่อ
ท่ามกลางความขัดแย้งทางความคิด การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของกลุ่มคนที่มีความเชื่อในสาระและวิธีการของการได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตย” ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าความเปลี่ยนแปลง ที่คนทั้งสองกลุ่มต้องการจะเกิดขึ้นหรือไม่ ด้วยรูปแบบอย่างไรก็ตาม วิถีชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำของแรงงานก่อสร้างในย่านถนนกีบหมู ก็อาจจะยังคงดำเนินต่อไป

บุคคลย่อมมีสิทธิ์ที่จะคิดที่จะเชื่อ รวมทั้งใช้ชีวิตในวิถีที่ตนได้เลือกแล้ว แม้ในบางครั้งสิ่งที่เชื่อและการแสดงออกก็อาจจะดูขัดแย้งกันเองบ้าง ตามเหตุและปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคน แม้เราอาจจะไม่เห็นด้วยกับเขาเหล่านั้น อย่างน้อยที่สุดเราก็ควรที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของบุคคลนั้น สถานะทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจ อาจเป็นตัวแบ่งชนชั้นทางสังคม แต่ความคิดความเชื่อทางการเมืองนั้นไม่ใช่ คุณค่าความเป็นคนและศักดิ์ศรีเป็นมนุษย์ มิอาจถูกลดทอนได้ด้วยความแตกต่างทางความคิด มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเป็นคนโดยเท่าเทียมกัน แม้จะคิดเห็นต่างกัน ซึ่งก็อาจเป็นเพราะแต่ละคนล้วนผ่านประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน


ขอบคุณข้อมูลจาก
อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ
ศูนย์ข่าว TCIJ
26 มีนาคม 2557
http://tcijthai.com/tcijthainews/


วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

รัชกาลที่ 9....สร้างพันธมิตร กับพวกเศรษฐีใหม่ โดยการส่งตัวแทนเข้าไปร่วมบริหาร

ความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจได้ทำให้มีนายทุนใหม่ๆที่มาจากสามัญชน
กษัตริย์ในอดีตมักจะทรงสร้างความผูกพันธ์ความจงรักภักดีกับบรรดามหาเศรษฐี
โดยใช้การแต่งงานและการลงทุนร่วมกัน
แต่รัชกาลที่ 9 ทรงขาดแคลนพระโอรสและพระธิดา วังจึงต้องสร้างพันธมิตร
กับพวกเศรษฐีใหม่ โดยการส่งตัวแทนเข้าไปร่วมบริหาร

นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อน้ำเมาและนายธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพีที่มีทั้งธุรกิจการเกษตร การค้าปลีกและธุรกิจโทรคมนาค
ได้เชิญ ตัวแทนของพระเจ้าอยู่หัวเข้าไปเป็นผู้บริหารเพื่อแสดงว่ามีผลประโยชน์ร่
วมกัน คือพลเอกเปรม และพล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลาเป็นกรรมการของบริษัท
ในเครือซีพี มีเงินเดือนสูง

พลเอกเปรมเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของเครือโรงแรมอิมพีเรียลหรือพลาซ่าเอทินี (Plaza Ethenee Royal Bangkok) ของเสี่ยเจริญ
มรว.สฤษดิคุณ กิติยากร ลูกพี่ลูกน้องของพระราชินีก็ได้เป็นประธานบริหาร
โรงแรม มรว. อดุลกิติ์ กิติยากร พี่ชายของพระราชินีและเป็นองคมนตรี
ได้เป็นประธานบริษัทเบียร์ช้างที่ตั้งขึ้นใหม่
เสี่ยเจริญกับภรรยาคือคุณวรรณาได้รับเครื่องราชฯชั้นสูงได้เป็นคุณหญิงในช่วงนั้นเอง

เสี่ยเจริญเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารมหานคร First Bangkok City Bank
สำนักงานทรัพย์สินได้รับอนุญาตให้ซื้อหุ้นคราวเดียวถึง 15 เปอร์เซ็นต์ในปี 2539

วังได้สร้างสายสัมพันธ์กับธุรกิจขนาดใหญ่ โดยให้พลเอกเปรม ซึ่งเป็นตัวแทนพระเจ้าอยู่หัวไปเป็นประธานที่ปรึกษาธนาคารกรุงเทพ เป็นประธานกิตติมศักดิ์
ของบริษัทกฤษดามหานครที่ทำหมู่บ้านจัดสรรค์

เป็นประธานสายการบินพีบีแอร์ ที่ก่อตั้งโดย ดร. ปิยะ ภิรมย์ภักดี
ประธานบริหาร บริษัทบุญรอด บริวเวอรี่เจ้าของเบียร์สิงห์
โดยมีองคมนตรีอื่นๆนั่งเป็นกรรมการตามบริษัทต่างๆ ซึ่งมีรายได้ดี
และทำให้มีความอุ่นใจได้ว่าธุรกิจพวกนั้นจะต้องเชื่อฟังวังและสนับสนุน
พระราชกรณียกิจของวังอย่างเต็มที่ตลอดไป

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ระดมเอาบรรดามหาเศรษฐีใหม่
เข้าเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ ด้วยเงินทุนมากมายและที่ดินอีกมหาศาลที่มีอยู่
รวมทั้งให้ธนาคารไทยพาณิชย์ของสำนักงานทรัพย์สินฯเข้ามาร่วมด้วย
โครงการต่างๆ เช่น โรงแรมหรูย่านราชประสงค์ เพรสิเด้นท์โกลเด้นแลนด์กรุ๊ป President-Golden Land group ของครอบครัวศรีวิกรม์

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย..

ฟื้นแก้ รธน. หมักยื่นมีด ให้พันธมิตร !

วันที่ 13 อาทิตย์ กรกฎาคม 2551
 พลันที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เผยความในใจ เตรียมยื่นขอแก้ไขรัฐธรรมนูญทันทีที่เปิดสภา พร้อมทั้งตีวัวกระทบคราดถึงกรณีแนวโน้มใบแดงของนายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม ส.ส.อุบลราชธานีของพรรค ไฟที่วับแวมติดๆ ดับๆ ก็ลุกโชนขึ้นมาทันที คล้ายนายสมัคร ยื่นมีดให้ศัตรู แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจตนเอง
     ตั้งแต่เย็นวันนี้ (๑๓) ประชาชนเรือนหมื่น แน่นขนัดไปทั่วบริเวณนับจากหน้าเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สะพานมัฆวาฬ ไปจนถึงสี่แยกมิสกวัน โดยที่บนเวที ผู้อภิปรายหลายคนได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปโจมตีนายสมัคร สุนทรเวช อย่างเผ็ดร้อน โดยเฉพาะการพูดในรายการ "สนทนาประสาสมัคร" เช้าวันเดียวกัน ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นธงนำของพันธมิตรมาแต่ต้น
 
นายสุริยะใส กตะศิลา อธิบายว่า สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ ถือว่ามีความตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรัฐบาลหุ่นเชิดต้องพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด และฟอกความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย ดังนั้นหนทางออกของรัฐบาลจึงมี ๔ แนวทาง คือ ทำรัฐประหารตัวเอง เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถอดถอน กกต. และ ปปช. และการเดินเกมมวลชน
     นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ เวลา ๑๐.๐๐ น. เขา และ ๕ แกนนำพันธมิตร จะเดินทางไปยัง ปปช.เพื่อใช้สิทธิเรียกร้องให้ ปปช.ดำเนินคดีอาญากับคณะรัฐมนตรี และข้าราชการประจำที่มีความเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเขาพระวิหาร
     นายสมัคร พลาด !  หรือจงใจชนพันธมิตร ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในประเด็นที่อ่อนไหวที่สุด ด้วยสงครามครั้งสุดท้ายนั้นต้องแตกหักสถานเดียว

กลับหน้าหลัก

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

สุนัย จัดหนัก TPBS ประชุมสภา 08-9-54

ศักดินา หมายถึงชั้นของฐานันดรที่วัดกันด้วยมีที่นามากน้อยเพียงใด

เต่าพันปี(1) โดย ฌาฒ สหัชชะ
ที่จั่วหัวเรื่องว่า “เต่าพันปี” หมายถึงจะกล่าวถึงเรื่องสัพเพเหระโบราณ ที่คนในปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว แต่ยังกล่าวถึงกันอยู่ในเชิงสนุกสนาน ทั้งสุภาษิต สุภาเสือก คำคม คำพังเพย ที่มีต้นกำเนิดนานมากแล้ว จนคนรุ่นปัจจุบันเรียกว่า “เต่าพันปี” นัั่นแหละ

