เพลงฉ่อยชาววัง

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

วาทะกรรม"เผาบ้าน เผาเมือง"

คนเผา เผาเป็นโขยง นปช. 2 คนนี้เผาซะที่ไหน แล้วคนสั่งเผาแมร่งไม่โดน หลักฐานไม่เพียงพอ 2 คนนี้แพะหรือเปล่า ศาลก็ยกฟ้องสิ คนเขียนสำนวนฟ้อง เขียนให้อ่อน และเอาแพะมาขึ้นศาล แล้วอย่าคิดนะ ว่า การยกฟ้อง 2 นปช.นี้ เสื้อแดงจะพ้นมลทิน เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง ไปได้ จะได้รับการกร่นด่าจนประวัติศาสตร์จารึกตลอดไปว่ามีคนไทย เผาบ้านเมืองตัวเอง https://www.thairath.co.th/content/334728 แล้ว คดีมือปืนป๊อปคอร์น หลักฐานอ่อนนะ พี่คนนั้นแพะหรือเปล่าด้วยและ เขาเข้ามาเพื่อปกป้อง มวลชนให้พ้นจากอันตราย ที่ โกตี๋ บุกเข้ามา ที่ แยกหลักสี่ หน้า IT SQUARE น่าจะยกฟ้องเช่นเดียวกัน


กรณีเผา หลักฐานมันอ่อนเกินไปที่จะระบุตัวคนเผา เพราะเวลาฟ้องเขาต้องชี้ว่าใครเป็นใคร แต่ไม่ได้หมายความว่าระบุว่ากลุ่มไหนมันอยู่ในบริเวณนั้นเวลานั้น ข้อเท็จจริง กลุ่มที่อยู่เวลานั้นคือเสื้อแดง เล่นวาทะกรรม ศาลยกฟ้อง ทั้งที่ไม่ดูที่มา พอศาลฟ้องก็ด่าศาล ไม่มีใครเกินคนกลุ่มนี้จริงๆ




https://www.youtube.com/watch?v=7-jpyIOfOXM






เหล่าทัพที่ 4 .. จริงหรือ??

เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงใจ

จากสมัยจอมพลถนอม กาลล่วงมาจนบัดนี้ วันที่เชื่อกันว่า ตำรวจคือเหล่าทัพที่4 ตำรวจทุกๆท่าน คุณคงรู้แล้วใช่มั้ยครับว่า ทหาร เค้าคิดกับคุณยังไง?? เค้าเห็นคุณเป็นเหล่าทัพที่4หรือไม่?? 

ผมเขียนเรื่องนี้ไม่ได้หวังให้ตำรวจ/ทหาร แตกแยกกันจากความเป็นพี่น้อง ...ใช่ครับ วันที่เรียนด้วยกันมา เราคือพี่น้อง แต่พอเราโตขึ้นไปเรื่อยๆ ..ความเป็นพี่น้องยังอยู่ดีหรือไม่?? ผมเขียนเรื่องนี้เพราะผมเห็น ผมสัมผัสได้ รับรู้ได้ถึง กลิ่นการเหยียดหยาม กลิ่นการถือยศ ถือศักดิ์ กลิ่นความหลงททนงตน..ของทหารไดโนเสาร์หลายๆตัว..จากเหตุผล จากรากแนวคิดจากการให้สัมภาษณ์ และจากการแสดงออกของเค้า..ที่มีต่อ สตช.

จาก ศอ.รส สู่ ศรส. ที่แล้วๆมา ส่วนใหญ่นายกฯจะใหญ่สุดแล้วตามมาด้วยผบ.เหล่าทัพในอัตราจอมพลทั้งหลาย..ไล่มาถึงพลเอกธรรมดา ..ตำรวจก็รองๆลงไปตามลำดับ มองภาพลักษณ์ของ ศอ.รส.หรือ ศรส.ที่แล้วๆมา นั่นคือทหารเป็นหลัก..เพื่อดูแลสถานการณ์ฉุกเฉินในบ้านเมือง 

จริงๆแล่้ว ทั้ง ศอ.รส.หรือ ศรส. มันก็คือ กอ.รมน.นี่แหล่ะ โครงสร้างคล้ายๆกัน อำนาจหน้าที่คล้ายๆกัน..ทหารเค้ายึดติดกับภาพนั้น ภาพ กอ.รมน.ที่กองทัพเป็นใหญ่ รองลงมาจากนายกรัฐมนตรี

ตัดภาพกลับมาในห้วงปัจจุบัน .. กองทัพไม่เคยโทษตัวเองเลยว่าทำไม นายกฯถึงลดบทบาทของกองทัพ พยายามไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยว ไม่ให้อำนาจกองทัพ สำหรับการมี ศอ.รส.และ ศรส...

คำตอบง่ายๆว่าทำไม??คืิอ..นายกฯเค้าไม่ไว้ใจพวกมึงไง๊!!! จากท่าทีที่กลับไปกลับมา พูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง ให้สัญญาอย่าง แต่กลับทำอีกอย่าง ภาษาชาวบ้านเค้าเรียก กองทัพตอแหล ภาษาผู้ดีหน่อยเค้าเรียกกองทัพตระบัดสัตย์ ภาษานักเลงเค้าเรียก กองทัพหักหลัง..

เมื่อนายกฯตั้ง ศอ.รส.และให้มีตำรวจคุม มีตำรวจ ที่วากันว่าเป็นหล่าทัพที่4 เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก กองทัพเหมือนถูกเฉดหัวออกจากงานความมั่นคง ซึ่งแบบนี้ถ้าเป็นเมืองนอก เค้ามองกันว่า *ถูกลดบทบาท* เรื่องนี้ทำให้ทหารผู้ใหญ่ทั้งหลาย โกรธมาก บางคนอินหนักถึงขั้นคลั่งแค้นนายกฯหญิง ที่ทำเหมือนตบหน้าทหาร ..จริงๆนี่คือการถีบหน้าตะหาก ไม่ใช่ตบ ..!!เพราะมึงไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเธอก่อน..

นายกฯหญิงคนนี้ ไม่กลัวกองทัพ ไม่กลัวเทวดาไหนๆ เหมือนกับนายกฯ26คนที่ผ่านมา ..แม้นแต่ทักษิณเองก็ตาม.. เพราะถ้ากลัว วันนี้ท่านคงยกธงไปแล้ว ท่านคงเผ่นไปแล้ว.. จำคำเขียนผมไว้นะครับผู้อ่านทุกๆท่าน!! .

" ทหารโกรธ เหล่าเทวดาโกรธ ไม่ใช่เพราะนายกฯปูคิดต่อสู้.. แต่ที่เค้าโกรธ เพราะท่านนายกฯปู ไม่เคยกลัวพวกเค้าสักนิด นิดเดียวก็ไม่มี " 

นี่คือสิ่งที่ *แสดงความถดถอยและเสื่อมลง*ของอำนาจเก่าพันปี ที่มีที่เชื่อกันมาแต่โบราณว่า..สูงสุดและอยู่คู่ประเทศนี้ตลอดกาล เหนือทุกๆเหตุผล 

การพร้อมใจกัน สนธิกำลังทุกๆด้านที่ตนเองคุมได้ สั่งได้ จึงบีบท่านนายกฯผู้ท้าทาย พร้อมๆกันทุกด้าน ในแบบที่เราเห็นๆกัน.. นายกฯคนอื่นๆที่ผ่านๆมาไม่เคยเจอกองทัพสวรรค์แบบนี้มาก่อน..ภาษาชาวบ้านเค้าเรียก *รุม* ภาษาทหารเค้าเรียก *สนธิกำลัง* รุมขนาดนี้..แต่วินาทีนี้ ท่านนายกฯหญิงคนนี้ เธอกก็ยังคงอยู่ได้.. ด้วยหลักอะไรทุกๆท่านทราบมั้ยครับ?? 

*หลักแห่งประมุขศิลป์*ครับ นักเรียนเตรียมทหาร นักเรียนนายร้อยทุกคน ต้องรู้ดีกว่าใครในเรื่องนี้..เพราะเรียนกันมาทุกคน..แต่วันนี้พวกมึงลืมกันหมดแล้ว..ว่ากำลังต่อสู่อยู่กับมือที่มึงมองเห็น และมือนี้ใช้ตำราเล่มเดียวกับมึง ในการรับมือมึง..!!โดยแท้ แบบไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย..พวกมึงวิตกจริตกันไปเองทั้งสิ้น..ว่านายกฯคนนี้ใช้มหาอำนาจนอกประเทศเข้ามายุ่งเกี่ยงเรื่องภายใน..

จะเตือนทหารพวกยศน้อยๆไม่ถึงนายพล เอาไว้นะ..ปกติ ปลัดกลาโหม คืออัตราจอมพลทหารบกอยู่แล้ว แต่การอวยให้เป็น จอมพลเรือ จอมพลอากาศ กลายเป็นอัตราจอมพล3เหล่าทัพ แบบนอกฤดูกาลเช่นนี้.. นัยคืออะไร..นายพลทุกคนในกองทัพรู้ดี..มีแต่พวกที่คิดไม่ถึง คิดไม่ลึก คิดไม่ทัน เท่านั้นที่นึกไม่ออก และมองว่านี่เรื่องปกติ..

นี่ยามไม่สงบ..เป็นยามไม่ปกติของบ้านเมือง ในทางปฏิบัตปกติเค้าจะไม่อวยยศกันนะ .. 

วันไหนเกิดรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมา.. พวกแกจะรู้ว่า.อัตราจอมพลคนนี้ จะมีค่าควรเมืองแค่ไหน..!!! 

ปล.ผู้หญิงในภาพนี้ เธอเกิดมาเพื่อสร้างศักราชแห่งประชา โดยแท้..ใครมองไม่เห็นก็แล้วแต่..แต่กู!!และอีกหลายคน เยอะแยะที่ผ่านงานต่างประเทศมาจนเจนจบกระบวนยุทธ์..มองเห็นกันทุกคน..

วันนี้เราจึงเลือกที่จะอยู่ข้างเธอ ช่วยเธอรบ..!!กับอำนาจงี่เง่านอกระบบที่กดหัวเรามานานแสนนาน ฉุดรั้งหลอกลวงผู้คนในประเทศมานานแสนนาน..!!

เปิดสคริปต์ "ดร.สมเีกียรติ" เผยความลับ "ทักษิณ" ผ่านหนังสือ "CONVERSATIONS WITH THAKSIN"

"แผนปูทางกลับบ้าน -จาบจ้วงสถาบันฯ -มุมมองมุสลิม-สนับสนุนทุนเสื้อแดง" ทำไมคนไทย อ่านแล้ว ต้องเกลียด "ทักษิณ" ?

สวัสดีมวลมหาประชาชนที่รักและเคารพครับ

เมื่อกี้เพิ่งได้กอดกำนันสุเทพ

เพิ่งได้กอดกำนันสุเทพ จริงๆ

ผมไม่เคยเจอหน้ากำนันเทพมาก่อนเลย
ไม่เคยพบกันที่ไหน
ไม่เคยคุยกันเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

3 เดือนที่ผ่านมาก็ไม่เคยแม้แต่จะโทรศัพท์คุยกัน

ได้กอดกำนันกับเขาบ้างก็เป็นบุญแล้วสำหรับลูกบ้านหน้าใหม่อย่างผม

จะให้หอมแก้มเหมือนที่คนกรุงเทพหลายคนได้หอม ผมก็เกรงใจ
กลัวจะชอบกำนันมากเกินไป

ท่านทั้งหลายครับ คนเราหาก จะรัก-จะชอบ กัน ก็ไม่ควร รักกัน-ชอบกัน จนหมดสิ้นครบ 100% ควรจะเว้นระยะห่างไว้บ้างพอประมาณ หากรักกันมากเกินไปก็จะไม่กล้าถกเถียงท้วงติง
รักกันมากใกล้ชิดกันมากจนเกินไป ก็อาจจะไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์กัน
ผมจึงขอรักกำนันสุเทพแบบมีระยะห่าง
ขอพื้นที่ไว้ตำหนิวิพากษ์กำนันสุเทพบ้าง ในบางเรื่อง-เวลาที่ผมเห็นว่าต้องทำ

ผมจะไม่ทุ่มเทความรักให้กับชายใดจนหมดตัว
โดยเฉพาะชายแก่ๆอย่างกำนันสุเทพ

คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ในรอบสองเดือนที่ผ่านมาได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ติชมมากมายหลากหลาย ผมเองก็วิหากษ์วิจารณ์อยู่เสมอจากระยะไกล เหมือนกับท่านมวลมหาประชาชนทั้งหลาย รวมทั้งประชาชนที่แม้จะเห็นด้วยกับเหตุผลและหลักการพื้นฐานในการล้มระบอบทักษิณ และให้ปฏิรูปประเทศไทยก่อนการเลือกตั้ง แต่ก็ยังคงมีเรื่องที่ไม่เห็นพ้องกับกระบวนงานของกปปส.และกำนันสุเทพ อยู่บ้างในบางเรื่องปลีกย่อย
และผมก็พอใจที่กำนันสุเทพรับฟังและปรับวิธีทำงานของท่าน ของ กปปส. เรื่อยมาอย่างไม่รั้งรอ เคารพในเหตุผลของผู้ท้วงติง จนถึงวันนี้

แสดงว่ากำนันสุเทพเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง
รับฟังเสียงของประชาชนทุกฝ่ายทุกคน

ในอีกไม่นาน เมื่อเราสามารถล้มระบอบทักษิณได้สำเร็จ
หากว่าเกิดประชาธิปไตยในแบบควรจะสมบูรณ์
แต่กลับไม่สมบูรณ์ขึ้นมาตามที่กำนันสุเทพวาดหวังไว้
กลายเป็นประชาธิปไตย ระบอบสุเทพที่ไม่สมบูรณ์ขึ้นมาในอนาคต

มวลมหาประชาชนก็ต้องสามารถ ล้มระบอบสุเทพได้

นั่นคือประชาธิปไตยที่เราคาดหวังสำหรับประเทศไทยในอนาคต
และนี่คือสังคมประชาธิปไตยที่เรากำลังช่วยกันสร้างกับกำนันสุเทพ และ กปปส.

เข้าเดือนที่ 3 ของการต่อสู้ของท่านทั้งหลายเพื่อล้มระบอบทักษิณ

ซึ่งก็จะต้องเริ่มต้นด้วยการขอให้รัฐบาลอันไม่ชอบธรรมของนาวสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกไป เพราะคุณยิ่งลักษณ์เป็นเพียงคนที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนและผู้รับคำสั่งจาก พตท.ทักษิณ ชินวัตร ให้รับปฏิบัติงานสร้างระบอบทักษิณให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในทศวรรษที่ 2

เรื่องนี้คุณทักษิณไม่เคยปกปิดเป็นความลับแต่อย่างใด
เพียงแต่ว่าคนที่รู้จักหรือมีความสัมพันธ์กับคุณทักษิณอย่างใกล้ชิดจะไม่ยอมออกมาเปิดเผยกระบวนความคิดและเบื้องหลังการทำงานของคุณทักษิณ ให้สาธารณชนได้รับรู้โดยตรงเท่านั้น

[สนทนากับทักษิณ ที่ Dubai]

เมื่อเดือนธันวาคม ปี พ.ศ.2553 ที่บ้านพักเขต Emirates Hills ชานนคร Dubai ประเทศสหรัฐ Arab Emirates คุณทักษิณได้สนทนากับนักเขียนและนักวิชาการชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ Tom Plate เป็นการสัมภาษณ์ 4 รอบ รอบละ 2 ชั่วโมง และคุยกันที่ร้านอาหารบนอาคารสูง Burj Khalifa อีก 1 ครั้ง

ต่อมาอีกครึ่งปี ในกลางปี 2554 มีการสนทนารอบที่ 6 ทั้งหมดนี้ Tom Plate ยังได้ติดต่อคุณทักษิณฯผ่าน E-mail เป็นระยะๆ, โทรศัพท์คุยกันอีก 2 ครั้ง ระหว่าง Tom Plate ที่ Los Angeles กับ คุณทักษิณฯที่ Dubai

บทสนทนาทั้งหมดนี้กลายมาเป็นหนังสือชื่อ CONVERSATIONS WITH THAKSIN พิมพ์จำหน่ายที่สิงคโปร์ ในปี 2554

ในหนังสือเล่มนี้ คุณทักษิณพูดความจริงจากหัวใจอย่างเสรี โดยไม่ระมัดระวังคำพูด
แต่ความจริงจากหัวใจของคุณทักษิณที่ว่านั้นทำให้คนไทยรู้จักระบอบทักษิณดีขึ้น ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณทักษิณ

คุณทักษิณที่ผมรู้จักดีว่าเป็น คนจริงและเป็น คนเก่ง

คุณทักษิณเป็นคน....ประเทศชาติจริง 

และเป็นคน..เก่งจริงๆ
(ดร.สมเกียรติ ระบุบนเวทีว่า คนไทยที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว จะต้องรู้สึกเกลียดและชิงชั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้น) 

ดังที่คุณทักษิณจะเล่าให้ฟังด้วยตัวเองดังต่อไปนี้:

หนังสือ CONVERSATIONS WITH THAKSIN หรือ สนทนากับทักษิณวางขายที่เมืองไทยได้ไม่กี่วันก็ถูกเก็บออกจากร้านหนังสือจนเกลี้ยง แล้วหายวับไปจากตลาด คนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ซื้ออ่านกันโดยตรง ผมต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ และซื้อมาหลายสิบเล่ม ไว้แจกเพื่อนๆและผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพ ผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่งบอกผมว่าหากโทรศัพท์ไปสั่งที่สำนักพิมพ์ที่สิงคโปร์เขาก็จะสั่งให้ร้านที่กรุงเทพเอามอร์ตอร์ไซค์ไปส่งถึงบ้าน

ปัจจุบันนี้ท่านสามารถชื่อได้ผ่าน internet ในระบบหนังสือ digital book download แล้ว พอหาซื้อได้จากร้านหนังสือทาง Internet บางแห่งในอังกฤษ

เอาเป็นว่าหนังสือ CONVERSATIONS WITH THAKSIN นี้ไม่มีวางขายในประเทศไทย ขึ้นไปที่ร้าน Asia Books และ Kinokuniya ที่ Siam Center และ Siam Paragon ข้างบนโน้น ก็จะไม่มีขาย

สำนักพิมพ์มติชน เจ้าของลิทธิ์หนังสือชุด CONVERSATIONS WITH ….ใครต่อใครในเอเชียนี้ ก็ไม่ยอมแปลขาย ทั้งที่แปลเรื่องอื่นขายแล้ว

เล่ม 1 CONVERSATIONS WITH LEE KUAN YEW ก็แปลขายแล้ว
เล่ม 2 CONVERSATIONS WITH DR. MAHATHIR MOHAMMAD ก็แปลขายแล้ว
เล่ม 3 CONVERSATIONS WITH THAKSIN มติชนไม่ยอมแปลขาย
เล่ม 4 CONVERSATIONS WITH BAN KI MOON มติชนก็อุตส่าห์ก็แปลขายแล้ว
ใครเป็นคนสั่งห้ามไม่ให้ขายผมไม่ทราบ
แต่ คุณ นพดล ปัทมะ เคยแถลงว่าเป็นหนังสือน่าอ่าน
และมีให้อ่านที่ห้องสมุดพรรคเพื่อไทย ในกรุงเทพ