ขุนนาง เป็นคนมีฐานันดรศักดิ์สูงในสังคมประเทศ มีมาตั้งแต่ตั้งประเทศ แต่ที่รุ่งเรืองที่สุดในยุครัชกาลที่ 4 และ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นการพิสูจน์คำพังเพยที่ว่า “สิบพ่อค้า ไม่เท่ากับหนึ่งพระยาเลี้ยง” เพราะพระยาจะเป็นผู้มีอำนาจในสังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มีศักดินานับหมื่นไร่
ศักดินา หมายถึงชั้นของฐานันดรที่วัดกันด้วยมีที่นามากน้อยเพียงใด ทั้งนาจริง และนาฐานันดร เพื่อเป็นการวัดชั้นทางสังคมและใช้ในการปูนบำเหน็จหรือลงโทษ เหมือนเกรด หรือ ระบบซี ในปัจจุบัน
ขุน มีศักดินา 100 ถึง 500 ไร่
หลวง มีศักดินา 500 ถึง 1,000 ไร่
พระ มีศักดินา 1,000 ถึง 5,000 ไร่
พระยา(เจ้าคุณ เมียเป็นคุณหญิง) มีศักดินา 5,000 ถึง 10,000 ไร่
เจ้าพระยา(เจ้าคุณ เมียเป็นท่านผู้หญิง) มีศักดินา 10,000 ไร่ ขึ้นไป
สมเด็จเจ้าพระยา ได้กินเมืองเป็นเมือง ๆ ขึ้นไป หรือคุมกำลังพิเศษเพื่อพระมหากษัตริย์และบ้านเมืองและมีอาญาสิทธิในการปูนบำเหน็จ หรือลงโทษบุคคลในเมือง หรือในกองกำลังที่ตนมีอำนาจครอบครองในระดับหนึ่งอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งแต่ละยุคมีจำนวนน้อย
ดังนั้น บรรดาพ่อค้าก็ต้องอยู่ในอำนาจของบรรดาผู้มีอำนาจเสมอ ตามหลักมีเงินต้องมีอำนาจด้วยจึงจะขลัง
ประชาชนทั้งหลายจึงนิยมยกลูกสาวให้กับบรรดา ศักดินา เหล่านี้ตามฐานานุรูป โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็น น้อย  หรือนางบำเรอ ยิ่งได้มีลูกกับท่าน ๆ ซึ่งในยุคนั้น มีกฎเกณฑ์ของสังคมว่า จะต้องรับผิดชอบบุตรทุกคน ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ ของกฎหมายตราสามดวง ว่าด้วย ลักษณะผัวเมีย
ศักดินา เหล่านี้แต่ละคนมีนางหลายคนเป็นบริวาร(เมีย) จึงเป็น “ขุน” ของนางทั้งหลาย และกลายเป็นคำศัพท์ “ขุนนาง”ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และเป็นคำศัพท์ต่อเนื่อง “ขุนนางศักดินา” ในที่สุด
ต่อๆ มาคนไทยจะมีคำพูดสอนลูกหลานในเชิงยั่วยุให้ลูกหลานฮีกเหิม คือ “เรียนให้สูง ๆ นะ จะได้เป็นจ้าวเป็นนาย” ในอนาคต เลยเป็นการยั่วยุให้เด็กใฝ่สูง แต่ขาดการต่อสู้ชีวิตเพื่ออนาคตด้วยตนเอง เด็กไทยจึงกลายเป็นเด็กหยิบโหย่ง ทำงานหนักไม่ได้ มุ่งแต่จะเป็น “เจ้านาย”
ช้า ช้า ได้พร้าเล่มงาม หมายถึงเวลาตีเหล็ก ตีมีดพร้า ต้องใจเย็น ๆ ต้องนวดเหล็กให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วค่อย ๆ ตีพร้าให้ได้รูปงามๆ ที่มีความคงทนถาวร
น้ำขึ้นให้รีบตัก อะไรที่เข้ามาในชีวิตให้รับจับฉวยไว้ก่อนเพื่อความอุดมสบูรณ์ของชีวิต แต่หมายถึงต้องอยู่ในทำนองคลองธรรม ไม่ใช่เอาทุกอย่างเข้ามา
อย่าเข็นครกขึ้นภูเขา มันหนัก ยาก ลำบากที่สุด เพราะปกติครกตำข้าว เขาเจาะจากไม้แก่นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เพื่อตำข้าวเปลือกให้เป็นข้าวสาร ที่เรียกว่า “ข้าวซ้อมมือ” อันมีคุณภาพนั่นแหละ ธรรมดาครกมันหนักแค่กลิ้งในที่ราบก็ยังเข็นลำบาก หมายถึง งานอะไรที่มันยากเกินสติปัญญาที่จะฟันฝ่า ก็ยุติเสีย เพราะทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์
ปลาหมอตายเพราะปาก  ปลาหมออยู่ตรงไหนก็จะขึ้นมาบ้วนน้ำ หรือตอดน้ำตลอดเวลา เป็นการประกาศตัวว่าข้าอยู่นี่ ทำให้พรานเบ็ด ลอบ แห ยอ มาจับเอาไปกินเสมอมา เหมือนคนปากโป้ง อวดไม้ ย่อมจะหาภัยมาใส่ตัว
นายว่าขี้ข้าพลอย  เห็นได้ชัดจากระบบ “ทักษิโนปถัมภ์” เมื่อนายเอ่ยหรือสำรอกอะไรออกมานิดหนึ่ง บรรดาสาวกแดงเดือด ก็จะขย้ำและ สำราก ออกมาอย่างบ้าเลือดต่อเนื่อง จนเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ไปทุกเรื่อง
ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น  หมายถึงผลไม้ส่วนมากจะหล่นมาเกลื่อนกลาดใต้โคนต้นเปิดโอกาสให้คน และสัตว์เก็บกินและเอาไปปลูก เป็นการขยายพันธุ์ได้ เป็นการอธิบายว่า บรรดาลูกหลานย่อมจะเป็นไปตามบรรพบุรุษของตนเสมอ เช่น โอ๊ค ย่อมเน่าคาโคนต้น แม้ว เพราะไม่ได้เป็นลูกยาง หรือยูง หรือพยุง ที่พอแตกลูกออกจะมีปีกติดกับเมล็ด ลอยไปตามลม บางเม็ดก็ไกลมาก จึงเป็นการขยายพันธ์แบบวงกว้าง เช่น ป่ายาง ป่ายูง เป็นต้น
สิบปากว่า ไม่ท่ากับตาเห็น  สิบตาเห็น ไม่ท่ากับมือคลำ  เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้าง มันย่อมต่างกับของจริงที่เราได้เห็นด้วยตา และบางทีเห็นด้วยตาอาจจะเป็นภาพหลอน หรือของปลอม จึงต้องใช้มือสัมผัส ถึงได้รู้ว่าเป็นของจริงตามภาพที่ได้เห็น
สหัสดารา เอกาจันโท สหัสไสยา เอกายงโย่ สหัสจ๋องหน่อง เอกาปองหึ่ง สหัสพรืดผริ่ง เอการัมนา
ดาวพันดวงหรือจะสู้พระจันทร์ดวงเดียว คนนอนหลับพันคนหรือจะสู้คนนั่งคนเดียว โหม่งเล็ก พันลูกหรือจะสู้ฆ้องใหญ่ และ ทับพันลูกหรือจะสู้ รัมนาใหญ่
น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา พวกที่กินงบประมาณ โดยเฉพาะงบประมาณน้ำ ระวังเถอะจะโดนกินทั้งโคตร เมื่อน้ำลด คือเมื่อมีการตรวจสอบโดยประชาชนสักวันหนึ่ง อายุความยี่สิบปีนะพวก ดวงคงไม่ปลอดไปตลอดหรอกนะ
ความทุกข์ของชาวนา คือความทุกข์ของแผ่นดิน เป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันปีใหม่ปีหนึ่ง ที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐในยุคนั้นได้อัญเชิญมาพาดหัวตัวไม้ เพื่อให้พสกนิกรทั้งหลายได้เห็นน้ำพระทัยที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านต่อปัญหาความยากจนที่ทรงห่วงใยตลอดมา ท่านทั้งหลายยังจำกันได้ไหมครับ

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

Hate Speech คืออะไร ? เกิดจากอะไร ? และเราจะรับมือกับ Hate Speech ได้อย่างไร?

ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเลือกตั้งเพื่อปฏิรูปก็ไม่มีค่าเท่า “ปฏิวัติประชาธิปไตย”

January 21, 2014 at 5:41pm

 ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเลือกตั้งเพื่อปฏิรูปก็ไม่มีค่าเท่า “ปฏิวัติประชาธิปไตย”

1.เหตุแห่งปัญหา

                “สงครามกลางเมือง” ที่เกิดขึ้นในบ้านในเมืองเราในขณะนี้นอกจากจะเกิดจากการ “ชิงตำแหน่ง แย่งอำนาจ” กันเอง ระหว่าง “ผู้ปกครองกับผู้ปกครอง” แล้ว ยังมีสาเหตุที่แท้จริงมาจาก “ต้นไม้พิษ” คือการปกครองแบบ “เผด็จการระบบรัฐสภา” ที่เปิดโอกาสให้ “ทุนผูกขาด” “ผู้อยู่เบื้องหลังการปกครอง” ได้มีโอกาสกดขี่ขูดรีดกรรมกร ชาวไร่ชาวนา และทำลายทุนขนาดกลางขนาดย่อมอย่างถูกกฏหมายอีกด้วย

ผลของการขูดรีดของ “ทุนผูกขาด” ภายใต้อำนาจรัฐเผด็จการทำให้ “ความยากจนของคนส่วนใหญ่” “ผกผัน” กับ “ความร่ำรวยของคนส่วนน้อย” อย่างรุนแรง ช่องว่างระหว่างชนชั้นดังกล่าวจึงทำให้ “คนส่วนใหญ่” จำต้องกลายเป็น “ทาส” ทางการเมืองและทาสทางเศรษฐกิจ ของคนส่วนน้อย ผู้ร่ำรวย“ทั้งทางตรงและทางอ้อม” ไปโดยพฤตินัย
การที่คนจนเป็นทาสคนรวยโดยพฤตินัยดังกล่าวนำมาซึ่ง
วัฒนธรรมเผด็จการ!

วัฒนธรรมเผด็จการคือ “ความสัมพันธ์ภายใน” ของการกดขี่ภายในสังคมทั้งระบบ เช่นหัวหน้างาน (หัวหน้าทาส) ต้องช่วยนายทุน (นายทาส) คุมทาส คุมกรรมกรทำงานหนัก เพื่อให้การ “ขูดรีดแรงงาน” เพื่อนายทาสเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนทาสใด กรรมกรใด ถ้าอยากจะอยู่รอดปลอดภัยในองค์กรได้ก็ต้อง “พินอบพิเทา” ต้องประจบ ต้องเลีย หัวหน้างานหัวหน้าทาส เพื่อหัวหน้างาน หัวหน้าทาสให้ความเมตตา มอบหมายงานดี เงินดีให้ทำ ในระบบราชการก็เกิดวัฒนธรรม “ถูกต้องครับนาย ใช่ครับผม” เพื่อการอยู่รอดและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การใช้ “เสน่หา” และการ “ซื้อขายตำแหน่ง” เป็นเครื่องมือในการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งในทุกกระทรวงทบวงกรม ทำให้คนไร้ความสามารถข้ามหัวคนมีความสามารถและซื่อสัตย์ขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ส่งผลทำให้เกิด “ความแตกแยก” ในองค์กร ความแตกแยกในองค์กรและความไร้ประสิทธิภาพของหัวหน้างาน ทำให้องค์กรอ่อนแอมากขึ้นๆทุกวัน

ยิ่งไปกว่านั้นวัฒนธรรมเผด็จการยังส่งผลให้ “ความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย” และ “ความเสมอภาคในโอกาส” ของคนรวยผู้ร่ำรวยผู้อยู่เบื้องหลังการปกครองกับคนจนผู้ถูกปกครอง มีสภาพที่แตกต่างกันดังฟ้ากับเหว ส่งผลทำให้เกิดอาชญากรรมมากมายตามมา การปล้นธนาคารเอย ปล้นร้านทองเอย ปล้นร้านสะดวกซื้อเอยเกิดขึ้นดังดอกเห็ด การหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยก คนติดยาเสพติดมีปริมาณมากจนคุกล้น สะท้อนภาพเลวร้ายของสังคมอันเกิดจากระบอบเผด็จการที่สะสมและบ่มปัญหาอย่างต่อเนื่องมาแล้วกว่า 80 ปีได้เป็นอย่างดี จนนำมาซึ่ง “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” และสงครามประชาชนในวันนี้
สงครามประชาชนคือสงครามที่ประชาชนทำสงครามกับผู้ปกครอง ไม่ว่าผู้ปกครองนั้นจะมีสีเหลืองหรือสีแดงเป็นสัญลักษณ์

วันนี้ฝ่ายทุนผูกขาดใหม่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนทุนผูกขาดเก่าที่ครองอำนาจมายาวนาน ดังนั้นเมื่อ “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” ตรงกับยุคที่ “ยิ่งลักษณ์” เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ยิ่งลักษณ์จึงต้องกลายเป็น “แพะรับบาป” ของระบอบเผด็จการ” มากกว่ารัฐบาลเผด็จการใดๆที่มีมาแต่ในอดีต เพราะเธอ ถูก 2 ศึกขนาบ

ศึกหนึ่งกับ “มวลชนที่ต้องการประชาธิปไตย”
ศึกสองกับ “เผด็จการเหลือง” ผู้ฉวยโอกาส

ศึกแรกมวลชนประชาธิปไตยแม้จะไม่ชอบเผด็จการเหลืองแต่ก็ “ยืมมือ” เผด็จการเหลืองมาโค่นเผด็จการแดงและใน “โอกาสเดียวกัน” “เผด็จการเหลือง” ก็ “ยืมมือ” มวลชนประชาธิปไตย “มาเป็นเครื่องมือ” ในการแย่งอำนาจคืน

แต่ความต่างใน 1.จุดยืน 2.ทัศนะ และ3.มรรควิธี (แนวทาง) ของคนในชาติ เมื่อเกิดสภาวะประฏิวติกระแสสูงจึงส่งผลทำให้ “ความขัดแย้ง” ระหว่าง “ผู้ปกครองกับผู้ปกครอง” “ประชาชน” กับ “ประชาชน” ลุกลามไปทุกสาขาอาชีพ ทุกครอบครัว และทุกภูมิภาค

คงไม่ต้องไปอธิบายถึงความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครอง (แดง)กับผู้ปกครอง (เหลือง) ว่าเกิดจากการแย่งอำนาจและผลประโยชน์อย่างไร

แต่ถ้าไปถามมวลชนเจตนาประชาธิปไตย “แต่ละฝ่าย” ที่รวมตัวกัน โค่นรัฐบาลเผด็จการให้เหลืองโค่นรัฐบาลเผด็จการเหลืองให้แดงว่า
เชื่อหรือไม่ว่า “ผู้นำมวลชน” ที่พวกเขายอมตัวเป็นเบี้ยทางการเมืองให้นั้น สามารถนำพาคนไทยทั้งมวลไปสู่สังคมประชาธิปไตยตามที่พวกเขาต้องการได้?

คำตอบคือ “ไม่รู้” และ “ไม่แน่ใจ”
พวกเขารู้อย่างเดียวว่าต้องโค่นรัฐบาลฝ่ายที่พวกเขาถูกชี้นำให้เชื่อว่า “เลวร้าย” ลงไปก่อน
บางคนถึงกับยอม “เซ็นเช็คเปล่า” ให้ผู้ที่สัญญาว่าจะปฏิรูป (ที่เขาไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร) “ไปกรอกอำนาจอธิปไตยกันเอง”

ส่วนมวลชนหลัง กลัวว่าทหารซึ่งเคยเป็นเครื่องมือของเผด็จการที่อยู่ในที่มืด จะทำการรัฐประหาร ยอมออกมาประกันการเลือกตั้ง ทั้งๆที่รู้ดีว่าการเลือกตั้งนั้นนำมาซึ่งอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยหรืออำนาจอธิปไตยทุนผูกขาดแท้ๆ
มวลชนแรกก็ไม่ผิด มวลชนหลังก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก ไม่ถูกที่ไม่เข้าใจว่าทั้งเหลืองทั้งแดงก็ล้วนแต่เป็นเผด็จการที่ต้องสลัดทิ้งทั้งคู่!

2.ทำลายสิ่งผิดลงแล้วต้องสถาปนาสิ่งถูกขึ้นมาด้วย
ในการแก้ไขปัญหาใดๆในโลกก็คือ “การลำลายสิ่งผิดลง” “สถาปนาสิ่งถูกขึ้น” สถาปนาสิ่งถูกแล้วยังไม่พอยังต้องรักษาสิ่งถูกนั้นให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนอีกต่างหาก (1.ทำลาย 2.สร้าง 3.รักษา)
เหตุแห่งทุกข์ของคนทั้งประเทศคือระบอบแบบเผด็จการ (Dictatorial Regime) ดังนั้นมวลชนประชาธิปไตยจึง

1.ต้องทำลายระบอบแบบเผด็จการลง ไม่ว่าระบอบเผด็จการเหล่านั้นจะเป็นระบอบเผด็จการที่ใช้สีแดง สีเหลืองหรือสีอะไรเป็นสัญลักษณ์ก็ตาม
2.ทำลาย “ระบอบ” “เผด็จการ” ลงได้แล้ว ก็ต้องสถาปนา “การปกครอง” “แบบประชาธิปไตย” (Democratic Government) ขึ้นมา “ทดแทน” “การปกครองแบบเผด็จการ” และ
3.มีมาตรการวิธีการที่จะรักษาการปกครองแบบประชาธิปไตยเอาไว้
4.สร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย (ทั้งในสังคมและในครอบครัว) ให้ระบบทั้งระบบเป็นระบบประชาธิปไตย ปัญหาชาติอันเกิดจากระบอบเผด็จการจึงจะคลี่คลายและหายไป
ปราบวัชพืชลงแล้ว ถ้าไม่ปลูกข้าว คนไทยทุกคนจะได้ข้าวมากินได้อย่างไร!
ถ้าเราไม่สลัด “ความเห็นผิด” ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ “เป็นของกู” แล้วเอา “ความเห็นถูก” ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ “เป็นของคนทุกคน” (และสรรพสัตว์) ลงเสียแล้ว
เราจะเข้าถึงความจริงแท้ได้อย่างไร!

3.ไม่หลุดออกจากวงจรอุบาทว์
“เหตุแห่งปัญหาชาติ” ไม่ได้อยู่ที่ “รัฐบาล” (Cabinet) โดด เพราะรัฐบาลเป็นเพียง “ร่างทรง” ของ “อำนาจอธิปไตย” หรือ “ระบอบ” (Regime) ที่เป็น “นามธรรม”  
แต่การที่ “ระบอบ” หรือ “อำนาจ” (อธิปไตย) เป็น “นามธรรม” (Abstract) จึงทำให้คนทั่วไป “เห็นได้ยาก” เมื่อเห็นได้ยาก “ประชาชนคนทุกข์” จึงมุ่งแต่จะ ไป ขจัด “รัฐบาล” (ไม่ว่าจะใช้มวลชน Uprising หรือการ Coup d’etat โดยทหาร) ซึ่งเป็นร่างทรง โดยไม่ขจัดระบอบหลายต่อหลายครั้ง และเมื่อไม่ขจัดระบอบ (เพราะไม่รู้ว่าระบอบคืออะไร) ท้ายสุดก็ต้องหันกลับไป “พึ่งพา” “การเลือกตั้ง” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เหล้าเก่าในขวดใหม่” ตามที่นักตำราการไร้เดียงสา นักการเมืองเผด็จการเหลืองแดง “ชี้นำ” ว่า..
การเลือกตั้งคือประชาธิปไตยไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย! (ทั้งๆที่การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการประชาธิปไตยเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองวิธีหนึ่งเท่านั้น)
จนหลุดออกไปจาก “วงจรอุบาทว์ของการปกครองแบบเผด็จการ” ไม่ได้!

4.หลุดออกจากวงจรอุบาทว์
ก่อนอื่นต้องความหมายที่แท้จริงของคำว่าประชาธิปไตย (ประชา+อำนาจอธิปไตย) เสียก่อนว่า คืออำนาจอธิปไตยปวงชนเท่านั้น ส่วนเรื่องความเสมอภาค เสรีภาพบริบูรณ์ และการปกครองจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นอีก 3 หลักนั้นจะเกิดขึ้นมาทีหลัง หลังจากการสถาปนา “อำนาจอธิปไตยปวงชน” แล้ว

ดังนั้นถ้าเรา “ผู้ถูกปกครอง” ที่ถือหางทั้งเหลือง-แดงและไม่ถือหางทั้งเหลืองและแดง “ไม่เข้าใจ” ใน
1. Concept ของคำว่าประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
2.ไม่เข้าใจขั้นตอนการสร้างประชาธิปไตยว่า โค่นระบอบ (Regime) แล้วยังไม่พอ ยังต้องสถาปนาการปกครอง (Government) ด้วย สร้างการปกครองแล้วยังไม่พอ ยังต้องสร้างระบบประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและการใช้ชีวิตด้วยแล้ว เราก็ไม่มีทางได้สังคมประชาธิปไตยในอุดมคติตามที่เราหวังได้เลย ไม่ว่าเราจะมีความปรารถนาในประชาธิปไตยด้วยการทุ่มแรงกายแรงใจมากมายเพียงใด “ฆ่า” “คน” ที่เรา “เข้าใจผิด” ว่าเป็น “เหตุแห่งปัญหา” (ทั้งๆที่ระบอบซึ่งเป็นนามธรรมต่างหากที่เป็นปัญหา) ตายไปมากมายเพียงไหนก็ตาม

การยึดติดในตัวกูของกูไม่สามารถทำให้เรา “หลุดพ้น” ไปจากวงจร “ปฏิจจสมุปบาททางจิต” ได้ฉันใด อวิชชาทางการเมือง (หลงผิดคิดไปว่าเผด็จการฝ่ายเหลืองเผด็จการฝ่ายแดงคือสรณะ ติดรัฐธรรมนูญว่าเป็นประชาธิปไตย ติดการเลือกตั้งว่าเป็นประชาธิปไตย และติดว่าใครเห็นต่างกับตนไม่ได้ต้องทำลายลง) ก็ทำให้เราไม่สามารถหลุดออกไปจากวงจรปฏิจจสมุปบาททางการเมืองได้ฉันนั้น!