ข้อความในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นข้อความที่คุณทักษิณเผลอพูดเองแบบตั้งใจ
และที่คุณทักษิณพูดทั้งหมดเป็นอันตรายต่อคุณทักษิณเอง

เพราะใครได้อ่านก็จะโกรธความคิดอันร้ายกาจของคุณทักษิณ

ใครที่เคยชิงขังคุณทักษิณ ก็จะกลายเป็น เกลียดชังมากขึ้น

ใครที่เคยชอบคุณทักษิณก็จะได้สติ เริ่มชิงชังคุณทักษิณ หรืออาจจะกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณทักษิณ และระบอบทักษิณทันทีที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ

ผมเองอ่านจบหลายรอบแล้ว

เนื่องจากสำนักพิมพ์มติชนเข้าของลิขสิทธิ์ ไม่ยอมแปลขาย

วันนี้ผมก็ขอแปลเสียเอง

ขอแปลแจก ต่อท่านมวลมหาประชาชน ณ เวทีปทุมวัน และทุกเวทีมวลมหาประชาชนทั่วประเทศ 

[หนังสือ Conversations with Thaksin / สนทนา กับ ทักษิณ By Tom Plate]


ปัญหาใหญ่ปัญหาแรกของคำพูดของคุณทักษิณในหนังสือเล่มนี้ คือปัญหาเรื่องการพูดพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นเรื่องที่คุณทักษิณไม่เคยหยุดไม่เคยหลบหลีกที่จะพูดหรือตอบคำถาม และทุกครั้งที่ถูกถามคุณทักษิณก็จะตอบตามที่ใจคิด
คุณทักษิณยินดีที่จะพูดพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ตามที่อยากพูดโดยไม่รั้งรอหรือหยุดคิดให้ถ่องแท้

Tom Plate ในฐานะผู้เขียนก็เอาทั้งหมดมาพิจารณา ปรับแก้ ตัดแต่ง และตัดทอน ให้เหลือเท่าที่ปรากฏในหนังสือ ลงพิมพ์เฉพาะเนื้อหาที่ Tom Plate คิดว่าจะปลอดภัยจากข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วจึงลงพิมพ์เฉพาะส่วนของบทสนทนาที่ปรับแต่งแล้วจะปลอดภัยเท่านั้น

ส่วนที่เหลือจะเก็บไว้เผื่อมีการพิมพ์ครั้งที่สองในโอกาสที่เหมาะสมในอนาคต

หนังสือเล่มนี้ คุณสุรนันท์ เวชชาชีวะ ก็เป็นผู้ร่วมมือช่วยเหลือ Tom Plate อย่างเต็มที่ คุณสุรนันท์ ช่วยแปลเอกสารสิ่งพิมพ์ส่วนที่เกี่ยวกับบทให้สัมภาษณ์ของคุณทักษิณอีกด้วย

ต่อไปนี้เป็นบางตอนจากหนังสือ …..
Conversations with Thaksin หรือ สนทนากับทักษิณ

ตลอดเล่มของหนังสือเรื่องนี้ คุณทักษิณบอกว่าต้องการกลับประเทศไทย แต่ต้องกลับแบบมีเกียรติ กลับแบบพ้นความผิดทั้งปวง และหวังว่าเมื่อให้น้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรีตัวแทนให้แล้ว คาดว่าน้องสาวจะจัดการให้คุณทักษิณได้กลับประเทศไทยโดยเร็วภายใน 12 เดือนแรกที่คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี

คุณทักษิณบอกไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า:

Thaksin: “พวกเขากลัวผม ไม่ไว้ใจผมว่าจะไม่ตามไปล้างแค้น แต่ผมไม่ตามไปล้างแค้นหรอก
แม้ว่าผมไม่ได้อยู่ในเมืองไทย พวกเขาก็ยังไม่ต้องการให้ผมกลับไปเมืองไทย เพราะเขารู้ว่าเขาแข่งกับผมตรงๆก็สู้ผมไม่ได้ ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องว่าผมจะกลับไปอย่างไร การกลับประเทศไทยของผมต้องไปอย่างมีเกียรติ ผมจะต้องคอยจังหวะที่เหมาะสม 
อาจเป็นตอนปลายปี 2554 … เดือนธันวาคม

“They’re afraid of me, they don’t trust that I’m not out for revenge. But I’m not out for revenge.”
“Even when I am not in Thailand they don’t want me to go back. Because they know they cannot compete directly. So it’s the question of the way I go back. My return must be in a gracious way. And so I have to wait for the right moment. It may be at the end of this year [2011] … in December.”
“No witch-hunt. I think forgiveness is the key. I mean it.”
“I want to forgive and make the whole country forgive each other. Because, if you don’t forgive, you cannot reconcile your country. You cannot be one nation anymore.”


Thaksin: “แน่นอน ผมต้องการกลับประเทศไทย
“I definitely want to return.”

Tom Plate ถามคุณทักษิณว่า:
Tom: “แต่ถ้าคุณจะกลับไป จำเป็นไหมที่คุณจะต้องกลับไปเป็นนายกรัฐมนตรี? คุณจะกลับไปเป็นรัฐมนตรีที่ปรึกษาอาวุโสให้กับนายกรัฐมนตรีแบบที่นายลีกวนยูของสิงคโปร์เคยเป็นอยู่หลายปีได้ไหม?”
“But if you do go back, do you have to be prime minister? Could you go back as minister-mentor, like Lee Kuan Yew of Singapore used to be for years?”

คุณทักษิณตอบว่า:
Thaksin: “ผมไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรทั้งนั้น
“I don’t have to be anything.”

Tom: “คุณจะกลับไปเป็นแบบโซเนีย คานธี มีอำนาจอยู่เบื้องหลังเก้าอี้นายก รัฐมนตรีอินเดียได้ไหม?
“Could you go back as Sonia Gandhi? The power behind the throne of
India?”

Thaksin: “ผมไม่จำเป็นเลยที่จะเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ยกตัวอย่างหน่อยว่าถ้าพระมหากษัตริย์จะทรงมีพระเมตตามากพอที่จะแต่งตั้งให้ผมเป็นที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผมก็สามารถที่จะทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีเงินมากขึ้น ดังนั้นถ้าทางสำนักพระราชวังแต่งตั้งให้ผมได้รับตำแหน่งอะไรในวังก็ได้ มันก็จะทำให้ผมไปยุ่งกับการเมืองไม่ได้ ตำแหน่งในวังแบบนั้นจะมีผลบังคับให้ผมไม่อาจเล่นการเมืองได้
“I do not need to involve myself in politics. For example, if the monarchy were kind enough to appoint me as an advisor to the Crown Property. I can help Crown Property do better financially. So, if I were appointed to any position by the Palace, I cannot be involved in politics. That kind of appointment would have the effect of forcing me not to get involved in politics.”


Tom: “ถ้าอย่างนั้นคุณก็อาจรับตำแหน่งที่แต่งตั้งโดยพระราชสำนักใช่ไหม?”
“So you might accept the Palace appointment?”

Thaksin: “ใช่ครับ แต่ผมไม่อยากได้ตำแหน่งองคมนตรี [ในประเทศไทยตำแหน่งนี้สำคัญมาก] ผมไม่ต้องการทะเยอทะยานถึงขนาดนั้น ผมต้องการเพียงพิสูจน์ว่าผมเป็นประโยชน์ต่อประเทศของผม และ ประชาชนของผมเมื่อผมได้กลับไป แน่นอนว่าผมควรจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
“Yes. But I don’t want to have a Privy Councilor position [in Thailand a very important posting]. I don’t want to be anything that is ambitious. I just want to prove that I don’t mind being anything, but I want to prove that I am beneficial to my country and my people… When I go back, definitely, I should be appointed something to be beneficial for the country and the people.”

เมื่อ Tom Plate ผู้สัมภาษณ์พาคุณทักษิณเข้าสู่การสนทนาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ได้แล้ว ไม่ต้องถามเพิ่มเติม คุณทักษิณก็พูดเสริมโยงใยไปถึงเรื่องที่ติดค้างในใจของตนเองออกมาอย่างละเอียด:

Thaksin: “อืมม์ เมืองไทยมันเป็นอย่างนี้ เจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่ายทหาร ใครต่อใคร … [ไม่ทำอะไร] กันเลยจนกว่าจะได้รับสัญญาณ แม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่เราพยายามจะขอประกันตัวพวกผู้นำคนเสื้อแดงของเราให้พ้นจากการถูกคุมขัง เราไปคุยกับผู้พพิพากษาหลายคน และเราขอความเมตตาจากท่าน ขอให้ปล่อยตัวพวกเรา นี่มันไม่ใช่เรื่องการเมือง คุณก็คงรู้ ตามรัฐธรรมนูญของเรา รัฐบาลลควรจะให้ประกันตัวอาชญากรทุกคน เพราะมันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ยกเว้นในบางกรณีเป็นการเฉพาะ ดังนั้นพวกเราต้องการปกป้องสิทธิ์ของพวกเขา แต่คณะผู้พิพากษาก็ไม่ยอมให้ประกันตัวคนเสื้อแดง พอเราถามผู้พิพากษาคนหนึ่งว่าทำไมจึงไม่ให้ประกันตัว ผู้พิพากษาคนหนึ่งบอกว่า ไม่มีสัญญาณเราก็เลยบอกว่า ท่านเป็นผู้พิพากษาจริงๆหรือเปล่าล่ะ?’ ผู้พิพากษาถูกจ้างให้มาทำหน้าที่พิพากษา ไม่ใช่ให้มารอดูสัญญาณ ใช่ไหม? แต่ผู้พิพากษาคนนั้นก็บอกกับเราว่า ผมยังไม่ได้รับสัญญาณเลยดังนั้นมันก็ดูเหมือนกับว่าทุกคนเอาแต่รอดูสัญญาณ
“Well, you know in Thailand, the government officials, the military … they … [don’t do] anything until they get a signal. Even during the effort recently to bail our arrested Red Shirt leaders out of jail, we talked to the judges, and we asked for leniencies … to let them out, you know. This is not a political thing. By our Constitution the government is supposed to grant bail for every criminal because it’s their duty to grant bail, except in certain circumstances, and so we wanted to protect their rights, but the judges would not allow bail for the Red Shirts. And when we asked a judge why, the judge said, ‘There is no signal.’ And we said ‘Are you the judge or not?’ The judge has been hired to judge, not to look for signals, right? But the judge says to us, ‘I got no signal.’ So it looks like everyone is just waiting for signals.”