5.ไม่ว่าใครจะเป็นสีใด ทุกคนคือพี่น้องเรา
ความขัดแย้งระหว่าง1.เผด็จการกับเผด็จการ 2.ประชาชนกับระบอบเผด็จการและ 3.ประชาชนประชาธิปไตยเหลืองกับมวลชนประชาธิปไตยแดง ที่ “จำแนก” กันออกมาตาม “จุดยืน” “ทัศนะ” และ “มรรควิธี” และภายใต้การปั่นจิ้งหรีดของนายทาสเพื่อให้ประชาชนจงเกลียดจงชังกันและกัน และความเห็นผิดว่า “คนคือปัญหา” ไม่ใช่ “ระบอบคือปัญหา” นั่นแหละ ซึ่งนำมาซึ่งการ “ชี้หน้า” “ด่ากันเอง” !
การชี้หน้ากล่าวหาซึ่งกันและกันอย่าง “อวิชชา” นั้นแหละที่ทำให้มวลชนแต่ละฝ่าย เกิดความ “เครียด” สะสม ไม่ต่างอะไรกับการ “กินยาพิษ” ทางอารมณ์เข้าไปทุกวันๆ ยิ่งได้เสพสื่อที่มีทัศนะเดียวกันบ่อยๆครั้ง ก็จะทำให้คนเหล่านั้น “เสพติด” ยาเสพติดทางอารมณ์ ที่ไม่แตกต่างอะไรกับ “คนติดยาเสพติด” ที่เป็นวัตถุที่..
“ใครเห็นต่างไม่ได้” นั่นเอง
ได้เสพข่าว (สี) ฝ่ายเดียว ซ้ำไปซ้ำมาบ่อยๆครั้งด้วยแล้ว นอกจากจะทำให้ผู้เสพ “งมงาย” จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ยังไปเพิ่มความ “กระเหี้ยนกระหือรือ” ของคนเสพในอันที่จะไป “ขจัด”  “คนอื่น” ที่ “มีความเห็นต่าง” ทั้งๆที่ “คนเห็นต่าง” นั้นก็คือคนที่เป็นญาติพี่น้องกับเรา มีเลือดสีเดียวกันกับเราและมีความต้องการสังคมอุดมคติเหมือนกันกับเรานั่นเอง!
การที่มวลมหาประชาชนในสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงแต่ละฝ่าย ต่างเอา “ฝ่ายที่ตนไม่ชอบ” เป็น “จำเลย”  เห็นฝ่ายซีกเดียวกับตนเป็น “โจทย์” ที่ชอบธรรม (ทั้งๆที่มีความปรารถนาในประชาธิปไตยเดียวกัน) อย่าง “สุดขั้ว” ย่อมนำมาซึ่งการ “ฆ่ากัน” ชนิด “เลือดนองแผ่นดิน” ด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าประเทศใดในโลก เมื่อเป็นดังนี้แล้ว....
เรายังจะมาฆ่ากันอีกทำไม?

6.แก้ไขปัญหาอย่างสันติ
ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า..เราจะแก้ปัญหาความขัดแย้งในชาติของเราอย่างสันติได้อย่างไร?
คำตอบคือ “ทุกฝ่าย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่สนับสนุนเผด็จการทั้งสองต้อง
1. “ดวงตาเห็นตรงตามความเป็นจริง” ว่า “เหตุแห่งทุกข์” ของชาติอยู่ที่. “ระบอบ”  ไม่ใช่ที่ “คน” หรือ “รัฐบาล” (ซึ่งเป็นเพียงตัวแสดงของระบอบเผด็จการ ประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์) เห็นแล้วก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเมื่อกำจัดระบอบเผด็จการลงไปแล้ว ก็ยังจะไป “เลือกตั้งไม่ได้” เพราะถ้าเลือกตั้ง (ในระบอบเผด็จการ) อีกเราก็ได้ “อำนาจอธิปไตยเก่าในขวดใหม่” เหมือนเดิม และ
2. จะปฏิรูปตามสุเทพก็ไม่ได้ ที่ไม่ได้ก็เพราะสิ่งที่สุเทพและคณะเสนอขึ้นมาเช่นสภาประชาชนที่ให้ประชาชนเซ็นเช็คเปล่าให้สุเทพไปกรอกอำนาจเอาเองก็ดี เลือกตั้งผู้ว่า (เพื่อให้ได้มาเฟียแต่ละจังหวัดขึ้นมาเป็นผู้ว่า และนำมาซึ่งการแบ่งแยกราชอาณาจักร) ก็ดี
ล้วนแต่ไม่ตอบโจทย์ด้วยกันทั้งคู่!
3.ที่เราประชาชนทุกคนต้องร่วมกันทำขึ้น นอกจากจะ “ทำลาย” “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย”ซึ่งเป็น “เหตุแห่งปัญหาชาติ” ลง แล้วเรายังจำเป็นต้อง “สถาปนาอำนาจอธิปไตยปวงชน” ขึ้น เพื่อเป็นหลักประกันความเสมอภาค เสรีภาพ ของประชาชนอีกด้วย และเพื่อเป้นการเปลี่ยนผ่านอำนาจอธิปไตยนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องสถาปนา “การปกครองเฉพาะกาล” ขึ้นก่อน เพื่อใช้การปกครองเฉพาะกาลนั้นไป “เปลี่ยนผ่าน” “การปกครองแบบเผด็จการ” ให้เป็น “การปกครองแบบประชาธิปไตย” ได้อย่างไม่มีอุปสรรค

ในการตัดชุดสากล เราต้องตัดชุดสากลให้เข้ากับรูปร่างของคนแต่ละคนแต่ละชาติอย่างไร การสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย เราก็ต้องประยุกต์ประชาธิปไตยให้เข้ากับสังคมไทยฉันนั้น
ดังนั้น ในการสร้างประชาธิปไตยของคนไทยจึงต้องเข้าใจในเรื่องนี้ให้อย่างถ่องแท้ หลังจากนั้นเราจึงจะเอา “การเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นหลักสุดท้ายของหลักประชาธิปไตยขึ้นมาทำ (แต่เลือกตั้งครั้งหลังจะเป็นการเลือกตั้งภายใต้อำนาจอธิปไตยปวงชน (ระบอบประชาธิปไตย) ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ “แตกต่าง” ไปจาก “การเลือกตั้ง” ภายใต้อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย (เผด็จการ) อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
และเมื่อ “เข้าใจถูก” ตาม “หลักวิชา” เช่นนี้แล้ว เราก็เอา “ความเข้าใจถูก” ของ “มวลมหาประชาชน” มา.“ร้อยเรียง” “ความคิดถูก” เข้าด้วยกันจนเป็น “เอกภาพ” (แบบแม่เหล็กเรียงโมเลกุลของผงเหล็ก) แล้วเอา “เอกภาพของความเห็นถูก” ที่มีพลัง (แบบแม่เหล็ก) นั่นแหละไป.. “แก้” “เหตุแห่งทุกข์” คือ “ระบอบผิด” (เผด็จการ)ให้เป็น “ระบอบถูก” (ประชาธิปไตย) สร้างการปกครองผิด (Dictatorial Government) ให้เป็นการปกครองถูก (Democratic Government) เพื่อนำไปสู่ “ระบบประชาธิปไตย (Democratic System) ก็จะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาชาติและมวลมนุษยชาติได้อย่างสันติและยั่งยืน
แต่ถ้าเราเข้าใจผิด โค่นรัฐบาล (Cabinet) ของระบอบเผด็จการ (ซึ่งเป็นเงื่อนไขสงคราม) กันไปกันมาแบบอวิชชา โดยไม่ต่อยอดไปถึงสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย (Democratic Government) หันไปเลือกตั้งในระบอบเดิมก็เท่ากับว่า

มวลชนนั่นแหละที่ไปหมุนวงจรอุบาทว์ทางการเมืองให้หมุนอยู่ต่อไป.แบบเรานั่นแหละที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา!
พระพุทธเจ้าไม่ได้ฆ่าองคุลีมาร (ที่เป็นคนหรือรูปธรรม) แต่พระพุทธเจ้าฆ่า “มิจฉาทิฐิ” ขององคุลีมารที่เป็นนามธรรม (Abstract) ลง แล้วสถาปนา “สัมมาทิฐิ” (นามธรรม) ในจิตขององคุลีมารขึ้นใหม่ไม่ใช่หรือ จึงทำให้องคุลีมารนอกจากจะไม่ฆ่าคนแล้ว ยังกลายเป็น “อรหันต์” ที่ยังประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ชาติอีกต่างหาก!

7.รู้จักสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง
สถานการณ์ที่คนในชาติต้องการการมีชีวิตที่ดีกว่า ด้วยการ “เปลี่ยนระบอบ” จากระบอบเผด็จการให้เป็นระบอบประชาธิปไตย (ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) อย่างยิ่งยวดในขณะนี้ ทางวิชาการทางการเมืองเรียกสถานการณ์นี้ว่า    “สถานการณ์ปฏิวัติ (Revolution) กระแสสูง”

สถานการณ์นี้เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย” ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนนายทุนและชนชั้นสูงไม่ว่าจะเหลือง แดงหรือสีใดๆ เมื่อเข้ามาใช้อำนาจในการปกครองประเทศแล้ว ก็ล้วนแต่ใช้อำนาจเหล่านั้น ไป “แสวงหากำไร” หากินบนหยาดเหงื่อแรงงานที่ทุกข์ยากของราษฎรอย่างไม่แบ่งปันจนเกิดความไม่เสมอภาคขึ้นอย่างรุนแรงในสังคมจนถึงขั้น
1.ประชาชนไม่ยอมรับการปกครอง
2.ผู้ปกครองปกครองไม่ได้ (ไม่ว่าเหลืองแดงหรือสีใด)
3.ประชาชนล้าหลังตื่นตัว เพราะเศรษฐกิจชาติพังพินาศจึงไขว่คว้าทางออก (แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในเวลานี้) ท้ายสุดก็เกิดการรวมตัวทางการเมืองขึ้นทั้งที่อยู่ภายใต้มิจฉาทิฐิและสัมมาทิฐิ ส่วนที่เป็นสัมมาทิฐิจะนำมาสู่
4.ในส่วนที่เป็นมิจฉาทิฐิจะทำลายตัวเองลงไป ส่วนที่เป็นสัมมาทิฐิก็จะนำมาสู่การเป็นพรรคปฏิวัติที่เข้มแข็ง นำพาประชาชนไปสู่สังคม Developing Country เพื่อนำไปสู่ Developed Country ในท้ายที่สุด

8.บ่อเกิดของระบอบเผด็จการยุคใหม่ 
ระบอบเผด็จการยุคใหม่เกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและเกิดระบบทุนนิยม นายทุนระยะแรกจะไม่ผูกขาด แต่ครั้นสั่งสมทุนไปนานเข้า กดขี่และขูดรีดมากเข้าจนเป็นทุนผูกขาด ทุนผูกขาดเหล่านั้นก็แยกย้ายกันเข้าไปร่วมหรือไม่ก็ไปโค่นการปกครองเก่าลง หลังจากนั้นก็ใช้อำนาจทางการเมืองที่ตนถือครองมาเอาไป “กดขี่ขูดรีดแรงงาน” และ “ขจัดคู่แข่งทางการค้า” ของตนลง จนนำมาซึ่ง 1.การต่อสู้ของประชาชน (Civil War) และ 2.Conflict of Interest ระหว่าง “ทุนผูกขาด” กับ “ทุนผูกขาด” เพื่อแย่งอำนาจรัฐกัน (ดังที่เกิดซ้อนกันในเมืองไทยเวลานี้)
โดยมี “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” VS “เลือกตั้งเพื่อมาปฏิรูป” เป็นหัวข้อของความขัดแย้งแบบผิดๆ (ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาชาติได้ทั้งคู่) ในเวลานี้ 
โดยบรรษัทค้าการเมือง “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” กับบรรษัทค้าการเมือง “เลือกตั้งเพื่อปฏิรูป ต่างก็ไป “ปั่นจิ้งหรีด” มวลชนที่ “ต้องการประชาธิปไตย” มาเป็น “เบี้ยชีวิต” ในการ “โค่นคู่ต่อสู้” เพื่อเหยียบศพคนตายของทั้งคู่ขึ้นมาครองอำนาจ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการต่อสู้ระหว่าง “เผด็จการกับเผด็จการ” จะนำมาสู่ความทุกข์ยากของมวลชนทั้งชาติก็จริง แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็น “มุมกลับ” ที่ทำให้
อำนาจเผด็จการของทั้งสอง “ทรุดลง”  “ผกผัน” กับการเติบโตทางการเมืองของประชาชนในอันที่จะนำไปสู่การปกครอง ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
นับเป็น “โอกาสในวิกฤติ” ของประชาชนโดยแท้!

9.อำนาจอธิปไตยเป็นของชนชั้นใดก็ให้ประโยชน์แก่ชนชั้นนั้น

 “ชนชั้นใดร่างกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น”

“อำนาจอธิปไตยเป็นของชนชั้นใดก็ให้ประโยชน์แก่ชนชั้นนั้น”

ประเทศไทยแม้ว่าอำนาจอธิปไตยมาจากการเลือกตั้งทั่วไปก็จริง แต่อำนาจอธิปไตยเหลือง-แดงที่ผ่านมาและยังคงดำรงอยู่ ก็ล้วนแต่เป็น “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย” (ทุนผูกขาดหรือตัวแทนทุนผูกขาด) ทั้งสิ้น

อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยย่อมเอื้อประโยชน์ให้แก่คนส่วนน้อยเป็นอิทัปปจยตา คนยากคนจนแม้จะมีความต้องการที่จะเข้าไปสะท้อนปัญหาของกลุ่มผลประโยชน์ของพวกตนในองค์กรอำนาจอธิปไตย คนเหล่านั้นก็ไม่มีทางผ่านด่าน “พรรค” ที่เป็นศูนย์กลางของทุนผูกขาดไปได้ แม้คนที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนอย่างกว้างขวางก็จริง กว่าที่จะก้าวเข้าสู่ประตูการเมืองของพรรคได้ เขาก็ต้องถูกคัดแล้วคัดอีก ครั้นจับพลัดจับผลูได้รับเลือกตั้งเข้าไป ถ้าไม่เข้าไปสังกัด “มุ้ง” ของก๊วนการเมืองก๊วนใดก๊วนหนึ่งที่รวมตัวกันต่อรองเรื่องตำแหน่งและผลประโยชน์ในพรรค (ต้องยกมือโหวตในสภาตามคำสั่งของหัวหน้าก๊วนเพื่อที่จะได้มีอำนาจต่อรองในพรรคเสมอไป) ส.ส.คนนั้นก็จะถูกโดดเดี่ยวไม่ให้มีบทบาททางการเมืองไป
ผลของการปกครองโดยอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย เพื่อคนส่วนน้อย โดยคนส่วนน้อยไม่ว่าเหลือง,แดงหรือสีใดย่อมไปทำให้ราษฎร “มือสั้น” จนลงๆทุกๆวัน เพราะถูก “ทุนใหญ่” ที่มี “ส่วนได้ส่วนเสีย” จากการปกครองทั้งลับและแจ้ง ใช้ “ทุน”และองค์ความรู้ในเรื่อง “การบริหารจัดการ” ที่ “เหนือกว่า” ทำลายลง (ตามกฎหมาย)

ผลของการล่มสลายของคนยากจนและนำมาซึ่งสองมาตรฐานในสังคมนั่นเอง ที่เป็นสาเหตุว่าทำไม การต่อสู้ของเหลืองVSแดง จึงมีประชาชนผู้สูญเสียและประชาชนผู้รักความเป็นธรรมหนุนช่วยอยู่ทั้ง 2 ฝ่าย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเหลืองและแดงที่วันนี้ “อยู่ได้” ก็เพราะมวลชนประชาธิปไตยที่ ต่างจุดยืน ต่างทัศนะและต่างมรรควิธี “หนุนช่วย” อยู่นั่นเอง (ในขบวนเหลือง ขบวนแดงก็มีความต่างในจุดยืน ทัศนะและมรรควิธีที่นำมาซึ่ง “ความต่างเฉด” ในสีเดียวกันและแตกแยกกันอยู่ในที)

                ดังนั้น ถ้าเราไม่ขจัด “เงื่อนไขสงคราม” คือระบอบเผด็จการที่เป็นปฐมเหตุแห่งความยากจนและ Double Standard ในสังคมลง แล้วสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นเพื่อเฉลี่ยรายได้แห่งชาติและความเสมอภาคให้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมแล้ว ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ระหว่าง “กลุ่มทุนเก่า” กับ  “ทุนใหม่” ”และ “สงครามประชาชน”ก็ไม่มีทางยุติลงได้ ไม่ว่าจะหาวิธีใดๆมา “กลบเกลื่อน” ปัญหา ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือการกดดันด้วยมวลชนเพื่อให้เกิดการปฏิรูป (โดยไม่ปฏิวัติประชาธิปไตย) ก็ตาม

การแก้ปัญหาใดๆในโลกก็ไม่สามารถแก้ได้ด้วยเจตนาดี เพราะเจตนาเป็นเพียงแค่ความต้องการที่เป็นนามธรรม การแก้ไขจึงต้องอาศัยรูปธรรมในการแสดงนั่นคือต้องมี “มรรค” หรือ “แนวทาง” ในอันที่จะนำไปสู่นิโรธหรือความดับทุกข์ แต่มรรคหรือแนวทางดังกล่าวก็ต้องเป็น “สัมมามรรค” หรือมรรคที่ตั้งอยู่บนหลักวิชาด้วย จึงจะนำพาประชาชนและชาติบ้านเมืองไปสู่สังคมอารยะหรือสังคมนิพพานได้
วันนี้มวลชนแต่ละฝ่าย “โค่นรัฐบาลเหลืองให้แดง” “โค่นรัฐบาลแดงให้เหลือง” โดยหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่า โค่นแล้ว..
ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นตรงไหน!
โค่นแล้วคนรวยก็รวยมากขึ้น คนจนก็จนลงไม่ว่ารัฐบาลที่ผ่านมาจนปัจจุบันจะสีอะไร โค่นแล้วอาชญากรรมก็ยังเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่อย่างนี้หรือ?
เราได้ประชาธิปไตยกันจริงหรือ?
ทั้งสองแนวทางแก้ปัญหาชาติได้ตรงไหน?
และถ้าปล่อยให้ประชาชนแสวงหาทางออกกันอย่างไม่รู้วิชาอย่างนี้
เลือดจะท่วมบ้านท่วมเมืองอย่างไร?