คุณทักษิณก็ไม่ยอมพูดให้ชัดว่า สัญญาณอะไร? มาจากใคร? ที่ไหน?” ปล่อยให้เป็นเรื่องกำกวมให้คาดเดากันต่อไป แต่ที่สับสนก็คือคุณทักษิณเอารัฐบาลมาปนกับศาล บอกว่าเป็นหน้าที่รัฐบาลแต่กลับไปคุยกับศาลแล้วโทษศาลว่าไม่ทำตามที่รัฐบาลบอกว่าควรทำ เป็นความสับสนของคุณทักษิณในความไม่รู้เรื่องรัฐธรรมนูญ และไม่เข้าใจว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายบริหาร แต่ศาลเป็ยฝ่ายอำนาจยุติธรรม อำนาจอธิปไตยทั้งสองที่แยกกันมานานกว่า 70 ปีแล้ว ส่วนเรื่องการประกันตัวผู้ต้องหาก็ไม่เคยมีกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลสั่งศาลให้ประกันตัวใครได้ ยิ่งเป็น อาชญากรด้วยแล้ว ศาลเองก็ไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ที่จะต้องให้ประกันตัว อาชญากรโดยอัตโนมัติ

เรื่องการแบ่งแยกอำนาจ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ นี้เป็นหัวใจของ
“The Spirit of the Laws” งานนิติศาสตร์ปรัชญาวรรณกรรมของ Montesquieu ที่คุณทักษิณชอบอ้างเป็นเสมือนคัมภีร์บริหารประเทศตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรี

วันนี้คุณทักษิณไม่อ่าน Montesquieu อีกแล้ว
อ่านแต่ ตาดูดาว เท้าติดดินฉบับดั้งเดิมที่ยังไม่แก้ไขคำผิดที่ผมอ่านพบ

คราวนี้ Tom Plate ถามแรงมาก ผมไม่นึกว่าคุณทักษิณจะตอบ
ผมไม่คิดว่าคุณทักษิณควรตอบ ถ้าหากคุณทักษิณมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์:

Tom : “ใครบ้างที่พอจะกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีแห่งประเทศไทยได้? พระสันตะปาปาหรือ? อัลเลาะห์ได้ไหม? พระพุทธเจ้าล่ะจะพอได้ไหม? พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีจะทรงรับฟังใครบ้าง?”
“Who can talk to the King and Queen of Thailand? The Pope? Allah? Buddha? Whom do they listen to?”

คำถามของ Tom หนัก เอียง และ แรงเหลือหลาย 

คุณทักษิณไม่ท้วง หรือต่อว่าวิธีตั้งคำถามของ Tom ย้อนกลับไปเลย ราวกับว่าทั้งคุณทักษิณและทอมพูดภาษา สัญญาณเดียวกัน:

Thaksin: “ผมว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเคารพความเห็นจากนานาประเทศ ดังนั้นถ้าหากมันเป็นความเห็นของชาวโลกว่าถึงเวลาแล้วที่เมืองไทยจะต้องปรองดองกัน และให้มีการกราบบังคมทูลปรึกษาหารือกับพระเจ้าอยู่หัวแล้วให้ความคิดบางอย่างกับพระองค์สักหน่อย ถ้าได้อย่างนั้นพระองค์ก็อาจกลับมาทรงคิดได้บ้างว่า เอาหล่ะ นี่เป็นทางออก ผมเชื่อว่านั่นคือทางออกในการแก้ปัญหา
“Well, His Majesty respects international opinion. So if it is world opinion that this is time for Thailand to reconcile, and there is consultation with His Majesty, and they give him some ideas, then His Majesty might come to think that okay, this is the solution. I do believe that that will be a solution.”

Tom ลากคุณทักษิณลงลึกมากขึ้น ติดกับดักแห่งคำถามนำของนักสัมภาษณ์ระดับนานาชาติสนิทแล้ว:

Tom: “… สมมุติว่าจะมีคนที่น่าเคารพสักคน --- เช่นนายบัน คี-มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ --- สมมุติว่าให้ท่านไปกรุงเทพฯ แล้วเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว โดยบอกว่า ความวุ่นวายและการนองเลือดทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นสิ่งไม่ดีสำหรับประเทศไทยเลย ทำไมจึงปรองดองกันไม่ได้?’ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงรับฟังไหม? พระองค์จะให้นายบัน คี-มูน เข้าเฝ้าไหม?”
“… Supposing someone of respect --- Ban Ki-moon, the United Nations
Secretary General --- supposing he were to go to Bangkok and to talk to the King, and say, ‘There has been all this turmoil and bloodshed, this is not good for Thailand. Why can’t there be reconciliation? Would the King listen? Would the King receive him?

Thaksin: “ผมว่าโดยตำแหน่งของนายบัน คี-มูน พระเจ้าอยู่หัวจะทรงต้อนรับท่านแน่ ตำแหน่งระดับสูงเช่นนั้นเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมในอันที่จะเป็นผู้นำระดับนานาชาติ เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุระดับอาวุโสมาก พระองค์ทรงเป็นประมุขของประเทศที่ทรงอาวุโสมากที่สุด
ครับ ผมว่ามันเป็นงานในหน้าที่ของนายบัน คี-มูน ที่จะต้องแสดงความเป็นผู้นำให้ปรากฏต่อสาธารณชน และแสดงตนให้สมกับเกียรติที่มี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการแทรกแซงจากต่างประเทศโดยสหประชาชาติ มันไม่ใช่แค่เรื่องกิจการภายประเทศเท่านั้น ปัญหาวุ่นวายนี้มันกระทบทั้งภูมิภาค แล้วยังกระทบอนาคตของประชาธิปไตยด้วย กระทบเรื่องสถานภาพสิทธิมนุษยชนอีกด้วย มันเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องทำเรื่องนี้

“I think that given Ban’s position, the King will welcome him. That kind of high-level position is the right position to provide international leadership because His Majesty is very senior. He is the most senior head of state.”

“Yes, It’s the job of Ban to express his leadership to express his leadership publicly and have it honored. This is not a matter of international intervention by the UN, it is not just an internal affair at all. This trouble affects the whole region, and really affect the future of democracy and affects the status of human rights. It’s his duty to do so.”

ทอมถามสวนทางขึ้นมาทันควัน ว่า ….
Tom:“หมายถึงใคร ที่คุณว่ามีหน้าที่จะต้องทำเรื่องนี้ คุณหมายถึงพระเจ้าอยู่หัวหรือ?
“Who, the King?

Thaksin: “ไม่ใช่ ผมหมายถึงนายบัน คี-มูน เป็นหน้าที่ของท่าน ท่านต้องทำ แต่ผมไม่รู้ว่าท่านจะกล้าทำไหม ท่านเป็นคนที่เหมาะสมแล้ว เพราะท่านเป็นคนที่มีหน้าที่รักษามาตรฐานระดับนานาชาติในเรื่องสิทธิมนุษยชน ตั้งคำถามในเรื่องอาชญากรรมสงคราม สนับสนุนศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ คุณก็รู้ว่าในที่สุดประเด็นต่างๆเหล่านี้ [เรื่องความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไทย] จะต้องไปสู่ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นยิ่งถ่วงเวลาออกไปนานเท่าใด…”
No, Ban Hi-moon’s. His duty. He must do it. But I don’t know that he has the courage to do it. He is the right person, because he is the one who upholds the the international standard of human rights, raises questions about war crimes, supports the International Criminal Court. You know, eventually these issues [of political violence in Thailand] will go to the ICC, regardless, so the more things are prolonged…”

Tom พูดแทรกเข้ามาว่า
Tom: The worse it is for Thailand.”
ก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นสำหรับประเทศไทย

Thaksin: “ใช่แล้ว แต่ผมเกรงว่าท่านคงจะไม่มีความกล้าหาญมากพอ
“Yes. But I am afraid that he doesn’t have the courage,”

Tom: “คุณหมายถึงใคร พระเจ้าอยู่หัวหรือ?
Who, the King?”

Thaksin: “ไม่ใช่! ผมหมายถึงนายบัน
“No! Ban.”