10.เราจะสร้างประชาธิปไตยกันอย่างไร
คำตอบเบื้องต้นก็คือต้อง “ยุติบทบาทของพรรคเหลืองและพรรคแดง “สารก่อปัญหา” “ความขัดแย้ง” ในชาติ ลงไปก่อน ยุติบทบาทของทั้งคู่ลงได้แล้ว ก็ต้องตั้ง “รัฐบาลเฉพาะกาล” (Provisional Government) ขึ้น เพื่อทำการ “เปลี่ยนผ่านการปกครอง” จากเผด็จการให้เป็นประชาธิปไตย (อำนาจอธิปไตยของปวงชน) เสีย ปัญหาต่างๆก็จะหมดไป

อำนาจอธิปไตยปวงชนมาจากไหน? 
ก่อนอื่นผู้ที่เข้าไปแก้ไขปัญหาต้องเข้าใจ “โครงสร้าง” ของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ “งำ” โลกทั้งใบเอาไว้เสียก่อนว่า โครงสร้างนี้ประกอบไปด้วยนายทุนและกรรมกรที่หลากหลาย (อาชีพ) ระบอบเผด็จการนั้นอำนาจอธิปไตยเป็นของชนชั้นนายทุนแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่มีกรรมกรซึ่งเป็นอีกชนชั้นหนึ่งเข้าไปคานอำนาจด้วยมันจึงทำให้อำนาจและผลประโยชน์ตกไปอยู่กับนายทุนผูกขาดแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นรัฐบาลเฉพาะกาลที่กำเนิดขึ้นในอนาคต จึงมีความจำเป็นต้องเอา “ตัวแทนอาชีพ” ที่ประกอบส่วนด้วยฝ่าย “ทุน” และฝ่าย “กรรมกร” เข้ามาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรพร้อมๆกับผู้แทนเขต (จังหวัดต่างๆ) อย่างสมดุลกันอย่างลงตัว

การที่ต้องให้มีผู้แทนสาขาอาชีพทั้ง “ฝ่ายทุนและฝ่ายกรรมกร” มาบวกกับ “ผู้แทนเขต” ไปด้วย ก็เพื่อให้คนต่างอาชีพและต่างเขตที่มีวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันคานอำนาจ กระจายรายได้และให้คุณค่าแก่ชนทุกชั้น ทุกอาชีและทุกวัฒนธรรมความเป้นอยู่อย่างรอบด้านนั่นเอง

 รัฐบาลเฉพาะกาลมาจากไหน
1.มาจากประมุขแต่งตั้งก็ได้ หรือ
2.จะมาจากพรรคปฏิวัติที่เข้ามาควบคุมอำนาจอธิปไตยไว้ในกำมือก็ได้

ถ้าประมุขทำก็สันติ ถ้าประชาชนทำก็รุนแรง ปัญหาว่าในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ คนไทยจะเลือกเอาวิธีไหน?
วันนี้มีแนวโน้มว่าการแก้ไขปัญหาของผู้มีอำนาจที่ “ไม่มีดวงตาเห็นธรรม” กำลังจะไปทำ Caretaker Government หรือรัฐบาลรักษาการ (แบบรัฐบาล พล.อ. สุรยุทธ จุฬานนท์หรือรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์) เพราะผู้มีอำนาจไม่ต้องการเปลี่ยนระบอบหรือต้องการการเปลี่ยนระบอบแต่ทำไม่เป็น แทนที่จะทำ Provisional Government ตามหลักวิชาการ “แก้ทุกข์” ด้วยการ “ขจัดเหตุแห่งทุกข์” (คือระบอบเผด็จการ) ของพระพุทธเจ้ากลับไป “เพิ่มเหตุแห่งทุกข์” ซ้ำซ้อนขึ้น ซึ่งจะทำให้ความขัดแย้ง “บานปลาย” มากขึ้นอีกแบบเดียวกับพวก Constitutionalism กระทำมาในอดีต

ในทางหลักวิชาทางการเมือง การรัฐประหารด้วยกำลังทหารหรือการ Uprising ของมวลชน (ด้วยการหลอกของเผด็จการเหลืองหรือแดงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง) แล้วมาตั้ง Caretaker Government แบบ พล.อ.สุรยุทธ จุฬานนท์หรือสัญญา ธรรมศักดิ์ขึ้น โดยไม่เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยให้เป็นอำนาจอธิปไตยปวงชน สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยตามมาก็ย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองอันเกิดจากอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยได้ เพราะมันเป็นเพียงแค่การ “แย่งอำนาจ” กันไปพลางและเพื่อการผลักภาระความขัดแย้งไปสู่ประชาชนไปพลาง เพื่อลด “แรงกดดัน” ของประชาชนที่มีต่อระบอบเผด็จการของพวกเขานั่นเอง

วันนี้ หลายคนเรียกร้องรัฐบาลแห่งชาติ รัฐบาลสามัคคีธรรมแห่งชาติแบบไม่รู้วิชา!
ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาแบบ
ลิงแก้แห!

11.สื่อในสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงควรทำอย่างไร
จุดมุ่งหมายในการทำงานของบุคคลากรในองค์กรสื่อสารมวลชนมีจุดมุ่งหมายซ้อนกันอยู่ 2 ประการก็คือ
1.เพื่อการให้ได้มาซึ่ง “ผลกำไร” ของธุรกิจการสื่อ กับ
2.ใช้ไปช่วยแก้ไขปัญหาชาติ
วันนี้ชาติบ้านเมืองกำลังประสบปัญหาและส่งผลมาถึงธุรกิจทุกๆธุรกิจในชาติรวมทั้ง “ธุรกิจการสื่อ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาร่วมก็เหมือนกับไฟไหม้บ้านร่วมกันทุกคน และไฟก็ไม่เว้นหรอกว่าในบ้านหลังนั้นมีใครที่เก่งกว่าใครหรือใครเป็นอรหันต์มากกว่าใคร  
ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนที่อยู่ในบ้านที่ไฟกำลังไหม้ “ต้องกระทำร่วมกัน” ก่อนสิ่งอื่นใดก็คือ การช่วยกัน “ดับไฟ” ที่กำลังไหม้ “สมบัติร่วม”ชิ้นนี้

การดับทุกข์ต้องดับที่เหตุฉันใด การดับไฟที่กำลังไหม้ชาติก็ต้องดับที่เหตุแห่งทุกข์ฉันนั้น ก็ในเมื่อปฐมบทหรือเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้คือระบอบเผด็จการแล้ว ทำไม่สื่อจึงไม่ช่วยกัน “ชี้นำความคิดถูก” ให้ประชาชนที่กำลังตื่นตระหนกกับไฟที่ไหม้บ้านไหม้เมือง เข้ามาร่วมในการแก้ไขปัญหาชาติอย่างถูกหลักวิชา ซึ่งก็คือการยุติระบอบเผด็จการ ยุติการปกครองแบบเผด็จการ ยุติระบบเผด็จการ แล้ว สร้างระบอบประชาธิปไตย สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย สร้างระบบประชาธิปไตยขึ้น เพื่อคนไทยทุกคนได้กินดีอยู่ดี มีความเสมอภาคและเสรีภาพอย่างแท้จริง