การพูดที่ออกมาจากใจจริงๆของคุณทักษิณนี้เองทำให้เรารู้จักตัวตนของคุณทักษิณที่แท้จริง และทำให้คุณทักษิณต้องรับภัยและรับผิดชอบการพูดและกระทำของตัวเอง

ว่ากันเฉพาะเรื่องการเมืองอื่นๆที่คุณทักษิณพาดพิงถึงในหนังสือ สนทนากับทักษิณ หรือ “Conversations with Thaksin” นี้ ก็ทำให้เห็นแผนการณ์ของระบอบทักษิณในประเทศไทยมากขึ้น ชัดเจนขึ้น

ตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับ:

พล เอก เปรม ติณสูลานนท์, ประธานองค์มนตรี
คุณทักษิณพูดว่า:
Thaksin: “ท่านเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาองค์มนตรีทั้งหมด ท่านมีบารมีถึงขนาดสามารถสั่งนายกรัฐมนตรีทั้งหลายให้ ทำโน่น อย่าทำนี่ได้เลย และท่านสามารถสั่งผู้บัญชาการทหารบกทหารอากาศว่าควร ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ตอนที่ผมเป็นรัฐบาล ก่อนที่ผมจะถูกโค่นอำนาจ ท่านก็อายุ 80 กว่าแล้ว ใส่เครื่องแบบหทารอันงดงามของท่านออกไปบรรยายตามสถาบันทหารต่างๆ โดยใช้คำเปรียบเปรยว่าให้คิดว่าสถาบันทหารนั้นเปรียบได้ดั่งม้า มาบอกไม่ต้องเชื่อฟังคนขี่ม้า นั่นถือเป็นการบอกใบ้ต่อเหล่าทหารทั้งหลายมิให้เชื่อฟังนายกรัฐมนตรี
“He’s the most powerful of all the Privy Councillors. He has the clout to tell prime ministers, ‘You do this, you do not do this.’ And he can talk to all the army and air force commanders and say, ‘You should do that, you should do this.’ Now, during my administration, before I was ousted, he, at 80-plus years old, wearing his splendid uniforms, goes to visit every military academy and gives lectures. In one of his lectures he used his metaphor: think of Thailand’s military establishment as a horse; horses don’t have to listen to their jockey. So that was the hint that he told the military, ‘Don’t listen to the prime minister.’”

คุณทักษิณเป็นคนชอบพูด ชอบตอบคำถาม
ถามอะไรมาก็ได้ แต่ชอบจะตอบตามที่ต้องการตอบ ไม่จำเป็นต้องตรงกับคำถาม

[ถาม มาเลย์ตอบ มุสลิม”]

Tom: “ลงไปทางใต้ของประเทศไทย, ที่มาเลเซีย อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเดร์เคยเขียนหนังสือที่โด่งดังเรื่องหนึ่งชื่อ “The Malay Dilemma” ในหนังสือเล่มนั้นท่านอ้างว่าปัญหาของคนมาเลย์ก็คือการที่เป็นคนไม่ทะเยอทะยาน ท่านบอกว่าชาวมาเลย์ไม่ชอบทำงานหนัก เขาชอบสนุกกับชีวิตมากเกินไป และคนมาเลย์ก็ไม่มีวันจะพัฒนาประเทศได้อย่างถูกต้องเหมาะสมด้วยวิถีชีวิตแบบนี้
“To Thailand’s south, in Malaysia, former PM Mahathir wrote a famous book in 1970 called The Malay dilemma, and in that book he claims the problem with the Malays is that they’re not ambitious. He says they don’t really want to work hard. They enjoy life too much, and Malaysia cannot get its country developed properly that way.”

Thaksin: “มันก็แบบเดียวกันกับพวกคนมุสลิมในภาคใต้ของไทย พวกมุสลิมก็เอาแต่ไปโรงเรียนสอนศาสนา พวกเขาไม่ต้องการไปเรียนหนังสือในโรงเรียนธรรมดา
และอย่างที่สอง บ่อยมากที่พวกสามีเป็นคนเกียจคร้าน พวกผู้ชายเอาแต่อยู่ในร้านน้ำชาทั้งวัน นั่งกินน้ำชากันไปวันๆ แล้วก็เล่นนกเขา นกแบบที่มีเสียงร้องได้นั่นแหละ พวกผู้หญิงในบ้านกลายเป็นฝ่ายออกไปทำงานกรีดยาง.
พวกผู้ชายไทยมุสลิมจำนวนมาก ไม่มีความทะเยอทะยานจะทำงานทำการอะไรเลย
“It’s the same with the Muslims in Thailand’s south. They go only to religious schools. They don’t want to go to normal schools. And, secondly, often the husband is very lazy. They want to stay all day in tea-houses, drinking tea, and then playing with the cuckoo bird, the one that can sing. It is the lady of the house who goes to work the rubber trees.”
“Many men have no ambition.”

เป็นคำวิจารณ์จากคุณทักษิณที่ดูแคลนชาวไทยมุสลิม ท้าทายความสงบในชีวิตของคุณทักษิณอีกวาระหนึ่ง ถ้า...หรือเมื่อ...คุณทักษิณกลับมาประเทศไทย


[ถามแดง ตอบเหลือง]

Tom: “คุณให้เงินสนับสนุนพวกเสื้อแดงบ้างหรือเปล่า? … คุณส่งเงินไปให้พวกแดงบ้างไหม?”
“have you been funding them?… Have you sent them money?”


Thaksin: “(ทักษิณถอนหายใจ): คุณรู้ไหมว่าไม่มีกฎหมายห้ามเรื่องบริจาคเงินให้กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ว่าส่วนใหญ่เขาก็ได้เงินบริจาคจากที่นี่บ้างที่โน่นบ้าง
(He sighs) “You know, there is no law prohibiting sending funds to any movement, but most of them they get donations from here and there.”

Tom: “จากที่ไหนล่ะ?”
From where?”

Thaksin: “จากที่นี่ ที่โน่น มีหลายคนสนับสนุนพวกเสื้อแดง รู้ไหม. แล้วพวกเสื้อเหลืองนั้นล่ะ มีพวกคนระดับสูง ผู้มีอำนาจ --- อำนาจเก่าระดับบน --- บริจาคให้ ให้เยอะด้วย บางที่ก็ให้กันอย่างเปิดเผย ที่อย่างนั้นทำไมไม่มีใครว่า พอเวลามาพูดถึงเงินบริจาคให้พวกเสื้อแดง เราได้รับบริจาค --- ส่วนใหญ่เป็นเงินไม่มาก --- แต่เรา
ไม่ต้องไป [จ้าง] คนมาร่วมชุมนุม พวกเสื้อแดงเขาชุมนุมกันเพราะจะมาต่อสู้ แต่พวกเสื้อเหลือง --- บางทีเขาต้องจ่ายเงินจ้างให้มาชุมนุมกันเสมอๆ พวกเสื้อเหลืองต้องการใช้เงินมากๆ ส่วนพวกเรานั้นได้รับเงินบริจาคจากที่นี่ที่โน่น และได้จากเพื่อนๆด้วย --- จากพวกเพื่อนๆ และพวกญาติ พี่น้องของผมบางคนเขาอาจบริจาคด้วย ผมไม่รู้ และผมไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะผมอยู่ที่นี่ แต่บางทีถ้าเพื่อนผมบางคนอยากจะสนับสนุนขบวนการเสื้อแดง ก็ได้ เขาคงบริจาคกัน

“From here and there … many people support the Reds, you know. Then the Yellow Shirts, even some member of the elite establishment -- old establishment and elite ---make donations … big money, sometimes openly. No one criticizes that. But for us, we get donations --- but mostly small donations --- but we don’t have to [hire] people to come. They come because they want to fight, but the Yellow Shirts --- sometimes they have to pay people, you know, they sometimes pay those who come to demonstrate and so on. So they need a lot of money. We don’t need a lot of money. We get donations from here and there, and also some friends---some friends, some of my relatives, maybe they donate. I don’t know. And I did not do anything because I’m here. But maybe if some of my friends would like to support the movement, well yes, they do.”

Tom: “แล้วตัวคุณหล่ะ คุณส่งเงินไปมากน้อยเท่าไร ที่ส่งไปให้พวก(เสื้อแดง)ที่สนับสนุนคุณ?”
“ But how much money have you sent back, or given to your supporters?”

Thaksin: “ผมมีเงินนอกประเทศไทยไม่มากนัก และยังต้องใช้เงินลงทุนบางอย่างอยู่บ้าง ผมมีเงินของ ครอบครัวอยู่ในเมืองไทย ผมไม่เคยส่งเงินกลับไปประเทศไทยเพื่ออะไรเลย
I don’t have much money outside Thailand and I still doing some investing. I have my family money in Thailand. I never send money back to Thailand for anything.”

Tom: “แต่คุณคงมีวิธีเอาเงินออกจากบัญชีในกรุงเทพฯให้พวกคนของคุณ?”
“But do have ways of getting money out of your accounts in Bangkok to your people?”

Thaksin: “ทุกบาททุกสตางค์ที่มีอยู่ที่โน่น --- ครอบครัวผมถูกเฝ้าตามดูอย่างใกล้ชิดโดยพวกเขา --- ความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวถูกติดตามดูตลอด
“Everything that is there---they have been monitoring my family closely---every movement will be monitored.”

Tom: “ครับ แล้วคำตอบว่าไงครับ? คุณให้เงินสนับสนุนพวกเสื้อแดงของคุณหรือเปล่า?”
“Right. So what is the answer? Are you funding your Reds or not?

Thaksin: “เปล่า
“No.”

Tom: “เปล่าจริงๆหรือ?”
“You’re not.”

Thaksin: “เปล่าเลย จริงๆ
“No.”

Tom: “โอเค, เปล่าก็เปล่า, เพราะถ้าเกิดพบที่หลังว่าคุณสนับสนุน มันจะดูไม่ดีนะครับ
“Okay, because if it comes out you are, it’s going to be awkward.”

Thaksin: “เปล่า, ไม่ได้ให้, บอกว่าเปล่าก็เปล่า
“No, no.”

Tom: “ครับ เปล่าก็เปล่า
“Alright.”

Thaksin: “ไม่ได้ให้ จริงๆ โธ่!
“No.”

Tom: “แต่ผมว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรผิดนะครับหากจะให้เงินสนับสนุน ผมไม่คิดว่ามันจะผิดศีลธรรมอะไรเลย ที่ผมถามก็เพราะแค่อยากทราบความจริงเท่านั้นเอง
“I don’t think there is anything wrong with it. I don’t think there is anything morally wrong with it. I’m just asking, just trying to find out the truth.”

Thaksin: “ไม่, ไม่มีอะไรผิดหรอกที่จะบริจาคเงิน
“No, nothing wrong with it.”

Tom: “ในทางกฎหมายก็คงไม่มีอะไรผิด แต่ว่าไม่น่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้องในการสร้างประชาธิปไตย ไช่ไหมครับ?”
“Nothing wrong legally, perhaps; but surely it’s no way to run a democratic railroad. Right?”

คุณทักษิณผงกศีรษะรับว่าเห็นด้วย
He nods in agreement.


ไม่มีบทสนทนาช่วงไหนจะสนุกเท่ากับช่วงนี้เลย
คุณทักษิณไม่ตอบเสียยาว
จนรู้คำตอบที่ไม่ยอมตอบในที่สุด
เป็นคำตอบที่ผมรู้ดีอยู่แล้วเป็นส่วนตัว
เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็รู้คำตอบเช่นกัน
นี่คือตัวตนที่แท้จริงของ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร 
คุณทักษิณโกงเก่ง แต่โกหกไม่เก่ง ถ้าเจอคำถามซับซ้อม วกวนไปมา ถามแรงๆ ชนแรงๆ คุณทักษิณก็ตอบยาวจนแม้ไม่ถามก็ยังตอบอีกต่างหาก

ผมอยากขอสัมภาษณ์คุณทักษิณสักชั่วโมงจริงๆ
กินข้าวด้วยสักมื้อก็ได้ แล้วผมจะจ่ายให้สัก 200,000 อีกต่างหาก!

[ทักษิณอยากกลับประเทศไทยทำไม?]

คุณทักษิณอยากกลับมาประเทศไทยทำไม?

ปี 2537 ก่อนเข้าสู่การเมือง คุณทักษิณมีทรัพย์สิน $1.6-$2.2 พันล้าน
พอร่ำาวยมากมายมหาศาลขึ้น แล้วทำความผิดถูกยึดทรัพย์ คุณทักษิณบ่นกับ Tom ว่า:

Thaksin: “ตอนนี้เหลือความมั่งคั่งร่ำรวยน้อยลงไป เพราะรัฐบาลไทยโขมยเงินผมไป
“Because the government robbed me, (now I have) less.

Thaksin: “พวกคณะปฏิวัติยึดอำนาจปล้นเงินผมไปโดยใช้ศาลการเมืองเป็นเครื่องมือ พวกเขาเอาไปอย่างหน้าด้านๆถึง $1.4 พันล้าน โดยการยึดส่วนของราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นตอนที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี รวมทั้งดอกเบี้ยและเงินปันผลช่วงที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย

“ … I was robbed by the junta through the political court. They ridiculously took away US$1.4 billion by confiscating the proportion of each share price that increased while I was prime minister, including the interest and dividends earned during my prime-ministership.”

[บทส่งท้าย]

ท้ายสุด คุณทักษิณก็ถูก Tom Plate ถามให้ประเมินความรู้สึกทั้งหมดต่อชีวิต
และการกระทำที่ผ่านมา:

Tom: “คุณรู้สึกเสียใจบ้างไหม?”
“Do you have any regret?

Thaksin: “ครับผมรู้สึกเสียใจ, … แต่ความจริงก็คือว่า ผมจะทำแบบเดิมอีก ถ้าผมสามารถทำใหม่ได้ ผมก็จะทำอย่างเดิมทั้งหมด ถ้าพรุ่งนี้ทำได้ผมก็จะทำพรุ่งนี้เลย พวกเขาสามารถเตะโด่งผมออกนอกประเทศไปได้อีก แล้วผมก็จะตอบโต้สู้กลับ ให้ผมได้กลับบ้านอีก และถ้าพวกเขาทำกับผมอีก ผมก็จะสู้กับมันอีก และผมจะกลับมา
“Yes, … but the truth is I would do it again. If I could do it all again
Tomorrow I would. They could kick me out again, and I’d fight back and I’d go back home. And if they do that again, I will fight it, and I will be back.”


เป็นการยืนยันรับประกันชัดเจนโดยตรงจากปากคุณทักษิณว่า
คุณทักษิณจะไม่สำนึกผิดอะไรทั้งส้ิน
หากกลับมาประเทศไทยอีกก็จะทำแบบเดิมอีก
ไม่เปลี่ยนแปลง
ถ้าถูกขัดขวางอีก ก็จะสู้ไม่ถอย
ถูกผลักดันให้ออกไปนอกประเทศอีก ก็จะสู้อีก
จะกลับมาทำอย่างเดิมแน่นอน!

(หมายเหตุ :ที่มาของ สคริปต์ "ดร.สมเีกียรติ" บนเวทีปทุมวัน จากเฟซบุ๊ก BLUESKY Channel )


วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

ประชาธิปไตยมันอยู่ใกล้ ๆ ตัวเรานี่เอง..เรื่องของหมอกับชาวนา

ประชาธิปไตยมันอยู่ใกล้ ๆ ตัวเรานี่เอง

ปี 2535 ในครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง พ่อ แม่ มีลูกสองคน คนหนึ่งเรียนเก่งส่งไปเรียนจนเป็นหมอ สิริรวมหมดเงินไป 3 ล้านบาท อีกคนเป็นชาวนาช่วยพ่อแม่ทำนา รับจ้าง ช่วยพ่อแม่หาเงินส่งพี่ชายเรียนจนจบ

ต่อมาลูกทั้งสองคนแต่งงาน มีหลานมาให้ปู่กับ ย่าชื่นชม หลานลูกหมอเรียนไม่เก่ง จบม. 6 ติดยา ติดหญิง พ่อตามใจ จนเสียคน
หลานลูกชาวนาเรียนเก่ง จบมหาลัยในเมืองไทย อยากไปเรียนต่อเมืองนอก ปู่กับย่า พอมีที่นาคิดว่าจะแบ่งขาย ส่งให้หลานไปเรียนเมืองนอก

ลูกชายที่เป็นหมอ ไม่เห็นด้วย บอกว่าถ้าขายนาได้ ต้อง เอาเงินมาแบ่งสองส่วน ให้หลาน สองคน เท่า ๆ กัน (ถึงลูกขี้ยาของตนเองจะเรียนไม่เก่งก็ ต้องมีสิทธิได้ส่วนแบ่งเท่า ๆ กัน)

พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วย ความสัมพันธ์ ในครอบครัว กระท่อนกระแท่นมาตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งวันนี้


21 มกราคม 2557 
เกิดการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวชาวนาอย่างรุนแรง เพราะ หมอ ไปเป่านกหวีด ไปถือป้ายขับไล่รัฐบาล ส่วนชาวนาและลูกชายอีกคน ปฏิเสธที่จะไปร่วมกับเพื่อนชาวนาประท้วงรัฐบาล ไม่จ่ายค่าจำนำข้าว....ด้วยเหตุผลว่า “เราไม่รู้อะไรจริง อะไรเท็จ เราต้องให้โอกาสรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

9.00 น.    เสียงพ่อทะเลาะกับหมอทางโทรศัพท์ โดยเปิด ลำโพงโทรศัพท์ ดังลั่น
พ่อ           พ่อดูทีวี เห็นแกออกไปถือป้ายไล่รัฐบาล ทำไมไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองล่ะลูก...เอาเวลามาสั่งสอนลูกเต้าดีกว่า
หมอ        พ่อไม่เข้าใจหรอก มันเรื่องของประชาธิปไตย
พ่อ           ก็พอเข้าใจอยู่ ความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรม ที่เอ็งบ่นให้พ่อฟังมาตลอด
หมอ        ก็นั่นแหละ พ่อไม่เข้าใจหรอก แค่เรื่อง ถ้าขายนาได้ ต้อง เอาเงินมาแบ่งสองส่วน ให้หลาน สองคนเท่า ๆ กัน พ่อก็ไม่เข้าใจ
พ่อ           มันคนละเรื่องกันนะลูก นั่นมันเรื่องการเมือง นี่มันเรื่อง คุณธรรม ความเห็นอก เห็นใจกัน มันก็หลานแก
หมอ        มันก็เรื่องเดียวกันนั่นแหละพ่อ พ่อเป็นชาวนาไม่เข้าใจหรอก แม่ก็เหมือนกัน ไม่รู้จักประชาธิปไตย ความยุติธรรมไม่มี แม้แต่เรื่องใกล้ตัว

แม่(ตะโกนแทรกมา) กูเข้าใจเว้ย...ประชาธิปไตยในบ้าน ตกลงมึงจะเอาส่วนแบ่งขายนาครึ่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่มันแทบจะไม่พอส่งให้หลานไปเรียน งั้น มึงก็หาเงินมาคืนครึ่งหนึ่งที่มึงไปเรียนก็แล้วกันนะ นี่ใช่ไหมที่เรียกว่าประชาธิปไตย ไอ้หมอ?


วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

อดีตผู้นำสิงค์โปร์ ลีกวนยู ชี้ทักษิณ ชินวัตร พลิกโฉมการเมืองไทย

อดีตผู้นำสิงค์โปร์ ลีกวนยู ชี้ทักษิณ ชินวัตร พลิกโฉมการเมืองไทย ปลุกผู้คนตระหนักถึงอำนาจผูกขาดทรัพยากรของชนชั้นนำกรุงเทพ ถมช่องว่างคนรวย-คนจน ยกฐานะคนชั้นล่างเป็นคนชั้นกลาง

ในหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งออกวางตลาดเมื่อเร็วๆนี้ ชื่อ "
อดีตนายกรัฐมนตรีเจ้าของสมยานาม "บิดาแห่งสิงค์โปร์สมัยใหม่" ลีกวนยู ได้แสดงทัศนะต่อความเป็นไปในโลกในหลายแง่มุม ในตอนหนึ่ง เขาได้กล่าวถึงอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ในบทที่ชื่อ "Thailand : An Underclass Stirs"

ในบทความซึ่งเรียบเรียงจากคำให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ The Strait Times ดังกล่าว ลีเริ่มต้นด้วยการชี้ว่า การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของทักษิณได้พลิกโฉมการเมืองไทยไปอย่างถาวร ก่อนยุคทักษิณนั้น การประชันขันแข่งทางการเมืองจำกัดอยู่ในหมู่ชนชั้นนำกรุงเทพ และปกครองเพื่อผลประโยชน์ของนายทุนชาติ แต่ทักษิณได้เข้าไปเปลี่ยนสถานะเดิม ด้วยการผันทรัพยากรที่ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางกรุงเทพเคยตักตวงให้ไปสู่คนยากนจน ทำให้ชาวนาในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ลีบอกในหนังสือซึ่งจัดพิมพ์โดย Strait Times Press เล่มนี้ว่า ก่อนหน้ายุคทักษิณ นโยบายเน้นความเติบโตของกรุงเทพของรัฐบาลต่างๆก่อนหน้าเขา ได้ทำให้เกิดช่องว่าง ทักษิณได้ทำให้ประชาชนตื่นรู้ถึงช่องว่างนี้ และความไม่เป็นธรรมของนโยบายดังกล่าว แล้วเสนอนโยบายที่จะถมช่องว่างนี้เสีย นโยบายของทักษิณได้มุ่งให้ประโยชน์แก่คนยากจนในชนบทอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อาทิ กองทุนหมู่บ้าน, ทุนเรียนต่างประเทศสำหรับนักเรียนจากชนบท, บ้านเอื้ออาทร, และ 30 บาทรักษาทุกโรค

ฝ่ายที่ต่อต้านทักษิณมองว่า เขาได้สร้างความฉิUHายแก่ประเทศ ซึ่งไม่อาจยอมได้ คนเหล่านั้นบอกว่า เขาเป็นนักประชานิยม นโยบายของเขาจะทำให้ประเทศล้มละลาย แต่เมื่อคนพวกนั้นขึ้นครองอำนาจจากเดือนธันวาคม 2551 ถึงเดือนสิงหาคม 2554 พวกเขาก็ยังคงดำเนินนโยบายเหล่านี้ต่อไป คนพวกนี้กล่าวหาทักษิณว่า คอรัปชั่น ทำเพื่อธุรกิจของครอบครัว ไม่ชอบบริษัทของเขา โจมตีว่าเขาแทรกแซงสื่อ และไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามยาเสพติดและการแก้ปัญหาภาคใต้ ซึ่งมองข้ามสิทธิมนุษยชน แม้กระนั้น บรรดาชาวนาซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาลยังคงเลือกเขาในปี 2548 แต่ท้ายที่สุด ชนชั้นนำกรุงเทพไม่อาจทนรับชายผู้นี้ได้ ทักษิณได้ถูกยึดอำนาจในการรัฐประหารในปี 2549

นับแต่นั้น เมืองหลวงของประเทศไทยได้เผชิญความโกลาหล มีการประท้วงของมวลชนเสื้อเหลืองซึ่งต่อต้านทักษิณในนามของการปกป้องสถาบันกษัตริย์ และการประท้วงของคนเสื้อแดงซึ่งสนับสนุนทักษิณ แต่ทว่าการเลือกตั้งครั้งหลังสุดเมื่อปี 2554 ได้ส่งน้องสาวของเขา ยิ่งลักษณ์ ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้ออกเสียงเลือกตั้งได้เลือกวิถีทางใหม่ที่ทักษิณได้เลือกให้แก่ประเทศไทย ชาวนาในภภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งได้ลิ้มรสชาติของการเข้าถึงแหล่งทุน จะไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป จนถึงขณะนี้ ทักษิณและพันธมิตรของเขาได้ชนะเลือกตั้งมาแล้ว 5 ครั้งซ้อน ความพยายามของฝ่ายต่อต้านทักษิณนับว่าไร้ผล

แม้สังคมไทยได้เกิดความปั่นป่วน แต่มีแนวโน้มสดใสในระยะยาว คนเสื้อแดงจะยังคงมีมากกว่าคนเสื้อเหลืองไปอีกยาวนาน 
ลียังได้กล่าวถึงกองทัพไทยด้วยว่า มีบทบาทนำในการเมืองไทยมาช้านาน กองทัพไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว กองทัพไม่อาจต้านทานเจตจำนงของผู้เลือกตั้งได้อย่างยืดเยื้อยาวนาน 

อดีตผู้นำสิงค์โปร์กล่าวต่อไปว่า พวกผู้นำเหล่าทัพจะยังคงยืนกรานรักษาอภิสิทธิ์ต่างๆ และจะไม่ยอมถูกลดสถานะเป็นเพียงกองทัพธรรมดา อย่างไรก็ดี พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับรัฐบาลที่เป็นพันธมิตรของทักษิณ และเป็นไปได้ว่า ในท้ายที่สุด กองทัพจะยอมรับการกลับสู่ประเทศไทยของทักษิณ หากเขาให้คำมั่นสัญญาที่จะไม่แก้แค้น

ลีกล่าวในที่สุดว่า ประเทศไทยไม่มีวันหวนกลับสู่การเมืองแบบเก่าแล้ว ซึ่งเป็นการเมืองที่ชนชั้นนำกรุงเทพผูกขาดอำนาจ ประเทศไทยจะก้าวเดินต่อไปตามแนวทางที่ทักษิณได้ขับเคลื่อนไว้ ช่องว่างในมาตรฐานการครองชีพของผู้คนทั้งประเทศจะหดแคบลง ชาวนาจำนวนมากจะได้รับการยกระดับเป็นชนชั้นกลาง และจะช่วยหนุนส่งการบริโภคภายในประเทศ ประเทศไทยจะมีอนาคตสดใส.


****************************************************************************************************
อดีตนายกรัฐมนตรี ลี กวนยิว ของสิงคโปร์ เขียนหนังสือเล่มใหม่ล่าสุด ชื่อ “One Man’s View of the World” ในวัย 90 - 

วิพากษ์หลายประเด็นเกี่ยวกับประเทศต่างๆ ทั้งจีน อเมริกา ยุโรป รวมถึงเพื่อนบ้านอีกหลายชาติ
ที่น่าสนใจสำหรับคนไทยเป็นพิเศษ คือ ตอน ถาม-ตอบ เกี่ยวกับความเห็นของแกเกี่ยวกับประเทศไทย โดยให้นักข่าวอาวุโสของหนังสือพิมพ์ Straits Times เป็นคนตั้งคำถาม และท่านผู้เฒ่าเป็นคนตอบ
ต้องชื่นชมว่า อดีตนายกฯ คนดังของเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา และสะท้อนให้เราได้รู้ว่า นักการเมืองที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนคนนี้ คิดอย่างไรกับเรา
ลี กวนยิว วิเคราะห์ไว้ตอนหนึ่งว่าการเมืองไทย หลังจาก คุณทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมามีอำนาจจะเปลี่ยนไป ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนจะแคบลง ชาวนาจะถูกยกระดับเป็นชนชั้นกลาง และจะทำให้อำนาจซื้อในประเทศดีขึ้น ประเทศไทยจะก้าวหน้าพัฒนาต่อไป
คนข่าวคนนี้ถามว่าแต่นักวิเคราะห์บางคนไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่าวิธีการของคุณทักษิณ เป็นประชานิยม ทำแต่เรื่องที่ได้ผลระยะสั้น ขณะที่ผู้นำไทยคนก่อนๆ พยายามจะพัฒนาประเทศด้วยมาตรการระยะยาวที่ยั่งยืนมากกว่า
ลี กวนยิว : ไม่ใช่ นั่นเป็นความเห็นด้านเดียว ทักษิณ เก่งและฉลาดกว่าคนที่วิจารณ์เขามากนัก ด้วยเหตุนี้แหละเขาจึงไปทำเรื่องนี้ที่ภาคอีสาน เพื่อเอาชนะการต่อต้านจากพวกเขา
ถาม : แต่มีความห่วงว่านั่นอาจจะเป็นการทำเพื่อหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น
ลี กวนยิว : คุณเอาเงินทั้งหมดเพื่อไปแจกประชาชนจากที่ไหนล่ะ?