นั่นเป็นเพียงวิธีการเดียวที่ “สื่อ” ในระยะ “เปลี่ยนผ่าน” ทางการเมืองกระทำได้ โดยไม่ต้องรอให้เกิดการฆ่ากันตายเป็นแสนเป็นล้านอย่างการปฏิวัติตามประเทศต่างๆในโลก

ทำไมเราจึงไม่ฉวยโอกาสเข้าไปช่วยประชาชาชนเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อความไพบูลย์ของชาติเหมือนกับสื่อหลายๆสื่อที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชาติบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยในโลกในอดีตกันเล่า

นี่เป็นโอกาสเดียวในหลายร้อยปีที่สื่อจะมีโอกาสเป็น ฐานันดรดีที่ 4
อย่าหลงไปเป็นเครื่องมือให้เผด็จการเหลือง เผด็จการแดงกันอยู่เลย เพราะนอกจากจะไม่ใช่ทางออกของชาติแล้ว ยังเป็นการไปช่วยเผด็จการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้สลับกันเข้ามา "ประกอบอาชญากรรม” ต่อทุกคนในชาติของเราเองอีกต่างหาก


จำลอง บุญสอง
chamlongboonsong@gmail.com

จำลอง บุญสอง
chamlongboonsong@gmail.com  
094 483 4740
จำลอง บุญสอง chamlongboonsong@gmail.com 094 483 4740

ผัวเมียตีกัน?

March 7, 2014 จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair

นั่งดูสถานการณ์ในสาธารณรัฐยูเครนสักพัก เราก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมสถานการณ์ไทยจึงไม่เป็นที่สนใจและเข้าใจของผู้คนในระดับโลกถึงขนาดนั้น วิกฤติการณ์ยูเครนขณะนี้กลายเป็นการวิวาทระหว่างยุโรป สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐรัสเซียไปแล้ว ถึงจะเป็นสงครามคำพูด แต่ก็ทำท่าจะลุกลามเป็นสงครามร้อนขนาดเข้าสัประยุทธ์กันได้ทุกขณะ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ มีจุดเริ่มต้นที่คล้ายคลึงชนิดตคู่มากับวิกฤติการณ์การเมืองของไทย ฝ่ายค้านยูเครนเคลื่อนตัวประท้วง (อดีต) ประธานาธิบดียานุโควิชในเวลาใกล้เคียงเป็นอย่างมากกับการออกอาละวาดของม็อบเส้นใหญ่อย่าง กปปส. และเครือข่าย ข่าวโลกในตอนนั้นเสนอภาพการประท้วงในยูเครนและประเทศไทยคู่กันอยู่เป็นสัปดาห์ ผลัดกันเป็นที่หนึ่งที่สองกันอย่างน่าดูชม จนแทบไม่รู้ว่าฉากต่อไปของใครจะร้อนแรงยิ่งกว่า แต่ปรากฏว่า จู่ๆ ข่าวของไทยก็หายวับไปจากจอเรดาร์ของโลก เหลือแต่ช่องเอเชียอย่าง Channel News Asia ของสิงคโปร์ที่มักกัดข่าวร้ายของเพื่อนบ้านอย่างชนิดไม่ยอมปล่อย เราแปลกใจก็เพราะว่าสถานการณ์ไทยไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย มิหนำซ้ำยังเสี่ยงต่อการปะทะกันของมวลชนสองฝ่ายและการรัฐประหาร โดยมีประเด็นการสืบราชสันตติวงศ์ในอนาคตอยู่ในฉากหลังอีกต่างหาก แต่ข่าวไทยกลับหายไปราวกับเหตุการณ์ทั้งหมดกลับดีขึ้นแล้ว จนโลกอาจจะเข้าใจผิดได้ เรื่องแบบนี้น่านำมาขบคิดว่าบทเรียนของเราคืออะไร

ผมขอเสนอสมมติฐานหนึ่งว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกรณียูเครน ซึ่งดูจะเป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ทุกคนมองเห็นและยอมรับปัญหา หรือเป็น legitimate issue / conflict แต่กรณีของไทยกลับมีลักษณะคล้ายกับประเด็นที่ภาษากฎหมายสากลเขาเรียกว่า domestic violence หรือความรุนแรงในครอบครัว เช่น สามีภรรยาทำร้ายกันและกัน พ่อหรือแม่ทำร้ายลูกเพราะอาการทางจิต อารมณ์ทดแทน หรือเพราะบันดาลโทสะ เป็นต้น ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมมนุษย์ในอดีตเคยกำหนดใจไว้ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเป็น “เรื่องผัวเมียตีกัน” หรือสอนกันแม้กระทั่งว่า อย่าไปยุ่งกับเรื่องของผัวเมีย พอเขาดีกันเราก็กลายเป็น “หมาหัวเน่า” เหล่านี้เป็นต้น ผลจากการเพิกเฉยก็คือบางครอบครัวทำร้ายกันจนกระทั่งบาดเจ็บล้มตายกันไป ภรรยาตาย สามีตาย ลูกตาย ญาติพี่น้องตาย หรือบางครั้งก็บาดเจ็บพิการทางกายและทางใจกันไปตลอดชีวิต โดยสังคมก็ยืนกรานว่าตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้ มาไม่นานปีนี้เองที่มีการรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนทัศนะในเรื่องนี้ ผู้เคลื่อนไหวในระดับโลก แสดงความปรารถนาให้สังคมยอมรับว่าความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องของสังคมรอบข้างด้วย มิฉะนั้นเราก็นั่งเฉยนอนเฉยให้มนุษย์ถูกทำร้ายได้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผลก็คือความรุนแรงในครอบครัวลดลงมาก ในหลายสังคมก็พัฒนากลไกในการรองรับปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น เรื่องนี้ที่คล้ายคลึงกับกรณีที่เราเผชิญอยู่ในระดับโลก คู่ขัดแย้งของไทยทั้งฝ่ายอำมาตย์ศักดินาและฝ่ายประชาธิปไตย ต่างช่วยกันสื่อสารว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสังคมโลก จนโลกเผลอมองไปว่าเป็นเรื่องของคนไทยเขาตีกันและเขาคงไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้ 

โดยส่วนตัว ผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นยุทธศาสตร์ที่อ่อนแอของฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอด โลกส่วนรวมเขาต่างก็สนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตย ต่างจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรืออำมาตย์ศักดินา ที่ต้องการปิดหูปิดตาทุกคน ถึงขั้นคิดปิดประเทศเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อความชั่วของฝ่ายตนเองโผล่พ้นน้ำ และปิดไม่มิดอีกต่อไป ฝ่ายประชาธิปไตยไทย ต้องโหมรณรงค์ส่งเสริมให้โลกเพิ่มความสนใจ เข้ามาใส่ใจ และทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของเรา ให้มากที่สุดและถ่องแท้ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การพบกลุ่มต่างๆ ระหว่างประเทศจึงเป็นภารกิจที่จำเป็นของฝ่ายประชาธิปไตย พม่าปฏิรูปมาได้ขนาดนี้ ก็เพราะเขาสานความสัมพันธ์กับรัฐบาลประชาธิปไตยและกลุ่มประชาธิปไตยต่างๆ ของโลกตะวันตกอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ไม่ใช่ว่าเขาจะได้ความสนับสนุนหรือความเข้าใจขึ้นมาเองดื้อๆ 

ปัญหาการนำของฝ่ายเราคือมักจะเชื่อว่าการเจรจาต่อรองจะช่วยให้เราหาทางออกได้ในบั้นปลายเสมอ สิ่งนี้เป็นมิจฉาทิฐิที่ทำให้เรายังไม่ชนะจนบัดนี้ ทั้งๆ ที่เรามีเสียงข้างมากในประเทศล้อมกรอบคณะโจรเสียงข้างน้อย (แต่มีอิทธิพลมาก) อยู่
ผมเสนอว่า เราเลิกหวังอะไรจากเป้าหมายเดียวและเข้าร่วมในวิธีการสู้รบในเกมข้อมูลข่าวสารในระดับโลกได้แล้ว ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป แต่ควรรู้ว่าทุกๆ นาทีที่ผ่านไปคือความเสียโอกาสที่ไม่จำเป็นเลย.