ถาม : นั่นแหละคือปัญหา

ลี กวนยิว : ก่อนที่คุณจะแจกของ คุณต้องมีทรัพยากร และจะมาได้ก็ต้องมีรายได้ และหากคุณจะแจกเพิ่มอีก และหากรายได้เต็มที่แล้ว คุณก็ต้องขึ้นภาษี
ถาม : หรือต้องกู้เงิน
ลี กวนยิว : ใครจะให้ยืม? มีหลักทรัพย์หรือเปล่า?
ถาม : ถ้าอย่างนั้น ท่านไม่คิดว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับอาการอัมพาตระยะยาว จากนโยบายประชานิยมใช่ไหม?
ลี กวนยิว : ผมไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น พวกเขาจะเอาอกเอาใจคนจนมากเกินเหตุทำไม?
ถาม : ท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับทักษิณ?
ลี กวนยิว : เขาเป็นคนติดดิน ทำงานหนักเพื่อให้ได้ผลเร็ว เขาเชื่อมั่นในประสบการณ์และสัญชาตญาณทางธุรกิจของตัวเอง เขาเคยบอกผมว่าเคยนั่งรถโค้ชจากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์ และเขาเชื่อว่าเขาได้เรียนรู้ว่าสิงคโปร์ สำเร็จเพราะอะไร เขาบอกว่าจะกลับไปทำอย่างเดียวกันที่ประเทศไทย ผมไม่รู้ว่าแค่มาเที่ยวเดียวจะทำให้เขาเข้าใจเคล็ดลับจริงๆ ของเราหรือเปล่า เพราะว่ามันเกี่ยวกับเรื่องการศึกษา ทักษะ การฝึกฝน และสังคม ที่มีความกลมเกลียวที่ทุกคนมีโอกาสเท่ากัน ต้องไม่ลืมว่าในภาคอีสานของไทยนั้น มีคนเชื้อสายลาวมากกว่าไทย
ถาม : ประมาณสิบปีมาแล้ว ผู้นำสิงคโปร์เคยพูดถึงไทยว่าจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของสิงคโปร์ในฐานะเป็นศูนย์กลาง (hub) ทางด้านขนส่ง การผลิต และ การท่องเที่ยว ผสมการรักษาพยาบาล...ทุกวันนี้ยังมีประเด็นนี้อยู่หรือไม่?
ลี กวนยิว : ก็ดูสภาพภูมิศาสตร์ของเขาซิ คุณสามารถหลีกกรุงเทพฯ ได้ แต่คุณเลี่ยงสิงคโปร์ทางเรือไม่ได้
ถาม : แล้วทางอากาศล่ะ?
ลี กวนยิว : ทักษะและการศึกษาของเขาสูงแค่ไหน? พวกเขาต้องเก่งกว่าเรานะ (จึงจะชนะสิงคโปร์ได้)
ถาม : แล้วพวกเขามีศักยภาพที่จะเก่งกว่าเราไหม?
ลี กวนยิว : ประการที่หนึ่ง เราได้เปรียบด้านภาษาอังกฤษ ประการที่สอง เรามีโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาที่สามารถผลิตผู้เรียนจบที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นด้านโพลีเทคนิคหรือด้านอื่นใดๆ ใครไม่มีทักษะก็ไปไม่ถึงไหน พวกเขา (ไทย) สามารถพัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้คน 60 ล้านคน ไปทั่วเขตชนบทหรือเปล่าล่ะ?
----------------------
อ่านถึงตรงนี้ เราก็พอจะเห็นว่าท่านผู้เฒ่าแห่งสิงคโปร์ มองไทยเราอย่างไร ไม่ต้องวิเคราะห์ให้มาก ก็พอจะรู้ว่าทำไมบ่อยครั้ง เราจึงได้ยินได้ฟังคนสิงคโปร์พูดถึงไทยอย่างเหยียดๆ เป็นนิจ
- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/537179#sthash.rNSzlSzm.dpuf



วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

อวสานคดี ปรส.ชาติเสียหาย 8 แสนล้าน ให้จำคุก 2 ปี รอลงอาญา 3 ปี

อวสานคดี ปรส.ชาติเสียหาย 8 แสนล้าน ให้จำคุก 2 ปี รอลงอาญา 3 ปี
ในที่สุดก็ได้บทสรุปแล้วสำหรับคดี ที่นายอมเรศ ศิลาอ่อน อดีตประธานคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) นายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ อดีตเลขาธิการปรส.พร้อมพวก กระทำความผิด พ.ร.บ.พนักงานองค์กรรัฐทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ ปรส. กับเอกชนมิชอบ ซึ่งหลายฝ่ายต่างก็เฝ้าจับตามองว่าคดีอาจจะหมดอายุความในปี 2556
แต่เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พิเคราะห์ จากพยานหลักฐานแล้วเห็นว่านายอมเรศ ศิลาอ่อน และนายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ มีความผิดฐานไม่เรียกเก็บเงินงวดแรกในการขายสินทรัพย์ให้กับบริษัทเอกชนเลห์แมนบราเธอร์ส โฮลดิ้งอิ้งค์ จำกัดจำนวน 2,304 ล้านบาท ตามหลักเกณฑ์กำหนดที่ไว้ ผิดตาม พรบ.ว่าด้วย ความผิดพนักงานในองค์กรของรัฐ จึงพิพากษาจำคุกจำเลยทั้ง 2 เป็นเวลา 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนายอมเรศเคยเป็นอดีตรมว.พาณิชย์ และนายวิชรัตน์วิชรัตน์ เป็นอดีตประธานอนุกรรมการกลั้นกรองวางแผนการฟื้นฟูให้กับสถาบันการเงิน ซึ่งถือเป็นการทำคุณให้กับประเทศชาติ อีกทั้งจำเลยทั้ง2 มีอายุมากเห็นสมควรให้กลับตัวกลับใจโทษจำคุกจึงรอลงอาญา 3 ปี ให้คุมประพฤติ 1 ปี โดยต้องรายงานตัว 3 ครั้งต่อเดือน พร้อมบำเพ็ญประโยชน์เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ส่วนจำเลยคนอื่นๆ พิพากษายกฟ้องเพราะไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ
หากย้อนอดีตไปเมื่อปี 2540 วิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ปาเข้าไปนานถึงสิบกว่าปี กับสำนวนคดี การขายทรัพย์สินขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือปรส.เกี่ยวกับการเร่ขายสินเชื่อที่อยู่อาศัย 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการ มูลค่า 851,000 ล้านบาท ไปประมูลขายเพียง 190,000 ล้านบาท  อีกทั้งกำหนดหลักเกณฑ์เอื้อประโยชน์ให้เอกชน  และหลบเลี่ยงภาษี คดีหมายเลขดำที่ อ.3344/2551
ซึ่งแต่เดิมนั้น ปรส. ในสมัยของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี นั้นได้สั่งปิด 56 ไฟแนนซ์ และตั้งปรส.ขึ้นมา เพื่อแยกหนี้ดี-หนี้เสียออกจากกัน แล้วค่อยประมูลขาย เพื่อปลดล็อกสินทรัพย์ทั้งหลายถูกแช่แข็งอยู่ออกมาหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์ อย่างรวดเร็วที่สุดและโปร่งใสที่สุด
โดยสินทรัพย์ดีจะได้ขายได้ในราคาที่ดี (โดยใช้วิธีประมูล) อีกทั้งช่วยเหลือผู้ฝากเงิน และเจ้าหนี้ที่สุจริต โดยเฉพาะกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ในสัดส่วน 87.54% และเพื่อชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ไม่สามารถฟื้นฟูกิจการได้
แต่ในทางปฏิบัติ สมัย นายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปปัตย์มาบริหารประเทศนั้น มีการตั้งข้อสังเกตกันว่ากระทำขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่มุ่งแก้ไข ระบบสถาบันการเงินด้วยการฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินการ ไม่ได้มีการแยกสินทรัพย์ดี และเสีย ( Good Bank –Bad Bank ) ทำรัฐเสียหายกว่า 800,000 ล้าน เกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์โดยมิชอบ
จาก 8 แสนล้าน เหลือ 2 แสนล้าน  มีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 5 คดี ประกอบด้วย
คดี ที่ 1 กรณี บริษัท เลห์แมนบราเดอร์ โฮลดิ้ง อิงค์ ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยจาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมโกลบอลไทยพร็อพเพอร์ตี้ เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2541 ยอดคงค้างทางบัญชี 24,616.95 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 11,520 ล้านบาท
คดีที่ 2 กรณีบริษัท โกลด์แมน แซคส์ เอเชีย ไฟแนนซ์ จำกัด ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์จาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ยอดคงค้างทางบัญชี 115,890.96 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 22,454.87 ล้านบาท
คดีที่ 3 – 4 กรณี บริษัท เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ จาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับ กองทุนรวมเอเชียรีคอฟเวอรี่ 1 – 3 ยอดคงค้างทางบัญชี 64,303.34 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 23,176.38 ล้านบาท
คดีที่ 5 กรณี บริษัท วีคอนกลอมเมอเรท จำกัด ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ จาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมวีแคปปิตอล ยอดคงค้างทาง บัญชี2,376.73 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 3,189.90 ล้านบาท
เหล่านี้ คือผลของการกระทำดังกล่าวทำให้ การประมูลทรัพย์ ได้ราคาที่ต่ำมาก ซึ่งดีเอสไอสรุปสำนวนคดี ปรส. ชี้การกระทำดังกล่าวว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  และนายวิชช์ จีระแพทย์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีล้มละลาย แถลงสรุปผลการประชุม ยังพบว่า มีการดำเนินการหลายกรณี ไม่เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ทั้งสิ้น 10 ประเด็น ดังนี้
1.ปรส.ยินยอมให้นิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปรส.เข้าประมูลซื้อทรัพย์สิน จากปรส.โดยมิชอบ
2.คณะกรรมการปรส.บางคนมีส่วนเกี่ยวข้องปกปิดข้อเท็จจริง กระทำการโดยไม่โปร่งใส
3.ข้อกำหนดของปรส.ที่ให้ผู้ชนะการประมูลโอนสิทธิได้ขัดต่อกฎหมาย
4.การโอนสิทธิของผู้ชนะการประมูล ไม่ชอบ ขัดต่อพรก.ปรส.
5.ข้อกำหนดการขายทรัพย์สินของคณะกรรมการปรส.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
6.คณะกรรมการปรส.และกลุ่มนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปรส.ฝ่าฝืนข้อสนเทศการขาย ทรัพย์สิน
7. กองทุนรวมที่รับโอนสิทธิจากผู้ชนะการประมูลซื้อทรัพย์สินจากปรส. ยังไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล
8.มีการทำสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
9.สิทธิของนิติบุคคลที่ชนะการประมูลไม่สมบูรณ์ เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามข้อกำหนดการขายทรัพย์สินของปรส. และ
10.ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการปรส.บางคนขาดคุณสมบัติเนื่องจากดำรงตำแหน่งทับซ้อน กับสถาบันการเงินอีกแห่ง
ก่อนที่จะหมดอายุความในปี 2556 ในที่สุดศาลก็ได้ตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าบทลงโทษจะเป็นอย่างไร ผลการพิจารณาคดีถือเป็นที่สิ้นสุด